9 กุมภาพันธ์ 2561

มิติที่ 6 | บ้านผีเฮี้ยน Amityville กับเรื่องจริงจากปากของลูกชายที่เก็บเป็นความลับมากว่า 40 ปี !!!



เรื่องมันเริ่มจากฝูงแมลงวัน ตอนนั้นคือช่วงเดือนธันวาคม พวกมันบินว่อนอยู่ภายในบ้านไม้ที่ดูเด่นเป็นสง่าหลังนั้น และมันก็เป็นช่วงเวลาเดียวกันกับที่จอร์จและแคธลีน ลัทส์ กำลังรื้อข้าวของออกมาจัดอยู่
ทั้งสองสัมผัสได้ว่าบางจุดของบ้าน อย่างในห้องและโถงทางเดิน มีอุณหภูมิหนาวเย็นมากกว่าปกติ มีกลิ่นน้ำหอมแปลก ๆ หรือไม่ก็กลิ่นตัวของอะไรบางอย่าง รวมไปถึงเสียงสั่นไหวแปลก ๆ ในเวลากลางคืน


จอร์จเริ่มรู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัว และตื่นขึ้นมาในเวลาตีสามสิบห้านาที ซึ่งในเวลาต่อมาช่วงเวลาตรงนี้ ก็ได้กลายมาเป็นช่วงเวลาแห่งความสยดสยอง !


ชมบนยูทูป

มิติที่ 6 ศุกร์สยองขวัญ กับเรื่องราวเบา ๆ ในวันศุกร์สะดวกสัปดาห์นี้ เราจะนำท่านผู้ชมแกะรอยเหตุการณ์ที่ถูกอ้างว่าเคยเกิดขึ้นจริง เรื่องราวของบ้านอาถรรพ์หลังนี้ ตั้งแต่วันเกิดเรื่องไปจนถึงวันเรื่องจบ จากปากคำทายาทคนสำคัญของบ้าน ว่าเรื่องราวทั้งหมด... มันคืออะไรกันแน่ !?

ความสับสนโกลาหลได้ย่างกรายเข้ามาเป็นความน่ากลัว ข้าวของลอยไปมาในห้อง ที่กำแพงก็มีเมือกสีเขียวซึมออกมา ไม้กางเขนที่กำแพงก็กลับหัวกลับหาง ห้องลับสีแดงที่อยู่ตรงชั้นใต้ดิน และสิ่งที่ไม่มีใครสามารถลืมได้ ดวงตาปีศาจที่ส่องแสงลุกโชน กับอสุรกายหน้าตาเหมือนหมู ซึ่งพวกเขาก็มีหลักฐานเป็นรอยเท้าของมัน ที่ฝากจารึกเอาไว้บนพื้นหิมะในช่วงฤดูหนาว !


ทางด้านนักบวชคาธอลิค ที่เคยทำพิธีสวดภาวนาให้กับบ้านหลังนี้ บ้านที่เคยเกิดเหตุฆาตกรรมหมู่เมื่อ 13 เดือนก่อน มันก็ไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้นสักเท่าไหร่ ซึ่งเรื่องนี้ท่านนักบวชได้บอกกับครอบครัวลัทส์ในภายหลังว่า ช่วงที่หลวงพ่อกำลังพรมน้ำมนต์ในห้องนอนห้องหนึ่ง ท่านได้ยินเสียงปริศนาพูดออกมาว่า “ไปให้พ้น !”  ดังนั้นทางที่ดีท่านจึงขอให้พวกเขา อย่าได้เข้าไปนอนในห้องนั้นโดยเด็ดขาด


และตั้งแต่วันนั้น ทุกคนในบ้านก็ได้รับประสบการณ์สยองขวัญกันไปแบบเต็ม ๆ โดยเฉพาะคุณนายลัทส์กับลูกติดจากสามีเก่าทั้งสามคน ที่ต้องเจอเรื่องน่ากลัวมากกว่าจำนวนเสื้อผ้าที่ผลัดเปลี่ยนต่อวันเสียอีก


แดเนียล, จอร์จ(พ่อเลี้ยง) และ เคธี(แม่ของแดเนียล)
(ภาพจาก: Lost Witness Pictures, LLC)

โดยในวันที่ 14 มกราคม ค.ศ. 1976 พวกเขาเพิ่งเข้ามาอยู่ในบ้านเลขที่ 112 ถนนโอเชี่ยนเอเวนิว ซึ่งเป็นบ้านพักในหมู่บ้านเอมิตี้วิลล์ ที่อยู่ในเมืองลองไอร์แลนด์ ห่างจากกรุงนิวยอร์คประมาณ 30 ไมล์ ได้เพียง 28 วัน


