1 สิงหาคม 2564

พิมพ์เขียว UFO ของโอทิส คารร์ หลานของ นิโคลา เทสลา เป็นของจริงหรือไม่ ?



จากภาพที่เห็นนี้นะครับ คุณอัครเดชโพสต์ว่า อยากทราบข้อมูลความจริงเรื่อง UFO ของ T.carr ลูกศิษย์ของ นิโคลลา เทสลา ผมพยายามหาข้อมูลหลายที่ว่ากันว่า เทสลา เคยผลิต ยานบินไร้มบพัด มีพิมพ์เขียว UFO ที่รัฐบาลสหรัฐฯ ยึดและเก็บข้อมูลไว้เป็นความลับ ขอคำชี้แนะจากพี่ๆสมาชิกด้วยคับ

อันดับแรก เรื่องพิมพ์เขียวจานบิน ของนิโคลา เทสลา เรื่องนี้ ไม่เคยได้ยินครับ หมายความว่า มันต้องมีคนเล่าเรื่องนี้ใช่ไหมครับ

ซึ่งคุณอัครเดช ก็ได้ให้ลิงค์ต้นทางมาด้วย มันคือเว็บไซต์โปรเจ็คคาเมล็อต เป็นเว็บไซต์ที่ถูกตั้งขึ้น เพื่อรวบรวมข้อมูลของบุคคล ที่อ้างว่าเคยติดต่อกับมนุษย์ต่างดาว เอาแค่นี้ก็พอครับ เพราะสิ่งที่คุณอัครเดชอยากรู้ มันคือเรื่องที่นำมาสอบถามกับมิติที่ 6 นั่นแหละครับ

หน้าเพจที่ยกมา พูดถึงชายจำนวนสองคน คนแรกชื่อคุณราล์ฟ ริง เขาเป็นนักประดิษฐ์ที่มีชื่อเสียงครับ อีกคนชื่อว่าโอทิส คารร์ เป็นคนที่เคยทำงานกับนิโคลาเทสลา โดยคุณโอทิสคนนี้ เขาอ้างว่าตัวของเขา ได้เทคโนโลยีการสร้างจานบิน มาจากโครงการลับของเทสลาครับ และทั้งสอง ก็ได้แสดงพิมพ์เขียวของมัน เพื่อเป็นหลักฐานยืนยันว่า พวกเขา กำลังจะสร้างจานบินที่สามารถบินได้จริง ๆ แล้วจะพาผู้คนที่สนใจ ไปเที่ยวนอกโลกกันเร็ว ๆ นี้

บทความจากเว็บไซต์ไม่ยาวมากครับ มันจบลงที่ ก่อนที่การทดลองของเขาจะเสร็จสิ้น ได้มีคนของรัฐบาลสหรัฐ สั่งให้พวกเขายุติการทำงานทันที ซึ่งคุณราล์ฟ ริง ได้ให้สัมภาษณ์สั้น ๆ ว่า ตัวของเขานั้น เคยขึ้นไปบนจานบินตัวทดสอบมาแล้ว มันบินไปได้ไกลตั้ง 10 ไมล์ โดยใช้เวลาเพียงอึดใจเท่านั้น

ส่วนที่เหลือของบทความ ได้อ้างอิงข้อความ ที่พอจะสรุปได้ว่า สิ่งที่ราล์ฟริงพูดนั้น น่าจะมีน้ำหนักเชื่อถือได้

เรื่องนี้ ในกลุ่มมิติที่ 6 ก็มีสมาชิกหลายท่านนะครับ ที่พยายามช่วยกันหาข้อมูลว่า เรื่องนี้มันจริงหรือไม่ โอทิส คารร์มีพิมพ์เขียวจานบินจริงหรือเปล่า ภาพที่คุณอัครเดชนำมาใช้ประกอบการสอบถาม เป็นภาพพิมพ์เขียวที่ว่าจริงหรือไม่

ปรากฏว่า มันเป็นพิมพ์เขียวของจริงครับ และพิมพ์เขียวฉบับนี้ ยังมีให้ดูกันแบบฟรี ๆ ในเว็บไซต์กูเกิล หมวดสิทธบัตรทางปัญญา ที่น่าจะทำให้เราหายข้องใจว่า มันคือจานบินแบบไหน ใช้เทคโนโลยีอะไร ในการทำให้มันขึ้นบินไปในอวกาศ

ตอนแรก ผู้บรรยายเอง ก็ได้ค้นหาประวัติของคุณโอทิสคารร์ เพื่อดูว่า เขากำลังสร้างจานบินจริงหรือเปล่านะครับ ปรากฏว่า ในยุคปี 1960 นั้น คุณโอทิสคารร์เขาทำจริง ๆ ครับ เพียงแต่ พอถึงวันที่เขานัดหมาย ว่าจะนำจานบินมาแสดงให้ดู เขากลับอ้างว่าตัวเองป่วย แล้วขอยกเลิกงานเปิดตัวไปแบบกระทันหัน ทำให้เหล่าผู้สนใจที่เดินทางมา ต้องถูกทิ้งให้อยู่ในบริเวณจุดประกอบจานบิน

 

พวกเขาพยายามมองหามันครับ เจ้าจานบินที่โอทิสคารร์กล่าวอ้างมันอยู่ตรงไหน พวกเขาพบแต่โมเดลจานบินจำลอง ขนาดก็ใหญ่นะครับ แต่ก็ไม่ได้ใหญ่มากมาย ถึงขนาดจะบรรจุผู้โดยสารเข้าไปได้ รูปร่างของมันคือจานบินจริง ๆ เพียงแต่ว่ามันสร้างด้วยไม้ ไม่สามารถใช้ขึ้นบินจริง ๆ ได้ ทำให้งานเปิดตัววันนั้น ไม่มีใครได้นั่งจานบินของจริง โอทิส คารร์ก็หายตัวไป ก่อนที่จะปรากฏตัวอีกครั้ง ในปี 1961 เนื่องจากตัวของเขา ต้องเข้ารับฟังการพิจารณคดี ที่เกี่ยวข้องกับการฉ้อโกงหลักทรัพย์ โดยศาลพิจารณาสั่งปรับเงิน โอทิสคารร์ เป็นจำนวน 5000 ดอลลาร์ ซึ่งตัวของโอทิสคาร์เอง ก็ไม่ได้ร้องขอการอุทธรณ์ใด ๆ ครับ

คดีความนี้ เกิดขึ้นในเดือนมกราคม ปี 1961 ผ่านมาจนถึงเดือนมีนาคม โอทิสคารร์ก็ถูกตำรวจจับครับ เนื่องจากเขาไม่สามารถจ่ายค่าปรับ ต้องโทษจำคุกไป 14 ปี จนกระทั่งพ้นโทษออกมา โอทิสคารร์ก็หลบไปใช้ชีวิตเงียบ ๆ จนกระทั่งเสียชีวิตไป ในปี 1982

โดยประวัติชีวิตย่อ ๆ นี้ ทำให้เห็นชัดเจนอย่างหนึ่งว่า โอทิสคารร์ ไม่เคยต่อยอดสิ่งประดิษฐของเขาเลย ส่วนคุณราล์ฟ ริง ในยุคที่เกิดเรื่องนั้น เขาไม่เคยออกตัวชัดเจนครับ ทำให้เขาไม่ได้รับผลกระทบอะไร กับการที่โอทิสคารร์ถูกจับแม้แต่น้อย แต่ที่ชื่อของเขา ถูกพูดถึงในเว็บไซต์โปรเจคคาร์เมล็อต เพราะคุณราล์ฟ ริงนี่เองแหละครับ ที่ออกมาให้ข้อมูลกับเว็บไซต์ว่า เขาเคยทำงานกับโอทิสคารร์ และเป็นคนที่อ้างว่า คุณโอทิสคารร์เนี่ย เป็นถึงลูกบุญธรรมของเทสล่าเลยครับ โดยปีนี้ คุณราล์ฟ ริง อายุย่างเข้าวัย 87 ปีแล้วนะครับ หมายความว่า คุณราล์ฟ ริง น่าจะเกิดช่วงปี 1934 และมีอายุประมาณ 25 ปี ในช่วงที่เขาทำงานกับโอทิสคารร์ ในเว็บไซต์ของคุณราล์ฟริง เขาได้นำภาพถ่ายจานบิน ที่โอทิสคาร์เคยสร้างไว้ มาให้ผู้สนใจได้รับชมด้วย ซึ่งข้อมูลชุดหลังนี่ ผู้บรรยายได้มาจาก เว็บไซต์ของคุณราล์ฟริงเองเลยนะครับ

ภาพจานบินที่ว่า ก็คือภาพนี้ครับ โอทิสคารร์ตั้งชื่อให้มันว่า OTC-X1 และเขียนบรรยายใต้ภาพว่า รัฐบาลสหรัฐ บังคับให้โอทิสคารร์ยุติโครงการนี้ ด้วยการทำให้เขาถูกพิจารณาคดี ที่เกี่ยวข้องกับทางการเงิน

หมายความว่า โอทิส คาร์ไม่ได้ถูกสั่งให้หยุดทำงานแบบปกติ แต่ถูกทำให้ต้องโทษแบบนั้นหรอกเหรอครับ?

แล้วทำไม โอทิสคารร์ถึงไม่ยื่นอุทธรณ์ล่ะ แล้วทำไม ช่วงเวลาที่กว่า 1 ปี ที่เขาน่าจะพอมีเวลาหาเงินมาจ่ายค่าปรับ ถึงไม่ออกมาเปิดเผยเรื่องนี้เลย แต่ค่าปรับตั้ง 5000 ดอลลาร์มันก็เยอะมากจริงๆ นะครับ แต่มันก็ไม่น่าจะมากมายอะไร ถ้าเทียบกับคนที่กำลังจะสร้างจานบิน เพื่อบินขึ้นไปบนอวกาศ คือแบบนี้ครับ การสร้างอากาศยานอะไรก็แล้วแต่ ต้นทุนมันน่าจะสูงกว่า 5000 ดอลลาร์นะครับ เครื่องบินปกติแบบถูกที่สุด ราคาก็ปาไปตั้งสี่หมื่นดอลล่าแล้ว นี่กำลังจะสร้างจานบินเลยนะครับ ตัวต้นแบบน่าจะราคาแพงมากมายแน่ ๆ หมายความว่า เรื่องรัฐบาลสั่งขังโอทิสคาร์เนี่ย มันผิดหลักความเป็นจริง ที่อยู่ในความทรงจำ ของชายวัย 87 ปี อย่างคุณราลฟริง แน่นอนครับ

กลับมาที่ภาพถ่ายจานบินดีกว่าครับ ดูให้ดี ๆ นะครับ แม้คุณราล์ฟริง จะเคยยินยันว่า เขาได้นั่งในจานบินตัวทดลองมาแล้ว แต่ทำไมภาพนี้ มันถึงดูไม่เหมือนจานบินของจริง ก็ดูสิครับ มันวางอยู่บนโต๊ะทำงาน สังเกตที่ฐานวางจานบินก็ได้ ลายไม้และหัวน็อตสกรู ที่ยึดตัวฐานให้เป็นรูปร่างสี่เหลี่ยมนั่น น่าจะเป็นตัวอ้างอิงที่ดี ว่าขนาดของจานบินลำนี้ มันลำเล็กนิดเดียวครับ

สรุปในส่วนของคุณราล์ฟริงก็แล้วกันครับ ว่าสิ่งที่เขาโพสต์เล่าในเว็บไซต์ของเขา ไม่สามารถนำมาอ้างอิงความจริงได้ครับ ตอนนั้นเขาอายุแค่ 25 ปี ยังอยู่ในวัย ที่ไม่น่าจะใช่นักประดิษฐ์ผู้เก่งกาจ เราไม่รู้ว่าเขาพูดความจริงออกมาแค่ไหน เพราะคนวัย 87 ปี ที่ออกมาเล่าเรื่องนี้ ย่อมต้องมีจุดมุ่งหมาย มากกว่าเรื่องเปิดเผยความลับอะไรแบบนี้แน่นอนครับ ซึ่งหลังจากที่ค้นหาอยู่พักใหญ่ ผู้บรรยายก็พบเหตุผลแรกครับ นั่นก็คือ เขาเปิดรับบริจาค จุดมุ่งหมายของเงินนั้น คือนำไปสร้างความพร้อมให้คุณราล์ฟ ริง ในการเดินทางไปเล่าเรื่องของเขา และเรื่องของโอทิสคารร์ ตามสถานที่ต่าง ๆ ทั่วสหรัฐนั่นเองครับ อีกส่วนก็ ไว้ใช้ดูแลเว็บไซต์ ที่ถูกสร้างขึ้นมาแบบง่าย ๆ ไม่มีอะไรซับซ้อนครับ

พูดก็พูดนะครับ ถ้าผู้บรรยายอายุซักแปดสิบปี แล้วยังมีแรงอยู่ ก็อยากมีเงินแบบเงินเดือนฟรี ๆ ไว้ใช้ท่องเที่ยวพบปะผู้คน เหมือนกันนะครับ

กลับมาที่พิมพ์เขียวของโอทิสคาร์กันดีกว่า ที่เว็บไซต์ของกูเกิลนั้น ระบุรายละเอียดของมันเอาไว้อย่างไรบ้าง

รหัสสิทธิบัตร US2912244A

ชื่อของมัน Amusement device แปลเป็นไทยแบบตรง ๆ ก็คือ อุปกรณ์สวนสนุก เอ้า.. แบบนี้ต้องดูรายละเอียดเพิ่มเติมครับ

โอทิสคาร์ยื่นขอจดทะเบียนสิ่งนี้ เมื่อวันที่ 22 มกราคม ปี 1959

ได้รับอนุมัติในเดือนพฤศจิกายนปีนั้นเลยครับ

สิทธิบัตรฉบับนี้ มันหมดอายุไปเมื่อ 49 ปีที่แล้ว ดังนั้น การเปิดเผยต่อสาธารณชน จึงไม่ผิดต่อข้อกฏหมายใด ๆ นะครับ

มาดูที่คำอธิบาย ของเจ้าจานบินลำนี้กันครับ

โอทิส คารร์ ระบุไว้ตามนี้นะครับ

สิ่งประดิษฐ์นี้ เกี่ยวข้องกับการพัฒนาอุปกรณ์ เพื่อความบันเทิงทั่วไป เน้นในด้านงานสวนสนุก ที่ได้รับการพิสูจน์แล้วว่า ผู้โดยสาร จะได้รับความประทับใจ จากการขับขี่ยานอวกาศ ระหว่างดาวเคราะห์

การประดิษฐ์ พิจารณาถึงความบันเทิงรูปแบบใหม่ มีการกำหนดค่าโดยรวมของยานอวกาศ โดยบางส่วน จะหมุนไปในทิศทางตรงข้ามกัน เพื่อให้เกิดความประทับใจแก่ผู้โดยสาร ในขณะที่มันกำลังเคลื่อนไหว

