10 กุมภาพันธ์ 2560

มิติที่ 6 ศุกร์สยองขวัญ "โอรังมินยัค" อมนุษย์ในร่างน้ำมันดำ ปีศาจล่าพรมจรรย์แห่งประเทศมาเลเซีย !!!



ไม่ว่าสังคมจะพัฒนากันไปขนาดไหน มันก็ไม่ได้หมายความว่าอาชญากรรมจะลดลง ซึ่งมันก็หมายถึงทุก ๆ ที่ ไม่ว่าจะเป็นที่แห่งไหนบนโลกนี้ คดีข่มขืนก็ยังคงพบได้แทบทุกวัน และถ้าอาชญากรที่ก่อคดีบางคนไม่ใช่มนุษย์ทั่วไป แต่เป็นอมนุษย์ที่เกิดจากวิชาอาคมด้านมืด สิ่งนี้มันจะน่ากลัวกว่ากันขนาดไหน ?


เปิดชมบนยูทูป

มิติที่ 6 ศุกร์สยองขวัญ กับเรื่องราวเบา ๆ ในวันศุกร์สะดวกสัปดาห์นี้ เราจะพาท่านไปรู้จักกับตำนานเรื่องหนึ่งของประเทศมาเลเซีย ตำนานที่พูดถึงคนกลุ่มหนึ่งที่ทำสัญญากับปีศาจ เพื่อให้ได้มาซึ่งรูปลักษณ์ภายนอกที่ดูดี ซึ่งสิ่งเหล่านี้พวกมันจะต้องจ่ายด้วยพรมจารีย์ของหญิงสาว ว่าเรื่องนี้.. มันคืออะไรกันแน่ !?


โดยเรื่องราวนั้นมีอยู่ว่า

ในประเทศมาเลเซียนั้น มีตำนานเกี่ยวกับเหล่าชายหนุ่มผู้มีวิชาอาคมไสยศาสตร์มนต์ดำ ที่ต้องทำสัญญากับปีศาจเพื่อบรรลุในอวิชชาที่มันต้องการ


ตอนกลางวันพวกเขาจะใช้ชีวิตอยู่ในสังคมเหมือนคนปกติทั่วไป รูปร่างหน้าตาดีมีการมีงานเช่นเดียวกับคนปกติ แต่พอถึงตอนกลางคืนคนเหล่านี้จะต้องออกไปล่าเหยื่อหญิงสาว ด้วยวิธีการแอบย่องเข้าไปในห้องนอนของพวกเธอ และปรากฏตัวให้เห็นอย่างตั้งใจ ซึ่งถ้าพวกเธอกำลังนอนหลับอยู่ มันก็จะปลุกให้พวกเธอตื่นขึ้นมา จากนั้นก็จะโชว์เรือนร่างของมันให้เหยื่อดู ก่อนที่จะลงมือจัดการและจากไป ซึ่งชื่อของมันเป็นที่รู้จักกันทั่วไปคือ “โอรังมินยัค”



โอรังมินยัคนั้นมีลักษณะเป็นชายรูปร่างกำยำ ศีรษะล้าน ไม่สวมเสื้อผ้า ทั่วทั้งร่างกายถูกชโลมด้วยน้ำมันจนเป็นสีดำแวววาว ดวงตาของมันเปล่งประกายเป็นสีแดง


มีตำนานเกี่ยวกับโอรังมินยัคอยู่หลายแบบ โดยมีอยู่ตำนานหนึ่งเล่าถึงที่มาของมันว่า ก่อนที่มันจะมาเป็นโอรังมินยัคนั้น มันเป็นเพียงชายหนุ่มที่อาศัยอยู่ในกัมปุง ที่หมายถึงหมู่บ้านเล็ก ๆ ในประเทศมาเลเซีย ชายคนนี้มีรูปร่างหน้าตาน่าเกลียดน่ากลัว หลังค่อม ใบหน้าเสียโฉมจนดูไม่ได้ และด้วยรูปร่างน่าเกลียดน่ากลัวเช่นนี้ ชาวบ้านในหมู่บ้านบางคนจึงตั้งข้อรังเกียจเหยียดหยาม


