30 สิงหาคม 2560

มิติที่ 6 เปิดปมคฤหาสน์อาถรรพ์วินเชสเตอร์ มันมีผีจริงหรือ !!?

ถ้าคุณมีเงินมากพอ คุณอยากจะสร้างบ้านแบบไหน ? และนอกจากตัวคุณเองแล้ว คุณจะสร้างให้ใครอยู่อีก ?



มิติที่ 6 สัปดาห์นี้ เราจะพาคุณไปยังรัฐแคลิฟอร์เนีย เพื่อไปพบกับเรื่องราวของบ้านหลังใหญ่ระดับคฤหาสน์ แต่สิ่งที่ทำให้เราต้องพูดถึงนั้น กลับเป็นวัตถุประสงค์ในการสร้างบ้านหลังนี้ !!!

กดเพื่อดูคลิปที่นี่
The Winchester Mystery House หรือ คฤหาสน์อาถรรพ์วินเชสเตอร์ อยู่ในเมืองแซนโฮเซ รัฐแคลิฟอร์เนีย ครั้งหนึ่งเคยเป็นของนางซาร่า วินเชสเตอร์ ภรรยาม่ายของพ่อค้าปืนชื่อวิลเลี่ยม เวิร์ท วินเชสเตอร์ โดยตั้งอยู่บ้านเลขที่ 525 เซาธ์วินเชสเตอร์บูเลอวาด เมืองแซนโฮเซ ก่อสร้างตามแบบสไตล์วิคตอเรียมีขนาดกว้างใหญ่

วิลเลี่ยม เวิร์ท และซาร่า วินเชสเตอร์ เจ้าของคฤหาสน์
ด้วยสถาปัตยกรรมอันน่าพิศวง จึงทำให้ถูกยกย่องให้มรดกทางประวัติศาสตร์ของแคลิฟอร์เนีย โดยปัจจุบันมีบริษัทเอกชนเป็นผู้ดูแลเปิดให้บุคคลทั่วไปเข้ามาเยี่ยมชม
แต่หลังจากที่เปิดให้ผู้คนทั่วไปเข้ามาเที่ยว มันกลับมีข่าวลือพูดกันไปเป็นวงกว้างจากปากคำของผู้ดูแลบ้านคนปัจจุบัน ที่ทำหน้าที่เป็นผู้นำเที่ยวในบ้านเล่าว่า ในหลาย ๆ ครั้งที่เธอต้องเดินผ่านประตูไปตามห้องต่าง ๆ เธอจะต้องได้ยินเสียงใครบางคนเดินอยู่ที่ชั้นบนเสมอ ทั้ง ๆ ที่ภายในบ้านตอนช่วงเวลานั้น จะมีเพียงเธอคนเดียว แล้วตั้งคำถามว่าเสียงที่ได้ยินนั้นมันมาจากใครกันแน่ ?


ผู้นำเที่ยวอีกคนก็เล่าว่า ในขณะที่กำลังพานักท่องเที่ยวเดินไปเรื่อย ๆ นั้น เขาเห็นหญิงชราร่างเล็กในชุดแบบวิคตอเรีย ซึ่งเขาเองก็คิดว่าในวันดังกล่าวอาจมีไกด์คนอื่นแต่งกายแกล้งกัน พอไปพูดเรื่องนี้ตอนที่ทุกคนพร้อมหน้า กลับกลายเป็นว่าไม่มีใครทำอะไรแบบนั้น ไม่มีใครเคยแม้แต่จะคิดด้วยซ้ำ แล้วสิ่งที่เขาเห็นตอนนั้นมันคืออะไร !?


นักท่องเที่ยวบางคนที่นำกล้องเข้ามาถ่ายภาพภายในบ้าน ก็พบกับความผิดปกติอยู่ภายในภาพ บางภาพจะเห็นได้ว่ามีดวงไฟวงกลมสีขาวราวกับเป็นดวงไฟของวิญญาณ และที่ยิ่งไปกว่านั้นมีผู้ถ่ายภาพติดเงาร่างของใครบางคน ที่ดูเหมือนกับเป็นผู้หญิงตัวเล็กอยู่ในชุดสมัยวิคตอเรีย กำลังเดินผ่านประตูตามที่เห็นในภาพ ก็มีผู้วิเคราะห์กันว่าบางทีนั่นอาจเป็นวิญญาณของซาร่า วินเชสเตอร์ อดีตคุณนายเจ้าของบ้านก็เป็นได้

ภาพถ่ายติดกลุ่มควันปริศนา
โดยคฤหาสน์หลังนี้ถูกสร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1884 จากการออกแบบด้วยตัวของนางซาร่า วินเชสเตอร์ ว่ากันว่าเธอออกแบบไว้เพื่อหลอกล่อเหล่าวิญญาณที่ถูกปืนจากบริษัทของสามีฆ่าตาย ให้พวกมันเกิดความสับสน และว่ากันว่านางวินเชสเตอร์ออกแบบบ้านหลังนี้วันต่อวันจากชั้นล่างสู่ชั้นบน ทั้งคืนทั้งวันโดยไม่มีการหยุดพัก
จนกระทั่งวันสุดท้ายก็คือวันตายของเธอ ในวันที่ 5 กันยายน ค.ศ. 1922 การก่อสร้างก็หยุดลงทันที โดยเรื่องนี้ถูกยืนยันโดยผู้บันทึกประวัติชีวิตของเธอว่า มีคนงานผลัดกันลาออกไปทุกเดือนเพื่อจะได้หยุดพัก และบันทึกไว้ว่าสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นตลอดมาเป็นเวลา 38 ปี