มันคือบ้านที่พวกเขาไม่เคยกลับมาที่นี่ ทั้ง ๆ ที่ต่อมาเรื่องราวของมันจะกลายเป็นภาพยนตร์ ที่สร้างความสยองขวัญให้กับผู้คนทั่วไป ซึ่งเรื่องราวที่เราจะเล่าต่อไปนี้ มันคือสิ่งที่ออกมาจากลูกชายคนหนึ่งของบ้านที่เก็บตัวเงียบมากว่า 40 ปี กับเรื่องราวที่เขาไม่เคยคิดอยากจะบอกใครมาก่อน


บ้านเอมิตี้วิลล์ถูกซื้อต่อในราคาถูกโดยครอบครัวลัทส์
(ภาพจาก: Amityville the Awakening Trailer)

แดนนี่(แดนเนียล) ลัทส์ ¹ ลูกชายวัย 10 ปีของครอบครัว ได้พบเห็นความน่ากลัวแบบเป็นรูปธรรมครั้งแรก เขาเห็นชายวัยกลางคนสวมชุดสีดำ ดวงตาสีน้ำเงินกับรอยยิ้มที่ไม่เป็นมิตร แดนนี่ให้สัมภาษณ์กับทีมสารคดีด้วยทีท่าอึดอัดใจ เขาเล่าว่าถูกวิญญาณร้ายคุกคาม อยู่ภายในบ้านที่เพิ่งย้ายเข้ามาอยู่


และอีกสิ่งที่เราไม่เคยได้รับรู้มาก่อนจากที่ไหน แดนนี่พูดถึงกิริยาชั่วร้ายของจอร์จ ลัทส์ ซึ่งเป็นพ่อคนใหม่ที่คุณแม่เลือกมา แดนนี่บอกว่าพ่อใหม่คนนี้เป็นพวกเล่นของ จอร์จนี่แหละที่ไปเปิดประตูแห่งความมืด แล้วตัวเองก็ควบคุมมันไม่ได้


สิ่งที่เกิดขึ้นกับพวกเขากว่า 4 สัปดาห์ มันได้ทำให้หนังสือและภาพยนตร์ในชื่อ The Amityville Horror ได้กลายมาเป็นตำนานขายดีในปี ค.ศ. 1979 ซึ่งนั่นก็รวมไปถึงรายการสารคดีอีกหลายชุด นับรวมกันแล้วไม่ต่ำกว่า 13 เรื่อง ทยอยกันออกฉายตามสื่อต่าง ๆ ของอเมริกาในปีถัดมา

บ้านอาถรรพ์ถูกนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์ The Amityville Horror (1979)

แต่กับเรื่องจริง ๆ ที่เกิดขึ้นภายในบ้านหลังนี้ มันยังคงสร้างหลายสิ่งหลายอย่างให้กับครอบครัวลัทส์มากว่า 30 ปี ในเรื่องการต่อสู้ทางกฏหมาย ที่เกิดจากเงินรายได้มากกว่าเรื่องผี


เหล่านักสืบเรื่องเหนือธรรมชาติเอง ต่างก็ให้ความสนใจเกี่ยวกับเรื่องนี้กันไปทั่ว พวกเขาสงสัยว่า บางทีจอร์จ ลัทส์ อาจจะประสบปัญหาทางด้านการเงิน ไม่สามารถหาเงินมาจ่ายค่าบ้านได้ ทั้ง ๆ ที่มันถูกเคาะราคาขายออกมาเพียง 80,000 ดอลลาร์ จนต้องคิดแผนสร้างเรื่องบ้านผีเฮี้ยนนี้ขึ้นมา เพื่อจะได้มีรายได้จากการขายข่าว รวมไปถึงการเก็บค่าเข้าชมก็เป็นได้ ?


ซึ่งสิ่งที่ถูกสงสัยนี้ก็ได้รับการยืนยัน เพราะในช่วงก่อนที่ภาพยนตร์เรื่องดิเอมิตี้วิลล์เฮอเรอร์จะออกฉายในปี ค.ศ. 1979 นักกฏหมายท้องถิ่นชื่อ วิลเลียม วีเบอร์ ได้ออกมาพูดถึงเหตุการณ์สยองขวัญในบ้านหลังนี้ว่า เขากับจอร์จ ลัทส์ ได้ร่วมกันด้นสดเรื่องราวขึ้นมาในช่วงที่กำลังนั่งเมาไวน์กันได้ที่ โดยคำพูดสำคัญที่เจาะจงสภาพความเมาของทั้งคู่นั้น ท่านทนายใช้คำว่า

วิลเลียม วีเบอร์... “แต่งเรื่องผ่านขวดไวน์หลายขวดเลยสินะ อิอิ !”