นอกจากนี้ ยังมีแนวคิด ที่จะทำให้มันเคลื่อนที่ขึ้นและลง และแสดงภาพยนตร์อนิเมชั่น ว่ามีสรวงสวรรค์ อยู่บริเวณด้านบนของผู้โดยสาร เพื่อให้เกิดความประทับใจ ในการเดินทางออกจากโลก และเข้าใกล้ดาวเคราะห์อันห่างไกล หรือดาวที่อยู่ใกล้ จะมีการพิจารณา เพื่อเพิ่มเติมแม่เหล็กไฟฟ้า ไปจนถึงติดตั้งหน้าต่าง เพื่อให้ผู้โดยสารได้มองออกไป สิ่งที่จำลองขึ้นทั้งหมดนี้ จะสร้างความประทับใจ ราวกับผู้โดยสารนั้น กำลังดูการทำงานภายใน ขณะที่มันกำลังบินไประหว่างดาวเคราะห์

เอาแค่นี้ก็พอจะทราบแล้วนะครับ ว่าจานบินของโอทิสคาร์ มันคือจานบินของเล่น ที่จะฉายภาพยนตร์แบบอนิเมชั่น ให้คนที่ขึ้นไปได้มองเห็นว่ามัน กำลังจะบินออกไปนอกโลก ก็ไม่แน่ใจเหมือนกันนะครับว่า คุณราล์ฟ ริง ที่ออกมาให้ข้อมูลกับโปรเจกคาเมล็อต ได้อ่านสิทธิบัตรฉบับนี้หรือยัง

เพราะในส่วนท้ายของเอกสาร ระบุซ้ำแล้วซ้ำอีกครับว่า มันเป็นอุปกรณ์เพื่อความบันเทิง

โดยแต่ละภาพในเอกสารนี้ ทางโอทิสคาร์ก็มีบอกด้วยนะครับ ว่าแต่ละภาพมันคืออะไร

ระบุแม้กระทั่งแม่แรงไฮโดรลิก ที่จะใช้ยกจานบินให้ลอยสูงขึ้นจากพื้นด้วย คือแบบนี้นะครับ ถ้าผู้บรรยายจำไม่ผิด สมัยเด็ก ๆ ที่เรียกว่าเด็กมาก ๆ ผู้บรรยายเคยไปสวนสนุก แล้วเคยนั่งอะไรแบบนี้เหมือนกัน แต่ที่ผู้บรรยายเคยนั่งนั้น มันเป็นจรวดครับ นั่งร่วมกับหลาย ๆ คน ด้านหน้าเขาจะฉายหนังให้ดู เป็นมุมมองแบบบุคคลที่ 1 เหมือนเราบินขึ้นไปบนอวกาศเลยครับ แต่ตอนจบเนี่ย เขาให้จรวดมันบินตกลงมาโหม่งโลก จำไม่ได้ว่าเป็นสวนสนุกที่ไหน แต่อยู่ในเมืองไทยนี่แหละครับ ตัวหนังฉายเป็นภาษาอังกฤษเสียด้วย

ผู้บรรยายว่า คุณราล์ฟริง น่าจะรู้แหละครับ ว่ามันเป็นของเล่นสวนสนุก แต่ด้วยตัวของเขา อาจต้องการขายโปรเจ็กนี้กันต่อ เลยไม่ยอมบอกความจริงว่า ภาพที่เขาเห็น ตอนเขานั่งอยู่ในจานบินของโอทิสคาร์นั้น เป็นแค่ภาพอนิเมชั่น ที่ถูกสร้างขึ้นมาเฉย ๆ

ก็ไม่รู้เหมือนกันนะครับ ว่าทำไม หลายเว็บไซต์ในปัจจุบัน ที่นำเรื่องจานบิน ของโอทิสคาร์มานำเสนอนั้น จะเน้นว่ามันเป็นพิมพ์เขียวจานบินของจริง โดยไม่ให้ดูเลยว่า มันมีรายละเอียดจริง ๆ อย่างไร และพยายามชี้นำว่า จานบินที่ถูกถ่ายไว้นั้น คือจานบิน ที่ถูกทางการยึดเอาไว้ ซึ่งจริง ๆ มันไม่ได้ถูกยึดครับ ไม่อย่างนั้น คุณราล์ฟริง จะถ่ายภาพนี้มาให้ดูได้อย่างไร และก็ต้องไม่ลืมด้วยครับว่า ขนาดมันเล็กมาก ๆ เป็นอันเดียวกับภาพที่เว็บไซต์ต่าง ๆ นำมาให้ดูแน่นอนครับ เพียงแต่ เขาถ่ายไว้คนละมุมมอง ที่ทำให้เราเห็นชัดเจนว่า ถ้าโอทิสคารร์ทำจานบินลำนี้สำเร็จ ผู้บรรยายน่าจะได้นั่งมัน แทนเจ้าจรวดในสวนสนุก ในสมัยเด็กนั่นแน่ ๆ

ภาพถ่ายงูยักษ์คองโก เป็นของจริงหรือไม่ ?




กับเรื่องนี้ มิติที่ 6 เคยพูดถึงมาแล้วครั้งนึงครับ ถ้าจำไม่ผิด ครั้งก่อนที่พูดคุยกัน มันน่าจะเป็นในไลฟ์บนยูทูบ หลายปีแล้วด้วยนะครับ ตอนนั้น ผู้บรรยายมองที่ตัวภาพ ก็พอจะบอกได้ว่า ภาพนี้ มันมีองค์ประกอบแปลกไปหมดครับ และบอกว่ามันไม่น่าจะใช่ภาพจริง โดยไม่ได้ค้นหาเลยว่า เรื่องราวที่มาของภาพ มันมาจากไหนกันแน่

สมัยนั้น มิติที่ 6 ยังเพิ่งเริ่มทำครับ แนวทางปฏิบัติ ก็เลยไม่ชัดเจน การตอบคำถามในไลฟ์ก็เลยคาใจ สำหรับคนที่เคยดู และคนที่ไม่เคยดูครับ จนเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา ในกลุ่มมิติที่ 6 บนเฟสบุก ได้มีสมาชิกนำภาพนี้มาสอบถามอีกครั้ง คุณวีรพักท์คือผู้สอบถามครับ พอผู้บรรยายพบคำถามนี้ บอกตรง ๆ ครับ ดีใจมาก ๆ ที่ได้เห็นรูปนี้อีกครั้ง และขออนุญาตใช้โอกาสในไลฟ์รอบนี้ เล่าเรื่องของมันให้ฟัง รวมไปถึงข้อสรุปที่เป็นไปได้ ว่ามันเป็นภาพจริงหรือไม่ ใช่ครับ ลืมคำตอบเก่า ๆ ไปก่อนเลย แล้วมาฟังตรงนี้ แบบเต็ม ๆ กันครับ

เนื้อเรื่องมีสั้น ๆ ว่า เมื่อปี 1959 มีนายทหารชื่อ นาวาเอกเรมี แวน ลีเอิร์ด เขาเป็นชาวเบลเยียม เป็นผู้บัญชาการทัพอากาศ ในเมืองคามินา ประเทศคองโก ในช่วงที่เขากำลังปฏิบัติภารกิจ อยู่บนเฮลิคอปเตอร์ แถว ๆ เขตคาทังก้า ที่ความสูงหนึ่งร้อยห้าสิบเมตรนั้น

นาวาเอกเรมี ได้มองเห็นงูขนาดยักษ์ตัวหนึ่ง มันกำลังเลื้อยออกมาจากรู เพื่อพยายามจะโจมตีเฮลิคอปเตอร์ของเขา ทางนายทหารท่านนี้ อาศัยช่วงเวลา ที่ ฮ.ของเขาบินเข้าไปใกล้มัน ถ่ายภาพของมันเอาไว้ เขาระบุลักษณะของมันเพิ่มเติมว่า มันมีลำตัวสีน้ำตาลอมเขียว หน้าท้องสีขาว ความยาวกว่า 15 เมตร ยาวมากเลยนะครับ น่าจะยาวกว่างูจงอางบ้านเราซักสองเท่า หัวของมันขนาดกว้างหกสิบเซนติเมตร ขากรรไกรกว้าง 90 เซนติเมตร เรียกได้ว่าใหญ่มากพอ ที่จะโอบรถบัสทั้งคันได้

ซึ่งท้ายบทความ ได้ให้ข้อสรุปว่า ไม่มีใครรู้ ว่ามันเป็นงูสายพันธุ์ใดกันแน่ เพราะตั้งแต่วันนั้น ก็ไม่เคยมีใครพบงูตัวนี้อีกเลย บางคนเชื่อว่า งูที่นายทหารเรมีพบ น่าจะเป็นสายพันธุ์ ไททันโอโบอา งู่ที่ใหญ่และยาวที่สุดในโลก ที่ใหญ่กว่าพันธุ์อนาคอนด้า ระดับหลายเท่าตัว

ตรงนี้ขอเพิ่มให้นิดนึงครับ ไททันโอโบอาเนี่ย มันเป็นงูสายพันธุ์ดึกดำบรรพ์ มีขนาดประมาณในเรื่องเล่านี้ครับ เพียงแต่ มันสูญพันธุ์ไปกว่าสิบล้านปีแล้ว หมายความว่า งูในเรื่องเล่า อาจใช่หรือไม่ใช่ไททันโอโบอาก็ได้นะครับ ข้อมูลนี้ของไททันโอโบอานี้ ผู้บรรยายได้มาจาก มหาวิทยาลัยโทรอนโต คณะวิทยาศาสตร์สาขาบรรพชีวินวิทยานะครับ

ซึ่งก็ถือเป็นเรื่องเล่าสั้น ๆ ที่จะไม่มีทางเป็นประเด็นในบ้านเราเลย ถ้าไม่มีเว็บไซต์แนวบันเทิง นำมาเล่า

โดยเว็บแรกที่น่าจะเล่าเรื่องนี้ ปัจจุบันเขาลบเนื้อหา ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องเหนือธรรมชาติ ออกไปหมดแล้วครับ ใช่ครับ ผู้บรรยายหมายถึง เว็บไซต์ สโปกดาร์ก ด็อตทีวี

ไม่แน่ใจเหมือนกันว่า ทางเว็บไซต์นี้ นำเนื้อหาไปพักไว้ที่บล็อกดิทหรือยัง แต่กับโพสต์สั้น ๆ บนทวิตเตอร์ ระบุช่วงเสนอบทความตัวนี้ ไว้เมื่อประมาณปี 2018 ครับ

กลับมาที่เนื้อหา ผู้บรรยายพยายามค้นหาต้นทาง ที่มาจากภาษาอังกฤษครับ พบว่าไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เพราะเรื่องนี้มันหลายปีแล้ว มีเว็บไซต์ต่างประเทศจำนวนมาก ลงเนื้อหาไว้คล้ายกันทั้งหมด ทำให้ผู้บรรยาย ต้องกลับมาวางแผนค้นหากันใหม่ โดยเริ่มจาก นาวาเอกเรมี แวน ลีเอิร์ด เคยทำงานในคองโกจริงหรือไม่นะครับ

ข้อมูลที่ได้มาเบื้องต้น จากเว็บไซต์ The Exiled Belgian Royalist ระบุชัดครับว่า นาวาเอกคนนี้ มีตัวตนจริง และเคยไปทำงานที่คองโกจริง ๆ ครับ แต่กับเรื่องพบงูยักษ์ในคองโก กลับไม่มีการบันทึกไว้เลย

มันก็ต้องไปค้นหากันต่อครับ ว่าเรื่องนาวาเอกไปพบงูยักษ์ ที่ถูกเล่าไว้ในเว็บไซต์หลายแห่ง เขาอ้างอิงแหล่งที่มาอย่างไรกันบ้าง แล้วก็ได้เรื่องครับ แม้เว็บหลายแห่งจะไม่บอกที่มา แต่ก็มีบางแห่ง ระบุที่มาของบทความไว้ตรงกัน นั่นก็คือ ได้มาจาก รายการโทรทัศน์ ชื่อรายการ Arthur C Clarke's Mysterious World เอพิโสดที่ 11 ชื่อตอน Dragons, Dinosaurs and Giant Snakes ออกฉายเมื่อวันที่ 11 พฤษจิกายน 1980 นานมากเลยครับ นานกว่า 30 ปี อีกนะเนี่ย แต่ไม่น่าเชื่อครับ ว่าในยูทูบยังมีให้ดู และก็ได้เห็นหน้าของนาวาเอกเรมี่ สวมเครื่องแบบนายทหารออกมายืนยันด้วยครับ ตามเรื่องเล่านี้เลย และก็มีคำบอกเล่าอีกส่วนหนึ่ง ที่ไม่มีในเรื่องเล่าด้วยครับ ดังนั้น ขออนุญาตสรุปข้อมูลกันใหม่

ในรายการทีวี ผู้การเรมี่บอกว่า

ช่วงนั้น ทีมของเขา กำลังเดินทางกลับจากภารกิจ โดยเฮลิคอปเตอร์ เขาได้สั่งให้หันเครื่องกลับมาที่เจ้างูตัวนั้นหลายรอบ เพื่อให้พลถ่ายรูป ได้ถ่ายรูปของมันจนมั่นใจว่า ได้ภาพของมันมาแล้วแน่ ๆ

งูตัวนี้ มีความยาวเกือบ 50 ฟุต คือยาวเกือบ 15 เมตร

ลำตัวเป็นสีน้ำตาลเข้มอมสีเขียว หน้าท้องสีขาว

หัวของงูมีความยาว 3 ฟุต หรือ 90 เซนติเมตร กว้าง 2 ฟุต หรือ 60 เซนติเมตร

มีขากรรไกรเป็นรูปสามเหลี่ยม

ข้อมูลเพิ่มเติมอีกจุด ทางผู้การเรมี่บอกว่า ตอนนั้น เครื่องได้บินลงมาตรวจสอบมัน เจ้างูตัวนั้น กระโดดลอยขึ้นมาประมาณ 10 ฟุต หรือประมาณ 3 เมตรกว่า ๆ ทำให้เขาคาดเดาได้ว่า มันน่าจะกำลังโจมตีเฮลิคอปเตอร์ เมื่ออยู่ในระยะหวังผลของมันแน่ ๆ