โดยประวัติของตัวคฤหาสน์หลังนี้ มันเริ่มต้นขึ้นหลังจากสามีของเธอเสียชีวิตไปด้วยวัณโรคในปี ค.ศ. 1881 ซาร่า วินเชสเตอร์จึงต้องรับช่วงมรดกของเขามากกว่า 20.5 ล้านเหรียญ รวมไปถึงการเป็นหุ้นส่วนใหญ่ของกิจการวินเชสเตอร์รีพีทติ้งอาร์ม ซึ่งเป็นบริษัทผลิตอาวุธจำพวกปืน แต่ไม่ว่าจะต้องการหรือไม่ ตอนนั้นเธอก็มีรายรับกว่า 1 พันเหรียญต่อวัน ที่เมื่อเทียบกับค่าเงินปัจจุบันนี้ มันก็น่าจะเท่ากับวันละสองหมื่นสามพันเหรียญเลยทีเดียว ซึ่งทั้งหมดนี้ก็ถือเป็นเงินที่มากมายพอที่จะนำมาใช้จ่ายในงานก่อสร้างบ้านไม่มีวันเสร็จของเธอ


หนังสือพิมพ์แทบลอยด์ในยุคนั้นยืนยันข้อมูลว่า มีช่วงหนึ่งหลังจากที่ลูกสาวและสามีของเธอตายจากไปแล้ว ก็มีคนทรงจากบอสตันคนหนึ่งแนะนำให้เธอย้ายออกจากบ้านที่นิวเฮเวน แล้วให้ออกเดินทางไปทิศตะวันตก และที่นั่นนอกจากเธอจะต้องสร้างบ้านใหม่ให้ตัวเองแล้ว เธอจะต้องออกแบบเผื่อไว้สำหรับรับมือวิญญาณของผู้คนอื่น ๆ ที่ตกเป็นเหยื่อปืนไรเฟิลจากบริษัทอดีตสามีของเธอด้วย


นั่นจึงทำให้นางวินเชสเตอร์ตัดสินใจเดินทางออกจากนิวเฮเวนไปยังแคลิฟอร์เนีย โดยคิดว่ามันน่าจะพอมีหนทางในการหาที่ทางสร้างบ้านใหม่ อีกทั้งจะได้มีอะไรทำในช่วงที่ชีวิตกำลังหดหู่อยู่แบบนี้ มีหลายแหล่งข่าวระบุว่า นางวินเชสเตอร์เริ่มเชื่อว่าครอบครัวของเธอรวมถึงดวงชะตาของตัวเอง กำลังถูกครอบงำโดยผีสางอะไรสักอย่าง และการย้ายออกมาทางตะวันตกเพื่อสร้างบ้านไปเรื่อย ๆ มันก็น่าจะทำให้เธอสามารถเยียวยาจิตใจตัวเองให้ดีขึ้น


ในปี ค.ศ. 1884 นางวินเชสเตอร์ได้ซื้อไร่ที่ยังสร้างไม่เสร็จแห่งหนึ่ง มันอยู่แถวหุบเขาซานตาคลารา พอได้ที่ดินแห่งนี้มา เธอก็เริ่มสร้างที่อยู่ของเธอทันที ช่างก่อสร้างจำนวนมากถูกจ้างมาทำงานทั้งวันทั้งคืน มันเป็นบ้านระดับคฤหาสถ์ขนาด 7 ชั้น โดยผู้ออกแบบนั้นก็คือตัวของเธอและไม่ได้จ้างสถาปนิกที่ไหนมาช่วยเลย นั่นหมายความว่าในขั้นตอนการออกแบบบ้านหลังนี้ เธออยากได้อะไรตรงไหนก็สั่งช่างให้จัดการทำให้ โดยไม่สนใจว่ามันจะผิดรูปแบบมาตรฐานที่ควรเป็นไปขนาดไหน
ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ตัวบ้านเต็มไปด้วยความแปลกประหลาด ไม่ว่าจะเป็นประตูและบันได้ทอดยาวขึ้นไปที่เพดาน หน้าต่างที่สร้างไว้สำหรับมองทะลุไปยังห้องอื่น ๆ และยังมีบันไดที่นอกจากจะดูวุ่นวายแล้ว มันยังมีขนาดใหญ่เล็กปะปนกันไป ซึ่งก็มีหลายคนบอกว่าทุกการออกแบบในบ้านหลังนี้ มันมาจากความเชื่อเรื่องผีสางของเธอนั่นเอง

บันไดที่ถูกออกแบบอย่าง งง ๆ และห้องต่างๆ ที่สามารถมองทะลุได้
ก่อนช่วงเหตุการณ์แผ่นดินไหวในปี ค.ศ. 1906 บ้านวินเชสเตอร์แห่งนี้มีความสูงถึง 7 ชั้น แต่ในปัจจุบันมันเหลือเพียง 4 ชั้นเท่านั้น วัสดุส่วนใหญ่ของบ้านทำด้วยไม้เรดวูดซึ่งมันก็ถือเป็นความต้องการของเธอเช่นกัน

