28 เมษายน 2560

มิติที่ 6 ศุกร์สยองขวัญ ไขปริศนา Robert The Doll ตุ๊กตาอาถรรพ์แห่งเมืองคีย์เวสท์ !!!




ช่วงยุคปลาย ค.ศ. 1800 โธมัส อ็อตโต้ และครอบครัว ได้ย้ายเข้ามาอาศัยอยู่ในแมนชั่นแห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่มุมระหว่างถนนอีตันและไซมอนตัน เมืองคีย์เวสท์ รัฐฟลอริด้า ปัจจุบันเป็นที่รู้จักกันในชื่ออาร์ติสท์เฮาส์ ซึ่งครอบครัวนี้เป็นที่รู้กันดีของคนแถบนั้นว่าพวกเขาชอบใช้ความรุนแรงกับคนรับใช้ และหนึ่งในคนรับใช้นั้นก็คือหญิงชาวไฮติที่เป็นต้นกำเนิดของเรื่องราวทั้งหมด

มิติที่ 6 ศุกร์สยองขวัญกับเรื่องราวเบา ๆ ในวันศุกร์สะดวกสัปดาห์นี้ เราจะพาคุณไปรู้จักกับตุ๊กตาอาถรรพ์ตัวหนึ่ง ที่แม้แต่ทุกวันนี้ก็ยังมีผู้คนโดนคำสาปกันอยู่เสมอมา ว่าเรื่องนี้... มันคืออะไรกันแน่ !?

เปิดชมบนยูทูป

โดยเรื่องราวนั้นมีอยู่ว่า

หลังจากที่สาวใช้ชาวไฮติถูกจ้างมาเพื่อดูแลลูกชายของครอบครัวที่ชื่อโรเบิร์ต ยูจีน อ็อตโต้นั้น ในวันหนึ่ง คุณนายอ็อตโตพบว่าสาวใช้คนนี้กำลังทำพิธีมนต์ดำบางอย่างอยู่ที่สวนหลังบ้าน และเรื่องนี้มันก็ทำให้เธอต้องถูกไล่ออกจากงานเพราะเกรงว่าสักวันสาวใช้คนนี้จะต้องก่อปัญหาอย่างอื่นขึ้นมาแน่ ๆ

แต่ก่อนที่เธอจะขนของออกไปนั้น สาวใช้ได้มอบตุ๊กตาตัวหนึ่งให้กับโรเบิร์ต มันเป็นตุ๊กตาเด็กผู้ชายความสูงสามฟุต ที่ดวงตาทำจากเม็ดกระดุมสีดำและเส้นผมของมันทำมาจากเส้นผมของมนุษย์ โดยวัสดุที่ใช้ยัดไส้ในก็คือเส้นฟางจากธรรมชาติเท่านั้นเอง

(ภาพจาก: Courtesy Key West Art & Historical Society)

ตุ๊กตาเด็กชายตัวนี้ไม่เคยถูกพบจากที่ไหน มันไม่เคยมีประวัติจากโรงงานใด หรือเคยลงโฆษณาตามหนังสือพิมพ์มาก่อน หมายความว่ามันน่าจะเป็นตุ๊กตาที่มีเพียงตัวเดียวบนโลกนี้ นั่นจึงทำให้มันกลายเป็นของพิเศษสำหรับโรเบิร์ต เขาตั้งชื่อมันตามชื่อของตัวเอง และมักจะสวมเสื้อผ้าเหมือน ๆ กับมันอยู่บ่อย ๆ

โดยชื่อที่โรเบิร์ตตั้งให้กับเจ้าตุ๊กตาตัวนี้ก็คือ โรเบิร์ตเดอะดอลล์ หรือ ตุ๊กตาโรเบิร์ต และทั้งสองก็กลายมาเป็นคู่หู โรเบิร์ตไปอยู่ที่ไหนเจ้าตุ๊กตาโรเบิร์ตก็จะต้องอยู่ที่นั่น ไม่ว่าจะไปเดินช็อปปิ้งในเมืองหรือเดินเที่ยวเล่นที่แห่งใด ช่วงทานอาหารเย็นมันก็จะได้ที่นั่งมาร่วมวงกับเขาด้วย ซึ่งสิ่งที่คนในครอบครัวยังไม่รู้นั้นก็คือ ยามที่ทุกคนเผลอโรเบิร์ตจะแอบหยิบอาหารให้มันกินทุกครั้ง พอถึงเวลานอนมันก็จะไปนอนร่วมกับเด็กชายบนเตียง ซึ่งความสัมพันธ์ระหว่างเด็กกับตุ๊กตาเช่นนี้ ในสายตาของพ่อแม่มันดูไม่ได้มีอะไรผิดปกติสำหรับเด็กทั่วไป

แต่หลังจากนั้นไม่นานแม่ของโรเบิร์ตก็ได้ตำหนิเด็กชายว่า ตัวเองชื่อโรเบิร์ตอยู่แล้วจะไปตั้งชื่อตุ๊กตาให้เหมือนตัวเองทำไม โรเบิร์ตกลับตอบแม่ของเขาว่า โรเบิร์ตนั้นเป็นชื่อของตุ๊กตา ส่วนเขาจะใช้ชื่อกลางเรียกตัวเองว่ายูจีนแทน ทำให้ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมาเด็กชายก็ถูกเรียกชื่อสั้น ๆ ว่า "จีน" และเรียกชื่อตุ๊กตาตัวนั้นว่า "โรเบิร์ต"

จีนมักจะเล่าว่าเขาได้ยินเสียงของเล่นในห้องพูดคุยกับเจ้าโรเบิร์ต และเมื่อจีนพูดแทรกการสนทนาขึ้น มันก็จะมีเสียงต่ำ ๆ ของใครบางคนตอบกลับมา บางเวลาที่จีนมีปัญหาชีวิตคนในบ้านจะเป็นห่วงเขาอย่างมาก เพราะพวกเขามักจะเห็นเด็กชายหลบไปนั่งคุดคู้อยู่ที่มุมห้อง ในขณะที่ตุ๊กตาโรเบิร์ตนั่งเอนหลังอยู่ที่เก้าอี้ หรือไม่ก็นอนอยู่บนเตียงในอิริยาบถแสนสบายใจ ซึ่งสิ่งเหล่านี้มันก็เป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้นเท่านั้น

บางวันคนในบ้านจะพบว่าข้าวของต่าง ๆ ถูกรื้อกระจายจนเต็มห้อง ของเล่นของจีนก็ถูกดึงแยกส่วนไม่ก็ถูกผ่าออกเป็นชิ้น ๆ และที่ทำให้เหล่าคนรับใช้ต้องขวัญผวาก็คือ พวกเขามักจะได้ยินเสียงใครบางคนหัวเราะคิกคัก ทั้ง ๆ ที่ในห้องนั้นมันควรจะมีเพียงเด็กชายอยู่เพียงคนเดียว และเมื่อมีเหตุการณ์ผิดปกติแบบนี้เกิดขึ้นมาทีไร จีนก็มักจะบอกว่า “โรเบิร์ตเป็นคนทำ !!!” ถึงเขาจะถูกพ่อแม่ลงโทษเพราะเรื่องนี้สักกี่ครั้ง จีนก็ยังคงยืนยันว่า “มันเป็นฝีมือของโรเบิร์ต !!!”