หมายความว่า ผู้การเรมี่ เขาไม่ได้เป็นคนถ่ายภาพนี้ครับ และเขาก็สั่งให้เครื่องวนกลับมาตั้งหลายรอบ ซึ่งมีความเป็นไปได้ว่า พวกเขาเห็นงูตัวนี้จริง ๆ มันน่าจะเป็นงูตัวใหญ่มาก ๆ เพียงแต่ขนาดที่ผู้การบอกเล่า มันจะมีความถูกต้องมากมายแค่ไหนนั้น ไม่มีใครสามารถยืนยันได้ครับ เนื่องจาก ในรายการสารคดี ผู้การแกเล่าของแกคนเดียวเลย ซึ่งก็เป็นไปได้ว่า แกน่าจะจำชื่อทีมงานบางคนไม่ได้ โดยเฉพาะ ชื่อของตากล้องที่ถ่ายภาพนี้นะครับ

ซึ่งเราต้องเข้าใจด้วยว่า ผู้การเรมี่ แกน่าจะมีลูกน้องมากมายหลายคน เขาเป็นผู้การกองทัพในคองโก เป็นทหาร ไม่ใช่หัวหน้าทีมหน่วยพิเศษ ที่มีลูกน้องเพียงจำนวนหนึ่ง การที่จะจำชื่อลูกน้องให้ได้ทุกคน จึงเป็นเรื่องที่ทำได้ยากครับ อย่างมากสุด ก็คงสั่งแค่ จ่าเกรียง ถ่ายรูปมันไว้ อะไรแบบนี้แหละนะครับ ซึ่งก็ถือว่าเข้าใจได้ในส่วนนี้

แต่ที่ไม่เข้าใจ คือรายละเอียดของภาพถ่ายภาพนี้ต่างหากครับ สังเกตดูดี ๆ สิครับ ฉากหลังมันค่อนข้างเบลอ มากกว่าตัวงูที่ถ่ายได้ในภาพ คือ ตัวงูมันก็เบลอครับ แต่ฉากหลังนี่ ระดับดูไม่รู้เรื่องเลย ว่าตรงไหนเป็นที่โล่ง ตรงไหนเป็นต้นไม้ ตรงไหนเป็นต้นหญ้า หรือต้นกก มองไม่ออกซักอย่าง มองออกแต่งูอย่างเดียวจริง ๆ

ถ้าจะเอาเรื่องของเลนส์มาอธิบาย ว่าทำไมถึงได้ภาพแบบนี้ออกมา ก็พอจะเดาได้ว่า ช่วงเวลาที่ถ่ายภาพงูตัวนี้ มันอาจกำลังอยู่ในสภาพลอยอยู่ในอากาศ เนื่องจากกำลังกระโดดหรือเปล่า และตากล้องของผู้การ ก็สามารถใช้ฝีมืออันยอดเยี่ยม หมุนเลนส์ให้โฟกัสกับตัวงูมากที่สุด ส่งผลทำให้ฉากหลังเบลอ จนดูไม่ออกว่าข้างล่างมันเป็นยังไงใช่หรือไม่ เพราะสมาชิกบางท่านในกลุ่มเอง ก็ให้ข้อสังเกตประมาณว่า พื้นฉากหลังมันดูไม่ออกเลย ว่าตรงไหนเป็นต้นไม้ คือมองไม่เห็นต้นไม้ซักต้นครับ

แต่ถ้าไม่เอาเรื่องเลนส์มาอธิบาย ก็ต้องมาดูที่ระยะความสูง ของเฮลิค็อปเตอร์ลำนี้แทนครับ

จำที่ผู้การเล่าได้ไหมครับ งูตัวนี้ มันกระโดดลอยขึ้นมาถึงสามเมตร เพราะมันน่าจะคิดว่า เฮลิค็อปเตอร์ของผู้การ อยู่ในระยะที่มันโจมตีได้ หมายความว่า เฮลิค็อปเตอร์ลำนี้ กำลังบินอยู่ในความสูงซักเท่าไหร่ดีครับ อย่างน้อยก็ควรสูงกว่าสามเมตรใช่ไหมครับ ซักสี่เมตร ห้าเมตร หรือยี่สิบเมตรดี ซึ่งในระยะต่าง ๆ เหล่านี้ จะทำให้ตากล้องบนเครื่อง ถ่ายงูตัวนี้ได้ขนาดเท่าไหร่ มันควรจะเห็นงูในภาพ มีขนาดใหญ่มากกว่านี้หรือไม่ หรือควรจะมีขนาดเล็กกว่านี้ ก็ลองนึกถึงความยาวของมันดูครับ ยาวตั้งสิบห้าเมตร ตัวมันน่าจะใหญ่กว่านี้- เมื่อปรากฏอยู่ในภาพถ่ายหรือเปล่า ? ยิ่งถ้าถ่ายได้ ในขณะที่มันกำลังลอยตัวอยู่ด้วยแล้ว มันก็ยิ่งต้องมีขนาดใหญ่มากแน่ ๆ เพราะต้องไม่ลืมด้วยนะครับว่า ภาพที่นำมาถามนี้ ถูกขยายออกมา จากภาพเต็มภาพนี้นะครับ

คือผู้บรรยายไม่ได้ชี้นำนะครับ คนที่เป็นช่างถ่ายภาพ หรือมีกล้องถ่ายภาพน่าจะพอนึกออก การถ่ายภาพสิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่ มันควรจะปรากฏออกมาในภาพเป็นรูปแบบไหนนะครับ

พอพิจารณาเรื่องความสูงในการถ่ายภาพได้แบบนี้ ก็ต้องกลับมาที่ผู้การเรมี่ครับ ลองตากล้องถ่ายงูออกมาได้ตัวแค่นี้ ทั้งที่ระยะความสูงของเฮลิค็อปเตอร์ มันน่าจะทำให้เขาได้ภาพงูที่มีขนาดใหญ่ ชนิดแบบเห็นได้ชัดว่าใหญ่มาก ๆ ไม่ใช่เหมือนกับภาพถ่ายทางอากาศ ที่ถ่ายสูงเกินที่จะบอกได้ว่า พยายามบินลงมาดูใกล้ ๆ เพื่อถ่ายรูปชัด ๆ

คือ ผู้การเรมี่ น่าจะสับสน ในสิ่งที่เล่าซักอย่างแน่นอนครับ นั่นก็คือ เรื่องความสูงของเฮลิคอปเตอร์ ไม่ก็ ขนาดของงูยักษ์ตัวนี้

และด้วยความที่ผู้การ ไร้พยานบุคคลสนับสนุนแบบสิ้นเชิง ก็เลยทำให้หลายฝ่าย ไม่สามารถสรุปได้ว่า งูตัวนี้มันเป็นงูยักษ์ ที่มีความยาวเท่าไหร่กันแน่ครับ นี่ถ้าเห็นต้นไม้ชัด ๆ ซักต้นนะ คงไม่ต้องเสียเวลาคิดกันให้มากแบบนี้

ตำนานฟ้าระเบิด “ทุงกุสก้า” แห่งรัสเซีย !!!

เช้าตรู่วันที่ 30 มิถุนายน 1908 ไม่ต่างจากทุกวัน บรรยากาศอันเงียบสงบ

เขตเยนิเซเยสค์ มีแม่น้ำสายหนึ่งไหลผ่าน พ็อดคาเมนนายา ทุงกุสก้า แถวนั้นไม่มีผู้คนอยู่อาศัย ธรรมชาติแมกไม้สายน้ำ ใครจะไปรู้ ว่าที่ดี ๆ ขนาดนั้น จะถูกผู้บุกรุกจากแดนไกล มาทำให้ราบพนาสูญ

มิติที่ 6 สัปดาห์นี้ เราจะคุณย้อนเวลา กลับไปพบกับเหตุการณ์ระเบิดแห่งทุงกุสก้า การบุกรุกจากนอกพิภพของจริง ที่ได้ทิ้งร่องรอยปริศนา มาจนถึงปัจจุบัน เมื่อหนึ่งร้อยปีก่อนหน้านั้น ที่นั่นเคยเผชิญกับสิ่งใด วิจารณญาณมาพร้อมแล้วใช่ไหม ถ้าพร้อม จงมาดูกันต่อดีกว่าว่า เรื่องราวทั้งหมดนี้ มันคืออะไรกันแน่ !!?


ตามเวลาท้องถิ่น ประมาณ เจ็ดนาฬิกา สิบเจ็ดนาที หากอ้างอิงตามปฏิทินมาตรฐาน มันจะตรงกับวันที่ 30 มิถุนายน ปี 1908 และจะตรงกับวันที่ 17 มิถุนายน เมื่อเทียบกับปฏิทินท้องถิ่นรัสเซีย เรื่องราวเกิดขึ้นที่นั่น เขตเยนิเซเยสค์

จากปากคำคนพื้นที่ พวกเขาสังเกตเห็นบางสิ่ง ลำแสงสีน้ำเงิน มันสุกสว่าง สว่างเกือบเท่าดวงอาทิตย์ เคลื่อนผ่านท้องฟ้า ยาวนานประมาณเกือบสิบนาที เกิดแสงวาบสว่างไปทั่วพื้นที่ ตามด้วยเสียงสนั่นราวกับปืนใหญ่ หลายคนรายงาน จุดกำเนิดเสียงดังกล่าว มันมาจากทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ตามด้วยแรงกระแทก ที่เกิดจากมัน ผู้คนถึงกับล้มทั้งยืน กระจกหน้าต่างแตกกระจาย ความเสียหาย กินอาณาเขตเป็นวงกว้าง ระดับหลายร้อยกิโลเมตร

ตามบันทึก จากสถานีแผ่นดินไหวในแถบยูเรเซีย คลื่นปะทะที่เกิดจากเสียงระเปิด มันไปไกลถึงเยอรมนี เดนมาร์ก โครเอเชีย สหราชอาณาจักร อินโดนีเซียยังรู้สึก ไม่เว้นแม้แต่ ที่วอชิงตันดีซี ที่สามารถคาดการณ์ได้ว่า ในบางพื้นที่ คลื่นกระแทกจากเหตุการณ์นี้ มันรุนแรงเทียบเท่า กับแผ่นดินไหวขนาด 5.0 ในมาตราริกเตอร์
  

ผ่านไปไม่กี่วัน ท้องฟ้าย่านนั้นก็กลับมาปกติ จนมาถึงปี 1931 มีรายงานจากนิตยสารภูมิศาสตร์ ชื่อโวครุก สเวตา พวกเขาอ้างว่า เมื่อประมาณปี 1930 มีผู้ถ่ายภาพนี้มาได้ มันเป็นภาพถ่าย แถวบริเวณที่ราบแถวทุงกุสก้า ที่น่าจะเป็นจุดตกของลำแสง ก่อนที่มันจะหายไป พวกเขาถ่ายช่วงตอนเที่ยงคืน แต่ภาพที่ได้มา กลับสว่างจ้าราวกับตอนกลางวัน ทำไมมันถึงเป็นเช่นนั้น หรือนี่จะเป็นอานุภาพ ที่สิ่งนั้นหลงเหลือเอาไว้ ?


มีรายงานเกี่ยวกับอุณหภูมิ ตั้งแต่เหตุการณ์จบลงไป ทุกแห่งที่มันบินผ่าน อากาศจะเย็นลงผิดปกติ ซึ่งก็ได้คำอธิบาย ที่ยอมรับกันเป็นวงกว้างว่า อุณภูมิที่ลดต่ำลง มันน่าจะเป็นผลของการระเบิด อนุภาคฝุ่นที่ยังคงลอยอยู่ในอากาศ ทำให้ความโปร่งใสของบรรยากาศลดลง มันน่าจะกินเวลาหลายเดือน ทำให้แสงอาทิตย์ส่องลงพื้นไม่เต็มที่นั่นเอง

ตลอดช่วง 100 ปี มีบางคนตั้งสมมติฐาน เจ้าสิ่งนั้น อาจถูกส่งมาจากพระเจ้า มันมาเพื่อเตือนชาวโลก วันพิพากษากำลังจะมาถึง บางคนบอกว่าไม่น่าจะใช่ สิ่งที่เล็ดรอดชั้นบรรยากาศเข้ามา คือจานบินของมนุษย์ต่างดาวต่างหาก บ้างก็บอกว่าไม่มีอะไร นี่มันเป็นแค่ก็าซใต้ดินเกิดระเบิด บ้างก็บอกว่าเป็นดาวตกขนาดใหญ่ สงสัยว่าขนาดความกว้างของมัน น่าจะไม่ต่ำกว่า 30 เมตรเลยทีเดียว

สมมติฐานเหล่านี้ ยิ่งทำให้ทุกอย่างมืดมน เพราะเมื่อทีมสำรวจ ได้เดินทางไปจนถึงจุดที่น่าจะเป็นศูนย์กลางของระเบิด พวกเขากลับพบแต่ร่องรอยอานุภาพของมัน โดยไม่มีตรงไหนเลย ที่จะยืนยันได้ว่า ตรงนั้น คือหลุมที่เกิดจากการพุ่งชน หรือจุดปะทุของแก๊ส มีแต่ที่ราบ ๆ กับหลุมสะเก็ดเล็ก ๆ กระจายอยู่ทั่วไป ซากของตัวการมันอยู่ตรงไหน อะไรกัน ?