โดยนักกฏหมายท่านนี้เคยว่าความให้กับลูกความชื่อ โรนัลด์ เดอฟีโอ อายุ 23 ปี ชายคนนี้ก็คือผู้ที่ลั่นไกสังหารพ่อแม่และพี่น้องทั้ง 4 คนของเขา ในช่วงเวลา 13 เดือน ก่อนที่ครอบครัวลัทส์จะย้ายเข้ามาอยู่ในบ้านหลังเกิดเหตุ ซึ่งตัวของเดอฟีโอนั้นได้รับการพิพากษาโทษจำคุกตลอดชีวิต โดยเขาบอกสาเหตุในการฆาตกรรมโหดครั้งนี้ว่า ทุกคนในบ้านล้วนวางแผนจะฆ่าเขาก่อน ซึ่งตัวฆาตกรได้ให้การช่วงเวลาก่อเหตุกับเจ้าหน้าที่ตำรวจว่า เขาน่าจะลงมือสังหารทุกคนตอนช่วงเวลาประมาณตีสามสิบห้านาที

"โรนัลด์ เดอฟีโอ" ยิงพ่อแม่พี่น้องจนเสียชีวิตในปี 1974 ก่อนที่ครอบครัวลัทส์จะย้ายเข้ามาอยู่เพียงหนึ่งปี


โดยนักกฏหมายวิลเลียม วีเบอร์ท่านนี้ เขาได้เข้ามาร่วมหัวจมท้ายกับครอบครัวลัทส์ ในระดับความสัมพันธ์ที่เหนือกว่าผลประโยชน์เรื่องเงิน เขาได้ยืนยันว่า เขานี่แหละคือผู้ที่เล่ารายละเอียดเกี่ยวกับตัวฆาตกร ให้กับสองผัวเมียตระกูลลัทส์ฟัง และทั้งสองก็ได้ใช้ข้อมูลทุกอย่าง มาบวกกับจินตนาการสร้างเหตุการณ์กันต่อ ยกตัวอย่างเช่น เรื่องแมวของเพื่อนบ้าน พวกเขาก็เอามาดัดแปลงให้กลายเป็นปีศาจหน้าหมู มาทิ้งรอยเท้าฝากไว้บนพื้นหิมะ ซึ่งทั้งคู่ก็มักจะเอาแต่พูดถึงเรื่องนี้อยู่ตลอด ทั้ง ๆ ที่ในรายละเอียดบางอย่างมันดูเกินความเป็นจริง ที่ถ้าใครเคยได้ชมรายการสัมภาษณ์ทั้งคู่ก็จะรู้สึกได้ทันทีว่า พวกเขาแสดงอาการโอเวอร์จนผิดปกติ ในการเล่าเรื่องส่วนตรงนี้เสมอ


บ้านหลังนี้ถูกเล่าว่ามีผีสุดเฮี้ยนหลังจากที่โรนัลด์ทำการฆาตกรรม ซึ่งผู้ที่ออกมาพูดก็คือ "ครอบครัวลัทส์" นั่นเอง !

และสำหรับห้องสีแดงที่มีรายละเอียดอย่างเช่น มันเป็นห้องเล็ก ๆ ถูกทาด้วยสีแดง มีขนาดกว้าง 4 ฟุต ยาว 5 ฟุต ที่จอร์จ ลัทส์อ้างว่าพบมันอยู่หลังประตูลับ ที่ถูกซ่อนอยู่ด้านหลังของตู้ลิ้นชักในห้องใต้ดิน และมันไม่เคยปรากฏอยู่ในแผนผังของบ้านมาก่อน หรือแม้แต่เรื่องที่ถูกอ้างว่าเขาพบเส้นทางนี้ได้ เพราะสุนัขลาบราดอร์ชื่อแฮรี่ของเขา ซึ่งรายละเอียดส่วนนี้จอร์จระบุว่า เจ้าแฮรี่สุนัขของครอบครัวไม่อยากจะเข้าไปใกล้ แถมยังทำท่าทางหวาดกลัว ก็เลยทำให้เขาเกิดอยากรู้อยากเห็นจนได้มาพบนั้น

ทาง จิม และบาบาร่า โครมาตี้ ซึ่งเป็นเจ้าของบ้านคนต่อมา ที่ซื้อบ้านอาถรรพ์หลังนี้ในปี ค.ศ. 1977 ก็ได้อธิบายเรื่องนี้เอาไว้ว่า ช่วงที่พวกเขาอาศัยอยู่ในบ้านหลังนี้ ห้องดังกล่าวใช้ทำเป็นห้องเก็บของเท่านั้น ส่วนเรื่องผีพวกเขาก็ไม่เคยเจออะไรเลย จนกระทั่งขายมันต่อให้กับเจ้าของใหม่ชื่อ ปีเตอร์ โอนีล ในปี ค.ศ. 1984 ก็ไม่มีใครในบ้านบอกว่าเคยเจอสิ่งผิดปกติกันเลยสักครั้ง