ไม่ว่าจะเด็กหรือผู้ใหญ่ ไม่ว่าจะชายหรือหญิง ถ้าได้ผ่านมาพบกับชายอัปลักษณ์คนนี้เข้า พวกเขาก็จะพากันหาเรื่องรังแกอยู่เสมอ โดยไม่สนว่าอีกฝ่ายนั้นจะเก็บกดความแค้นเอาไว้ในใจมากมายแค่ไหน
ต่อมาชายอัปลักษณ์ก็เกิดไปตกหลุมรักหญิงสาวในหมู่บ้านคนหนึ่งเข้า แต่ด้วยความน้อยใจในความอัปลักษณ์ของตัวเอง เขาจึงคิดว่าหญิงสาวคงจะไม่รับรักแน่ ๆ นั่นจึงทำให้ทุกอย่างเริ่มต้นจากความน้อยใจเล็ก ๆ กลายมาเป็นความแค้นอันยิ่งใหญ่ และมันก็เป็นแรงขับดันให้ชายอัปลักษณ์เริ่มต้นศึกษาวิชามนต์ดำ และเริ่มทำพิธีไสยศาสตร์


ชายอัปลักษณ์ตัดสินใจทำสัญญากับปีศาจ เพื่อเปลี่ยนร่างของตัวเองให้กลายเป็นชายหล่อล่ำ เพียงแต่ว่าค่าใช้จ่ายในการทำสัญญาครั้งนี้ มันได้ทำให้เขาต้องกลายร่างเป็นโอรังมินยัคในเวลาค่ำคืน ออกไปล่าพรมจารีย์มาจากหญิงสาวบริสุทธิ์มากมาย เพื่อนำมาบรรณาการให้แก่ซาตาน

นั่นจึงทำให้ในยามค่ำคืน โอรังมินยัคในร่างที่ถูกเคลือบโดยน้ำมันสีดำ จะย่องตอดเข้าไปในห้องของหญิงสาว ยืนคร่อมร่างของพวกเธอที่กำลังนอนหลับอยู่บนเตียง จากนั้นมันก็จะยืนจ้องเธอไปเรื่อย ๆ จนเมื่อหญิงสาวตื่นขึ้น เธอก็จะเห็นใบหน้าสีดำของมันกำลังจ้องมองมาที่ดวงตาของเธอ จากนั้นหญิงสาวจะถูกสะกดจิตให้เข้าสู่ภวังค์ ไม่สามารถขัดขืนใด ๆ ได้ และมันก็จะจัดการกับเหยื่อสาวโดยที่เธอไม่รู้ว่ามันเป็นเรื่องจริงหรือเป็นเพียงแค่ความฝัน พอจัดการทุกอย่างเสร็จ มันก็จะหนีหายไปในความมืด จนเมื่อหญิงสาวฟื้นขึ้นมาในตอนเข้า เธอจะพบเพียงแต่ร่องรอยของน้ำมันสีดำเลอะอยู่บนเตียงจนทั่ว


ว่ากันว่าไม่มีใครสามารถจับตัวโอรังมินยัคได้ เพราะน้ำมันที่ชโลมอยู่ทั่วตัวของมันจนเป็นสีดำเงานั้น ทำให้เป็นการยากที่จะมองเห็นมันได้ในความมืด แต่ถึงจะจับตัวมันได้ น้ำมันที่ชโลมอยู่ทั่วตัวก็จะทำให้ลื่นจนจับตัวไม่ได้อยู่ดี แถมมันยังมีความแข็งแกร่งและว่องไว สามารถปีนป่ายไปตามกำแพง กระโดดข้ามหลังคาบ้านเรือนได้ ราวกับว่ามันไม่มีน้ำหนักตัวและด้วยมนต์ดำ โอรังมินยัคจะสามารถเดินทะลุผ่านกำแพงและหายตัวไปได้อย่างไร้รองรอย มีบางแห่งบอกว่าโอรังมินยัคสามารถหายตัวแล้วไปปรากฏกายในที่ ๆ มันต้องการได้ อีกทั้งยังสามารถสะเดาะกลอนประตูเข้าไปยังบ้านแห่งไหนก็ได้อีกด้วย