ความน่ากลัวได้เพิ่มพูนมากขึ้น คนรับใช้ที่เข้ามาทำงานต่างพากันลาออก พอจ้างคนใหม่เข้ามาแทน พวกเขาก็ลาออกไปในเวลาอีกไม่นาน จนคนในบ้านเริ่มฉุกคิดขึ้น ว่าตอนนี้พวกเขาต้องทำอะไรสักอย่าง ป้าคนโตแนะนำให้พ่อแม่ของจีนเอาตุ๊กตาโรเบิร์ตไปซ่อนไว้ไหนก็ได้ เช่นจับมันยัดใส่กล่องไปเก็บไว้ที่ห้องใต้หลังคาเรื่องทุกอย่างก็น่าจะจบ และตั้งแต่นั้นมาตุ๊กตาโรเบิร์ตก็ถูกเก็บเอาไว้ที่นั่น

จนเวลาผ่านไปอีกหลายปีโรเบิร์ต ยูจีน อ็อตโตได้เติบโตขึ้น เขาย้ายออกมาจากบ้านหลังนี้เพื่อใช้ชีวิตของตัวเองอยู่นาน ตอนนี้เขาทำงานเป็นศิลปินและมีภรรยาเหมือนคนปกติทั่วไป

"ยูจีน อ็อตโต" เจ้าของตุ๊กตาโรเบิร์ตและภาพวาดของเขา

แต่แล้วที่บ้านเก่าของเขาก็เกิดเรื่องใหญ่ขึ้น พ่อของเขาได้เสียชีวิตไปและนั่นจึงทำให้ยูจีนอยากจะกลับมาอยู่ที่บ้านหลังเดิมอีกครั้ง เพราะเขามองว่าบ้านเก่าหลังนี้เหมาะสมที่จะใช้ทำงานศิลปะของเขาเป็นอย่างมาก ซึ่งภรรยาของเขาเองก็ไม่ขัดข้อง และทั้งสองจึงย้ายครอบครัวกลับมาอยู่บ้านนี้ในเวลาต่อมา

บ้านของโรเบิร์ต หรืออาร์ติสท์เฮาส์
(ภาพจาก: Thehotelguru)

จนกระทั่งวันหนึ่งยูจีนได้ขึ้นไปบนห้องใต้หลังคาเพื่อทำความสะอาด แล้วเขาก็ได้พบกับเพื่อนเก่าอีกครั้ง ตุ๊กตาโรเบิร์ตที่ถูกเก็บไว้ในกล่องเก่า ๆ ใบนั้น เขาค่อย ๆ นำมันออกมาปัดฝุ่น หาเสื้อผ้าสมัยเด็กของตัวเองมาเปลี่ยนให้ ยูจีนกลับมาเป็นคนติดตุ๊กตาอีกครั้ง ซึ่งภรรยาของเขาก็ไม่ค่อยจะชอบใจเท่าไหร่นัก

ยูจีนพาเจ้าตุ๊กตาโรเบิร์ตติดตัวไปยังทุกหนทุกแห่งเหมือนเมื่อครั้งก่อน จับมันไปนั่งบนเก้าอี้เล็ก ๆ ตัวเดิม แอบนั่งคุยกับมันในช่วงที่ภรรยาของเขานอนหลับอยู่ ห้องนั่งเล่นตอนนี้ก็กลายมาเป็นอาณาจักรของเจ้าโรเบิร์ตไปเสียแล้ว ภรรยาของเขารู้สึกไม่ดีและนำตุ๊กตาโรเบิร์ตกลับไปเก็บไว้ที่ห้องใต้หลังคาตามเดิม

และจากนั้นเป็นต้นมาชีวิตคู่ของทั้งสองก็ค่อย ๆ แย่ลง ภรรยาของเขากลายเป็นบ้าและเสียชีวิตไปโดยไม่ทราบสาเหตุ จนเวลาผ่านไปไม่นานโรเบิร์ต ยูจีน อ็อตโตก็เสียชีวิตตามไป

ต่อมาก็มีเสียงร่ำลือเกี่ยวกับเจ้าตุ๊กตาอาถรรพ์ตัวนี้ เพราะหลังจากเพื่อนเก่าตายจาก บ้านหลังนี้ก็ถูกขายต่อให้กับครอบครัวอื่น ๆ หลายคนเล่าว่าพวกเขาเคยได้ยินเสียงปีศาจกำลังหัวเราะออกมาจากห้องนั่งเล่น ทั้ง ๆ ที่ในเวลานั้นไม่มีใครอยู่ที่นั่น บางครอบครัวที่ย้ายเข้ามาก็จะพบเจ้าตุ๊กตาโรเบิร์ตถูกเก็บไว้ในห้องใต้หลังคา แต่ในบางคืนพวกเขากลับพบว่ามันถูกวางอยู่นอกบริเวณบ้านโดยไม่มีใครรู้เรื่อง

เจ้าของบ้านคนใหม่บางคนก็พบว่า อยู่ดี ๆ มันมาปรากฏอยู่ที่เท้าแถมในมือยังถือมีดทำครัวเอาไว้ มีอยู่รายหนึ่งเล่าว่าตอนกลางดึกเขาเคยได้ยินเสียงคนหัวเราะคิกคักอยู่ในห้องนั่งเล่น แต่พอเปิดประตูเข้าไปก็ไม่พบอะไร แล้วทันใดนั้นเขาก็ถูกแท่งเหล็กตีเข้าที่หลังจนทรุด และได้ยินเสียงใครบางคนพูดกับเขาว่า

“แกเป็นใคร ? มาอยู่ที่นี่ทำไม ? มีอะไรกับฉันรึเปล่า ?”

และบางครอบครัวที่นำเจ้าโรเบิร์ตมาวางไว้เป็นเครื่องประดับบ้าน ก็รู้สึกได้ว่ามีใครบางคนกำลังนั่งฟังพวกเขาคุยกันอยู่เสมอ ซึ่งต่อมาก็มีสมาชิกบางคนดูออกว่า เจ้าโรเบิร์ตมันกำลังจับตามองพวกเขาอยู่จริง ๆ

และประสบการณ์สยองขวัญเหล่านี้ ต่างก็ทำให้ทุกครอบครัวหมดความอดทน ย้ายหนีออกจากบ้านหลังนี้ไปทันทีที่มีเรื่องทุกราย

ต่อมาตุ๊กตาโรเบิร์ตก็ได้บ้านใหม่ เพราะหลังจากที่เมอร์เธอร์ รอยเตอร์ ซึ่งผู้ที่ย้ายเข้ามาอยู่ใหม่ เธอเข้ากันกับโรเบิร์ตได้เป็นอย่างดี จน 6 ปีต่อมา เธอได้ตัดสินใจย้ายออกจากบ้านหลังนี้เพื่อไปอยู่ที่บ้านใหม่ในแถบถนนวอนฟิสเตอร์ เธอก็ได้นำโรเบิร์ตติดตัวไปด้วย ต่อมาในปี ค.ศ. 1944 เมอร์เธอร์ที่อายุมากแล้วก็ตัดสินใจบริจาคเจ้าโรเบิร์ตให้กับทางพิพิธภัณฑ์ฟอร์ทอีสต์มาร์เทลโล่ที่อยู่ในเมืองคีย์เวสต์ให้เป็นผู้ดูแลต่อ โดยวันที่นำมันไปมอบให้นั้นเธอบอกว่า

“โรเบิร์ตมักจะชอบเดินเล่นไปรอบ ๆ บ้านอยู่เสมอ”

และต่อมาอีกไม่กี่เดือนเมอร์เธอร์ก็เสียชีวิตไปด้วยโรคชรา

ส่วนพิพิธภัณฑ์ฟอร์ทอีสต์มาร์เทลโลนั้น ได้นำตุ๊กตาโรเบิร์ตมาจัดวางไว้ในท่านั่งบนเก้าอี้โยก อยู่ในตู้กระจกตั้งแสดงไว้ให้นักท่องเที่ยวได้แวะมาชม แต่ถึงแม้มันจะได้ที่อยู่ใหม่แต่เจ้าตุ๊กตาตัวนี้ก็ยังดูน่ากลัวเหมือนเดิม เพราะมีนักท่องเที่ยวและคนงานในที่แห่งนี้ เล่ากันว่าพวกเขาเคยเห็นมันขยับตัวได้ และก็เคยมีคนเห็นว่ามันทำหน้าบึ้ง ทั้งที่จริง ๆ แล้วมันเป็นตุ๊กตาหน้ายิ้ม

(ภาพจาก:  Robert.thedoll.5/Facebook)

พนักงานคนหนึ่งได้เข้ามาทำความสะอาดเจ้าโรเบิร์ตก็ต้องประสบกับเหตุการณ์สยองขวัญ เพราะในขณะที่กำลังจะทำความสะอาดในช่วงที่พิพิธภัณฑ์ปิดทำการ อยู่ดี ๆ ไฟทุกดวงก็ดับมืดลงไปพักหนึ่ง จนเมื่อไฟกลับมาติดอีกครั้งเขาก็พบว่าเจ้าตุ๊กตาโรเบิร์ตหายตัวไป แต่พอถึงรุ่งเช้ามันก็กลับมาอยู่ในตู้กระจกตามเดิม โดยที่เท้าของมันมีร่องรอยคราบสกปรกเลอะติดอยู่ราวกับว่ามันแอบเดินออกไปที่ไหนมาสักแห่ง

บางคนเล่าว่าตุ๊กตาโรเบิร์ตมีคำสาป ถ้าคุณอยากจะถ่ายภาพของมันคุณต้องขออนุญาตมันอย่างสุภาพก่อน จากนั้นคุณก็ต้องรอดูว่ามันจะผงกหัวอนุญาตหรือไม่ ซึ่งถ้าคุณไม่ปฏิบัติตามคำแนะนำนี้ คำสาปจะเข้าครอบงำคุณรวมไปถึงทุก ๆ คนที่อยู่ในพิพิธภัณฑ์ทันที ดังนั้นถ้าไม่อยากจะเจอคำสาป คุณก็ไม่ควรจะลองดีกับเรื่องนี้เป็นอันขาด !!!