และสามีภรรยาครอบครัวลัทส์เอง ก็ดูเหมือนจะไม่ได้ตรวจสอบรายละเอียดเนื้อเรื่องของตัวเองสักเท่าไหร่ ยกตัวอย่างเช่น พวกเขาไม่เคยเก็บตัวอย่างวัตถุปริศนาบางชิ้น อย่างเมือกสีเขียวที่ซึมผ่านกำแพง และรูกุญแจประตูห้องนั่งเล่นใต้หลังคา นั่นก็เลยทำให้มันมีแต่เรื่องเล่า ไม่เคยมีใครเห็นเจ้าเมือกที่ว่านี้มาก่อนแม้แต่รายเดียว !


แต่ทั้งจอร์จและเคธี ลัทส์ ก็เคยถูกนำตัวไปสอบสวนผ่านเครื่องจับเท็จอยู่เช่นกัน ซึ่งผลที่ออกมาก็คือ เจ้าหน้าที่สรุปว่าพวกเขาไม่ได้โกหก ซึ่งมันก็ไม่ใช่ผลการตรวจสอบที่ทำให้ฝ่ายใดแปลกใจสักเท่าไหร่ เพราะในยุคสมัยสี่ห้าสิบปีก่อน เจ้าเครื่องจับเท็จมันเป็นเพียงอุปกรณ์ที่ใช้ประกอบการสอบสวนทางจิตวิทยา ที่เจ้าหน้าที่สอบสวนจะใช้มันหลอกล่อให้ผู้ถูกสอบสวน เปิดเผยความเครียดเพราะการโกหกเสียมากกว่า ซึ่งถ้าพวกเขาไม่มีความเครียดในการพูดโกหก ตัวเครื่องมันก็เชื่อถืออะไรไม่ได้อยู่แล้ว และมันก็อาจเป็นไปได้ว่า ทั้งสองรู้กลวิธีบางอย่างที่จะทำให้เครื่องจับเท็จให้ผลออกมาเป็นแบบนั้น หรือไม่ก็อาจเป็นไปได้ว่าทั้งสองพูดความจริง


ตัวอย่าง "เครื่องจับเท็จ"

ในเวลาต่อมาทั้งจอร์จและเคธี ลัทส์ก็อย่าขาดจากกัน ตัวเคธีเสียชีวิตไปในปี ค.ศ. 2004 ส่วนจอร์จก็เสียชีวิตไปในสองปีถัดมา แต่เรื่องราวของบ้านผีเฮี้ยนแห่งเอมิตี้วิลล์หลังนี้ก็ยังไม่ได้จบลงไปง่าย ๆ

เคธี (ขณะป่วยด้วยโรคถุงลมโป่งพอง) และจอร์จ ให้สัมภาษณ์รายการทีวี

เพราะตอนนี้ทุกอย่างถูกนำมาพูดถึงกันใหม่อีกครั้ง ผ่านแดเนียล ลัทส์ ลูกชายคนสำคัญที่เคยระบุว่า ความเฮี้ยนในบ้านหลังนั้นมันเกิดมาจากพ่อใหม่ของเขา ซึ่งตัวของแดเนียลเองก็ต้องกลายมาเป็นผู้รับมรดกปัญหาทั้งหมด ทั้ง ๆ ที่เขาตัดสินใจออกจากบ้านไปตั้งแต่อายุ 15 ปี และใช้ชีวิตตามสไตล์คนไร้บ้าน อยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของอเมริกาอยู่พักใหญ่


มาวันนี้แดเนียล ลัทส์มีภรรยาและลูกอีกสองคน เขาอาศัยอยู่ในย่านควีนส์ ซึ่งเป็นเขตการปกครองของรัฐนิวยอร์ค ในฐานะช่างไฟให้กับบริษัทแห่งหนึ่ง


ในส่วนเรื่องราวของแดเนียลที่ยังคงมีความลับบางอย่างซ่อนอยู่นั้น ก็มีเพื่อนของเขาที่เป็นนักสร้างหนังรุ่นเยาว์ชื่อ อีริค วอลเทอร์ (Eric Walter) อาสาจัดทำเว็บไซต์ขึ้นมาภายใต้ชื่อ Amityville Saga และยังได้พูดชักชวนให้แดเนียล ลัทส์ กลับมาเล่าเรื่องราวต่าง ๆ ไว้ในสารคดีของเขา ที่ตั้งชื่อเอาไว้ว่า My Amityville Horror ด้วย