การหาจุดเริ่มต้น จึงถูกตั้งโจทย์ขึ้นมา ในวันเกิดเหตุ มันมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง

ด้วยความที่ปี 1908 สถานที่เกิดเหตุระเบิดในทุงกุสก้า เป็นส่วนหนึ่งของไซบีเรียอันหนาวเหน็บ แถวนั้นไม่ค่อยมีมนุษย์อยู่อาศัย ทางการของรัสเซีย จึงไม่สามารถหาบุคคลใด ที่จะนำมาใช้เป็นพยานได้ซักคน จนกระทั่งผ่านมาหลายปี ถึงได้มีการพบบุคคล ที่พอจะยืนยันได้ว่า พวกเขา คือพยาน

ปี 1930 เอส เซเมนอฟ เขาเป็นคนท้องที่ ปากคำที่เขาให้ไว้ อยู่ในบันทึกของลีโอนิด คุลลิก นักสำรวจแร่ชาวรัสเซีย

ช่วงอาหารเช้า ข้าพเจ้า กำลังนั่งอยู่ข้างบ้าน แถว ๆ ศูนย์ไปรษณีย์วานาวารา อยู่ ๆ ข้าพเจ้าก็เห็น มันอยู่ทางทิศเหนือ ตรงถนนอองกุลทุงกุสก้า ท้องฟ้าแยกเป็นสองซีก แล้วไฟก็สว่างวาบ ทั้งสูงและกว้างใหญ่ เหนือบริเวณป่า รอยแยกบนท้องฟ้าขยายใหญ่ขึ้น ด้านเหนือทั้งหมดถูกปกคลุมด้วยไฟ ตอนนั้นอากาศร้อนจัด ร้อนจนข้าพเจ้าทนไม่ไหว มันร้อนเหมือนเสื้อจะติดไฟ มาจากทางเหนือที่เกิดไฟลุกโชน ข้าพเจ้าอยากฉีกเสื้อผ้าทิ้ง แล้วทันใดนั้น ท้องฟ้าก็ปิดลง เกิดเสียงดังสนั่น ข้าพเจ้าถูกอะไรบางอย่าง กระแทกจนตัวลอย ออกไปสองสามเมตร ข้าพเจ้าหมดสติชั่วครู่ แล้วภรรยาก็วิ่งออกมา เธอพาข้าพเจ้า เข้าไปหลบในบ้านทันที

เสียงนั้น มันดังเหมือนปืนใหญ่ ตามด้วยเสียงเหมือนฝนก้อนหินตก แผ่นดินสั่นสะเทือนเลื่อนลั่น ช่วงที่ข้าพเจ้าอยู่บนพื้น ข้าพเจ้าต้องก้มศีรษะลง เพราะกลัวจะมีหินตกใส่หัว และช่วงที่ท้องฟ้าเปิดออก เกิดลมร้อนพัดผ่านระหว่างบ้าน ไม่ต่างจากการยิงปืนใหญ่ มันทิ้งร่อยรอยไว้บนพื้นดิน มันดูเหมือนทางเดิน พืชผลเสียหายบางส่วน และต่อมา พวกเราถึงได้พบว่า หน้าต่างหลายบานแตก กุญแจเหล็กของโรงนา ถึงกับขาดกระจายออกจากกัน

พยานคนต่อไป เขาชื่อชูชาน เป็นชาวเผ่าชานยาเกีย ที่อาศัยอยู่ในแถบไซบีเรีย ปากคำของเขา ถูกบันทึกโดย IM Suslov ในปี 1926

พวกเรา มีกระท่อมริมแม่น้ำ ฉันอยู่กับน้องชาย เขาชื่อเชคาเรน พวกเรากำลังนอนหลับ แล้วจู่ ๆ เราสองพี่น้องก็ต้องตื่นขึ้น มันมีคนมาผลักพวกเรา ฉันได้ยินเสียงนกหวีด รู้สึกได้ถึงลมแรง เชคาเรนถามว่า พี่ได้ยินเสียงนกบ้างไหม ? เราสองคนอยู่ในกระท่อม มองไม่เห็นว่าข้างนอกมันเกิดอะไร จู่ ๆ ฉันก็โดนผลักอีกครั้ง รอบนี้ ฉันถึงกับลอยไปตกในกองไฟ มันรุนแรง ฉันกลัว เชคาเรนก็กลัว พวกเราเริ่มร้องให้หาพ่อ หาแม่ หาพี่ชาย แต่ไม่มีใครตอบ นอกจากเสียงดังลั่นนอกกระท่อม ได้ยินเสียงต้นไม้ล้ม เชคาเรนกับฉัน รีบออกจากถุงนอนของตัวเอง อยากจะวิ่งหนีออกไป แล้วเสียงฟ้าร้องก็ดังขึ้น นี่เป็นเสียงฟ้าร้องครั้งแรก พื้นโลกเคลื่อนตัวสั่นสะเทือน ลมพัดกระแทกกระท่อมของเรา จนพังยับเยินไปหมด ตัวฉันถูกไม้ดีดจนล้ม ดีที่หัวไม่โดนอะไร ฉันรู้สึกอัศจรรย์ใจ เห็นต้นไม้ร่วงหล่น กิ่งไม้ถูกไฟไหม้ มันดูสว่างไสว จะว่ายังไงดีล่ะ มันเหมือนมีดวงอาทิตย์ดวงที่สอง ตาของฉันเจ็บปวด จนลืมตาต่อไปไม่ได้ อะไรแบบนี้ ที่รัสเซียเรียกว่าฟ้าผ่า และทันใดนั้น ก็เกิดเสียงฟ้าร้องดังลั่น นี่เป็นเสียงฟ้าร้องครั้งที่ 2 จนถึงตอนเช้า แดดก็ส่องตามปกติ ท้องฟ้าไม่มีก้อนเมฆ ดวงอาทิตย์ก็ปกติดี แต่ตอนนั้น มันมีดวงที่สอง

เชคาเรนกับฉัน มีปัญหาในการออกจากซากกระท่อม เราเห็นของเราแบบนี้ แต่กับที่อื่น มันมีแสงอีกจุด ฟ้าร้องดังก้องออกมา นั่นเป็นเสียงฟ้าฟาดครั้งที่สาม ลมพัดมาอีกแล้ว มันทำให้พวกเราล้มลงอีกครั้ง ต้นไม้แถวนั้นก็ล้ม

พวกเรามองดูต้นไม้ ยอดไม้หัก เห็นไฟลุก แล้วเชคาเรนก็ร้องตะโกน “มองข้างบนนั่นสิ” ตามด้วยชี้มือให้ดู สิ่งที่ฉันเห็น มันเป็นแสงวาบอีกอัน แล้วมันก็ทำให้เกิดฟ้าร้องอีก แต่เสียงดังน้อยกว่าตอนแรก นี่เป็นครั้งที่ 4 ที่เหมือนกับฟ้าร้องทั่วไป

ฉันจำได้ มันเกิดฟ้าผ่าขึ้นอีกหนึ่งครั้ง แต่มันไม่ร้ายแรง ดังมาจากที่ไหนซักแห่ง ที่ห่างจากดวงอาทิตย์ที่สองนั่น

ปากคำต่อไป มาจากหนังสือพิมพ์ซีเบีย ลงวันที่ 2 กรกฎาคม ปี 1908

เช้าวันที่ 17 มิถุนายน เวลาประมาณ 9 โมงเช้า พวกเราสังเกตเห็น มันเป็นเหตุผิดธรรมชาติ แถวหมู่บ้านคาเรลินสกี้ พวกชาวนาระบุว่า ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ สูงกว่าเส้นขอบฟ้า บังเกิดรูปร่างสรวงสวรรค์ มีสีขาวอมฟ้าสว่างไสว มันดูน่าประหลาดอัศจรรย์ สายตามองไปตรง ๆ ไม่ได้ มันเคลื่อนที่ลงมาทีละนิด ใช้เวลาประมาณ 10 นาที รูปร่างปรากฏเหมือนกับท่อ เป็นทรงกระบอก ท้องฟ้าไม่มีเมฆเป็นปกติ เห็นเพียงเมฆดำเล็กน้อย ในทิศที่มาจากจุดแสงสว่างนั้น มันร้อนและแห้ง จนเมื่อสิ่งนั้นลงมาใกล้พื้นดิน ความสดใสของมันดูเรื่มเปรอะเปื้อน จากนั้นก็เกิดควันดำขนาดยักษ์ ตามด้วยเสียงกระแทกดังเลื่อนลั่น มันไม่ใช่เสียงฟ้าร้อง เหมือนก้อนหินยักษ์ตกลงมา ไม่ก็ปืนใหญ่ถูกยิง อาคารบ้านเรือนสั่นสะเทือน เวลาเดียวกันนั้น ควันก็เริ่มกลายเป็นเปลวไฟ รูปร่างของมันเปลี่ยนไป เรียกว่าเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ ชาวบ้านทุกคนตกตะลึง พากันออกไปอยู่บนถนน พวกผู้หญิงต่างร้องไห้ พวกนางคิดว่าเป็นวันสิ้นโลก

ช่วงเวลานั้น ผู้ให้ข่าวเอง อยู่ห่างจากป่าที่อยู่ทางเหนือ ไปประมาณ 6.4 กิโลเมตร ได้ยินเสียง ดังมาจากทิศตะวันออกเฉียงเหนือ มันเหมือนเสียงปืนใหญ่ซักรุ่น ได้ยินซ้ำอย่างน้อย 10 ครั้ง ในช่วงระยะเวลา 15 นาที อาคารสองสามหลัง ที่ผนังหันหน้าไปทางนั้น กระจกหน้าต่างถึงกับสั่นไหว

หนังสือไซบีเรียนไลฟ์ ฉบับวันที่ 27 กรกฎาคม ปี 1908 ได้รายงานสั้น ๆ ว่า

หลังจากอุกาบาตตกลงมา เกิดแรงสั่นสะเทือนไปทั่วพื้นดิน มันใกล้กับหมู่บ้านโลวัต ของ กันสค์ อูสด์ เป็นเสียงระเบิดสองครั้ง ราวกับดังมาจากปากกระบอกปืนใหญ่

รายงานสุดท้าย มาจากหนังสือพิมพ์ คราสโนยาเรตซ์ ฉบับวันที่ 13 กรกฎาคม ปี 1908

ณ หมู่บ้านเคเชมสโกย วันที่ 17 เกิดเหตุผิดปกติ ในชั้นบรรยากาศ เวลา 7:43 เกิดเสียงคล้ายลมแรง ทันใดนั้น ปรากฏเสียงดังกระหึ่มสยดสยอง ตามด้วยแผ่นดินไหวเขย่าอาคาร ราวกับว่า พวกมันถูกท่อนไม้ขนาดยักษ์ หรือหินก้อนใหญ่กระแทกใส่

ระรอกแรกเกิดขึ้นมา ระรอกสองก็ตามมาในเสี้ยวอึดใจ และระรอกสาม โดยระหว่างเกิดเหตุ มันจะมาพร้อมกับเสียงสั่นสะเทือน ที่ดังมาจากทางใต้ดิน คล้ายกับมีรถไฟหลายสิบขบวน กำลังเดินทางผ่านพร้อม ๆ กัน หลังจากนั้น ประมาณ 5 ถึง 6 นาที เสียงคล้ายปืนใหญ่ก็ดังขึ้น ดังเป็นช่วงสั้น ๆ ระยะเว้นห่างพอ ๆ กัน ซึ่งมันค่อย ๆ เบาลงเรื่อย ๆ

หลังจากผ่านไปอีก 2 นาที ก็ได้ยินเสียงดังขึ้นมาอีก 6 ครั้ง เหมือนการยิงปืนใหญ่ ที่ยิงออกมาทีละกระบอก เสียงดังพร้อมแรงสั่นสะเทือน เหมือนฟ้าร้องฟ้าผ่า ไม่มีลมไม่มีเมฆ เมื่อตรวจสอบไปทางเหนือ พบว่าบริเวณที่ได้ยินเสียง จะเห็นเมฆชนิดหนึ่ง อยู่ใกล้กับขอบฟ้า มันดูมีขนาดค่อย ๆ เล็กลง และดูโปร่งใสไปทีละนิด จนช่วงสองสามโมงเย็น มันก็หายไปโดยสมบูรณ์

จากบันทึกต่าง ๆ แสดงให้เห็นว่า อะไรก็ตาม ที่ลอยข้ามผ่านพื้นที่ทั้งหมดนั้น มันตกลงไปบนพื้นที่ไหนซักแห่ง ที่น่าจะเป็นป่า สร้างความเสียหายจากไอความร้อน และคลื่นเสียงที่กระแทกอย่างรุนแรง ไม่มีใครรู้ว่ามันคืออะไร นอกจากหนังสือพิมพ์บางฉบับ ที่มองว่า มันคืออุกาบาต

เวลาผ่านไป ความสงสัยยังคงเคลือบแคลง แต่ด้วยปัญหาภายในรัสเซียช่วงนั้น มันใหญ่หลวงระดับสงครามโลก ทำให้ยังไม่เกิดทีมงานค้นหา จนมาถึงปี 1921 มีทีมสำรวจแร่ของรัสเซีย นำทีมโดยลีโอนิด คุลลิก ได้เดินทางไปที่พ็อดคาเมนนายา ทุงกุสก้า ที่ถือเป็นส่วนกลางของแม่น้ำทุงกุสก้า พวกเขาทำงาน ให้กับสถาบันวิทยาศาสตร์รัสเซีย และไม่เคยเดินทาง ไปยังจุดที่เกิดระเบิดตรงนั้นมาก่อน พอไปถึงจุดเกิดเหตุ ความเสียหายที่เห็นอยู่ตรงหน้า มันทำให้พวกเขาคาดว่า สิ่งที่ทำให้เกิดระเบิดในปี 1908 นั้น มันน่าจะเป็นอุกาบาตขนาดยักษ์ พวกเขารีบเดินทางกลับออกมา ทำรายงานส่งถึงรัฐบาลโซเวียต เพื่อขอกองทุนในการสำรวจพื้นที่ ว่ามันจะส่งผลกระทบอะไรกับจุดนั้นบ้าง และถ้าโชคดี อาจจะพบธาตุหรือโลหะ ที่จะส่งผลต่อความก้าวหน้า ในการทำเหมืองแร่ด้วย

คุลลิกฟอร์มทีมสำรวจใหม่ เดินทางกลับไปยังทุงกุสก้าอีกครั้ง ในปี 1927 เขาว่าจ้างชาวพื้นเมืองอิเวนกี้ เพื่อนำทางทีมงาน ไปยังศูนย์กลางของระเบิด พวกเขาคาดหวัง ถึงการพบกับหลุมอุกาบาตขนาดใหญ่ แต่เมื่อเดินทางไปถึง พวกเขากลับไม่พบอะไร ที่ดูเป็นหลุมยักษ์แบบที่คิด พบแต่พื้นที่กว้างประมาณ 8 กิโลเมตร ต้นไม้ทั้งหมดไหม้เกรียมไร้กิ่งก้าน พวกมันล้วนยืนตรงเป็นต้นตาย ต้นไม้ที่อยู่ห่างไกลจากจุดศูนย์กลาง ถูกแผดเผาไปบ้างบางส่วน หลายต้นล้มลง ในทิศตรงข้ามกับจุดศูนย์กลาง ทำให้เกิดแนวรัศมีขนาดใหญ่ ที่่เกิดจากต้นไม้หักโค่นเหล่านั้น

ช่วงทศวรรษ 1960 มีการกำหนดเขตป่าในพื้นที่ราบ เป็นจำนวน 2150 ตารางกิโลเมตร เป็นรูปร่างคล้ายผีเสื้อกางปีกขนาดมหึมา ปีกแต่ละข้างมีขนาดประมาณ 70 กิโลเมตร ส่วนที่เหมือนเป็นลำตัวอีก 55 กิโลเมตร หลังจากการตรวจสอบโดยละเอียด คูลิกพบหลุมอยู่หลุมหนึ่ง เขาเข้าใจว่า มันน่าเป็นหลุมอุกกาบาต แต่ในเวลาต่อมา เขาก็พบว่ามันไม่ใช่

ตลอดช่วง 10 ปี คูลิกพบหลุ่มบ่อเล็ก ๆ มากมาย แต่ละแห่งมีขนาดแตกต่างกัน มีตั้งแต่เส้นผ่านศูนย์กลาง 10 เมตร ไปจนถึง 50 เมตร ตอนแรกเขาคิดว่า มันน่าจะเกิดจากอุกกาบาต เขาพยายามวิดน้ำในหลุมออก จนพบว่าที่ด้านล่างนั้น มีตอไม้เก่าอยู่ใต้หลุม และคาดเดาว่า ก็น่าจะเป็นหลุมอุกกาบาตนั่นแหละ แต่ทำไม ขนาดของมันถึงได้เล็กจัง ไม่สมกับความร้ายแรง ที่เกิดขึ้นไปโดยรอบเลย