ในปัจจุบันตุ๊กตาโรเบิร์ตยังคงอยู่ที่พิพิธภัณฑ์ฟอร์ทอีสต์มาเทลโลแห่งนี้ มันยังคงสวมชุดกะลาสีตัวเดิม มีตุ๊กตาสิงโตวางอยู่บนตัก และยังคงมีอาถรรพ์เหมือนกับที่เคยมีตลอดมา

--จบ--

โรเบิร์ตเดอะดอลล์ หรือ ตุ๊กตาโรเบิร์ต เป็นเรื่องราวสยองขวัญที่พูดถึงตุ๊กตาอาถรรพ์ที่หญิงรับใช้ชาวไฮติได้มอบมันให้เป็นของขวัญแก่โรเบิร์ต ยูจีน อ็อตโต ลูกชายของอดีตเจ้านายของเธอในวันก่อนที่เธอจะจากไป เพราะถูกจับได้ว่าแอบทำพิธีไสยเวทย์มนต์ดำที่สวนหลังบ้าน และตั้งแต่วันนั้นมาจนถึงปัจจุบันเจ้าตุ๊กตาตัวนี้ก็ยังคงมีอาถรรพ์ ทั้ง ๆ ที่มันถูกเก็บรักษาอยู่ในตู้กระจกของพิพิธภัณฑ์แล้วก็ตาม

สิ่งที่น่ากลัวกว่านี้ก็คือ พอเราไปสืบดูว่าตุ๊กตาตัวนี้มันมีจริงหรือไม่ ? เราก็พบว่าเจ้าตุ๊กตาโรเบิร์ตตัวนี้มันมีอยู่บนโลกใบนี้จริง ๆ และเรื่องราวของมันก็เป็นเรื่องที่ถูกเล่ากันในฟลอริด้าจริง ๆ

โดยรายละเอียดเพิ่มเติมนั้นก็คือโรเบิร์ต ยูจีน อ็อตโต้ ได้ตุ๊กตาตัวนี้มาในช่วงปี ค.ศ. 1906 จนหลังจากที่เขาเสียชีวิตไปในปี ค.ศ. 1974 ตุ๊กตาตัวนี้ก็ได้ถูกเมอร์เธอร์ รอยเตอร์ เจ้าของคนสุดท้ายนำไปบริจาคให้พิพิธภัณฑ์ฟอร์ทอีสต์มาร์เทลโลก่อนที่เธอจะเสียชีวิตไป และมันก็อยู่ที่นั่นมาจนถึงทุกวันนี้

พิพิธภัณฑ์ฟอร์ทอีสต์มาร์เทล
(ภาพจาก: Galenbeck)

นอกจากเรื่องราวที่ถูกเล่าสืบต่อกันมานั้นก็ยังมีเรื่องราวอาถรรพ์ที่นักท่องเที่ยวได้พบ ซึ่งก็จะมีตั้งแต่เหตุการณ์อย่างเช่น ถ่ายรูปแล้วถ่ายไม่ติด บางคนก็บอกว่าตอนถ่ายโรเบิร์ตทำท่านึง แต่ในรูปกลับออกมาเป็นอีกท่านึง บางคนก็บอกว่าเคยเห็นมันหลับตาได้ บางคนก็เห็นมันทำตาดุเหมือนปีศาจ บางคนก็บอกว่าถ่ายภาพออกมาแล้วเหมือนกับมันขยับหัวจนภาพเบลอ บางคนก็บอกว่าภาพที่ถ่ายได้จะเห็นเท้าของมันเบลอเหมือนขยับอยู่


เรียกได้ว่าอาถรรพ์ที่ถูกเล่าขานกันมาเหล่านี้ มันทำให้ตุ๊กตาโรเบิร์ตกลายเป็นตำนานตุ๊กตาผีที่มีอยู่บนโลกจริง ๆ กันเลยทีเดียว

แต่พอมิติที่ 6 ขุดหาข้อมูลไปลึก ๆ เราก็พบว่าแท้ที่จริงแล้วทางพิพิธภัณฑ์อีสต์มาร์เทลโล่แห่งนี้ ได้รับทราบช้อมูลสำคัญมาว่า จริง ๆ แล้วเจ้าโรเบิร์ตมันเป็นผลิตภัณฑ์จากบริษัทสเตฟฟ์ ซึ่งเป็นบริษัทผู้ผลิตตุ๊กตาแห่งแรกที่สร้างตุ๊กตาหมีเท็ดดี้แบร์ตัวที่ถูกมอบให้เป็นของขวัญแก่ประธานาธิบดีรูสเวลล์ของประเทศสหรัฐอเมริกา และเจ้าโรเบิร์ตเองก็เป็นผลิตภัณฑ์ตัวหนึ่งที่ถูกสร้างขึ้นมาแต่ไม่ได้ถูกวางจำหน่ายในฐานะของเล่น ซึ่งเรื่องนี้ทางฝ่ายประวัติศาสตร์ของบริษัทสเตฟฟ์ได้เคยบอกกับทางพิพิธภัณฑ์เอาไว้ว่า

เดิมทีมันเป็นตุ๊กตาสวมชุดตัวตลกถูกผลิตขึ้นมาเพื่อใช้ประดับบ้าน เช่น วางที่หน้าต่าง ส่วนในตำนานมันเป็นเพืยงเรื่องที่ถูกแต่งขึ้นมาจากไหนก็ไม่ทราบ เพราะตามประวัติจริง ๆ แล้วเจ้าตุ๊กตาตัวนี้มันอยู่กับโรเบิร์ตมาตั้งแต่ตอนที่เขาเกิด โดยพ่อแม่ของเขาซื้อไว้ให้เป็นเพื่อนกับยูจีน ส่วนคนรับใช้ไม่เคยนำมันมาให้เลย

ตัวอย่างตุ๊กตาประดับบ้าน

และสาเหตุที่ทางพิพิธภัณฑ์นำมาตั้งแสดงไว้ที่นี่ก็เป็นเพราะว่ามันน่ารักดี ส่วนเสื้อผ้าที่นำมาสวมใส่นั้นทางคอนเวอร์ติโต ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่หญิงของพิพิธภัณฑ์ผู้ทำหน้าที่ดูแลตุ๊กตาโรเบิร์ตก็บอกว่า มันคือเสื้อผ้าของโรเบิร์ต ยูจีน อ็อตโต้ ที่เขาเคยสวมใส่ในวัยเด็กจริง ๆ

และสิ่งที่น่าสนใจอีกอย่างหนึ่งก็คือ พิพิธภัณฑ์ฟอร์ทอีสต์มาเทลโล่แห่งนี้ มันถูกออกแบบโดยโรเบิร์ต ยูจีน อ็อตโตเช่นกัน และสาเหตุที่เมอร์เธอร์ รอยเตอร์ นำโรเบิร์ตมาบริจาคให้นั้น มันก็เป็นเพียงแค่เรื่องบังเอิญ