หญิงสาวบางคนจึงต้องป้องกันตัวเองจากโอรังมินยัคด้วยการหาเสื้อผ้าของผู้ชายมาสวมใส่ โดยเมื่อพวกเธอสวมใส่มันตอนช่วงเวลานอนแล้ว มันจะทำให้โอรังมินยัคเข้าใจว่าพวกเธอเป็นผู้ชายแล้วจะไม่ทำอะไร


ส่วนการป้องกันตัวเองจากโอรังมินยัคอีกทางก็คือการโรยปลีกล้วยและใบบอนไปรอบ ๆ ที่นอนของเรา สิ่งนี้มันจะกลายเป็นกับดักทำให้เจ้าโอรังมินยัคไม่สามารถขยับตัวได้ จากนั้นให้เราใช้ผ้าถุงบาติกปาข้ามหัวไม่ก็ครอบหัวของมันไว้ เพื่อที่จะได้ทำให้พลังของมันอ่อนแรงลง และถ้าเราสามารถกัดนิ้วหัวแม่มือซ้ายของมันได้ละก็ โอรังมินยัคจะเสียชีวิตในทันที

อีกทางที่เราจะสามารถฆ่าโอรังมินยัคได้ก็คือ การใช้กิ่งของต้นสะตอมาทำให้มันตกใจ และสิ่งที่มันกลัวมาก ๆ ก็ยังมีสายฝน เพราะน้ำฝนสามารถชะล้างน้ำมันที่ชโลมอยู่บนตัวของมันได้ และสิ่งนี้มันจะมีผลทำให้พลังของมันลดลงไม่สามารถหายตัวได้อีกต่อไป และก็ยังมีบางความเชื่อบอกว่า มันกลัวกระจกเป็นอย่างมาก ซึ่งอาจเป็นไปได้ว่าตัวมันเองนั้นก็ไม่อยากจะเห็นใบหน้าและร่างกายสีดำของตัวเอง หรือไม่ก็กลัวว่าพลังจากดวงตาของตัวเองจะย้อนกลับมาทำร้าย

ถ้าหากว่ามีใครในหมู่บ้านเกิดไปพบกับโอรังมินยัคเข้า ชาวบ้านจะพากันใช้กิ่งไม้ มีดพร้า และขวาน เดินลาดตระเวนเพื่อคอยเฝ้าระวัง เพื่อไม่ให้มันเข้ามาจัดการกับเหล่าลูกสาวของพวกเขา บางคนก็จะระวังภัยในบ้าน นอนเปิดไฟสว่างและสวดภาวนาทุกคืน เพื่อจะได้ทำให้เจ้าปีศาจตัวนี้ไม่กล้าย่างกรายเข้ามา


มีการบันทึกเรื่องราวการพบกับโอรังมินยัคที่น่าสนใจอยู่สามเรื่องด้วยกัน โดยเรื่องแรกนั้นเล่าว่า
ในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง ที่นี่มีข่าวการพบเจ้าโอรังมินยัคอยู่บริเวณใกล้ ๆ หมู่บ้าน ซึ่งชายคนหนึ่งไม่เชื่อว่าเรื่องนี้มันเป็นเรื่องจริง และต้องการจะจบเรื่องราวบ้า ๆ เรื่องนี้กันเสียที