การศึกษาดำเนินต่อ ทีมงานของคูลิค พบซิลิเกตและแม็กนีไทต์ มันมีลักษณะเป็นทรงกลม แบบเดียวกับที่พบในซากต้นไม้แถวนั้น การศึกษาในเวลาต่อมา พบว่ามันคือสสาร ที่อยู่ในเรซินของต้นไม้ มีสัดส่วนของนิกเกิลสูง มันน่าจะเกิดจากอุกกาบาต จนสามารถสรุปได้ว่า สิ่งที่ตกลงมาในปี 1908 มันมาจากนอกโลกจริง ๆ

ผลวิเคราะห์ทางเคมี ที่ได้จากบึงบริเวณนั้น พบความผิดปกติหลายอย่าง ที่ถูกพิจารณาว่า สอดคล้องกับเหตุอุกกาบาตตก มันแตกต่าง จากพื้นที่ปกติใกล้เคียง ในน้องน้ำ มีสัดส่วนของอิริเดียมสูงผิดปกติ ที่คาดเดาว่า สาเหตุที่มันเป็นเช่นนั้น มาจากเศษซากของสิ่งที่ตกลงมา ไปสะสมอยู่ที่ก้นบึงแน่ ๆ

แต่ถึงจะมีคำอธิบาย นักวิทยาศาสตร์บางคน กลับไม่เห็นด้วยกับรายงาน ฝ่ายที่่ไม่เห็นด้วยมองว่า ผลของการสำรวจของคูลิค สมควรมีรายงาน จากห้องปฏิบัติการอื่นมารองรับด้วย ที่พอจะหมายความได้ว่า ฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยนี้ ต้องการคำยืนยันจากหน่วยงาน ที่มีความน่าเชื่อถือสูงกว่าคุลิค เพียงเท่านั้น เนื่องจาก พวกเขาบางคน เคยสำรวจพื้นที่แถวทุงกุสก้ามาก่อน บางทีเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น มันอาจไม่ใช่อุกกาบาตตกก็เป็นได้

จอห์น อันฟิโนจีโนฟ ได้ให้คำแนะนำว่า ก้อนหินที่พบในที่เกิดเหตุ ที่คิดว่าน่าจะเป็นหินอุกาบาตนั้น หลังจากเขานำไปวิเคราะห์ พบไอโซโทปออกซิเจนของควอทไซต์ ที่ทำให้เข้าใจได้ว่า มันเกิดมาจากความร้อนใต้ดิน และน่าจะเกี่ยวข้องกับหินภูเขาไฟ ที่พบได้ทั่วไปในแถบไซบีเรียแทร็ปอยู่แล้ว ไม่ใช่อุกกาบาตหรอก ซึ่งข้อแนะนำของจอห์น ถูกหักล้างโดยหลายฝ่าย เพราะทฤษฎีของเขา ไม่ได้พูดถึงลำแสง ที่พุ่งพาดผ่านท้องฟ้าเลย

จากข้อมูลข้างต้น พอจะทำให้สรุปได้ว่า อะไรก็ตาม ที่สร้างความตื่นตะลึงในวันนั้น มันมาจากนอกโลกแน่นอน เพียงแต่ มันคืออะไร ?

จากการถกเถียง ทำให้เกิดแนวทางขึ้นมา อะไรก็ตามที่มาจากนอกโลก มันสามารถเป็นได้ตั้งแต่ดาวหาง ดาวเคราะห์น้อย วิธีการให้ได้มาซึ่งคำตอบ จำเป็นต้องเริ่มต้น จากการวิเคราะห์ก่อนว่า รูปแบบการระเบิด มันมีลักษณะอย่างไรบ้าง

สิ่งที่ได้คือข้อสรุป รูปแบบการระเบิด มันคล้ายคลึง กับการทิ้งระเบิดเป็นอย่างมาก เกิดคลื่นระเบิดอากาศขนาดใหญ่ ที่สามารถพบได้ ในการทดลองยิงระเบิดร้ายแรง มันคือสาเหตุ ที่พยานหลายคนต้องล้มลง กระจกบ้านเรือนแตกกระจาย และสามารถใช้เป็นคำอธิบาย สำหรับต้นไม้ในจุดศูนย์กลางของการระเบิดด้วย ต้นไม้ที่อยู่ใกล้จุดศูนย์กลาง จะไม่มีต้นไหนล้มลง ในขณะที่ต้นไม้ในจุดห่างออกไป จะล้มลงตามแรงกระแทกของระเบิด คล้ายเหตุปรมณูที่ฮิโรชิมา ที่พบว่าบริเวณศูนย์กลางของระเบิด มีความเสียหาย น้อยกว่าบริเวณรอบนอก

ด้านลักษณะการกระจาย ที่ทำให้พื้นจุดตกกระทบ ดูคล้ายผีเสื้อยักษ์กางปีกนั้น ในช่วงปี 1960 สหภาพโซเวียต ได้ทำการทดลองสร้างป่าจำลอง ที่สร้างโดยไม้ขีดไฟผูกไว้บนหลักลวด พวกเขาใช้ระเบิดขนาดเล็ก ไหลเลื่อนลงมาตามสายไฟ จนมันเกิดระเบิดกระจัดกระจาย ทำให้พื้นที่บริเวณสุดท้าย มีรูปร่างกระจายคล้ายผีเสื้้อกางปีก ไม่ต่างกับที่เกิดในทุงกุสก้า มันชี้ให้เห็นชัดเจนว่า วัตถุที่ตกลงมา น่าจะทำมุมประมาณสามสิบองศาจากพื้นดิน และหนึ่งร้อยสิบห้าองศาจากทางทิศเหนือ มันน่าจะเบิดกลางอากาศ ทำให้ไม่เหลือเศษซากใด ๆ

นั่นก็เลยทำให้ สามารถหาข้อสรุปได้ว่า อะไรก็ตาม ที่ตกลงมาในปี 1908 มันระเบิดในรูปแบบไหน ถึงได้ทำให้ พื้นที่มีลักษณะแปลกประหลาดเช่นนั้น

กับข้อสงสัยสุดท้าย เจ้าอะไรก็ตามที่ว่า มันคืออะไรกันแน่

ช่วงปี 1930 มีนักดาราศาสตร์ชาวอังกฤษ ชื่อฟรานคิส จอห์น เวลส์ วิปเปิ้ล ได้ออกมาพูดถึงเหตุการณ์ในทุงกุสก้า บอกว่า มันน่าจะเป็นดาวหางขนาดเล็ก เนื่องจากมันประกอบไปด้วยฝุ่น และสารระเหยประเภทน้ำแข็ง มีก๊าซแช่แข็ง และสามารถกลายเป็นไอได้โดยสมบูรณ์ หลังจากเข้ามาในบรรยากาศของโลก ทำให้ไม่เหลือร่องรอยใด ๆ ทิ้งไว้บนพื้นดินชัดเจน ซึ่งสมมติฐานนี้ สามารถใช้อธิบาย เหตุการณ์ท้องฟ้าเรืองแสง จากคำบอกเล่าของพยานได้ และเป็นคำอธิบาย ที่ทำให้พื้นที่ ๆ เห็นแสงสว่าง เกิดอุณหภูมิลดต่ำลงด้วย ถือเป็นสมมติฐาน ที่ได้รับการยอมรับ ในหมู่นักวิจัยทุงกุสก้าของโซเวียต ในช่วงปี 1960

ปี 1978 นักดาราศาสตร์ของสโลวัก ชื่อลูเบอร์ เครแซก ได้ออกมาให้ความเห็น สิ่งที่ตกในทุงกุสก้า น่าจะเป็นชิ้นส่วนของดาวหางเองเคอร์ มันสอดคล้องกับวิถีโคจร ของวัตถุที่เข้ามาในทุงกุสก้ามากที่สุด และเป็นที่รู้กันดี ว่าดาวหางเองเคอร์นี้ จะสามารถระเบิดได้เป็นระยะ เนื่องจากมีข้อมูล จากดาวเทียมทหาร ที่เฝ้าสังเกตการระเบิดของมัน มานานหลายสิบปีแล้ว มันน่าจะมาพร้อมกับฝนดาวตก โดยในช่วงปี 2019 มีนักดาราศาสตร์ ได้ค้นหาดาวเคราะห์น้อย ที่มีเส้นผ่านศูนย์กลาง ประมาณหนึ่งร้อยเมตร จากฝูงดาวตกทอริด พวกเขาพยายามมองหามัน แต่สุดท้าย พวกเขาก็ยังไม่พบ จึงยังไม่สามารถฟันธงได้ว่า สมมติฐานนี้ มันถูกต้อง

ปี 1983 ชเดนเนก เซกานินา นักดาราศาสตร์ ได้เผยแพร่บทความ วิจารณ์สมมติฐานเกี่ยวกับดาวหาง เขามองว่า วัตถุที่ประกอบเป็นดาวหาง ที่จะเดินทางผ่านชั้นบรรยากาศเข้ามา มันควรจะสลายตัวอย่างรวดเร็ว ในขณะที่ของทุงกุสก้า มันกลับยังไม่ย่อยสลาย จนเข้ามาถึงบรรยากาศด้านล่าง หมายความว่า มันอาจไม่ใช่ดาวหางก็เป็นได้ ต่อมาในปี 2001 เซกานินา ก็ได้เผยแพร่ผลการศึกษา เป็นผลคำนวนความน่าจะเป็น ตามแบบจำลองวงโคจร ของดาวเคราะห์น้อยใด ๆ ที่สามารถผ่านเข้ามาในชันบรรยากาศ จนลงไปถึงทุงกุสก้า ผลสรุปความน่าจะเป็น สูงถึง 83% ว่าวัตถุอะไรก็ตาม ที่ผ่านมาถึงพื้นโลกในวันนั้น มันน่าจะเป็นดาวเคราะห์น้อย มากกว่าดาวหางอย่างแน่นอน

ซึ่งสมมติฐานนี้ มีผู้เชี่ยวชาญเรื่องดาวหาง ได้ให้ความเห็นแย้งว่า มันไม่จำเป็นต้องเป็นดาวเคราะห์น้อยหรอก เพราะดาวหางบางดวง ก็มีลักษณะเป็นก้อนหินได้เช่นกัน และมัน ก็น่าจะทะลุผ่านเข้ามา ถึงบรรยากาศชั้นในได้ ดังนั้น อย่าเพิ่งด่วนสรุป เนื่องจาก หากเป็นดาวเคราะห์น้้อย มันก็คือวัตถุที่เป็นหิน และเมื่อมันตกมาถึงพื้น มันก็ควรจะเกิดเป็นปล่องหลุ่มขนาดใหญ่ แต่นี่มันไม่มี หากมันแค่บินผ่านชั้นบรรยากาศเข้ามา มันก็ควรจะเกิดแรงกดดัน และอุณภูมิสูงขึ้น จนในที่สุดก็ต้องระเบิด จนไม่มีอะไรเหลือแน่ ๆ แต่จากปากคำของพยาน บอกว่าเจ้าสิ่งนัั้น มันกระจัดกระจายไปทั่วชั้นบรรยากาศ และเกิดระเบิดไปตลอดเส้นทาง จึงทำให้ในปี 1993 มีการนำเสนอว่า สิ่งที่พุ่งเข้ามา อาจเป็นก้อนหินขนาด 60 เมตร ประกอบไปด้วยคอนไดรต์ธรรมดา กับคอนไดรต์คารบอน สารคาบอร์เนต ที่มีแนวโน้มว่าจะละลายได้อย่างรวดเร็ว เว้นแต่มันจะถูกแช่แข็งเข้ามา ใช่ พวกเขามองว่า มันน่าจะเป็นดาวหางจริง ๆ

คริสโตเฟอร์ ไชบา และนักวิทยาศาสตร์อีกจำนวนหนึ่ง พวกเขาไม่เชื่อว่ามันคือดาวหาง และมองว่ามันคือดาวเคราะห์น้อยแน่ ๆ พวกเขาเสนอกระบวนการ ที่อุกกาบาตหิน สามารถระเบิดออกได้เช่นกัน หากมันเข้ามาในบรรยากาศของโลก และมันสามารถสร้างความเสียหาย ก่อนที่จะสลายไปจนเกลี้ยง จากการระเบิดครั้งสุดท้ายเสร็จสิ้น ทำให้ผลลัพธ์ที่ได้ กลายเป็นไม่มีหลุมอุกาบาต ได้เช่นกัน

ในปี 2008 มีการสร้างแบบจำลองเชิงสามมิติ เพื่อสนับสนุนว่า อุกกาบาตที่ตกในทุงกุสก้า น่าจะเป็นดาวหาง สสารของมัน น่าจะกระจายตัวในชั้นบรรยากาศ จนไม่มีอะไรเหลือ ส่วนป่าที่ถูกทำลาย มันเกิดจากคลื่นกระแทกเท่านั้น

ปี 2009 นักวิทยาศาสตร์ชื่อเอ็ม.ซี. เคลลี่ ได้ออกมาโต้แย้งว่า อย่าเพิ่งปักใจว่าเป็นดาวหาง เพราะดาวเคราะห์น้อยเอง ก็สามารถทำให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้ได้ เขายกการคำนวน ระบุว่ามีดาวเคราะห์น้อยดวงหนึ่ง น่าจะเคยเดินทางเข้ามาใกล้โลก ในช่วงปี 1908 เขาคำนวนจากวงโคจร ของกลุ่มดาวเคราะห์น้อยกลุ่มหนึ่ง ที่เข้ามาใกล้โลกเมื่อปี 2005 เคลลี่กับทีมงาน ได้ผลคำนวนออกมาค่อนข้างชัดเจน กลุ่มดาวหางดวงนี้ เคยเข้าใกล้โลกมาก่อนจริง ๆ ใกล้ที่สุดคือปี 1908 แถมยังเข้าใกล้ก่อนวันพุ่งชนวันนั้น ไม่เกิน 3 วันเสียด้วย ซึ่งชิ้นส่วนที่เหลือของการตก ทางทีมวิจัยร่วมของสหรัฐกับยุโรป พบว่ามีส่วนผสมของเหล็ก มันเป็นดาวที่มีเหล็้กเป็นสสาร ไม่ใช่ดาวหาง ที่มีน้ำแข็งเป็นส่วนประกอบหลัก อย่างแน่นอน