แต่ทีนี้พอตำนานของตุ๊กตาโรเบิร์ตถูกเล่าขานออกไป มันก็โด่งดังจนมีรายการทีวีมาถ่ายทำ โดยยกเอาภาพถ่ายของนักท่องเที่ยวบางภาพที่อ้างว่าถ่ายติดวิญญาณของตุ๊กตาตัวนี้มาให้ดูและมันก็ได้ทำให้เกิดปรากฎการณ์มีนักท่องเที่ยวแนวล่าท้าผีจำนวนมากมายแวะมาถ่ายภาพของมันกันแทบทุกวัน

ออกรายการ Deadly Possession

โดยทางเจ้าหน้าที่พิพิธภัณฑ์ยังเล่าอีกว่า ทุกวันนี้โรเบิร์ตจะได้รับจดหมายจากผู้คนวันละไม่ต่ำกว่า 3 ฉบับ ซึ่งเนื้อหาในจดหมายแต่ละฉบับนั้นไม่ได้เขียนมาเพื่อชื่นชมมันเลยแม้แต่ฉบับเดียว โดยทุกฉบับนั้นจะเป็นจดหมายที่เขียนมาเพื่อขอโทษ เนื่องจากนักท่องเที่ยวเหล่านั้นได้ไปลบหลู่มันเอาไว้ไม่อย่างใดก็อย่างหนึ่ง บางฉบับก็เขียนมาขอคำปรึกษาไม่ก็เขียนมาสารภาพผิด จนปัจจุบันมีจดหมายส่งมานับพันฉบับโดยทางพิพิธภัณฑ์ก็ได้เก็บเอาไว้ทั้งหมด

รวมไปถึงถูกนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์เมื่อปี ค.ศ. 2015 ในชื่อเรื่องโรเบิร์ตแอนด์เดอะเคิร์สต์ออฟโรเบิร์ต จนเกิดกระแสมีเรื่องที่สองตามมาคือเดอะลีเจนด์ออฟโรเบิร์ตเดอะดอลล์ ที่กำลังเตรียมการถ่ายทำกันอยู่ และก็ยังมีภาพยนตร์ที่เล่าถึงที่มาของมันในชื่อ เดอะทอยเมกเกอร์ ออกมาอีกหนึ่งเรื่อง ซึ่งทั้งหมดถูกสร้างขึ้นโดยฝีมือแอนดรูว โจนส์ ผู้กำกับคนเดียวกันทั้งสิ้น


ภาพยนตร์เรื่อง The Curse of Robert และ Rober
(ภาพจาก: Courtesy of bttm.co.uk)

นอกจากจดหมายแปลก ๆ จากนักท่องเที่ยวแล้ว ก็เป็นที่รู้กันว่าโรเบิร์ตนั้นชอบขนมหวาน นักท่องเที่ยวจึงต่างนำลูกอมและขนมชนิดต่าง ๆ มาวางทิ้งไว้ตรงจุดที่ตั้งแสดงเป็นประจำ เคยมีนักท่องเที่ยวแอบวางลังใส่เป็บเปอร์มินท์ไว้ให้ถึง 8 กล่อง บางทีก็มีการ์ดลึกลับที่ไม่ได้ระบุชื่อคนส่งวางทิ้งเอาไว้ บางคนไม่รู้จะซื้ออะไรมาให้ก็วางเงินทิ้งไว้ให้ดื้อ ๆ ก็มี

"คอรี่ คอนเวอร์ติโต้" เจ้าหน้าที่ดูแลตุ๊กตาโรเบิร์ต
(ภาพจาก: Fla-keys)


ซึ่งทางเจ้าหน้าที่พิพิธภัณฑ์เองก็ยังคงยืนยันว่า ที่นี่ไม่ใช่สถานที่ท่องเที่ยวแนวสยองขวัญ เพียงแต่ทุก ๆ วันเธอก็มีหน้าที่ดูแลเจ้าโรเบิร์ตให้อยู่ในสภาพสมบูรณ์ตลอดเวลา เพราะอากาศในฟลอริด้านั้นค่อนข้างจะมีผลทำให้สภาพของมันทรุดโทรมลงทุกวัน ซึ่งเจ้าหน้าที่คอนเวอร์ติโต้เองนอกจากจะต้องดูแลมันแล้ว ก็ยังทำหน้าที่เป็นตัวแทนของเจ้าตุ๊กตาโรเบิร์ต คอยตอบคำถามและตอบจดหมายในบางฉบับด้วย

เมื่อเดือนสิงหาคม ค.ศ. 2015 ที่ผ่านมา หน้าของเจ้าโรเบิร์ตก็ถูกนำไปตัดต่อกับภาพของคิม คาดาเชียน ที่กำลังยืนถือขวดแชมเปญโดยมีแก้ววางอยู่ที่สะโพกหลัง ซึ่งภาพนี้ก็มีผู้แชร์และกดไลค์กันถล่มทลาย

เพียงแต่ในบ้านเรานั้นไม่ทราบว่าเจ้าโรเบิร์ตนั้นดังมากขนาดมีแฟนเพจบน เฟซบุ๊ก กันแล้ว ซึ่งไปดูที่บางโพสต์นั้น เราจะพบความแห็นเป็นมุกตลกขำ ๆ จากแฟนคลับ ที่ดูคล้าย ๆ กับที่เราพบในประเทศไทยอย่างเช่น "ขออโหสิกรรมที่เข้ามาดู" กันด้วย

"ขออโหสิกรรมที่เข้ามาดู"

และอีกสิ่งที่เรายังไม่ทราบก็คือ เจ้าตุ๊กตาโรเบิร์ตตอนนี้ ได้เปิดเว็บไซต์อย่างเป็นทางการในชื่อ robertthedoll.org ที่ภายในเว็บไซต์จะมีภาพและเรื่องราวของมันโดยละเอียด รวมไปถึงสินค้าที่ระลึกต่าง ๆ โดยผู้ที่เปิดเว็บไซต์แห่งนี้ขึ้นมาก็คือทางพิพิธภัณฑ์ฟอร์ทอีสต์มาร์เทลโล่นั่นเอง

ทุกวันนี้ทางเจ้าหน้าที่พิพิธภัณฑ์ก็ได้ใช้ตุ๊กตาโรเบิร์ตตัวนี้เป็นฑูตแห่งกำลังใจ คอยส่งของให้กับเด็ก ๆ ที่เขียนมาเล่าถึงชีวิตที่ต้องถูกเพื่อนรังแก หรือเขียนส่งมาอธิษฐานขอให้โรเบิร์ตเป็นเด็กดี ซึ่งก็เรียกได้ว่าตอนนี้โรเบิร์ตได้เป็นอะไรที่มากกว่าตุ๊กตาอาถรรพ์ไปเสียแล้ว

ผู้ดูแลพาโรเบิร์ตไปเล่นเกม 🎮

โรเบิร์ตได้กลายเป็นทูตให้กำลังใจเด็ก ๆ ไปแล้ว

พอมีผู้ถามคอนเวอร์ติโตว่าสำหรับเธอแล้วเจ้าโรเบิร์ตมันน่ากลัวหรือเปล่า ? เธอก็ตอบว่า "เธอเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกันเพราะเธอไม่เคยมีประสบการณ์หลอน ไม่เคยรู้สึกไม่ดี และมองว่าสิ่งที่เธอทำอยู่ทุกวันนี้ก็คืองาน ไม่ได้มีอะไรพิเศษไปกว่านี้ แต่บางทีก็เคยคิดเหมือนกันว่าเจ้าโรเบิร์ตมันอาจจะแค่ยอมให้ทำงานที่นี่ก็เป็นได้"

ซึ่งทั้งหมดนี้มันก็ทำให้มิติที่ 6 มองว่า เรื่องราวน่ากลัวบางอย่างมันอาจจะเป็นเพียงแค่เรื่องเล่า ซึ่งถึงมันจะมีเค้าโครงมาจากเหตุการณ์จริง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเรื่องเล่ามันจะเป็นเรื่องจริงไปทั้งหมด

แต่บางครั้งเราก็ควรจะเหลือที่ว่างเอาไว้ให้สำหรับตำนานอาถรรพ์กันบ้าง เพราะอย่างน้อยมันก็ทำให้เศรษฐกิจในชุมชนที่เกิดเรื่องเล่าสามารถขับเคลื่อนต่อไปอย่างสะดวก อย่างที่รู้ ๆ กันว่าความจริงนั้น..มันช่างไม่มีเสน่ห์... เอาเสียเลย !!!