อีริค วอลเทอร์ ผู้ทำเว็บไซต์ "Amityville Saga"
(ภาพจาก: Wegotthiscovered)

และรอบนี้แดเนียลก็ได้ให้ข้อมูลส่วนตัวออกมาว่า เขานั้นเกลียดพ่อเลี้ยงของเขามาก แดเนียลบอกว่าจอร์จนั้นเคยใช้ช้อนไม้ตีเขา ในช่วงเวลาที่เขายังเป็นเด็ก และสิ่งหนึ่งที่เขาพยายามทำอยู่เสมอมาก็คือ ความพยายามลบเรื่องบ้านผีสิงของจอร์จ ลัทส์ออกไปจากชีวิต


แต่ทีนี้กับเรื่องราวที่เกิดขึ้น แดเนียลก็ยืนยันว่ามันเคยเกิดขึ้นจริง เพราะเขาต้องประสบกับเหตุการณ์สยองขวัญ ทั้งตัวเองลอยได้ขึ้นมาจากที่นอน และเคยเห็นร่างของปีศาจ อยู่ภายในห้องนอนน้องสาวของเขากับตา แดเนียลเล่าว่า...

แดเนียล... “ผมแค่อยากให้มีใครสักคนเชื่อผม มันเคยอยู่ในความฝันของผมมาตลอด”

ซึ่งแดเนียลก็แสดงสีหน้าที่เต็มไปด้วยความทุกข์ทรมาน มีน้ำตาไหลออกมาจากดวงตาของเขา ที่ตอนนั้นกำลังพูดร้องขอให้ทุกคนเชื่อ

เขาจดจำภาพชั้นหนังสือของพ่อเลี้ยง ที่มีแต่หนังสือเกี่ยวกับซาตานและเวทมนต์ ซึ่งเขาก็ยืนยันว่าเคยเห็นจอร์จยกประแจภายในโรงรถด้วยพลังจิตมาแล้วกับตา ในช่วงก่อนที่ครอบครัวของเขาจะย้ายมาอยู่ที่เอมิตี้วิลล์เสียด้วยซ้ำ
แดเนียลเล่าว่า...

“จอร์จนั้นมีความเชื่อ และฝึกหัดเวทมนต์ภายในบ้านอยู่เสมอ มันดูเหมือนกับการเล่นกลที่ผิดพลาดจนคุณไม่อยากจะดูต่อ”


และเขาก็ยังเล่าอีกว่า ตัวเองเริ่มรู้สึกไม่ค่อยดีกับบ้านในเอมิตี้วิลล์ ตั้งแต่สองชั่วโมงแรกที่ย่างกรายเข้าไป เพราะในช่วงที่เขากำลังยกกล่องเก็บของขึ้นไปยังห้องนั่งเล่นชั้นบนนั้น เขาเจอฝูงแมลงวันจำนวนมาก กำลังบินว่อนอยู่เต็มห้องไปหมด
ซึ่งตอนนั้นแดเนียลก็ตบมันตายไปเป็นร้อย เพียงแต่หลังจากนั้นไม่นาน คุณแม่ของเขาก็พบว่าพวกแมลงวันที่ตายเกลื่อนบนพื้น มันหายไปไหนหมดก็ไม่รู้ และสิ่งนี้มันก็ทำให้เขาเริ่มรู้สึกสับสนขึ้นมา

แดเนียลเล่าต่อว่า เขายังคงฝันถึงสุนัขของครอบครัววิ่งเล่น พยายามกระโดดออกจากประตูบ้านไปทางประตูโรงรถที่อยู่ใกล้ ๆ และที่ตรงนั้นทุกคนในบ้านก็กำลังยืนดูประตูโรงรถ กำลังกระแทกเปิดปิดอย่างแรงซ้ำไปมา


แดเนียลยังจำได้อีกว่า เขากับพ่อเลี้ยงพยายามปิดประตูโรงรถด้วยกัน และทั้งสองก็เงยหน้าขึ้นไปดูที่หน้าต่างห้องนอนของน้องสาววัยห้าปีของเขา ซึ่งแดเนียลยืนยันว่าเขาเห็นตัวอะไรบางอย่าง หน้าตามันดูเหมือนตัวการ์ตูน เหมือนหน้าหมูกำลังโกรธ มีฟันเหมือนหมาป่า แถมดวงตาก็ส่องประกายเป็นสีแดงด้วย


แดเนียลเล่าต่อว่า เขารีบวิ่งขึ้นไปที่ห้องนั้น พอเปิดประตูเข้าไปดู เขาก็ไม่พบอะไรอยู่ในห้อง นอกจากเก้าอี้โยกที่กำลังโยกเยกไปมา