ปี 2013 เกิดเหตุดาวตกที่รัสเซีย ทั่วโลกเผยแพร่คลิปการระเบิดของมัน ทำให้นักวิทยาศาสตร์มีข้อมูลมากพอ ที่จะสร้างแบบจำลอง สำหรับเหตุการณ์ในทุงกุสก้ากันใหม่ พวกเขาพบว่า เหตุอุกกาบาตตกในปี 2013 มีความรุนแรง ระดับเดียวกันกับของทุงกุสก้า แรงระเบิดและความสูงใกล้เคียงกัน สร้างคลื่นกระแทกได้ไม่แพ้กัน ที่ทำให้ได้ข้อสรุปว่า ไม่ว่ามันจะเป็นดาวเคราะห์น้อย หรือดาวหาง หากพวกมันเข้ามาในชั้นบรรยากาศโลกได้ มันจะปล่อยพลังระเบิดทำลาย ได้ระดับเดียวกับการระเบิดของภูเขาไฟเซนเฮเลน

ในปี 2020 มีกลุ่มนักวิทยาศาสตร์รัสเซีย สร้างแบบจำลองคอมพิวเตอร์หลายรูปแบบ เพื่อคำนวนเส้นทางของดาวเคราะห์น้อย พวกเขาสร้างเงื่อนไขมากมาย ตั้งแต่ความหลากหลายของขนาด มุมที่ตกผ่านชั้นบรรยากาศ ไปจนถึงองค์ประกอบของมัน ที่มีทั้งเหล็กหินหรือน้ำแข็ง มันทำให้ได้ข้อสรุป เป็นแบบจำลอง ที่ใกล้เคียง กับเหตุการณ์ในปี 1908 มากที่สุด เจ้าสิ่งที่ตกลงมาวันนั้น มันคือดาวเคราะห์น้อย ที่มีส่วนผสมของเหล็ก เส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 200 เมตร เดินทางด้วยความเร็ว 11.2 กิโลเมตรต่อวินาที และทำให้คาดเดาได้ว่า สาเหตุที่มันไม่เหลือซากใด ๆ เอาไว้ เพราะมันเดินทางเข้ามาในบรรยากาศ แตกตัวออกเป็นชิ้นในขนาดต่าง ๆ กัน ในขณะที่แกนใหญ่ที่สุดของมัน ยังคงเดินทางต่อไป จนเลยออกจากโลกไป กลับไปอวกาศอันเวิ้งว้าง ในวงโคจรเดิมของมัน

ในปัจจุบัน ยังคงมีสมมติฐานเพิ่มเติมมากมาย นอกจากเรื่องมันคืออะไร ยังมีการค้นหาเพิ่มเติมด้วยว่า หากการระเบิดที่ทุงกุสก้า มันเป็นเพียงการระเบิดครั้งสุดท้าย ชิ้นส่วนที่หลงเหลือมันต้องมี ซึ่งถ้ามันมี มันก็ควรจะทิ้งร่องรอยเอาไว้แน่ ๆ พวกเขาสงสัย ถึงกำเนิดของทะเลสาปเชโก มันอยู่ใกล้แม่น้ำทุงกุสก้า ไม่เคยมีรายงานว่า ทะเลสาปมันเกิดขึ้นมาเมื่อไหร่ พวกเขาใช้เทคโนโลยีเสียงสะท้อน ทำให้สามารถสร้างภาพภูมิศาสตร์สามมิติ พวกเขาพบร่องรอยของการชน ทะเลสาปเชโกเกิดจากอุกกาบาต ทิศทางก็สอดคล้องกับเส้นทาง ของเหตุดาวตกในปี 1908 ถ้าพวกเขาคิดถูก ทะเลสาปเชโกนี่แหละ คือจุดลงจอดของมัน เพียงแต่เรื่องนี้ ยังคงต้องใช้เวลา เนื่องจากยังมีข้อมูลอีกทาง ที่มองว่า มันเป็นอดีตปากปล่องภูเขาไฟ

ด้านสมมติฐาน เกี่ยวกับมนุษย์ต่างดาวและยูเอฟโอ สั้น ๆ ข้อมูลจากนักทฤษฎีเหล่านั้น ใช้ยืนยันอะไรไม่ได้

และทั้งหมดนั้น ก็คือเรื่องราวของมัน เหตุระเบิดปริศนาในทุงกุสก้า พร้อมคำอธิบายที่ทันสมัยมากที่สุด กับสิ่งที่ยืนยันได้ตอนนี้ ก็คือ มันมาจากนอกโลก ใช่ มันมาจากนอกโลกจริง ๆ

หลังจากจบรายการมิติที่ 6 แล้ว อย่าลืมกดติดตามกันเอาไว้ กดไลค์กดแชร์เป็นกำลังใจ และอย่าลืมทิ้งคอมเมนต์กันเอาไว้ด้วยนะครับ ยังมีเรื่องราวต่าง ๆ อีกมากมายรอคุณอยู่ สำหรับวันนี้ สวัสดี

コワイシャシン - โควายชาชิง ไขปริศนาตำนานเกมอาถรรพ์ Play Station 1 !!!





เมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ.2564 ที่กลุ่มมิติที่ 6 ออฟฟิเชียลกรุปบนเฟสบุก มีสมาชิกชื่อ ลูซิ ลาน้อย คิคุโอ แชร์โพสต์จากเพจดูการ์ตูนอย่างแมว ๆ ที่ฝากมาถามกับเราว่า ตำนานเรื่องนี้ เป็นเรื่องจริงหรือไม่

มิติที่ 6 ศุกร์สยองขวัญ กับเรื่องราวเบา ๆ ในวันศุกร์สะดวกสัปดาห์นี้ เราจะมาเล่าถึงตำนานเรื่องนั้น コワイシャシン - โควายชาชิง ไขปริศนาเกมอาถรรพ์ Play Station 1 !!! วิจารณญาณของคุณอยู่ที่ไหน หากไม่มีใส่ก็จงหาเอามาสวม เสร็จแล้วจึงค่อยมานั่งรวม เพื่อมาดูกันต่อว่า เรื่องราวทั้งหมดนี้ มันคืออะไรกันแน่ !!?


ดูเหมือนว่า เกมโควาย ชาชิง บนเครื่องโซนี่ เพลย์สเตชั่น มันจะแย่มากเลย

ผมเคยมีเพื่อน พวกเราทำงาน ในบริษัทพัฒนาเกมแห่งหนึ่ง เลยได้มีประสบการณ์ มันคือเรื่องเลวร้าย มีคนบาดเจ็บล้มตาย เรียกได้ว่าหลายคน

เจ้าเพื่อนคนนั้น เขาเล่าถึงตัวเอง เขาจบจากโรงเรียน ม.ปลาย แล้วก็เข้ามาอยู่ฝ่ายขาย เลยได้มาทำงานกับผม ก็นะ มันเป็นบริษัทเล็ก ๆ แต่ถึงจะพูดแบบนั้น ที่นั่น เป็นบริษัทพัฒนาเกมอินดี้ ที่ดูแลพนักงานเป็นอย่างดี

ในปีที่สอง ตั้งแต่พวกเรา ได้เข้ามาทำงานที่นี่ มันมีการประชุม เกี่ยวกับการพัฒนาเกม ให้กับเครื่องเพลย์สเตชั่น ที่กำลังจะเปิดตัวในช่วงฤดูร้อน ที่กำลังจะมาถึง

หัวข้อการประชุม คือฝ่ายพัฒนาเกม พวกเขาวางแผนถึงวันนั้น นั่นก็คือการจะสร้างเกม เป็นคิวพิเศษเลย ซึ่งตัวเกมใหม่ที่ว่า มันจะเกี่ยวข้อง กับภาพถ่ายติดผี ไม่ก็ภาพอาถรรพ์

หัวหอกการพัฒนา คงไม่ดี ถ้าจะเรียกชื่อจริงของเขา ขอเรียกแค่ คุณ เค คาวะ ก็แล้วกัน เขาเป็นพวกจริงจัง ชอบเรื่องภาพถ่ายติดวิญญาณ ไม่ก็ภาพที่ถ่ายด้วยพลังจิต เขาต้องการความสมจริง เพื่อให้ผู้เล่น รู้สึกว่า ได้เจอผีจริง ๆ ในเกมแล้ว

คุณเคคาวะเสนอไอเดียนี้ ที่ประชุมว่ายังไงบ้าง พวกเราไม่รู้หรอก รู้แค่ผลของการประชุม คือท่านประธานโอเค และสั่งเริ่มการพัฒนาทันที

ปัญหาใหญ่ คือพวกเรา จะไปหาภาพถ่ายอาถรรพ์ มาได้อย่างไร ?

ตอนแรก มีการเสนอกันว่า มันไม่จำเป็น ที่จะต้องใช้ภาพถ่ายของแท้เลย แต่ดูเหมือน คุณเคคาวะกับประธาน จะมีน้ำโหขึ้นมาทันที เหตุผลของพวกเขา คือมันจะทำให้เกมขายไม่ดี และมันก็คือที่มา ของคำสั่งเด็ดขาด ให้เริ่มค้นหาภาพถ่ายแบบนั้น โดยทุกภาพ จะต้องเป็นของจริง

เพื่อนของผม ที่มีหน้าที่โดยตรง ก็เลยต้องทำตามคำสั่งนั้น

เหมือนเผือกร้อน เพราะเมื่อเริ่มหารูป จะไปหามาจากไหนกันล่ะ ? กำลังใจก็เริ่มจะเสีย ทำให้เขา ต้องยกหูโทรหาพวกนิตยสาร ไปจนโทรหาเพื่อน ๆ ที่ยังเรียนมหาวิทยาลัยกันอีกทาง ผลของความพยายาม เขาได้ภาพถ่ายติดผีมาจำนวนหนึ่ง น่าจะ 7 ไม่ก็ 8 ภาพ

เขานำพวกมัน เข้าไปเสนอในที่ประชุม มันแป้ก คุณเคคาวะไม่โอเค

อย่างที่เพื่อนผมบอกนั่นแหละ ถึงมันจะเป็นงานของเขา แต่เขาไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญ

ผมเลยต้องช่วยอีกทาง ด้วยการโทรไปตามนิตยสาร พวกที่ตีพิมพ์เรื่องพวกนั้น พวกแนวอาถรรพ์ แล้วผมก็ได้รับการแนะนำ ให้รู้จักกับบริษัทโปรดักชั่นแห่งหนึ่ง ดูเหมือนพวกเขาจะเชี่ยวชาญ ในการจัดการกับเรื่องพวกนี้

ผมกับเพื่อน จึงรีบติดต่อขอเข้าไปคุย หลังจากการเจรจา ผมถึงได้รู้ว่า บริษัทนี้ เขารับจัดหารูปแนวนั้น ให้กับพวกรายการแนวผี ๆ ทางช่องโทรทัศน์ด้วย

เจ้าเพื่อนของผมก็สงสัย ภาพถ่ายแบบนั้น บริษัทเขาไปได้มายังไง ? พวกเขาก็ตอบว่า รูปพวกนั้น ได้มาจากคนทรง นี่หมายความว่า พวกเขา มีคอนเน็กชั่นกับคนทรงสินะ และถ้าคนทรงเสนออะไรมา พวกเขาก็จะซื้อมัน แบบนั้นใช่ไหม ?

ผมคิดว่า ภาพจากบริษัทนี้ น่าจะพอใช้ได้แน่ ๆ ก็เลยให้เพื่อนของผม ติดต่อคุุณเคคาวะ ให้มาคุยเองดีกว่า ให้เขาคุยคอนเสปกันตรง ๆ แล้วก็ทำสัญญา จบ ๆ ไปรวดเดียว

โดยสิ่งที่คุณเคคาวะต้องการนั้น

หนึ่ง พวกมัน ต้องเป็นภาพอาถรรพ์ของจริง

สอง พวกมัน ต้องไม่ได้ผ่านพิธีไล่ผี

สาม หากมันเป็นภาพมีเจ้าของ ต้องได้รับความยินยอม จากเจ้าของภาพเสียก่อน

หลังการทำสัญญา หน้าที่ก็เลยตกมาที่ผม ผมออร์เดอร์ไป 30 ภาพ จบปัญหาแรกไป มันก็ยังติดอยู่อีกปัญหา พวกเราต้องมาคุยกัน ถึงวิธีการปราบผีจริง ๆ ซึ่งระบบของเกม จะใช้การบังคับลูกศร เพื่อเลือกตัดสินใจใด ๆ ในการตามล่าหาวิญญาณ ที่อยู่ในภาพติดผีพวกนั้น อย่างที่เห็น ภาพอาถรรพ์แบบเต็มหน้าจอ ผู้เล่นต้องใช้ลูกศร ชี้ให้ตรงกับตัววิญญาณที่เจอ การต่อสู้ถึงจะเริ่มต้น สารพัดวิธีการไล่ผี โดยสองภาพแรก มันจะดูเหมือนไม่มีอะไร เนื้อเรื่องจะบอกเราว่า การเอาชนะวิญญาณ ที่อยู่ในภาพติดผีของจริงพวกนี้ จะส่งผลทำให้ เราสารมารถชนะผีตัวสุดท้าย ที่จะออกมาเหมือนเกมแอคชั่น ต่างจากผีจริง ๆ แบบสิ้นเชิง

ดูเหมือนคุณเคคาวะ จะได้รับการแนะนำ ให้พบกับคนทรงคนนั้น คนที่หาภาพมาให้นั่นไง คุณเคคาวะ คงต้องการข้อมูลของจริง เพื่อจะทำให้เนื้อเรื่องในเกมมันถูกต้อง แต่เนี่ย เขาบอกให้ผมเป็นคนไปคุย เพื่อไปถามคนทรงว่า พอจะสอนวิธีไล่ผี ให้คุณเคคาวะได้หรือเปล่า

บอกตรง ๆ เพื่อนของผมบอกว่า ถ้าผมพูดถามไปแบบนั้น พวกเรา คงถูกคนทรงคนนั้นเล่นงาน แต่ผมว่ามันน่าจะโอเคหรือเปล่า ถ้าพวกเรา จะนำชื่อของคนทรงคนนั้น ไปใส่ไว้ในเครดิตของเกมด้วย ในฐานะผู้กำกับฝ่ายไสยศาสตร์ รวมไปถึง การจ่ายเงินค่าเสียเวลา ให้กับเขาตามสมควร

แล้วสิ่งที่ได้มา มันคือวิธีการไล่ผี เป็นการใช้ยันต์ ประทับตราหน้าภาพถ่ายชวนสยอง และช่วงเวลานั้น จะต้องมีคำพูดซักหน่อย ควรจะเป็นบทสวดมนต์ แล้วมันจะจบลง ด้วยดวงไฟ พุ่งเข้าใส่โฮมะ ประมาณนั้น

หลังจากวันนั้น งานของทุกคนก็คือ การนำสิ่งที่ได้ ไปรวมไว้ในระบบเกม

ตอนแรก มีการตัดสินใจ ให้การเรียกใช้ยันต์ดังกล่าว ผ่านการกดปุ่มคอนโทรเลอร์ ของเพล์ย์สเตชั่น