คืนหนึ่ง เขาเดินทางไปข้างนอกกับครอบครัว แต่กลับทิ้งลูกสาววัย 17 ปี เอาไว้คนเดียวภายในบ้าน คืนนั้นเธอตื่นขึ้นมากลางดึกเพราะมีเสียงอะไรบางอย่างดังขึ้น เมื่อมองออกไปนอกหน้าต่างเธอก็พบกับร่างสีดำทะมึนกำลังนั่งอยู่บนกำแพงหันหลังอยู่


เด็กสาวจึงรีบโทรศัพท์หาพ่อและเล่าสิ่งที่เธอได้พบนั้นกับเขาทันที ชายคนนี้จึงรีบกลับมาที่บ้านแต่เขาก็พบว่ากุญแจบ้านของตัวเองไม่สามารถไขประตูให้เปิดได้ นั่นจึงทำให้เขาตัดสินใจพังประตูเข้าไป


เมื่อเขารีบรุดไปยังห้องนอนของลูกสาว เขาก็พบกับก้อนสีดำก้อนใหญ่กองอยู่ใต้โต๊ะในห้อง เขาจึงใช้กิงไผ่เสียบเข้าไปยังก้อนสีดำนั้นทันที และเขาก็พบว่าเจ้าก้อนสีดำนั้นก็คือร่างของมนุษย์ มันรีบกระโจนออกจากห้อง ปีนป่ายกระโดดข้ามหลังคาไปบ้านอีกหลังราวกับแมงมุม หายไปกับความมืดของยามราตรี หลังจากเหตุการณ์ผ่านไป 5 วัน ชายคนนี้จึงตัดสินใจย้ายบ้านออกไปจากหมู่บ้านแห่งนี้ทันที

อีกเรื่องนั้นก็เป็นเรื่องเล่าจากสาววัยรุ่นชาวมาเลเซียคนหนึ่ง เธอเล่าว่าเหตุการณ์นี้มันเกิดขึ้นเมื่อสองสามเดือนก่อน ตอนนั้นเธอทำงานเป็นพนักงานต้อนรับ คืนนั้นเธอทำงานจนดึกเกินเวลาไปมาก นั่นจึงทำให้เธอต้องเรียกแท็กซี่เพื่อเดินทางกลับบ้าน ตอนนั้นเวลาก็เลยเที่ยงคืนไปแล้ว เธอเดินเข้าไปในตัวอพาร์ทเมนท์แล้วพบกับชายคนหนึ่งกำลังยืนอยู่ในลิฟท์ ด้วยความเหนื่อยล้าจึงทำให้เธอไม่ได้สนใจอะไร เธอเดินเข้าไปลิฟท์โดยไม่รู้เลยว่ามันมีบางอย่างผิดปกติ จากนั้นก็กดปุ่มเลือกชั้นปลายทางของเธอแล้วลิฟท์ก็ปิดประตูลง

ไม่กี่วินาทีต่อมาลิฟท์ก็เปิดประตูสู่ชั้นที่เธออาศัยอยู่ เธอเดินออกมาจากลิฟท์ยังไม่ทันไร ชายหนุ่มในลิฟท์ก็จับแขนของเธอดึงกลับเข้าลิฟท์ไปอีกครั้ง เธอตกใจและพยายามสะบัดแขนออกมา แต่ชายคนนี้แข็งแรงมากทำให้เธอไม่สามารถสะบัดหลุดได้ ทันใดนั้นชายลึกลับก็พูดขึ้นมาด้วยเสียงอันน่ากลัวว่า “จงมองตาของข้า!!”