อย่าลืมติดตามชมรายการมิติที่ 6 ศุกร์สยองขวัญ กับเรื่องราวเบา ๆ พร้อมกับที่มาของมันกันได้ทุกวันศุกร์สะดวก แล้วอย่าลืมกดสับสไครป์ กดไลก์ กดแชร์ หรือทิ้งคอมเมนต์กันไว้ด้วยนะครับ ยังมีเรื่องราวต่าง ๆ อีกมากมายรอคุณอยู่ สำหรับวันนี้... สวัสดี

เรียบเรียงและบรรยายโดย นิวัฒน์ อ่ำแสง
ขอบคุณที่มา
Creepypasta Wiki - Robert the Doll
Scary for Kids - Robert the Doll
Wikipedia - Robert (doll)
facebook - Robert The Doll

21 เมษายน 2560

มิติที่ 6 ศุกร์สยองขวัญ โยทสึยะ ไคดัง ตำนานผีพยาบาทจากเรื่องจริงของญี่ปุ่น !!!




"รักมากก็แค้นมาก" คำคุ้นหูคำนี้เป็นสิ่งที่เราจะได้ยิน หลังจากที่เกิดเหตุน่าสลดใจระหว่างชายหญิงที่ล้มเหลวในการใช้ชีวิตร่วมกัน ซึ่งบทสรุปสุดท้ายของมัน ย่อมไม่ใช่เรื่องที่ใคร ๆ อยากให้เกิดแน่ ๆ

กดที่นี่เพื่อดูคลิป

มิติที่ 6 ศุกร์สยองขวัญ กับเรื่องราวเบา ๆ ในวันศุกร์สะดวกสัปดาห์นี้ เราจะเล่าตำนานของผีสาวตนหนึ่ง ผีสาวที่ต้องกลับมาแก้แค้นคนทรยศ กับเรื่องจริงที่ถูกซ่อนอยู่เบื้องหลัง ว่าเรื่องนี้... มันคืออะไรกันแน่ ?


โดยเรื่องราวนั้นมีอยู่ว่า


ภาพจาก: Utagawa Kuniyoshi  

ในเอโดะนั้นมีเรื่องเล่าของชายคนหนึ่ง เขาชื่อทามิยะ อิเอม่อน เขาถูกโยทสึยะ ซาม่อน เก็บมาเลี้ยงในฐานะเด็กรับใช้ จนเมื่อเขาโตขึ้นอิเอม่อนจึงได้กลายมาเป็นซามุไรรับใช้ของตระกูล และได้สนิทสนมกับโออิวะลูกสาวของเจ้าบ้าน

ด้วยเพราะทั้งสองเติบโตมาด้วยกันจึงทำให้โออิวะเองก็แอบหลงรักซามุไรหนุ่ม แต่ความสัมพันธ์นี้กลับไม่ได้รับการยอมรับจากเจ้าบ้านซาม่อน เพราะความรักระหว่างนายกับบ่าวในบ้านมันถือเป็นเรื่องน่าอับอายของตระกูล นั่นจึงทำให้ทั้งสองต้องถูกสั่งให้เลิกคบหากันทันที

เมื่อความรักถูกกีดกัน ทำให้ซามุไรหนุ่มถึงกับขาดสติ ซุ่มวางแผนลอบสังหารเจ้านายตัวเองจนสำเร็จ ในขณะที่แม่ของโออิวะเองก็ถูกซามุไรอีกคนลอบสังหารตายไปพร้อม ๆ กัน นั่นจึงทำให้โออิวะและน้องสาวของเธอต้องใช้ชีวิตกันต่อไปตามลำพังสองพี่น้อง โดยไม่รู้ว่าวันข้างหน้าจะเกิดอะไรขึ้น

อิเอม่อนจึงอาศัยโอกาสนี้โกหกโออิวะว่า พ่อของเธอถูกซามุไรจากฝ่ายศัตรูฆ่าตาย และออกปากอาสาจะขอเป็นผู้ดูแลรับผิดชอบชีวิตของเธอตลอดไป ในขณะที่น้องสาวของเธอก็ได้ซามุไรอีกคนพาไปอยู่ด้วย

จากเรื่องดังกล่าวจึงทำให้ทั้งสองได้แต่งงานและอยู่กินด้วยกันจนมีลูกขึ้นมา 1 คน แต่ในขณะที่ชีวิตของโออิวะกำลังเต็มเปี่ยมไปด้วยความสุข อิเอม่อนกลับเริ่มเบื่อชีวิตคู่ แอบไปติดพันอยู่กับโออุเมะลูกสาวของคฤหาสถ์อิโต คิเฮย์ ซึ่งความสัมพันธ์นี้ก็ไม่ได้รับการยอมรับจากพ่อของเธอเช่นกัน เพราะเขามองว่าอิเอม่อนเป็นซามุไรที่แต่งงานจนมีลูกแล้ว การยอมให้อิเอม่อนมาวุ่นวายกับลูกสาวของตนนั้นถือเป็นเรื่องน่าอับอาย แต่เขาก็มองว่าโออุเมะนั้นรักกับอิเอม่อนเป็นอย่างมาก จึงบอกกับซามุไรหนุ่มว่าถ้าจะมาแต่งเป็นเขยบ้านนี้อิเอม่อนจะต้องเลิกกับภรรยาของตัวเองก่อน

จากนั้นอิโตก็ออกอุบายนำยาพิษมามอบให้กับอิเอม่อนเพื่อการนี้ อิเอม่อนเองก็ตกลงทำตามและนำยาพิษไปผสมกับน้ำชาส่งให้ภรรยาดื่ม พอดื่มเสร็จโออิวะก็ล้มป่วยลงในทันที จากนั้นอิเอม่อนจึงได้ว่าจ้างให้คนรับใช้ของตัวเองบุกเข้าไปข่มขืนเมียที่กำลังป่วยของตน แต่พอเอาเข้าจริง ๆ ด้วยศักดิ์ศรีของโออิวะที่สูงกว่า ก็ทำให้คนรับใช้เกิดหวาดกลัวและสารภาพความจริงออกมาว่าเขาถูกอิเอม่อนว่าจ้างให้มาทำเช่นนี้กับเธอ

โออิวะได้ยินเข้าก็เสียใจเป็นอย่างมาก แต่สิ่งที่แย่ไปกว่านั้นก็คือ ยาพิษที่เธอดื่มเข้าไปในตอนแรกนั้นมันเพิ่งจะเริ่มออกฤทธิ์ตอนนี้พอดี นั่นจึงส่งผลให้ใบหน้าของโออิวะตอนนี้ เกิดเป็นรอยแผลเหมือนถูกไฟไหม้อย่างรุนแรง ผิวหนังบนใบหน้าหลุดลอกออกมาทุกที่ ที่มือของเธอไปสัมผัสโดนเข้า

พอเธอเห็นใบหน้าของตัวเองในกระจกก็ยิ่งเสียใจ จนไปหยิบเอาลิ่มเหล็กแกะสลักงานฝีมือที่วางไว้ เดินเข้าไปหาคนรับใช้เพื่อจะเค้นความจริง คนรับใช้ที่เกิดความกลัวเพราะเห็นสภาพของเธอตอนนี้ ก็สารภาพความจริงออกมาอีกว่า คนที่ทำให้เธอเป็นแบบนี้ก็คือเจ้าบ้านของคฤหาสถ์อิโต พ่อของโออุเมะที่สามีของเธอไปติดพัน และเขายังสารภาพอีกว่าคนที่ฆ่าพ่อของโออิวะนั้นก็คืออิเอม่อนนั่นเอง

ยิ่งได้รู้ความจริงโออิวะก็ยิ่งโกรธแค้นที่เสียรู้ให้กับคนชั่ว เธอกำลิ่มแกะสลักจ่อที่คอของตัวเอง แล้ววิ่งชนกับกำแพงให้มันทิ่มทะลุคอหอยจนเลือดไหลออกมาไม่หยุด คนรับใช้เห็นท่าไม่ดีจึงรีบหนีกลับไปหาอิเอม่อน ทิ้งโออิวะที่ร่างเต็มไปด้วยเลือด อุ้มลูกน้อยพร้อมกับเอ่ยวาจาสาปแช่งสามีของตนว่า

"ฉันจะกลับมาแก้แค้น !!!"