ช่างต้องใช้สีมากว่าเจ็ดหมื่นแปดพันลิตรในการทาสีบ้านให้ครอบคลุมจุดที่ต้องการ ฐานของบ้านในแต่ละส่วนล้วนแยกออกจากกันเป็นของตัวเอง ซึ่งมันก็ทำให้แต่ละส่วนของบ้านไม่กระแทกกันเองในช่วงเกิดแผ่นดินไหวปี ค.ศ. 1906 และ ค.ศ. 1989 การออกแบบฐานของบ้านเช่นนี้ก็เอื้อต่อการต่อเติมมันต่อไปได้เรื่อย ๆ เพราะตัวฐานเองก็ไม่ได้ยึดติดไว้กับพื้นปูนอย่างแน่นหนา


หลังจากการตรวจนับแล้ว บ้านวินเชสเตอร์หลังนี้จะมีห้องอยู่ถึง 161 ห้อง ประกอบด้วย 40 ห้องนอน 2 ห้องบอลรูม ซึ่งมีห้องหนึ่งนั้นยังทำไม่เสร็จ มีเตาผิง 47 แห่ง บานกระจก 1 หมื่นบาน ปล่องไฟ 2 ปล่อง ห้องใต้ดิน 2 แห่ง มีลิฟท์ 3 หลัง ใช้เนื้อที่สร้างทั้งหมด 162 เอเคอร์ โดยในภายหลังถูกลดขนาดลงเหลือ 4.5 เอเคอร์ ภายในประดับโคมไฟระย้าสีเงินและสีทอง พื้นปาร์เก้เป็นงานแฮนเมด ประดับประดาด้วยวัสดุหลากหลายสีสันงดงาม
ด้วยความที่นางวินเชสเตอร์เป็นโรคไขข้ออักเสบ บันไดเดินง่ายแบบพิเศษจึงถูกติดตั้งเพื่อการนี้ มันทำให้เธอสามารถเดินไปไหนมาไหนภายในบ้านได้อย่างอิสระ โดยไม่ต้องยกเท้าให้สูงจากพื้นมากมายนัก แต่ที่แปลกมากไปกว่านั้นก็คือ ทั้ง ๆ ที่ตัวบ้านเต็มไปด้วยห้องจำนวนนับร้อย แต่มันกลับมีห้องน้ำที่ใช้ได้จริง ๆ อยู่เพียงห้องเดียว ส่วนห้องน้ำที่เหลือถูกสร้างเอาไว้เพื่อทำให้วิญญาณสับสน และเรื่องนี้ก็เป็นสาเหตุเดียวกันที่ทำให้เธอต้องนอนสลับห้องไปมาในแต่ละคืนด้วย


ของตกแต่งในบ้านวินเชสเตอร์เองก็ล้วนถือเป็นของหายากในช่วงนั้น มันประกอบไปด้วยเครื่องทำความร้อนแบบไอน้ำ ห้องน้ำแบบสมัยใหม่และท่อประปา ปุ่มกดเปิดไฟจากแก๊ส และยังมีฝักบัวอาบน้ำร้อน ส่วนลิฟท์ทั้งสามหลังก็ใช้ระบบไฟฟ้าควบคุมตัวยไฮโดรลิก


ในส่วนของประดับนั้น นางวินเชสเตอร์ก็ไม่ได้ละเลยรายละเอียด เธอใส่ใจในทุก ๆ อย่าง กระจกสีของหน้าต่างถูกสร้างโดยบริษัททิฟฟานี่ และในหลายจุดก็ออกแบบให้เธอโดยเฉพาะ บางส่วนเธอก็ออกแบบเอง อย่างเช่น ช่องบานกระจกใยแมงมุม และการใช้จำนวนเลข 13 ประกอบในการออกแบบ
ว่ากันว่ามันเป็นสิ่งที่เธอชอบ แต่กลับกลายเป็นว่าหน้าต่างดังกล่าวนี้ไม่ได้ถูกติดตั้งแต่อย่างใด มันถูกพบอยู่ในห้องเก็บของที่ถูกเรียกว่า ห้องเก็บของสองหมื่นห้าพันเหรียญ ตามราคาของที่ถูกเก็บอยู่ในนี้ ซึ่งถ้าจะเทียบกับค่าเงินปัจจุบัน มันก็น่าจะมีมูลค่าประมาณสามแสนห้าหมื่นเหรียญเลยทีเดียว

"ห้องเก็บของสองหมื่นห้าพันเหรียญ"


มีหน้าต่างอีกบานที่ออกแบบโดยทิฟฟานี่เจ้าของบริษัท ที่จะเรืองแสงเป็นสีรุ้งยามที่มันต้องถูกแสงอาทิตย์ แต่หน้าต่างบานนี้กลับถูกติดตั้งอยู่ภายในห้องที่ไม่มีจุดไหนจะสามารถรับแสงได้เลย ราวกับว่าเธอจะไม่อยากให้ใครเห็นความสวยงามนั้น

ต่อมานางวินเชสเตอร์ก็เสียชีวิตไป ทรัพย์สินทั้งหมดของเธอได้ถูกแบ่งให้กับหลานสาวและเลขาส่วนตัว โดยหลานสาวก็นำของที่มีทั้งหมดออกประมูลขาย การขนส่งต้องใช้รถบรรทุกถึง 6 คัน ขนของต่อเนื่อง 8 ชั่วโมงต่อวัน กินเวลายาวนานถึง 6 สัปดาห์ กว่าจะขนย้ายของทั้งหมดได้เสร็จสิ้น
ในส่วนตัวบ้านนั้นถูกประเมินว่าไม่สามารถขายได้ เนื่องจากมันเคยผ่านเหตุแผ่นดินไหวมาถึง 2 ครั้ง แต่อย่างไรก็ดีบ้านหลังนี้ก็ถูกนำมาประมูลขายได้ราคาไปเพียงหนึ่งแสนสามหมื่นห้าพันเหรียญเท่านั้น และต่อมามันก็ได้ถูกนายจอห์น และเมย์มี บราวน์เช่าเหมาต่อเป็นเวลา 10 ปี และซื้อมันไปในเวลาต่อมา


ในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1923 ห้าเดือนหลังจากที่นางวินเชสเตอร์เสียชีวิตไปนั้น บ้านหลังนี้ก็ถูกเปิดให้คนทั่วไปเดินทางเข้ามาเยี่ยมชม โดยมีนางเมย์มี บราวน์เป็นคนพาเที่ยวด้วยตัวเอง
และในปี ค.ศ. 1924 แฮรี่ ฮูดินี่ นักมายากลผู้ยิ่งใหญ่ก็แวะมาเที่ยวที่บ้านหลังนี้ด้วย โดยการมาของเขาทำให้หนังสือพิมพ์ประโคมข่าวเรียกบ้านหลังนี้ว่า บ้านอาถรรพ์วินเชสเตอร์ และมันก็ถูกเรียกแบบนี้มาจนถึงทุกวันนี้

"แฮรี่ ฮูดินี่" ผู้ริเริ่มเรียก "บ้านอาถรรพ์วินเชสเตอร์"



ปัจจุบันบ้านวินเชสเตอร์เป็นของบริษัทวินเชสเตอร์อินเวสต์เมนท์ ที่ถูกตั้งขึ้นโดยลูกหลานของจอห์น และเมย์มี บราวน์นั่นเอง ตัวบ้านยังคงอนุรักษ์รูปแบบเอาไว้ เพื่อสะท้อนให้เห็นถึงความหมกมุ่นในความเชื่อเกี่ยวกับภูตผีวิญญาณของเธอ
โดยว่ากันว่าวิญญาณเหล่านี้ก็คือแรงบันดาลใจที่ทำให้เธอออกแบบบ้านจนวกวนวุ่นวาย ทั้งช่องหน้าต่างรูปใยแมงมุมและเลข 13 ก็ถือเป็นเลขโชคลางสำหรับเธอ อีกทั้งรายละเอียดอย่างเช่น โคมไฟระย้าที่มันควรมีเชิงเทียน 12 แท่ง ก็ถูกสั่งทำพิเศษให้เป็น 13 แท่ง  ที่แขวนเสื้อผ้าติดกำแพงก็มี 13 อัน หน้าต่างกระจกสีก็มี 13 สี รูระบายน้ำในอ่างก็มี 13 รู ต้นไม้ในสวนก็ถูกตัดแต่งให้เป็นรูปเลข 13 และทุกวันศุกร์ที่ 13 ก็จะมีเสียงระฆังดังขึ้นมา 13 ครั้ง



โคมไฟเชิงเทียน 13 แท่ง ที่แขวนเสื้อ 13 อัน หน้าต่างกระจก 13 สี และรูระบายน้ำ 13 รู


ในปี ค.ศ. 2016 ที่ผ่านมา ทางบริษัทผู้ดูแลได้ประกาศการพบห้องเพิ่มขึ้นมาอีกห้อง มันเป็นห้องใต้หลังคาที่มีออร์แกนวางอยู่ มีที่นอน เสื้อผ้า จักรเย็บผ้า และภาพวาดแบบวิคตอเรีย ซึ่งมันก็ได้ถูกเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้ามาชมเช่นกัน


จนมาในปี ค.ศ. 2017 คฤหาสน์อาถรรพ์วินเชสเตอร์ได้เปิดทัวร์ทั้งวันเป็นครั้งแรกในรอบ 20 ปี ในชื่อแคมเปญ 'Explore More Tour' โดยแคมเปญนี้จะนำนักท่องเที่ยวเดินผ่านไปยังห้องที่ไม่เคยเปิดให้ชมกันมาก่อน และยังพาไปชมห้องที่ยังสร้างไม่เสร็จอีกหลายห้อง ที่ซาร่า วินเชสเตอร์ทิ้งไว้หลังเสียชีวิตอีกด้วย


นอกจากนี้ยังมีผู้นำการออกแบบบ้านอันพิศดารของเธอ มาใช้เป็นแบบในการสร้างเกมชื่อ The Evil Within ในปี ค.ศ. 2014 และก็มีรายการในช่องดิสคัฟเวอรีี่ชื่อ Myth Busters ก็ได้จัดทำตอน Smell of Fear เล่าเรื่องราวการบุกเข้าไปในคฤหาสน์แห่งนี้ โดยในภายหลังคารี่ บายรอน หนึ่งในนักแสดงถึงกับพูดขึ้นว่า เธอถึงกับเก็บไปฝันร้ายเลยทีเดียว

เกม The Evil Within


ในนิยายเรื่องเดอะวอร์ฮ โดยไบรอัน แคทลิง ก็ได้ใช้คฤหาสน์วินเชสเตอร์เป็นฉากในนิยายของเขา
ในปี ค.ศ. 1993 นิยายเรื่อง Vanishing Point ก็ได้นำที่นี่มาเป็นสถานที่เดินเรื่องอีกครั้ง

นิยายเรื่อง "Vanishing Point"

ในปี ค.ศ. 2016 ปีเตอร์ โทมาสซี่ และเอียน เบิร์ทแรม ก็เขียนการ์ตูนเรื่อง House of Penance โดยมีฉากของบ้านหลังนี้เป็นตัวเดินเรื่องเช่นกัน

การ์ตูนเรื่อง "House of Penance"