ด้วยความตกใจ เธอจึงมองหน้าเขาทันทีโดนไม่ทันคิด ใบหน้าของชายคนนี้เป็นสีดำราวกับถูกชโลมด้วยน้ำมัน ดวงตาส่องประกายสีแดงน่ากลัว หลังจากนั้นเธอก็เป็นลมสลบไป มารู้สึกตัวอีกทีเธอก็มาอยู่ในอ้อมกอดของคุณแม่ เธอถามแม่ว่ามันเกิดอะไรขึ้น แม่ตอบเธอว่าเพื่อนบ้านห้องข้าง ๆ พบเธอกำลังนอนสลบอยู่บนพื้นลิฟท์ ในสภาพเปลือยครึ่งท่อน เหลือแต่เสื้อบังทรงเพียงตัวเดียวเท่านั้นที่เธอยังสวมอยู่


พอได้ยินแบบนั้นเธอจึงร้องไห้ออกมาทันที เพราะเธอรู้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นก็คือ เธอเพิ่งถูกเจ้าโอรังมินยัคจัดการไปนั่นเอง หลังจากนั้นคุณแม่ของเธอจึงพาเธอไปแจ้งความที่สถานีตำรวจ และเมื่อเล่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นจนจบ เจ้าหน้าที่ตำรวจกลับบอกว่ามันไม่น่าจะใช่เจ้าโอรังมินยัคอย่างที่เธอเข้าใจแน่ ๆ นั่นจึงทำให้แม่ของเธอโกรธมาก และบอกกับเจ้าหน้าที่กลับไปว่า มันต้องเป็นโอรังมินยัคแน่ ๆ มันจะกลับมาจัดการลูกสาวของฉันอีกเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ !!!

ส่วนเรื่องที่สามนั้น เป็นเรื่องของเด็กชายวัย 13 ปี คนหนึ่ง ได้พบกับโอรังมินยัคในงานแต่งงานของพี่สาวของเขา ตอนนั้นทุกคนในบ้านต่างอยู่กันพร้อมหน้า จนกระทั่งงานฉลองในบ้านจบลง พวกเขาจึงย้ายออกมานั่งฉลองกันต่อข้างนอกบ้าน โดยบ้านหลังนี้ จะมีห้องน้ำแยกออกมาอยู่ที่ส่วนด้านหลังของตัวบ้าน ทำให้เวลาใครต้องการเข้าห้องน้ำจะต้องเดินแยกจากลุ่มไปเพียงลำพัง


เหตุการณ์น่ากลัวเริ่มต้นขึ้นเมื่อแม่ของเด็กชายได้บอกกับเขาให้ไปห้องน้ำเป็นเพื่อนคุณป้า ซึ่งเด็กชายก็ทำตามโดยไม่ได้คิดอะไร จนเมื่อทั้งคู่ไปถึงห้องน้ำ เขาก็รออยู่ข้างนอกนั้นไปเรื่อย ๆ และในขณะที่เขากำลังยืนรออยู่นั่นเอง


ทันใดนั้น เขาก็ได้ยินเสียงของคุณป้ากรีดร้องมาจากภายในห้องน้ำ จากนั้นคุณป้าก็รีบวิ่งหนีออกมาทั้ง ๆ ที่เธอยังอยู่ในสภาพเปลือยครึ่งท่อน กระโปรงยังกองอยู่ที่ข้อเท้า สิ่งนี้มันก็ได้ทำให้เด็กชายถึงกับช็อคทันที แต่สิ่งที่ทำให้เขาช็อคยิ่งกว่านั้นมันก็คือ สิ่งที่เขามองเห็นอยู่ภายในห้องน้ำนั้นต่างหาก


เพราะสิ่งที่แอบซ่อนอยู่ในความมืดมิดนั้น มันดูคล้ายกับร่างของผู้ชายแต่ทั้งตัวของมันกลับเป็นสีดำแวววาว ราวกับถูกชะโลมด้วยน้ำมันไม่ก็จารบีอะไรสักอย่าง ตอนนั้นเด็กชายเพ่งมองไปที่ใบหน้าของมันเพียงชั่วเวลาสั้น ๆ แต่ความรู้สึกช่วงนั้นสำหรับเด็กชายแล้วมันช่างแสนจะยาวนาน ดวงตาของมันเป็นสีแดงและกำลังจ้องมองมาที่เขา