คนรับใช้รีบวิ่งมารายงานกับอิเอม่อนว่า โออิวะนั้นน่าจะเสียชีวิตเพราะยาพิษไปแล้ว และออกปากขอค่าจ้างเพื่อใช้หลบหนี แต่กลับกลายเป็นว่าอิเอม่อนจ่ายค่าจ้างด้วยการใช้ดาบซามุไร ฟันเข้าไปที่กลางแสกหน้าของเขาจนเสียชีวิต ก่อนที่จะเดินทางกลับมาที่บ้าน เพื่อให้เห็นกับตาว่าตอนนี้โออิวะเสียชีวิตจริง ๆ หรือเปล่า

พอกลับมาถึงเขาก็พบกับศพของเธอนอนคว่ำหน้า พอพลิกศพให้หงายขึ้นมาก็ตกใจกับใบหน้าของเธอที่ตอนนี้ดูน่าเกลียดน่ากลัวเป็นอย่างมาก แต่อย่างไรก็ตามถึงทุกอย่างจะผิดแผนไปบ้าง แต่ผลที่ได้ก็คือตอนนี้ไม่มีโออิวะอยู่ในโลกนี้แล้ว เขาจึงนำร่างของเธอตอกติดกับแผ่นกระดาน แล้วแบกร่างของเธอนำไปลอยทิ้งในคลองแถวท้ายหมู่บ้าน ก่อนที่จะเดินทางไปคฤหาสถ์อิโตเพื่อแจ้งข่าวดีกับพ่อตาคนใหม่

ภาพจาก: Utagawa Kuniyoshi       

ทุกอย่างสำเร็จตามเป้าหมายเช่นนี้ เจ้าบ้านอิโตจึงได้จัดพิธีแต่งงานให้กับลูกสาวสมความตั้งใจ และยกห้องให้ทั้งสองอยู่กินด้วยกันภายในคฤหาสถ์ของเขา

พองานแต่งงานจบลง อิเอม่อนก็พาภรรยาใหม่ของตัวเองเข้าห้องนอน โออุเมะผู้เขินอายกับชีวิตคู่ในคืนแรกก็หันหน้าหนีหลบสามีไปดื้อ ๆ อิเอม่อนจึงสะกิดเรียกให้เธอหันหน้ากลับมาเพื่อจะเชยชม แต่พอโออุเมะหันหน้ากลับมา มันก็ทำให้อิเอม่อนตกใจกระโดดตัวลอยออกมาจากที่นอนในทันที เพราะใบหน้าของโออุเมะตอนนี้ ได้กลายเป็นใบหน้าเสียโฉมของโออิวะไปแล้ว ใบหน้าอันอัปลักษณ์ของเมียเก่า ค่อย ๆ คืบคลานเข้ามาหาสามีและพูดว่า


"อิเอม่อน... ไหนสัญญาว่าจะไม่ทิ้งกัน เจ้าคนทรยศ !!!"

สิ่งที่อยู่ตรงหน้าอิเอม่อนตอนนี้ ทำให้เขากลัวจนลนลาน คว้าดาบซามุไรออกมาฟันที่คอของผีภรรยาเก่าทันที พอผีโออิวะล้มลงร่างนั้นก็กลับมาเป็นโออุเมะที่เสียชีวิตเพราะถูกซามุไรของเขาฟันคอจนเป็นแผลลึก

เห็นแบบนั้นอิเอม่อนก็รีบเข้าไปดูอาการของเธอ แต่ทุกอย่างก็สายเกินไป เพราะโออุเมะขาดใจตายไปแล้ว ขณะที่อิเอม่อนกำลังเสียใจอยู่นั้น สายตาของเขาก็พลันไปเห็นลูกไฟวิญญาณของโออิวะ กำลังลอยไปมาอยู่เหนือศพของโออุเมะ อิเอม่อนเห็นเข้าก็ตกใจกลัว ถึงขนาดวิ่งทะลุประตูออกไปอย่างเสียสติ

อิเอม่อนรีบวิ่งไปยังห้องนอนของพ่อตา แล้วตะโกนเรียกให้เขาเปิดประตูเพื่อขอหลบซ่อน แต่เมื่อประตูห้องถูกเปิดออก อิเอม่อนก็พบกับร่างของคนรับใช้ที่ตายไปนั่งอยู่ ที่ใบหน้ายังมีรอยแผลจากดาบซามุไรของเขาถูกบากเป็นรอยลึก ใช่แล้ว ! นอกจากวิญญาณของโออิวะ ก็ยังมีวิญญาณของคนรับใช้ที่ต้องการจะแก้แค้น ผีคนรับใช้ได้เอ่ยปากพูดกับเขาว่า


“จ่ายค่าจ้างมาเสียทีสิเจ้านาย !!!”

จนอิเอม่อนที่ตกใจอยู่แล้วถึงกับขาดสติคว้าดาบซามุไรออกมา ฟันซ้ำเข้าไปที่ใบหน้าของคนรับใช้จนล้มลงไป พอทุกอย่างจบลงอิเอม่อนถึงได้รู้ว่า คนที่เขาเพิ่งใช้ซามุไรฟันไปนั้นคือพ่อตาของเขานั่นเอง

อิเอม่อนถึงกับขวัญผวา รีบวิ่งหนีออกมานอกคฤหาสถ์พ่อตาเข้าไปหลบอยู่ในบริเวณวัดใกล้ ๆ แต่วิญญาณของโออิวะก็ยังคงตามมาหลอกหลอนจนเขาเสียสติ วิ่งหนีกลับมาที่คฤหาสถ์ก็เจอแต่ภาพหลอน คนรับใช้ที่วิ่งออกมาสอบถามด้วยความเป็นห่วงก็ถูกอิเอม่อนฆ่าทิ้งไปทีละคน

นั่นก็เป็นเพราะว่าตอนนี้ในสายตาของอิเอม่อนเห็นใบหน้าทุกคนเป็นหน้าของเมียเก่าที่ตายไป พอใครเดินเข้ามาใกล้ อิเอม่อนก็ใช้ดาบซามุไรสังหารพวกเขาจนตายทันที คนที่หนีรอดไปได้ก็รีบวิ่งไปแจ้งเจ้าหน้าที่บ้านเมืองให้เข้ามาช่วย อิเอม่อนที่เป็นบ้าไปแล้วก็พยายามต่อสู้ฝ่าวงล้อมเจ้าหน้าที่หนีออกมาจนถึงริมคลอง แห่งเดียวกันกับที่ ๆ เขาลอยศพของโออิวะทิ้งไปนั่นเอง

อิเอม่อนสงบสติอารมณ์ลงแล้วจ้องมองไปในลำคลอง เขาเห็นศพของโออิวะลอยขึ้นมา พร้อมพูดกับเขาด้วยประโยคเดิม


“อิเอม่อน... ไหนว่าจะไม่ทิ้งกัน เจ้าคนทรยศ !!!”