และนอกจากนี้คุณแม่ของแดเนียลก็เคยดูแลอาการบาดเจ็บที่มือของเขาอยู่ครั้งหนึ่ง โดยครั้งนั้นมันเกิดจากมีพลังงานลึกลับ มาทำให้กระจกหน้าต่างแตกจนบาดมือเขา โดยแดเนียลอธิบายว่า มันมีวิญญาณที่มองไม่เห็นสิงสู่อยู่ในครัว ซึ่งสิ่งที่เขาเห็นนั้นก็คือมีดทำครัว มันเหมือนกับถูกอะไรบางอย่างมาเคาะที่ใบมีด จากนั้นอะไรที่มองไม่เห็นดังกล่าวก็มานั่งลงบนเก้าอี้ของโต๊ะอาหารด้วย ซึ่งสิ่งที่ทำให้เขารู้ว่ามันมานั่ง ก็คือเบาะเก้าอี้มันยุบตัวลงให้เห็นกับตานั่นเอง


แดเนียลพูดถึงพ่อเลี้ยงของเขาว่า ในส่วนของจอร์จ ลัทส์เอง ก็เคยเล่าว่าในคืนก่อนที่ทุกคนจะย้ายมาที่บ้านนั้น ใบหน้าภรรยาของเขาเปลี่ยนไปกลายเป็นใบหน้าของหญิงชราอยู่พักหนึ่ง ก่อนที่เธอจะลอยตัวหลุดออกไปจากที่นอน
ส่วนแดเนียลที่แชร์ห้องอยู่กับน้องชายชื่อคริสโตเฟอร์ ก็ยืนยันว่าในคืนนั้น พวกเขาต่างก็ลอยตัวขึ้นมาจากที่นอนพร้อม ๆ กัน ซึ่งแดเนียลเล่าว่า พวกเขาทั้งสองตื่นขึ้นมาเพราะเท้าไปกระแทกกับเพดาน


และเมื่อเรื่องราวของครอบครัวกลายเป็นข่าวหน้าหนึ่ง ครอบครัวลัทส์จึงเลือกที่จะหลบซ่อนตัวจากนักข่าว แล้วรีบอพยพออกจากบ้านผีสิงไปอยู่ที่แคลิฟอร์เนียแทบจะในทันที


ซึ่งเพื่อนของแดเนียลที่เป็นผู้จัดทำสารคดีชุดนี้ ได้พยายามสืบหาข้อมูลจากผู้สื่อข่าว นักสืบพลังจิตและเรื่องเหนือธรรมชาติ นักวิทยาศาสตร์ต่าง ๆ ที่เคยได้เข้ามาทำพิธีชุมนุมผีในบ้านหลังนี้ เพื่อสอบถามว่าพวกเขารู้อะไรกันบ้าง ?


บางคนก็เห็นใจแดเนียล ในฐานะที่เป็นลูกเลี้ยงผู้ถูกดึงให้เข้ามาอยู่ในสถานการณ์ลึกลับเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม บางคนก็สงสัยว่าเรื่องราวเหนือธรรมชาติของแดเนียลนั้น มันอาจจะซ่อนความจริงที่น่าเศร้าบางอย่างเอาไว้แน่ ๆ
โดยทาง บ็อบ ซิลเวสเตอร์ ญาติของแดเนียลบอกว่า มันมีอะไรบางอย่าง ๆ ที่ปิดบังความจริงเกี่ยวกับจอร์จอยู่ ซึ่งคนทั้งครอบครัวน่าจะถูกเรื่องนี้กดดันอยู่ในใจ จนไม่สามารถพูดความจริงที่ควรเป็นออกมาได้


Chloe Moretz in 2005
เชลซี ลัทส์ (แสดงโดยโคล มอเรทซ์, 2005)
(ภาพจาก: The Kobal Collection/Platinum Dunes/Radar/Dimension/MGM)


โดยบ็อบบี้เล่าว่า...
“ตอนเป็นเด็ก มันมีอะไรบางอย่างที่ไม่ถูกต้องเกี่ยวกับจอร์จ อะไรบางอย่างที่ไม่ใช่สิ่งดี !”


และกับกลุ่มที่สงสัยในเรื่องบ้านแห่งเอมิตี้วิลล์นั้น ต่างก็มองว่าเรื่องหลอกลวงจากครอบครัวนี้ มันคือปริศนาที่พวกเขากำลังค้นหากันอยู่ ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือพวกเขาทำยังไง ถึงได้ทำให้เครื่องจับเท็จไม่สามารถจับโกหกได้


และถ้าหัวหน้าครอบครัวแบบจอร์จ คือพวกเชื่อเรื่องพลังจิตและพลังด้านมืด มาตั้งแต่ก่อนที่จะย้ายมายังบ้านที่เคยเกิดเหตุฆาตกรรมหลังนี้  มันก็คงไม่ได้หมายความว่า ครอบครัวนี้จะอ่อนไหวเกี่ยวกับเรื่องเหนือธรรมชาติจริง ๆ หรือเปล่า ? เพราะถ้าพวกเขาเจอเรื่องแบบนี้บ่อย ๆ พวกเขาก็ควรจะชินชาตายด้านกับทุกเหตุการณ์ ไม่ใช่ออกมาร้องแรกแหกกระเชอ จนนักข่าวต้องแห่กันมาทำสกู๊ปพิเศษใช่หรือไม่ ?