มีการวางแผน ใช้ตัวควบคุมแบบอานาล็อก ให้วาดเป็นดาวไสยเวทย์ แต่ดูเหมือนมันจะทำยากเกินไป การใช้ปุ่มกดเอา จึงเป็นทางออกที่ดี

ใช้นิ้วหัวแม่มือ กดสามเหลี่ยมก่อน ตามด้วยวงกลม ตัวช่วยเหลือจะปรากฏขึ้นมา มันคือเครื่องหมายต่าง ๆ ที่ผู้เล่นจะต้องเลือกใช้ จะต้องมีเสียงดังขึ้น คำสวดมนต์ที่ว่า มันจะทำให้ผีถูกโจมตี และสุดท้าย หน้าจอจะสว่างไสว ก่อนที่จะดับไป

พอคิดระบบได้ลงตัว ที่เหลือก็ไม่ยาก การเขียนโปรแกรมมันง่าย จึงทำให้บางอย่างในเกม สามารถเริ่มเล่นได้คร่าว ๆ ขณะที่ตอนนั้น ภาพถ่ายอาถรรพ์ยังไม่มา เราก็เลยใช้ภาพชั่วคราว แทนที่ภาพจริงกันไปก่อน

แล้วในที่สุด ภาพอาถรรพ์พวกนั้นก็มาถึง เกิดเรื่องน่าทึ่งมากมาย และมีบางอย่าง ที่ผมเองก็ไม่เข้าใจ

ซึ่งปัญหา มันก็เริ่มขึ้นที่นี่นั่นเอง

จากเรื่องราวในเกม ภาพถ่ายเหล่านี้ มันถูกส่งไปที่เด็กสาว เธอคือคนทรง

ในซองมีจดหมาย เรื่องราวสยดสยองมากมาย ถูกส่งมาจากผู้คน พร้อมกับภาพถ่ายติดผี

ใช่ พอเริ่มอ่านจดหมาย ผีก็จะเริ่มปรากฏตัว นั่นแหละ นี่มันเป็นเกม ที่ใส่นิยายสยองขวัญเข้าไป

ขั้นต่อไป ผมต้องถ่ายรูปใหม่ ๆ เอง เพื่อเพิ่มความหลากหลายในเกม เช่น รูปเที่ยวทะเล เที่ยวตามที่ต่าง ๆ

นอกจากนี้ ยังมีการเพิ่มหลายองค์ประกอบ ให้วิญญาณมองเห็นยากขึ้น อย่างพวก ลูกบอลไฟสีขาว ที่จะกระจายอยู่ทั่วหน้าจอ ก็นะ นี่มันเป็นเกมล่าวิญญาณนี่นา

ใช่ ภาพที่ดูธรรมดาพวกนั้น ผมถ่ายเอง

ตอนแรก ก็เหมือนภาพทั่วไป ถ้าเจอวิญญาณเข้า บรรยากาศความหลอนต้องมา พวกเขาต้องการแบบนี้ โดยการหาภาพถ่ายเพิ่ม ผมต้องทำไปเรื่อย ๆ อย่างน้อย ประมาณสามสัปดาห์เลยล่ะ

แล้วตอนนี้ ท่านประธานก็พูดขึ้นว่า นี่พวกเรา ใช้เวลาในการพัฒนาเกม มากเกินไปแล้วนะ

ในเมื่อภาพอาถรรพ์ที่มี มันเป็นภาพของจริงอยู่แล้ว ก็ควรทุ่มเทการทำงาน ในส่วนที่ทำยาก ๆ กันเถอะ ไม่งั้นเมื่อไหร่ เกมจะเสร็จล่ะ ?

ในแง่ของระบบเกม เราควรใส่ผีเพิ่มเข้าไป อย่างน้อยสองสามตัว ต่อภาพถ่ายอาถรรพ์หนึ่งภาพ ไม่ควรน้อยกว่านั้น ยกเว้นฉากไหน ที่เน้นผีเพียงตัวเดียว ก็กางภาพให้เต็มจอไปเลย

หลังจากประธานสั่งเดินหน้า คุณเคคาวะผู้จริงจัง ก็เริ่มงานภาพเช่นกัน

ลูกไฟวิญญาณที่ไม่จำเป็น ถูกสั่งให้ลบอออก ต้องขยายภาพวิญญาณ ให้มันมองเห็นได้ง่าย และต้องทำให้มันโดดเด่น ด้วยการแก้ไขค่าของสี

เรียกได้ว่า ภาพพวกนั้น ถูกนำไปผ่านกระบวนการ แบบตามใจโปรดิวเซอร์

แต่ที่แน่ ๆ คุณเคคาววะบอกว่า ส่วนที่เป็นวิญญาณต้นฉบับ ไม่ต้องไปวุ่นวายอะไรนัก

เอาแค่ หากรู้สึกว่า ในภาพมีวิญญาณน้อยไป ก็ให้นำภาพวิญญาณ จากภาพถ่ายอื่น ๆ มาแปะเพิ่มเลย แต่ถ้าไม่รู้สึกว่าน้อย ก็ให้เพิ่มหน้าผีเล็ก ๆ แล้วนำมายืดออกให้ผิดสัดส่วนแทน พูดตรง ๆ คนที่รับงานออกแบบตรงนี้ ดูเหมือนพวกเขาจะเริ่มหลอน

เพราะสิ่งที่พวกเขาทำ มันคือการไม่เคารพต่อวิญญาณ ที่อยู่ในภาพติดผีพวกนั้น อย่างแรง

ฝ่ายออกแบบ ดูจะเหนื่อยล้าอยู่ พวกเขาไม่ได้เหนื่อยแค่กาย แต่มันลามไปจนถึงจิตใจ ก็นี่มันเป็นงานไม่พึงประสงค์ เป็นการดูหมิ่นดวงวิญญาณคนตาย แม้หลายคนจะได้ค่าตอบแทน แต่กับนักออกแบบหญิงบางคน พวกเธอรู้สึกหดหู่ใจ แล้วก็ลาออกไป ทั้งที่ตัวงานยังคงทำค้างอยู่

ส่วนงานของผมตอนนี้ คือการทำยังไงก็ได้ ให้เวอร์ชั่นอัลฟ่าสำเร็จ ก่อนที่มันจะสายเกินไป

ผมติดต่อนักพากย์ ให้มาช่วยใส่เสียงไอเท็ม ก็ได้คุณจุนโกะ โนดะ มาให้เสียงนี่แหละ

ในเวอร์ชั่นเบต้า ภาพติดผีต้องมีแล้ว ในส่วนของเลเอาท์ ปุ่มบังคับ เครื่องหมายยันต์ต่าง ๆ ไปจนถึงส่วนของคำพูดในเกม เสร็จสมบูรณ์

ด้วยความที่ บริษัทเกมนี้มันขนาดเล็ก พนักงานฝ่ายพัฒนาและฝ่ายขาย จะต้องรับหน้าที่เป็นพาร์ทไทม์ เอางานขั้นต่อมาทำกันต่อ มันคืองานแก้ไขบั๊กต่าง ๆ เพื่อลดปัญหา เกี่ยวกับเวลาในการทำงานด้วย

ส่วนการตรวจบั๊กขั้นสุดท้าย มันจะสำคัญมากกว่านั้น มันเป็นงานละเอียด เกี่ยวกับความสมดุลของตัวเกม ทำให้ขั้นตอนตรงนี้ ต้องทุ่มเทเวลาให้กับเกม กันทั้งวันทั้งคืน

และกลางคืนนี่แหละ ที่มันน่ากลัว แต่ก็มีหลายคน เลือกจะตรวจเกมกันตอนกลางคืน มันเหมือนบททดสอบความกล้า ซึ่งตัวผมเอง ก็เป็นหนึ่งในไม่กี่คน ที่เลือกจะตรวจงานตอนกลางวัน

และในวันที่สองหรือสาม ของกระบวนการนั่นแหละ ผมเคลียร์ด่านไปจนถึงด่านที่ 6 แล้ว จู่ ๆ ก็มีเสียงดังกึกก้องขึ้นมา มันดังไปทั่วบริษัท พวกเพื่อนของผม ก็น่าจะได้ยินเสียงนั้นเหมือนกัน

มันเริ่มดังขึ้นเรื่อย ๆ จนผมรู้สึกว่า เสียงนั่น มันไม่ได้ยินมาจากทางหู มันเหมือนดังอยู่ในสมอง

ส่วนเพื่อนของผม ดูเหมือนเขาจะไม่สนใจอะไร หรือเขาจะไม่ได้ยิน งั้นเหรอ ?

กับคนอื่น ดูเหมือนจะยุ่ง ๆ กันอยู่ เสียงที่ผมได้ยิน มันดังมาจากไหน จากในเกมเหรอ ในฉากที่กำลังตรวจงั้นอยู่เหรอ ? แล้วทันใดนั้น ฝ่ายวางแผนเกม ที่กำลังตรวจบั๊กในเกมเช่นกัน ก็เกิดทรุดตัวลง ทั้งที่ในมือยังกำคอนโทรเลอร์อยู่ ดูเหมือนเธอจะส่งเสียงครวญคราง จนเมื่อเธอลืมตา เธอก็พูดพล่ามฟังไม่ได้ศัพท์

ผมรีบตามรถพยาบาล ผู้ป่วยถูกส่งตัว ตามรายงานจากเจ้าหน้าที่ พนักงานหญิงคนนั้น เธอเป็นลมบ้าหมู เธอได้รับการรักษา แล้วถูกส่งตัวกลับบ้านไป

ช่วงเวลานั้น เคยมีข่าวคล้าย ๆ กัน มันเกิดกับการ์ตูนโปเกมอน ที่ผู้ชมเด็ก ต้องมองภาพกระพริบเร็ว ๆ แล้วเกิดอาการช็อกขึ้นมา รู้ไหม เกมโปเกม่อนก็มีคนเป็นแบบนั้น มันเป็นข่าววงใน ของคนในวงการนะ เกิดขึ้นตอนช่วงพัฒนาเกม ในเวอร์ชั่นทดสอบความเรียบร้อย

หลังจากวันนั้นจบลง เช้าวันต่อมา ทีมพัฒนาก็มีเรื่องต้องหลอนกันอีก

เนื่องจาก ฝ่ายวางแผนเกมคนนั้น หลังจากเธอถูกส่งตัวกลับบ้าน เธอต้องถูกส่งกลับไปโรงพยาบาลอีกรอบ ดูเหมือนเธอคนนั้น จะใช้มีดทำครัว ตัดนิ้วโป้งขวาของตัวเอง เธอจำได้ว่าเธอทำมัน แต่เธอไม่รู้ว่าทำไมถึงทำแบบนั้นไป เธอตื่นเช้าขึ้นมาด้วยความเจ็บปวด เธอหวาดกลัว เลือดเต็มไปหมด และนิ้วโป้ง ก็หายไป

เรื่องนี้ มันทำให้ทุกคน ถึงกับทำอะไรไม่ถูก ส่วนตัวผมเหรอ ได้แต่อึ้ง เพื่อนร่วมงานบางคน แสยะยิ้มแล้วพูดขึ้นมา “มันคือคำสาปชัด ๆ” นี่พวกนายกลัวกันหรือเปล่า ไม่ขำเลย

ผมทำงานต่อ แก้บั๊กต่อไป ท่ามกลางบรรยากาศเลวร้าย

แล้วงานแก้บั๊กคืนนั้น ก็มีอันต้องเกิดเรื่องอีก

ผมต้องรีบไปโรงพยาบาล แต่ดูเหมือนจะไม่มีอะไรใหญ่โต พ่อแม่ของผมโทรศัพท์มา ท่านบอกให้ผม รีบโทรศัพท์ไปชี้แจงด้วย เพราะเรื่องที่เกิดในที่ทำงาน มันไปทำให้ทางโรงพยาบาล ต้องวุ่นวายกันนั่นแหละ

หลังจากผมโทรไป พ่อแม่ก็ถามผมว่า เรื่องแปลก ๆ ที่เกิดในที่ทำงาน มันเป็นยังไงมายังไงกันแน่ ซึ่งแน่นอน ผมได้แต่ขอโทษพวกท่าน รอบหน้า ผมจะให้คนอื่นเรียกรถพยาบาลละกัน

กลับมาที่ตัวเกม ผมต้องสู้กับดวงวิญญาณ มันเริ่มต้นในช่วงเล่นด้านที่ 6 เครื่องหมายยันต์ถูกใช้ไปทีละตัว บางที ฝ่ายวางแผนเกมคนนั้น เธออาจจะกดปุ่มตรงนี้ผิดรึเปล่า เพราะการกดผิดสองครั้ง แทนที่เราจะได้ยินเสียงผู้หญิงสะกดคำ มันจะกลายเป็นเสียงผู้ชาย ซึ่งผมเองก็กดผิด ทำให้ได้ยินเสียงผู้ชายดังขึ้นจากนั้น ผมก็มองอะไรไม่เห็น ทั้งที่ตอนนั้น ผมกำลังลืมตา

ผมได้แต่หวาดกลัว ไม่เข้าใจในสิ่งไร้เหตุผล จนกลับมามองเห็นได้อีกครั้ง ตอนนั้น ผมก็อยู่ในรถพยาบาลแล้ว

สามวันต่อมา ทุกคนได้รับค่าแรง เพื่อน ๆ จึงพากันโดดงาน แล้วชวนผมไปดื่มกันที่ร้านประจำ

ทุกคนพูดถึงแต่เหตุการณ์หลอน ตอนที่ผมไม่รู้สึกตัวตอนนั้น มันทำให้ผมรีบสงบใจ ยกแก้วขึ้นมาดื่ม ก่อนที่จะพูดออกมาเบา ๆ ว่าผมกลัว ทุกคนก็น่าจะรู้สึกเหมือนกัน มันไม่ตลกเลย

หลังจากดื่มเสร็จ นอกจากผม ทุกคนกลับไปที่ออฟฟิศ งานตรวจเกมต้องหยุดชั่วคราว ด้านประธานเองก็ถึงกับอึ้ง หลังจากรู้เรื่องเสียงผู้ชายในเกม ที่ทำให้พนักงานอย่างผม ต้องเข้าโรงพยาบาล

เกิดการประชุมวาระด่วน ประธานได้มติออกมาว่า พนักงานที่หลบไปดื่มกัน จะต้องถูกพากษ์ฑัณฑ์ทุกคน เอาล่ะ กลับไปทำงานต่อ

ส่วนตัวผม หลังจากแยกกับเพื่อน ผมเดินทางไปที่ศาลเจ้า มันอยู่ในย่านชินจูกุ แล้วค่อยนำใบรับรองแพทย์ มายืนยันกับท่านประธาน แล้วก็กลับไปทำงานต่อ