ถึงตรงนี้อิเอม่อนก็สำนึกขึ้นมาแต่ทุกอย่างมันก็สายเกินไป เขาล้มลงหัวใจวายตายที่ตรงริมคลองแห่งนั้น ท่ามกลางสายตาของผีโออิวะที่มองดูสามีของตัวเองตายไปอย่างมีความสุข


--จบ--


โยทสึยะ ไคดัง หรือ เรื่องสยองขวัญของโยทสึยะ เป็นเรื่องราวความพยาบาทระหว่างสองสามีภรรยาที่ถูกยกให้เป็นเรื่องเล่าน่ากลัวแนวสยองขวัญตลอดกาลของประเทศญี่ปุ่น โด่งดังจนเคยถูกนำมาดัดแปลงเป็นภาพยนต์มาแล้วมากกว่า 30 ครั้ง และยังคงนิยมนำมาดัดแปลงเล่าใหม่มาจนถึงทุกวันนี้

โดยเรื่องราวนี้ถูกแต่งขึ้นโดยสึรุยะ นันโบคุ ที่ 4 เพื่อนำมาใช้เป็นบทละครคาบุกิ โดยใช้ชื่อเดิมว่า โทไคโด โยทสึยะ ไคดั และถูกนำมาย่อให้ชื่อสั้นลงเป็น โยทสึยะ ไคดัง ในภายหลัง

"สึรุยะ นันโบคุ ที่ 4" ผู้แต่งเรื่องโยทสึยะ ไคดัง

ซึ่งที่มาของเรื่องน่ากลัวเรื่องนี้ สึรุยะ นันโบคุได้ดัดแปลงมาจากเรื่องที่เกิดขึ้นจริงของคดีฆาตกรรมสองราย โดยรายแรกเป็นคดีซามุไรคนหนึ่ง พลั้งมือสังหารเจ้านายของตัวเองด้วยสาเหตุบางอย่าง ก่อนที่จะถูกนำตัวไปประหารภายในวันนั้น ผสมกับอีกคดีที่คนร้ายเป็นซามุไร ผู้แอบไปหลงรักกับนางสนมในวังคนหนึ่ง พอความแตกขึ้นมาทั้งสองก็ถูกจับมัดตรึงไว้กับท่อนซุง แล้วนำไปลอยในแม่น้ำคันดะ จากนั้นเขาก็เพิ่มจินตนาการเกี่ยวกับภูติผีพยาบาทเข้าไปจนได้เป็นบทละครเรื่องนี้ขึ้นมา

โดยหลังจากเรื่องดังกล่าวถูกนำไปแสดงบนเวทีครั้งแรกเมื่อช่วงเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1825 ที่โรงละครนาคามุราสะเธียร์เตอร์ ในกรุงเอโดะหรือโตเกียวในปัจจุบัน ด้วยเนื้อหาที่ดูสมจริงและสนุกสนาน มันก็ได้ทำให้การแสดงในครั้งนั้นประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก จนแม้จะหมดรอบแสดงกันไปแล้ว ทางผู้ควบคุมการแสดงก็ยังคงถูกบังคับให้ทำการแสดงต่อเพื่อสนองความต้องการของผู้ชมจำนวนมาก

จนสุดท้ายมันก็ได้กลายเป็นสุดยอดเรื่องเล่าน่ากลัวสยองขวัญที่ไม่ว่าใคร ๆ ในสมัยนั้นก็ต้องพูดถึง ส่งผลให้ผู้คนที่จำเป็นจะต้องสัญจรผ่านเข้าออกในวัดหรือศาลเจ้า ไม่มียกเว้นตั้งแต่ชนชั้นสูงไปถึงชนนั้นล่าง ต้องเกิดอาการหวาดผวากลัวเห็นผีโออิวะราวกับว่าเธอมีตัวตนจริง ๆ

จากกระแสความนิยมที่ถูกเล่าสืบต่อกันมาเกือบแปดสิบแปดปี โยทสึยะ ไคดังก็ได้ถูกนำมาดัดแปลงเป็นบทภาพยนตร์ออกฉายมากถึง 18 เวอร์ชั่น ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1913 จนถึง ค.ศ. 1937 และยังถูกนำมาสร้างเป็น ภาพยนตร์ ในยุคถัดมาอีกหลายเวอร์ชั่น เรื่อยไปจนถึงนำบทมาขยายความเป็นภาคต่อ ให้ได้ดูกันเหมือนกับซีรีย์บ้านผีปอบของเรา



จนมาถึงปี ค.ศ. 2006 โยทสึยะ ไคดังก็ถูกนำมาดัดแปลงทำเป็นบทการ์ตูนอะนิเมะความยาว 4 ตอน ในชื่อเรื่อง อายาคาชิ

"อายาคาชิ" [Ayakashi - Samurai Horror Tales]

ด้วยความที่มันโด่งดังมาก จนคนญี่ปุ่นในท้องที่ที่เรื่องนี้ได้ถูกอ้างถึงได้ร่วมใจกันสร้าง สุสาน ให้กับโออิวะผีสาวผู้น่าสงสาร ให้เธอได้มีสุสานที่อยู่จริง ๆ ภายในวัดเมียวเกียวจิ ตำบลสุงาโมะ อำเภอโทชิมาคุ จังหวัดโตเกียว ซึ่งเป็นสถานที่ ๆ ถูกอ้างอิงในเรื่อง ไว้เพื่อแสดงความเคารพและยกให้เป็นเรื่องน่ากลัวประจำท้องที่กันเลยทีเดียว ดังนั้นถ้าหากใครได้มีโอกาสไปเยี่ยมสุสานของโออิวะก็อย่าลืมถ่ายภาพสุสานของเธอมาฝากมิติที่ 6 กันด้วยนะครับ

สุสานโออิวะในปัจจุบัน
(ภาพจาก: Odigo.jp)

แล้วอย่าลืมติดตามรายการมิติที่ 6 ศุกร์สยองขวัญ กับเรื่องราวเบา ๆ พร้อมกับที่มาของมันกันได้ทุกวันศุกร์สะดวก อย่าลืมกดสับสไครป์ กดไลก์ กดแชร์ หรือทิ้งคอมเมนต์กันไว้ด้วยนะครับ ยังมีเรื่องราวต่าง ๆ อีกมากมายรอคุณอยู่ สำหรับวันนี้... สวัสดี


แปลและเรียบเรียงโดย นิวัฒน์ อ่ำแสง
ขอบคุณที่มา: Wikipedia

แท็ก: Myogyoji Temple, Sugamo, Tōkaidō, Yotsuya, Kaidan, โยทสึยะ, ไคดัง, Ayakashi, อายาคาชิ, Ghost Story of Yotsuya, ผีพยาบาท, เรื่องสยองขวัญของโยทสึยะ, ผีญี่ปุ่น, Japanese ghosts, Japanese folklore, Japanese horror fiction, Kabuki plays, 1825 plays, Japanese films, Female legendary creatures

19 เมษายน 2560

มิติที่ 6 เปิดปมปริศนา Flatwoods monster ตำนานสิ่งลึกลับแห่งเมืองแฟลตวูด !!!




ในเวสต์เวอร์จิเนียของประเทศสหรัฐอเมริกานั้น มีเรื่องเล่าน่ากลัวเรื่องหนึ่งที่รู้จักกันในชื่อ "แบร็กซ์ตันเคาน์ตี้มอนส์เตอร์" หรือ "ปีศาจแห่งเมืองแฟลตวูด" ที่ถูกพบเห็นในวันที่ 12 กันยายน ค.ศ. 1952 ในเรื่องราวนี้มีการพูดถึงสิ่งมีชีวิตลึกลับรูปร่างแปลกประหลาด ที่พวกเขาได้วาดรูปของมันไว้ให้คนรุ่นหลังดู โดยยืนยันว่าพวกเขาได้เห็นเจ้าสิ่งนี้ในระยะใกล้ชิดมาแล้ว

กดที่นี่เพื่อดูคลิป

มิติที่ 6 สัปดาห์นี้ เราจะพาคุณไปพบกับปริศนาเรื่องหนึ่ง เรื่องราวของการเผชิญหน้ากับสิ่งมีชีวิตลึกลับจากฟากฟ้า พร้อมกับคำอธิบายทุก ๆ ด้านที่เราจะต้องใช้วิจารณญาณกันว่า ในคืนวันนั้นพวกเขาได้พบกับอะไรกันแน่ !?