นอกจากจะมีนิยายหลายเรื่องใช้ที่นี่เป็นพล็อตดำเนินเรื่องกันมากมาย ในปี ค.ศ. 2016 ก็มีภาพยนตร์เรื่อง Ghost Adventures และ Ghost Brothers ใช้บ้านหลังนี้มาอ้างอิงทำเป็นฉากบ้านผีสิงด้วย

ภาพยนตร์เรื่อง Ghost Adventures และ Ghost Brothers
และปี ค.ศ. 2017 ภาพยนตร์เรื่องวินเชสเตอร์ ก็ได้ประกาศจะออกฉายในวันที่ 23 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2018 นำแสดงโดย เฮเลน เมียเรน เป็นซาร่า วินเชสเตอร์

เฮเลน เมียเรน ในภาพยนตร์เรื่องวินเชสเตอร์


และนั่นก็เป็นที่มาที่ทำให้เรื่องราวของคฤหาสน์แห่งนี้ถูกพูดถึงอีกครั้ง และถึงแม้ว่าภาพถ่ายที่ถูกถ่ายได้จะเป็นเพียงความผิดพลาดของแสงกระทบกับฝุ่น หรือเรื่องเล่าการเห็นผีจะเป็นจินตนาการของไกด์นำเที่ยว หรือมันจะเป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้น ทุกอย่างมันก็ได้ทำให้คฤหาสน์อาถรรพ์แห่งนี้เปิดให้บุคคลทั่วไปเข้าชมในราคาที่น่าสนใจ ซึ่งถ้าใครมีโอกาสได้ไปยังคฤหาสน์แห่งนี้ก็อย่าลืมถ่ายภาพมาฝากมิติที่ 6 กันด้วยนะครับ

คฤหาสน์วินเชสเตอร์ในปัจจุบัน

หลังจากจบรายการมิติที่ 6 แล้ว อย่าลืมกดสับสไครป์ กดไลก์ กดแชร์ หรืออย่าลืมทิ้งคอมเมนต์กันไว้ด้วยนะครับ ยังมีเรื่องราวต่าง ๆ อีกมากมายรอคุณอยู่ สำหรับวันนี้... สวัสดี

แปลและเรียบเรียงโดย นิวัฒน์ อ่ำแสง
ขอบคุณที่มา: Wikipedia

แท็ก: คฤหาสน์, อาถรรพ์, วินเชสเตอร์, The Winchester Mystery House, บ้านอาถรรพ์วินเชสเตอร์, Winchester, House

25 สิงหาคม 2560

มิติที่ 6 ไขปริศนา POLYBIUS ตำนานเกมลึกลับ มันมีของแบบนี้อยู่จริงหรือ !?




ก็อย่างที่เรารู้ ๆ กัน เกมก็คือเกม หน้าที่ของมันก็คือการทำให้ผู้เล่นได้ผ่อนคลายจากเรื่องหนัก ๆ ที่ผ่านเข้ามาในชีวิตประจำวัน เพื่อเข้าสู้ภวังค์แห่งโลกจินตนาการ ที่ถูกสร้างขึ้นจากแรงงานและพลังสมองของผู้พัฒนาเกม

แต่จะมีใครรู้กันบ้างว่า บางครั้งเกมธรรมดาที่เราเล่นกันอยู่นั้น มันจะสามารถฝังอะไรบางอย่าง สั่งให้สมองของเรารับรู้ข้อมูลผิดพลาดจากที่ควร และผลของมันก็อาจทำให้เราไม่สามารถกลับมายังโลกปกติ ที่ควรจะกลับหลังจากเกมโอเวอร์กันไปเรียบร้อยแล้ว !!!

กดเพื่อดูคลิปที่นี่


มิติที่ 6 ศุกร์สยองขวัญ กับเรื่องราวเบา ๆ ในวันศุกร์สะดวกสัปดาห์นี้ เราจะขอเล่าเรื่องราวและที่มาของเกมหนึ่ง เกมในตำนานที่ถูกเล่าขานกันมาอย่างยาวนาน ว่ามัน... คืออะไรกันแน่ !?


โดยเรื่องราวนั้นมีอยู่ว่า


Polybius คือชื่อของตำนานเกี่ยวกับเกมอาเขตหรือเกมตู้เกมหนึ่ง ที่ออกให้บริการเมื่อปี ค.ศ. 1981 ตัวเกมนั้นถูกสร้างขึ้นมาโดยบริษัทลึกลับแห่งหนึ่ง ชื่อของบริษัทนี้ก็คือ "ซินเนสลอเชน" มันเป็นภาษาเยอรมันแปลว่า "การลบความรู้สึก" โพลีเบียสเป็นเกมแนวปริศนาผสมชู้ต เด็ม อัพ อย่างวุ่นวาย โดยเกมนี้ถูกวางให้บริการในย่านชานเมืองพอร์ตแลนด์ รัฐโอเรกอนเพียงไม่กี่แห่งเท่านั้น


เกมโพลีเบียสตัวนี้ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก ผู้คนมากมายเล่นมันต่อเนื่องยาวนาน
มีผู้เล่นมากมายรายงานบางสิ่งที่พวกเขาได้สัมผัสจากมัน อย่างเช่น การได้ยินเสียงผู้หญิงร้องไห้ และเห็นใบหน้าแปลกๆ ปรากฏขึ้นที่บริเวณหลืบสายตา พวกเขาต่างก็พากันฝันร้าย และมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน ปวดหัว หน้ามืด รวมไปถึงเริ่มมีอาการสมองเสื่อม บางคนถึงกับฆ่าตัวตาย บางครั้งถึงกับต้องหยุดเล่นพร้อม ๆ กัน และมีอย่างน้อยหนึ่งคนที่ผันตัวมาเป็นนักต่อต้านวิดีโอเกมกันเลยทีเดียว !