เหล่าผู้สนใจด้านพลังจิต เรียกสิ่งที่เกิดขึ้นนี้ว่าพลังแห่งการแนะนำ ซึ่งก็ถือเป็นอีกหนึ่งคำตอบที่ทำให้แดเนียล ลัทส์ สามารถจดจำเรื่องราวที่เคยเกิดขึ้นตอนอายุเพียง 10 ขวบได้
และก็แน่นอนว่าแดเนียลที่เคยปฎิเสธการสัมภาษณ์มาตลอดนั้น คงไม่ได้คิดวางแผนอยากจะทำเงินกับเรื่องราวที่เขาเคยพบเช่นกัน
ทาง อีริค วอลเทอร์ ที่ดูแลงานสารคดีชิ้นนี้ ก็สงสัยในเรื่องนี้เช่นกัน และได้เพิ่มความคิดเห็นส่วนตัวเข้าไปว่า เขาเองไม่เชื่อว่าครอบครัวไหนจะสามารถทอดทิ้งทุกอย่างไปได้ง่าย ๆ ถ้าไม่ใช่เพราะพวกเขาเกิดความหวาดกลัวในสิ่งที่เกิดขึ้นจริง ๆ

ในภาพยนตร์สารคดี แดเนียลได้แวะมายืนมองบ้านโดยไม่คิดที่จะเข้าไปข้างในแม้แต่น้อย !
(ภาพจาก: Lost Witness Pictures, LLC)

อีริคไม่คิดว่าเหตุการณ์เหนือธรรมชาติที่เคยเกิดขึ้น มันจะส่งผลดีกับครอบครัวนี้สักเท่าไหร่ แต่ก็อย่างที่รู้กันว่า พวกเขาก็รู้ทั้งรู้ว่าบ้านหลังนี้เคยเกิดเหตุฆาตกรรมหมู่มาก่อนแท้ ๆ ทำไมถึงยังอยากจะพากันมาเจอความน่ากลัวกันล่ะ และก็เช่นกันว่า หลังจากที่พวกเขาพบว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมันโด่งดัง พวกเขาก็ยิ่งหาช่องทางทำเงินจากมันให้ได้มากที่สุดด้วยใช่ไหม ?

และถนนย่านโอเชี่ยนเอเวนิว สถานที่ที่เคยเป็นบ้านของแดเนียล ลัทส์ มันก็ถูกซื้อขายเปลี่ยนมือเจ้าของใหม่ชื่อ ไบรอัน วิลสัน ที่ซื้อบ้านหลังนี้ต่อจาก ปีเตอร์ โอนีล ไปด้วยราคาถึง 950,000 ดอลลาร์ เมื่อเดือนพฤษภาคม ปี ค.ศ. 2010 ตัวบ้านได้เลขที่ใหม่ และมีผู้นิยมแวะมาเยี่ยมชมในช่วงวันพระจันทร์เสี้ยว โดยเฉพาะในช่วงวันฮาโลวีน

ซึ่งทางเจ้าของบ้านใหม่ ก็ได้ร้องขอให้ผู้คนที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียง ให้ช่วยกันสนใจบ้านของเขาลดลงกันเรื่อย ๆ ตลอดมา  เพื่อที่พวกเขาจะได้ไม่ต้องถูกกลุ่มคนที่ยังเชื่อเรื่องบ้านผีสิงตามรังควาญยิ่งกว่าวิญญาณชั่วร้ายกันอีก


แดนเนียล ลัทส์ (ปัจจุบันอายุ 52 ปี)
(ภาพจาก: สารคดี My Amityville Horror, 2012)

บ้านอาถรรพ์เอมิตี้วิลล์ปัจจุบัน
(ภาพจาก: Paul Hawthorne/Getty Images)