ก่อนที่เด็กชายจะทำอะไรต่อไป เจ้าอมนุษย์ในคราบน้ำมันสีดำตัวนั้นก็หลบหายไปในพุ่มไม้ มันเคลื่อนไหวร่างกายได้รวดเร็วมาก ราวกับเป็นแมงมุมที่มีสองขา มนุษย์ปกติไม่มีทางขยับตัวได้แบบนั้น ทั้งเด็กชายและคุณป้าต่างก็หวาดกลัวจนไม่กล้าจะขยับตัวไปไหน สักพักคนในงานคนหนึ่งก็เดินมาพบกับทั้งสองและสอบถามว่ามันเกิดอะไรขึ้น จนเมื่อทุกอย่างถูกเด็กชายเล่าจนจบ คนในงานก็ลงความเห็นว่าเจ้าอมนุษย์ตัวนั้นมันน่าจะเป็นโอรังมินยัคแน่ ๆ


หลังจากนั้นทุกคนจึงรีบออกจากจุดเกิดเหตุเพื่อกลับเข้าไปในงานฉลองกันต่อ เพียงแต่ตอนนี้ทุกคนก็ไม่มีอารมณ์จะสนุกกับงานอีกต่อไป

-----จบ-----


โอรังมินยัค หรือ มนุษย์น้ำมัน เป็นเรื่องเล่าสยองขวัญเกี่ยวกับคนบ้าวิชาอาคมของประเทศมาเลเซีย ที่โด่งดังมาจากภาพยนต์เรื่องซุมพาโอรังมินยัค หรือคำสาปมนุษย์น้ำมัน ที่ถูกฉายในปี ค.ศ. 1956 กำกับและนำแสดงโดยพี รัมลี โดยพูดถึงชายผู้ต้องคำสาปเพียงเพราะอยากเอาชนะใจหญิงสาวด้วยเวทมนต์ โดยในเวอร์ชั่นนี้ปีศาจยื่นข้อเสนอที่จะให้พลังแก่ชายหนุ่ม แลกกับการที่ชายหนุ่มจะต้องข่มขืนหญิงสาวบริสุทธิ์จำนวน 21 คน ให้สำเร็จภายใน 1 อาทิตย์

ภาพยนต์เรื่อง "ซุมพาโอรังมินยัค" เรื่องแรก

และอีกตำนานนั้นก็มาจากช่วงปี ค.ศ. 1960 เล่ากันว่าโอรังมินยัคนั้นอาศัยอยู่ในเมืองบางแห่งของประเทศมาเลเซีย บรรยายลักษณะถึงผู้ชายไม่สวมเสื้อผ้า ร่างกายเคลือบไปด้วยน้ำมัน โดยเรื่องเล่านี้บอกว่าโอรังมินยัคนั้นเป็นเพียงอมนุษย์ชอบแอบตามหญิงสาวบริสุทธิ์ เช่น เด็กนักเรียน และวิธีการป้องกันตัวของพวกเธอจะต้องไปยืมเสื้อผ้าของเด็กผู้ชายมาสวมใส่ เพื่อให้โอรังมินยัคเข้าใจผิดนึกว่าพวกเธอเป็นผู้ชาย และสามารถสังหารมันได้ด้วยการกัดไปที่นิ้วหัวแม่มือซ้าย ไม่ก็เอาผ้าถุงบาติกมาคลุมหัวของมัน

"โอรังมินยัค" เรื่องที่สองที่ออกฉาย

แม้มันจะเป็นเพียงเรื่องเล่าตำนานที่มาจากภาพยนต์ แต่ก็กลายเป็นว่าในช่วงปี ค.ศ. 2000 กลับมีเหตุการณ์ประหลาดเกิดขึ้น มีข่าวลือพูดถึงชายที่มีลักษณะเหมือนกับโอรังมินยัค คอยไล่ข่มขืนหญิงสาวด้วยร่างกายที่เลอะน้ำมัน แถมมันยังมีมีดสั้นเป็นอาวุธเพื่อช่วยในการทำให้เหยื่อกลัวอีกด้วย

ไหนว่าน้ำมันดำจะทำให้จับตัวไม่ได้ ?