มีเจ้าของร้านอาเขตเกมคนหนึ่งเล่าว่า เขาเห็นชายสวมชุดสีดำแวะเวียนผลัดเปลี่ยนกันมาที่ตู้เกม เพื่อเก็บข้อมูลบางอย่างเอาไปทำอะไรก็ไม่รู้


คนพวกนี้ไม่เคยเอาเงินออกจากตู้ไป เขามาเก็บข้อมูลการเล่นเพียงอย่างเดียว และด้วยเหตุนี้จึงมีการตั้งทฤษฎีขึ้นมาว่า เจ้าตู้เกมนี้มันอาจเป็นส่วนหนึ่งของการทดลองรัฐบาล ที่น่าจะเกี่ยวกับการฝังชุดความคิดเข้าไปในหัวของเหยื่อ และท่ามกลางเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น หนึ่งเดือนต่อมาหลังจากตัวเกมวางให้บริการ อยู่ดี ๆ ตู้เกมโพลีเบียสทุกตู้ก็หายไป

และในปี ค.ศ. 1998 ก็มีตู้หนึ่งกลับมาปรากฏตัวอีกครั้ง แต่มันก็หายไปอย่างรวดเร็วอีกครั้งเช่นกัน และต่อมาก็มีบางคนพยายามที่จะสร้างเกมโพลีเบียสนี้ขึ้นมาใหม่ ดังนั้นถ้าใครเห็นเกมนี้อยู่ที่ไหน ก็หมายความว่ามันเป็นเพียงเกมเลียนแบบ เพราะทุกวันนี้ยังไม่เคยมีใครพบตัวรอมต้นฉบับที่ไหนอีกเลย


สำหรับใครที่อยากจะลองเล่นเกมนี้ ก็สามารถไปดาวน์โหลดกันได้ที่เว็บไซต์ซินเนสลอเชน ก็ลองไปหาลิงค์โหลดกันดูเองเพราะเราไม่รับรองความปลอดภัย !


--จบ--



โพลีเบียส คือครีปปี้พาสต้าหรือเรื่องเล่าสยองขวัญออนไลน์ที่ถูกแต่งขึ้นมา โดยใช้เทคนิคการเล่าแบบสารคดีชวนเชื่อ ที่ผสมเอาทฤษฎีสมคบคิดแนวล้างสมองของรัฐบาล ซึ่งถือเป็นแนวทางการเล่าเรื่องแบบพิมพ์นิยมแนวหนึ่ง ในการสร้างเรื่องให้ดูน่าเชื่อว่ามันเป็นสิ่งที่เคยเกิดขึ้นจริง


โดยเรื่องราวของตู้เกมลึกลับเรื่องนี้ ถูกเปิดประเด็นบนชุมชนออนไลน์เป็นครั้งแรกที่เว็บไซต์ Coinop.org ซึ่งปัจจุบันถูกปิดตัวไปเมื่อวันที่ 3 สิงหาคม ค.ศ. 1998 โดยในการโพสต์ครั้งแรกนี้มีเพียงข้อมูลรายละเอียดเล็กน้อยเกี่ยวกับประวัติของมัน นั่นก็คือเป็นเกมแนวปริศนาผสมแนวชู้ตติง ตั้งชื่อเลียนแบบนักประวัติศาสตร์ชาวกรีกโพลีเบียส

ถูกเปิดประเด็นครั้งแรกที่ Coinop.org (ปัจจุบันปิดตัวไปแล้ว)

และออกให้บริการเพียงสองร้านในย่านชานเมืองพอร์ตแลนด์ โดยในโพสต์นั้นมีการเล่าถึงกลุ่มชายชุดดำที่มักจะแวะมาเก็บข้อมูลการเล่นกลับไป ซึ่งรายละเอียดต่าง ๆ นั้น ก็ตรงกับเรื่องราวที่เราเพิ่งเล่าให้ท่านผู้ชมรับทราบไปในตอนต้นแล้ว

ต่อมาในวันที่ 27 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2000 เรื่องราวของมันจึงค่อย ๆ ถูกเล่าต่อยอดเรื่อยมา บนกลุ่มกระดานข่าวยูสเน็ตชื่อ rec.games.video.arcade.collecting
ในวันที่ 11 เมษายนปีต่อมา เรื่องราวของมันก็ถูกพูดถึงอีกครั้งในกลุ่มเดิม โดยครั้งนี้มีการยืนยันชัดเจนจากสมาชิกกลุ่มที่ใช้ชื่อว่า AI Kossow โดยเขาบอกว่าผู้ที่สร้างตำนานโพลีเบียสขึ้นมานั้นก็คือ "คริสเตียน โอลิเวอร์ วินด์เลอร์" ที่ใช้ชื่อในกลุ่มข่าวยูสเน็ตว่า "ไซเบอร์โยกี้" แต่อย่างไรก็ดีคริสเตียนนั้นไม่เคยยอมรับว่าเขาคือคนแต่งเรื่องนี้แต่อย่างใด ซึ่งประโยคอ้างอิงที่ทำให้เรารู้ว่าคริสเตียนน่าจะเป็นคนแต่ง โดย AI Kossow บอกว่า
“พอจะมีใครช่วยยิงเรื่องนี้เข้าไปในสมองได้หรือเปล่า ? มันอยู่ที่นี่โดย CYBERYOGI ผู้ที่สมควรจะรับผิดชอบในมุกเอพริลฟูลชิ้นนี้เมื่อปีก่อน”