ซึ่งมิติที่ 6 เอง ก็ไม่อาจจะฟันธงได้ว่า เรื่องสยองขวัญแห่งเอมิตี้วิลล์เรื่องนี้ มันจะเป็นเรื่องจริงหรือเรื่องหลอกลวง มันจะเกิดจากวิญญาณร้ายหรือเกิดจากจินตนาการของคนในบ้าน
แต่ที่เราฟันธงได้แน่ ๆ ก็คือ บ้านหลังนี้มันไม่มีอะไร เพราะสิ่งชั่วร้ายที่ไม่รู้ว่าจะเป็นพลังด้านมืด หรือจะเป็นแค่มายากลหลอกคนในบ้าน มันคือสิ่งที่อยู่กับจอร์จ ลัทส์ มาตั้งแต่ก่อนจะย้ายมาอยู่ที่นี่เสียด้วยซ้ำ และความจริงมันก็ตายไปกับเขาแล้วตั้งแต่ปี ค.ศ. 2006 ความทรงจำของลูกเลี้ยงอย่างแดเนียลก็มาจากสมัยเขาอายุแค่ 10 ขวบ มันก็จึงยากเกินไปที่จะจบข้อสงสัยทุกอย่างได้ง่าย ๆ


ซึ่งเราเองก็อยากทราบความเห็นของท่านผ่านแบบสอบถามของทางยูทูป ด้วยการกดที่เครื่องหมาย ( i ) ว่าท่านผู้ชมคิดว่า บ้านอาถรรพ์แห่งเอมิตี้วิลล์คืออะไรกันแน่ ?
  • เป็นเหตุการณ์อาถรรพ์จริง
  • เป็นเรื่องที่คนในบ้านแต่งขึ้นมา

และแถมท้ายด้วยภาพถ่ายปริศนาที่อ้างว่าผู้ถ่ายได้ก็คือทีมงานของเอ็ด และลอเร็น วอร์เรน ซึ่งได้รับคำสั่งจากวาติกันให้มาช่วยตรวจสอบตัวบ้าน ในภาพถ่ายนั้นเราจะเห็นภาพบุคคลปริศนา ตอนนั้นทุกคนลงความเห็นว่าเด็กในภาพน่าจะเป็นวิญญาณของ แมทธิว เดอฟิโอ น้องชายคนสุดท้องที่ถูก โรนัลด์ เดอฟิโอ จูเนียร์ สังหารไปแน่ ๆ
แต่อีกด้านหนึ่งที่หลายคนไม่เคยสังเกตเลยก็คือ ภาพถ่ายวิญญาณใบนี้ผ่านกระบวนการปรับความสว่างขึ้น เพื่อให้เห็นใบหน้าของผีในภาพอย่างชัดเจนนั้น เหล่านักไขปริศนาต่างสังเกตเห็นเสื้อของผีตัวนี้ ว่าเขาสวมเสื้อลายสก็อตและหวีผมแสกข้าง เหมือนกับ พอล บาร์ทซ์ (Paul Bartz) ซึ่งเป็นหนึ่งในทีมงานของลอเรน วอร์เรนเป็นอย่างมาก ซึ่งเราก็อยากจะฝากให้ช่วยโหวตเช่นกันว่า

ท่านผู้ชมคิดว่าผีที่อยู่ในภาพถ่ายติดวิญาณภาพนี้คืออะไร ?
  • ภาพวิญญาณจริงของแมทธิว เดอฟีโอ
  • ภาพของพอล บาร์ทซ์ ผู้ช่วยของลอร์เรน วอร์เล็น
ภาพถ่ายที่อ้างว่าติดวิญาณ "แมททิว เดอฟีโอ" น้องชายโรนัลด์ 

ลอร์เรน วอร์เล็น, พอล บาร์ทซ์(ทีมงานที่สันนิษฐานว่าอยู่ในภาพถ่ายติดวิญญาณ) และจอร์จ ลัทส์

แล้วอย่าลืมติดตามรายการมิติที่ 6 ศุกร์สยองขวัญ กับเรื่องราวเบา ๆ พร้อมกับที่มาของมันกันได้ทุกวันศุกร์สะดวก และหลังจากจบรายการแล้ว อย่าลืมกดสับสไครป์ กดไลก์ กดแชร์ และอย่าลืมทิ้งคอมเมนต์กันไว้ด้วยนะครับ ยังมีเรื่องราวต่าง ๆ อีกมากมายรอคุณอยู่ สำหรับวันนี้... สวัสดี !

-----------------
หมายเหตุ:
1. แดนนี่ คือแดนเนียล (ในวัยเด็ก)
-----------------
แปลและเรียบเรียงโดย นิวัฒน์ อ่ำแสง
ขอบคุณที่มา: Dailymail และ Doubtful News

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

ประกาศ

เพื่อเป็นกำลังใจเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้กับเรา ขอความร่วมมือจากผู้ที่นำเรื่องราวจากมิติที่ 6 ไปใช้ในที่ของท่าน กรุณาลงเครดิตกลับมาที่เราจะเป็นพระคุณอย่างสูงครับ