ใน ค.ศ. 2012 ที่ชุมชนในกัมปุงลากซามานา เขตกอมแบ็ก รัฐเซลังงอ ของประเทศมาเลเซีย ก็มีการยืนยันว่ามีผู้พบเห็นโอรังมินยัคปรากฏตัวอยู่รอบ ๆ ปางซาปุริลากซามานา และจาลานลากซามานา โดยเล่ากันว่าพบโอรังมินยัคถึงสองตัว


ซึ่งในช่วงเวลาดังกล่าวนั้น ตรงกับช่วงภาพยนต์เรื่องพนเทียนัค ปะทะโอรังมินยัค ที่กำกับโดยอัฟดลิน เชาคิ กำลังออกฉายอยู่อีกด้วย

ภาพยนต์เรื่อง "พนเทียนัค ปะทะโอรังมินยัค" เรื่องล่าสุด

มันก็เป็นไปได้เช่นกันว่า ในช่วงเวลาต่าง ๆ ที่พบโอรังมินยัคออกอาละวาดตามพื้นที่แต่ละแห่งนั้น ก็คือหนึ่งในการโปรโมทภาพยนต์ ไม่ก็เป็นการฉวยโอากาสจากพวกมิจฉาชีพที่อาศัยกระแสของหนังออกกระทำความผิด และอาศัยความหวาดกลัวของเหยื่อทำให้พวกเธอไม่กล้าแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ


แต่ไม่ว่าการพบโอรังมินยัคบนโลกความจริงนั้น มันจะเป็นพวกอาชญากรสวมรอยหรือจะเป็นเพียงไวรัลโฆษณาภาพยนต์ ก็ยังไม่ปรากฏว่าโอรังมินยัคแห่งยุคมิลเลเนี่ยมนี้จะลงมือทำร้ายเหยื่อคนใดจนเป็นข่าวใหญ่ขึ้นมา เพียงแต่มันก็น่าจะเป็นการดีกว่าถ้าทุกคนพยายามหาทางป้องกันไม่ให้เกิดเหตุใด ๆ ขึ้น


ซึ่งอย่างไรแล้วโอรังมินยัคมันก็เป็นหนึ่งในตำนานเรื่องเล่าของประเทศมาเลเซีย และยังไม่มีรายงานการพบเจอพวกนี้ในบ้านเรา แต่เอาเข้าจริง ๆ แล้ว ถึงจะยังไม่มี แต่คดีข่มขืนในประเทศไทยมันก็เกิดขึ้นอยู่แทบทุกวัน ถ้ายังจะมีโอรังมินยัคโผล่มาเพื่อเพิ่มให้จำนวนคดีมากขึ้นอีก คนไทยก็คงไม่ต้องการให้เป็นแบบนั้นอย่างแน่นอน



พบกับรายการมิติที่ 6 ศุกร์สยองขวัญ กับเรื่องราวเบา ๆ พร้อมที่มาของมันกันได้ทุกวันศุกร์สะดวก และหลังจากจบรายการแล้ว อย่าลืมกดสับสไครป์ กดไลก์ กดแชร์ หรือทิ้งคอมเมนต์กันไว้ด้วยนะครับ ยังมีเรื่องราวต่าง ๆ อีกมากมายรอคุณอยู่ สำหรับวันนี้ สวัสดี

เรียบเรียงและบรรยายโดย นิวัฒน์ อ่ำแสง
ที่มา :
Scary for Kids - Oily Man
Wikipedia - Orang Minyak

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

ประกาศ

เพื่อเป็นกำลังใจเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้กับเรา ขอความร่วมมือจากผู้ที่นำเรื่องราวจากมิติที่ 6 ไปใช้ในที่ของท่าน กรุณาลงเครดิตกลับมาที่เราจะเป็นพระคุณอย่างสูงครับ