สองปีต่อมาในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 2003 มีกระทู้ที่พูดถึงเกมโพลีเบียสโพสต์ขึ้นบนกระดานข่าวของเว็บไซต์ สโนปส์ และที่นี่เองก็ได้มีนักค้นคว้ามาร่วมกันหาข้อสรุปจนได้ออกมาว่า แท้ที่จริงแล้วโพลีเบียสนั้นไม่เคยมีจริงมาก่อน
เดือนต่อมาก็มีผู้ตั้งกระทู้บนเว็บกระดานข่าว Above Top Secret เล่าเรื่องนี้กันอีกครั้ง
ในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 2004 เรื่องราวของมันก็ถูกขึ้นพาดหัวเว็บไซต์ Museum of Hoaxes โดยระบุชัดเจนว่ามันเป็นเพียงเรื่องที่แต่งขึ้นมาแต่ก็ดูน่ากลัวใช้ได้
เดือนต่อมาก็มีผู้อัพโหลดภาพตู้เกมโพลีเบียสเอาไว้ที่เว็บไซต์ Arcade-Museum ซึ่งดูจากตัวภาพแล้วก็น่าจะเป็นภาพตัดต่อ แต่ก็ทำให้มีหลายคนเข้าใจผิดว่าเกมนี้อาจจะเคยมีจริงมาก่อน

โดยในปี ค.ศ. 2004 เว็บไซต์ The Polybius Theory ก็ถูกสร้างขึ้นภายใต้ซับไดเร็กทอรี่ของเว็บไซต์ Freewebs (ซึ่งในปัจจุบันได้ถูกปิดไปแล้ว) โดยมีบันทึกจากเว็บไซต์โนว์ยัวร์มีมระบุว่า มันคือเว็บไซต์พูดถึงรายละเอียดยิบย่อยของโพลีเบียสเอาไว้นั่นเอง

ต่อมาก็มีสมาชิกเว็บไซต์กระดานข่าว Guru3D ชื่อ OlharaK ออกมาบอกว่าเขามีรอมของเกมโพลีเบียส และได้ลองเล่นมันผ่านโปรแกรมจำลองตู้เกม แต่ต่อมาเขาก็กลับคำบอกว่ามันเป็นเพียงไฟล์โปรแกรมบนวินโดวส์ ส่งผลทำให้นายโอฮารัค ถูกเพื่อนสมาชิกบนเว็บกระดานข่าวรุมประนามจนเสียผู้เสียคน เพราะเกมตู้สมัยนั้นจะเป็นแพ็กเกจเรียกว่ารอม และต้องเล่นผ่านระบบของตู้เกมเพียงเท่านั้น ไม่ใช่ไฟล์โปรแกรมที่เล่นบนเครื่องพีซีอย่างที่โอฮารัคกล่าวอ้าง


แต่ไม่ว่าจะอย่างไรตำนานของเกมโพลีเบียสก็ถูกแต่งเติมเสริมเรื่องกันต่อมา โดยกลุ่มนักนิยมเกมสุดโต่งหลายเว็บ ตั้งแต่ SkepticBlog, Den of Geek, Cracked, Yahoo! Voices, Motherboard และ Joystick

จนเริ่มโด่งดังขึ้นถึงขนาดการ์ตูนเรื่องซิมสันยังนำภาพตู้เกมโพลีเบียสมาบรรจุอยู่ในฉากหนึ่ง ที่บาร์ทซิมสันเดินเข้าไปในร้านเกมตู้ แถมยังมีเขียนระบุไว้ที่ตู้เกมนั้นว่า มันเป็นสินทรัพย์ของรัฐบาลสหรัฐอเมริกา !

"บาร์ท ซิมสัน" ก็ยังแอบล้อเลียน

ต่อมาในวันที่ 22 มีนาคม ค.ศ. 2006 มีสมาชิกชื่อสตีเวน โรช ได้โพสต์อธิบายเกี่ยวกับโพลีเบียสในฐานะที่เขาคือเจ้าของบริษัทเกมซินเนสลอเชน ไว้บนเว็บไซต์กระดานข่าว Retro Gamer ยืนยันว่าเกมโพลีเบียสนั้นถูกสร้างขึ้นมาจริง ๆ โดยมันถูกพัฒนาขึ้นสำหรับบริษัททางอเมริกาใต้แห่งหนึ่ง ที่ต้องการจะสร้างกระแสในวงการเกม
โดยหกวันหลังจากตัวเกมออกให้บริการแบบจำกัด มีเด็กชายอายุ 13 ปีจากเมืองพอร์ตแลน รัฐโอเรกอนคนหนึ่ง เกิดเป็นลมชักขึ้นมาในขณะที่กำลังเล่นเกมนี้อยู่ นั่นจึงทำให้ทางร้านต้องยกตู้เกมทั้ง 7 ตู้ออกไปทั้งหมด

สตีเวน โรชได้เดินทางไปยังพื้นที่เพื่ออธิบายเกี่ยวกับตัวเกม โดยบอกว่ามันเป็นเกมที่ตัวยานจะต้องบินรอบฐานทัพในดวงจันทร์เป็นวงกลม มีเอเลี่ยนหกชนิดที่ผู้เล่นจะต้องยิงทำลาย โดยตัวเกมจะมีการเคลื่อนไหวไปมาอย่างรวดเร็ว