ช่วงนั้น เกิดข่าวลือขึ้นมาว่า ในด่านที่ 6 และ 8 มันเป็นด่านที่มีความอันตราย โปรแกรมเมอร์จึงสร้างวิธีลัด เพื่อให้สามารถข้ามด่านทั้งสองไปก่อน เนื่องจากมีรายงาน พนักงานพาร์ทไทม์บางคน เกิดหูอื้อและเลือดกำเดาไหล ในช่วงระหว่างเล่นด่านที่ 8 ด้วย

ซึ่งวิธีลัดที่ว่า ได้กลายเป็นเทคนิคการโจมตีครั้งเดียว ที่มีผู้เล่นบางคนพบมัน และทำให้พวกเขาผ่านด่านกันได้อย่างรวดเร็ว

นอกจากนี้ ทางนักพากย์ คุณจุนโกะ โนดะเอง ก็กลายเป็นที่บูชา ในหมู่พนักงานบางคน พวกเขารู้สึกเหมือนได้กำลังใจ หลังจากได้ยินเสียงของเธอในเกม

ด้านคนทรง ที่ทำหน้าที่ดูแลแนวทางของเกม ก็นำเรื่องนี้ มาพูดคุยในองค์ประชุมด้วย

ผมได้ยินมาว่า ทางคนทรงคนนั้น ได้ทำการสวดภาวนาคาถา ก่่อนที่จะนำภาพถ่ายที่ใช้แล้ว กลับไปกับเขาทันที

แล้วการตรวจสอบ ในเวอร์ชั่นเบต้า ก็ได้เวลาจบสิ้นลง และตอนนี้มันก็ได้เวลา ที่ต้องตรวจสอบกัน ในขั้นตอนมาสเตอร์เกมแล้ว

เหล่าพนักงานพาร์ทไทม์ทิพย์ เกิดสามัคคีขึ้นมาทันใด ไม่มีใครวิตกกังวล เรื่องรับสองกะกันแล้วตอนนี้

ผิดกับคุณเคคาวะ เขาหยุดงานไปเลยดื้อ ๆ ท่ามกลางสมมติฐานว่า ตัวของเขานั้น อาจกำลังโดนคำสาปรือเปล่า

ตัวผมเอง ได้ยินมาจากทางบริษัทว่า คุณเคคาวะ ก็ไปที่โรงพยาบาลเหมือนกัน และมันก็เป็นโรงพยาบลเดียวกัน กับที่ผมเคยไปรักษาก่อนหน้า ผมรู้เรื่องนี้ ตอนไปรับยาที่แผนกจิตเวช

ก่อนถึงกำหนดมาสเตอร์เกม คุณเคคาวะโทรศัพท์มา เขาบอกว่า ตอนนี้อาการดีขึ้นแล้ว และจะกลับมาทำงาน ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป แต่เมื่อถึงตอนประชุมทีม คุณเคคาวะกลับไม่ได้มาเข้าร่วม

เท่าที่ทราบ รอบประชุมของทีมทำงาน ประธานไม่ได้เรียกคุณเคคาวะ เขาเรียกเฉพาะพนักงานมาคุย ส่วนกับคุณเคคาวะ ท่านประธานขอคุยกับเขาตามลำพัง หลังจากประชุมในช่วงตอนเย็น ที่ถือว่า มันมีอะไรแปลก ๆ

จนวันรุ่งขึ้น พวกเราก็ได้ข่าวร้าย คุณเคคาวะเสียชีวิต มีผู้พบตัวเขาแขวนอยู่ในห้องน้ำ แถวสถานีรถไฟแห่งหนึ่ง ที่สถานีนั้น มันอยู่ในบริเวณใกล้เคียง กับรูปภาพสถานที่ที่ถูกใช้ในเกม เป็นจำนวนถึง 6 ภาพ

ทันทีที่ผมรู้ ผมเห็นพนักงานบัญชี ถึงกับเดินหนีออกจากบริษัทไป เนื่องจากความหวาดกลัว

ท้ายที่สุด ตัวเกมก็ออกวางจำหน่าย ความสมดุลในเกมรุ่งริ่ง กราฟิกไม่มีอะไรสมบูรณ์ เพราะคนออกแบบไม่ชอบมัน บรรยากาศในเกม ดูเหมือนเกมราคาถูก ราวกับเป็นเกมตลาดล่าง

ระดับความยาก ในฉากที่หกของเกม ถูกตัดทอนลงไปพอสมควร ชื่อของผู้กำกับเกมถูกลบออก ประธานเขาขอให้มันเป็นเช่นนั้น เหล่าพนักงาน ที่ร่วมพัฒนาเกมทุกคน ก็ถูกตัดชื่อออกไป เหลือเพียงชื่อไม่กี่ชื่อ ที่อยู่ทำงานจนถึงขึ้นตอนสุดท้าย

มีผู้เล่นบางคน ที่สามารถเคลียร์เกมนี้ได้ พยายามช่วยกันบอกต่อ ว่าเกมนี้มันมีดีของมันอยู่บ้าง พวกเขาบอกสิ่งที่ตัวเองทำ ให้กับทีมพัฒนาที่พอจะติดต่อได้ แต่กลายเป็นว่า หลังจากที่ส่งเรื่องราวให้รู้ นักพัฒนาทุกคน กลับไม่แสดงทีท่าตอบรับใด ๆ และทางบริษัทเกมเอง ก็ล้มละลายในเวลาต่อมา

ส่วนเพื่อนของผม เขาก็ไปทำงานอื่น ที่ไม่เกี่ยวกับเกมอีกต่อไปแล้ว

ผมลองถามเขานะ “มีอะไรผิดปกติ ระหว่างพัฒนาาเกมหรือเปล่า” เพราะกับตัวผม ทุกครั้งที่่นอนหลับตา ผมจะไม่สามารถลืมตากลับขึ้นมาได้ ทัั้งที่ตอนนั้น ผมยังรู้สึกตัวอยู่แท้ ๆ และที่สำคัญ ผมจะหายใจไม่ออก

เขาตอบผมว่า ตัวของเขาเอง ก็นอนไม่หลับอยู่พักใหญ่เหมือนกัน เพราะกลัวนั่นแหละ

ตอบแบบเด็ก ๆ เลย



--------------------------------------------------------------------

ก็จบลงแล้วนะครับ โควาย ชาชิง โควาย ชาชิง ตำนานเกมอาถรรพ์บนเครื่องเพลย์สเตชั่นยุคบุกเบิก !!! หรือ Kowaishashin 〜 shinrei shashin kitan 〜มันเป็นครีบปี้พาสต้าจากเกม โดยผู้เขียนนิรนามท่านหนึ่ง เขาไม่ได้บอกชื่อตัวเองเอาไว้ ทำให้เราไม่รู้ ว่าคนที่เขียนชื่ออะไรกันแน่ นอกจากคำกล่าวอ้างที่ว่า เขาเคยทำงานอยู่ในทีมทำเกมนี้

โดยการเล่าเรื่องนี้ มาจากคุณลูซิ ลาน้อย คิคุโอ สมาชิกในกลุ่มมิติที่ 6 บนเฟสบุก ได้แชร์มาจากเพจดูการ์ตูนอย่างแมว ๆ ที่แอดมินเพจโพสต์ว่า “ฝากคนไปถามมิติที่ 6 ว่า Kowai Shashin เป็นตำนานจริงหรือไม่” โดยในโพสต์ดังกล่าว คุณแคมมี่เจ้าของเพจ ได้เล่าเรื่องย่อไว้อีกรูปแบบ โดยระบุว่า โควายชาชิง มันเป็นเกมของบริษัท มีเดีย เอนเตอร์เทนเมนต์ ที่ทำขายออกมาในปี 2002 และลิสต์ชื่อทีมทำงาน ที่ไม่พบว่า จะมีชื่อของเคคาวะ อยู่ในรายชื่อทำงานเลย ซึ่งนั่นก็ทำให้การค้นหาความจริง ว่าบริษัทผู้ผลิตเกมนี้ มีประวัติความเป็นมาอย่างไร ได้ผลออกมาว่า

มีเดีย เอนเตอร์เทนเมนต์ เป็นบริษัทพัฒนาเกมของญี่ปุ่น ถูกก่อตั้งเมื่อปี 1993 เป็นรูปแบบบริษัทจำกัด ทุนจดทะเบียน 50 ล้านเยน มีพนักงานทั้งสิ้น 50 คน ประธานบริษัทชื่อคุณฟูมิโอะ โองาวะ ที่ลาออกมาจากบริษัทเจแปนเทเลเน็ต ซึ่งเป็นบริษัทพัฒนาเกมเช่นกัน โดยในปี 1995 มีเดียเอนเตอร์เทนเมนต์ ได้ปรับรูปแบบบริษัทใหม่ หันมาทำเกมจำลองตู้ปาจิงโกะ ขายบนเครื่องเพลย์สเตชั่นวัน ชื่อ Pachislot Emperor Series จำนวนทั้งสิ้น 23 เกม วางจำหน่ายตั้งแต่ปี 1999 ถึงปี 2002 และทำเกมต่อมาอีก 3 เกม อยู่ในซีรี่กรูเม่ต์หรือแนวทำอาหาร ก่อนที่โควายชาชิง จะออกวางจำหน่ายในวันที่ 25 กรกฎาคม ปี 2002

ลำดับต่อมา มีเดียเอนเตอร์เทนเมนต์ ได้วางขายอีกเกม คือเกม Korokoro posutonin เป็นเกมแนวแอคชั่น ตัวเอกเป็นสาวส่งหนังสือพิมพ์ วางขายช่วงต้นปี 2003 ก่อนที่จะวางขายเกมสุดท้าย ชื่อYakiniku bugyō bonfaia! ที่ถือเป็นเกมในซีรี่กรูเมต์ ในวันที่ 14 สิงหาคม ในปีนั้น

จะเห็นได้ชัดเจนว่า หลังจากโควายชาชิง วางจำหน่ายในช่วงปี 2002 มีเดียเอนเตอร์เทนเมนต์ ยังคงทำเกมต่อมาอีกถึง 1 ปีเต็ม แต่ด้วยโปรดักชั่นของทุกเกม มันดูไม่สุดเหมือนเกมค่ายอื่น จึงทำให้ตัวบริษัท ต้องขายลิขสิทธิ์เกมในซีรี่กรูเมต์ ให้กับทางบริษัท G Mode ไปทั้งหมด ก่อนที่จะปิดตัวเองลง

ด้านรายชื่อคณะจัดทำ ของเกมโควายชาชิง มีทั้งหมดประมาณ 26 ท่าน โปรดิวเซอร์ของทีมที่ทำเกมนี้ ชื่อคุณอัตสึโกะ ฮายาคาว่า ที่น่าจะเป็นคุณเค คาว่า ที่เรื่องเล่าขอเรียกชื่อเธอแบบย่อ ๆ ไม่มีชื่อของตำแหน่งคนทรง แต่มีรายชื่อโปรดักชั่นทุกส่วนครบ มีแม้กระทั่งรายชื่อฝ่ายสนับสนุน ที่หลายเกมมักจะเพิ่มชื่อเพื่อให้เกียรติ ทุกอย่างมันดูปกติ หรือถ้ามันจะดูไม่ปกติ ก็คงเป็นที่จำนวนทีมถึง 26 ท่าน มันดูจะมีมากเกินไป หากเทียบกับโปรดักชั่นของเกม ที่เป็นไปได้ว่า อาจมีการลาออกและเข้ามาแทนที่ ในตำแหน่งทำงานต่าง ๆ ที่ถือเป็นเรื่องปกติ ของบริษัทเกมอยู่แล้ว ถ้าไม่เชื่อ ลองเมล์ไปถามบริษัทเกมไหนดูก็ได้ครับ ที่ผู้บรรยายทราบเรื่องนี้ เพราะผู้บรรยาย รู้จักกับบริษัททำเกมอยู่พอสมควร พวกเขามีคนทำงานลาออกและเข้าใหม่ โดยจะใส่ชื่อผู้มีส่วนในเกมทุกคน ไว้ในเกมที่วางจำหน่ายเป็นปกติครับ

และด้วยข้อมูลทั้งหมด ทำให้สามารถสรุปได้ว่า ครีบปี้พาสต้าเรื่องโควายชาชิง มันไม่ใช่เรื่องจริงแน่นอน เพราะผู้ที่แต่งเรื่อง ไม่สามารถระบุไทม์ไลน์ ไปจนถึงชื่อเกมอื่นของบริษัทได้ ไม่รู้แม้แต่ปีที่บริษัทปิดตัว ไม่รู้แม้กระทั่งเกมดัง ๆ ของบริษัท อย่างในซีรี่ปาชิงโกะ ซีรี่กรูเมต์ และโคโรโคโร โพสต์นิน ที่ได้รับคำชมในแง่บวก มากกว่าโควายชาชิง ซึ่งคนที่แต่งเรื่องนี้ น่าจะเป็นแค่คนที่ซื้อโควายชาชิงมา แล้วเห็นถึงความไม่เข้าท่าของเกม จึงทำให้คิดเนื้อเรื่องชวนหลอนนี้ขึ้น ซึ่งก็ขอย้ำอีกครั้งว่า มันเป็นแค่เรื่องแต่ง

แต่ก็อย่างที่บอกกันบ่อย ๆ ว่าถ้าหากมีใคร นำครีบปี้พาสต้า อย่างเรื่องโควายชาชิง มาเล่ากันในวงสนทนา แล้วบอกว่ามันเป็นเรื่องจริง มิติที่ 6 ก็อยากจะบอกว่า ขอจงอย่าไปทำอะไร ที่จะทำให้การเล่านั้น ต้องหยุดชะงักไปจะดีกว่า นั่นก็เป็นเพราะว่า ความจริงนั้น มันช่างไม่มีสเน่ห์ เอาเสียเลย

แล้วอย่าลืมติดตามรายการมิติที่ 6 ศุกร์สยองขวัญ กับเรื่องราวเบา ๆ ในวันศุกร์สะดวก ที่ศุกร์ไหนไม่สะดวก ก็อาจจะต้องมีเว้นกันบ้าง และหลังจากจบรายการแล้ว อย่าลืมกดสัปสไครป์ กดไลค์ กดแชร์ และอย่าลืมทิ้งคอมเมนต์กันเอาไว้ด้วยนะครับ ยังมีเรื่องราวต่าง ๆ อีกมากมายรอคุณอยู่ สำหรับวันนี้ สวัสดี

ประกาศ

เพื่อเป็นกำลังใจเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้กับเรา ขอความร่วมมือจากผู้ที่นำเรื่องราวจากมิติที่ 6 ไปใช้ในที่ของท่าน กรุณาลงเครดิตกลับมาที่เราจะเป็นพระคุณอย่างสูงครับ