ในเดือนเมษายน ค.ศ. 2006 สตีเวน โรชก็ได้ให้สัมภาษณ์กับทางเว็บไซต์ Gamespot ซึ่งปัจจุบันคือเว็บไซต์ bitparade.co.uk โดยเนื้อหาที่ให้สัมภาษณ์กลับไม่สอดคล้องกับสิ่งที่เขาเล่าในเว็บกระดานข่าวก่อนหน้า เพราะมีบางส่วนถูกยกมาจากวิกิพีเดียที่ไม่ตรงกัน
โดยต่อมาในปี ค.ศ. 2007 ทุกอย่างก็ถูกเปิดเผยว่า สตีเวน โรชที่เล่าเรื่องบริษัทของเขากับโพลีเบียสทั้งหมด เป็นเพียงบุคคลสมมุติที่ถูกใครก็ไม่รู้สร้างขึ้น ! โดยทุกแห่งที่มีชื่อสตีเวน โรชไปพูดหรือพิมพ์นั้น มาจากคน ๆ เดียวกัน ที่ไม่รู้ว่าเป็นใครเท่านั้นเอง !
นั่นก็หมายความว่าหลักฐานที่บอกว่าเกมโพลีเบียสเคยมีจริงนั้น มันเป็นเรื่องที่ถูกสร้างขึ้นทั้งหมด และไม่มีอะไรเป็นเรื่องจริง ไม่เคยมีรอมของเกมนี้ มันเป็นเพียงเรื่องที่ถูกแต่งขึ้นมาโดยแท้จริงตามที่ควรจะเป็นตั้งแต่แรก แต่กลับมีคนทำให้เรื่องราวมันบานปลายต่อมาอย่างที่ไม่ควรจะเกิดขึ้นแบบนี้ได้เลย !


ส่วนเว็บไซต์ Sinnesloschen นั้น เป็นเว็บไซต์ที่ถูกจดทะเบียนไว้ตั้งแต่เมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม ค.ศ. 2007 และหมดอายุไปตั้งแต่วันที่ 20 กรกฎาคม ค.ศ. 2016 แต่ในปัจจุบันยังสามารถเข้าชมได้อยู่ นั่นหมายความว่าถ้าหากผู้จดทะเบียนไม่ได้ต่ออายุเว็บไซต์นี้ อีกไม่นานมันก็น่าจะปิดตัวลงไปอย่างแน่นอน
โดยตัวเกมที่มีให้ดาวน์โหลดนั้น เป็นเพียงโปรแกรมที่เล่นผ่านไดเร็กโชว์แบบดูอย่างเดียว ไม่สามารถเล่นได้จริง และตัวเว็บไซต์ถูกสร้างขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 2007 หลังจากเรื่องเล่าถูกเล่าไปแล้วถึง 6 ปี นั่นหมายความว่ามันเป็นเว็บไซต์ที่ถูกสร้างขึ้น เพื่อเพิ่มอรรถรสในเรื่องเล่าเท่านั้นครับ


อย่างที่เราบอกกันทุกครั้ง ว่าถ้าหากมีใครนำเรื่อง "เกมตู้ลึกลับโพลีเบียส" เรื่องนี้มาเล่ากันในวงสนทนา มิติที่ 6 ก็อยากจะบอกกับท่านผู้ชมว่า ขอจงอย่าได้ไปทำอะไร ที่จะทำให้การเล่าเรื่องนี้ต้องหยุดชะงักไประหว่างทางจะดีเป็นที่สุด นั่นก็เป็นเพราะว่าความจริงนั้น มันช่างไม่มีเสน่ห์... เอาเสียเลย !


อย่าลืมติดตามรายการมิติที่ 6 ศุกร์สยองขวัญ กับเรื่องราวเบา ๆ พร้อมกับที่มาของมันกันได้ทุกวันศุกร์สะดวก อย่าลืมกดสับสไครป์ กดไลก์ กดแชร์ หรือทิ้งคอมเมนต์กันไว้ด้วยนะครับ ยังมีเรื่องราวต่าง ๆ อีกมากมายรอคุณอยู่ สำหรับวันนี้... สวัสดี

แปลและเรียบเรียงโดย นิวัฒน์ อ่ำแสง
ขอบคุณที่มา:
Creepypasta Wikia
Knowyourmeme
[1] Coinop.com – Polybius
[2] Coinop Polybius Page – Archive
[3] Usenet Archive – Polybius?? – strange…
[4] Usenet Archive – Kossow’s Response
[6] Snopes Message Board – Polybius
[7] Wikipedia – Polybius
[8] Museum of Hoaxes – The Mystery of Polybius
[9] Arcade Museum – Polybius
[11] Usenet Archive – Polybius
[16] Cracked – Polybius
[21] Retro Gamer Forum – Polybius – The Truth
[22] Retro Gamer Forum – stevenroach explains gameplay
[23] bitparade.co.uk – Polybius
[24] Polybius Wiki – Steven Roach

แท็ก: POLYBIUS, เกมลึกลับ, โพลีเบียส, ครีปปี้พาสต้า

ประกาศ

เพื่อเป็นกำลังใจเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้กับเรา ขอความร่วมมือจากผู้ที่นำเรื่องราวจากมิติที่ 6 ไปใช้ในที่ของท่าน กรุณาลงเครดิตกลับมาที่เราจะเป็นพระคุณอย่างสูงครับ