The Flatwoods Monster

เมื่อวันที่ 10 มีนาคม ค.ศ. 2010 มีเรื่องราวเรื่องหนึ่ง ได้ถูกบอกเล่าและนำเสนอไว้ในรายการมอนส์เตอร์เควสต์ ในรายการได้พบกับพยานจำนวนมากมาย ล้วนบอกว่าได้เห็นวัตถุทรงกลมเรืองแสงสีแดง ลอยอยู่เหนือพื้นดินในบริเวณที่เชื่อว่าพบเห็นมัน นักยูเอฟโอวิทยาต่างก็เชื่อว่า มันจะต้องเป็นพลังงานที่ถูกปลดปล่อยออกมาจากยานอวกาศ ส่วนเจ้าสิ่งมีชีวิตลึกลับนั่นก็น่าจะเป็นนักบินจากต่างดาวอย่างแน่นอน

เรื่องราวนี้มันเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 12 กันยายน ค.ศ. 1952 ช่วงเวลาประมาณ 17.15 น. เอ็ดเวิร์ดและเฟร็ดสองพี่น้องตระกูลเมย์ พร้อมกับเพื่อนชื่อทอมมี่ ไฮเออร์ ทั้งสามคนอายุ 13 ปี 12 ปี และ 11 ปี ตามลำดับ ได้พบกับวัตถุปริศนาลอยมาจากฟากฟ้าลงจอดบนที่ดินของนายจี เบลลี่ ฟิชเชอร์ พวกเขาจึงรีบวิ่งกลับไปที่บ้านของสองพี่น้องตระกูลเมย์ เพื่อบอกให้แคธลีน เมย์ แม่ของพวกเขาทราบว่าเพิ่งได้พบกับอะไรมา

"ยูจีน เลมอน และมารดาของเอ็ดเวิร์ด เมย์" ผู้พบสัตว์ประหลาดต่างดาว

ต่อมาก็มีเด็กชายอีกสามคนชื่อนีล นันลี่ อายุ 14 ปี รอนนี่ เชฟเวอร์ อายุ 10 ปี และเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยอายุ 17 ปี จากเวสต์เวอร์จิเนีย ชื่อยูจีน เลมอน ได้เดินทางมาที่ฟาร์มของฟิชเชอร์เพื่อพิสูจน์ความจริงในเรื่องนี้


สุนัขของยูจีนวิ่งนำหายไปพักหนึ่ง ก่อนที่จะเริ่มเห่าเสียงดังไปที่อะไรบางอย่าง เจ้าสิ่งลึกลับนั้นก็วิ่งอ้อมพวกเขาไปทางด้านหลังด้วยส่วนหางที่อยู่ระหว่างขาของมัน หลังจากที่พวกเขาเดินตามไปได้ประมาณ 400 เมตร ทุกคนก็มาอยู่ที่ยอดเชิงเขา ที่นี่ทุกคนได้อ้างว่าพวกเขาเห็นลูกไฟสีแดงอยู่ห่างออกไปประมาณ 15 เมตรจากทางด้านขวามือ ตอนนั้นทุกคนถูกหมอกปริศนาเข้าปกคลุม มันไม่ใช่หมอกปกติธรรมดา มันสามารถทำให้ดวงตาและจมูกของพวกเขาเป็นรอยไหม้

ภาพจากจินตนาการ

ยูจีนเห็นแสงไฟเล็ก ๆ สองดวงส่องสว่างออกมาจากทางด้านซ้ายของวัตถุลึกลับนั้น มันอยู่บริเวณใต้ต้นโอ๊คกำลังสาดแสงไฟมาที่พวกเขา จากนั้นมันก็หันหน้าไปยังทิศทางที่ลูกไฟสีแดงนั้นปรากฏอยู่ และทันทีที่มันหันไป ทุกคนก็อาศัยช่วงจังหวะนี้หลบหนีกลับมาด้วยความตื่นตะลึง

กลับมาที่บ้านของครอบครัวเมย์ แม่ของเด็ก ๆ ได้แจ้งให้นายอำเภอโรเบิร์ต คาร์ และนายเอ. ลี สจ็วต ผู้ร่วมก่อตั้งหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นชื่อแบร็กซ์ดันเดโมแคร็ท วันนั้นสจ๊วตได้สอบถามรายละเอียดจากทุก ๆ คน

โดยในบันทึกนั้นแต่ละคนอธิบายรูปร่างของมันแตกต่างกันออกไป แต่ส่วนใหญ่ผู้คนที่ได้พบเห็นเจ้าสิ่งนี้ก็ล้วนเล่าขานกันว่ามันสูงอย่างน้อย 7 ฟุต หรือประมาณ 2.1 เมตร ร่างกายสีดำผิวหนังบนใบหน้าสามารถเรืองแสงได้ เหล่าพยานได้ระบุรายละเอียดตรงส่วนหัวของมันว่าดูเหมือนกับเพชรกลับหัว ดวงตาของมันไม่เหมือนมนุษย์อย่างสิ้นเชิง ด้านหลังของศีรษะมีแผ่นวงกลมชิ้นหนึ่งรองรับอยู่ และที่ร่างกายของมันมีวัสดุบางอย่างปกคลุมเหมือนเกราะ โดยทุกคนระบุว่ามันไม่มีอะไรดูเหมือนมนุษย์แม้แต่น้อย

ผู้ที่ได้พบเห็นมันบางคนระบุว่า เจ้าสิ่งนี้มันไม่มีแขนและมีความเร็วว่องไว แต่บางคนกลับบอกว่ามันมีแขนยาว ๆ ยื่นออกมาที่บริเวณส่วนด้านหน้าของร่างกาย และมีนิ้วมือยาวเหมือนกรงเล็บ บางคนให้นิยามเรียกมันว่า "ลิซาร์ดมอนส์เตอร์"

จากนั้นพวกนายอำเภอก็ให้ยูจีนพาเขาไปยังสถานที่เกิดเหตุ โดยสจ็วตได้รายงานว่าที่นั่นมีกลิ่นไหม้อย่างรุนแรงผสมกับกลิ่นโลหะคละคลุ้งไปทั่ว ส่วนทางนายอำเภอและผู้ช่วยเบอร์เนล ลอง ได้ตรวจสอบทั่วบริเวณแล้วก็พบว่า มีร่องรอยบางอย่างยังคงหลงเหลืออยู่บนโคลนเป็นทางยาว 2 รอย ในรอยที่ว่ามีของเหลวสีดำปรากฏอยู่และยืนยันว่ามันต้องเป็นร่องรอยการลงจอดของวัตถุที่ไม่สามารถระบุเอกลักษณ์ หรือที่เราเรียกกันว่ายูเอฟโอแน่ ๆ เพราะที่แห่งนี้ไม่เคยมียานพาหนะใดสัญจรผ่านมาหลายปีแล้ว

แต่ในเวลาไม่นานข้อสันนิษฐานนี้ก็เป็นอันต้องตกไป เพราะมีผู้สามารถพิสูจน์ได้ว่าแท้ที่จริงแล้วร่องรอยดังกล่าวมันคือรอยล้อของรถบรรทุกยี่ห้อเชฟโรเล็ท รุ่นปี ค.ศ. 1942 ของนายแม็กซ์ ล็อคเคิร์ด ที่เขาเองก็เคยเดินทางไปยังจุดเกิดเหตุนี้ เพื่อไปดูเจ้าสิ่งลึกลับช่วงก่อนหน้าที่นายอำเภอจะเดินทางไปถึงเพียงเท่านั้น

พอเหตุการณ์จบลงนายวิลเลียม และดอนน่า สมิธ นักสืบจากสมาคมซิวิลเลียนซอร์เซอร์อินเวสติเกชั่น (Civilian Saucer Investigation, LA) หรือสมาคมนักสืบจานบินพลเรือนจากลอสแองเจลิส ก็ได้เดินทางเข้ามาสืบสวนพบพยานอีกเป็นจำนวนมากที่ยืนยันว่าพวกเขาพบกับเหตุการณ์คล้าย ๆ กันนี้ โดยมีอยู่ครอบครัวหนึ่งให้การว่าพวกเขาทั้งสองได้เคยพบกับสิ่งมีชีวิตลึกลับที่มีรูปร่างลักษณะและกลิ่นเหมือนกัน ก่อนที่เด็ก ๆ กลุ่มแรกจะพบถึงประมาณ 1 สัปดาห์ ซึ่งการพบในครั้งนี้ได้ส่งผลกระทบต่อลูกสาวของเธอถึงขั้นต้องนอนอยู่ในโรงพยาบาลไฮแลนด์คลาคส์เบิร์กถึง 3 สัปดาห์

อีกทั้งยังได้รับคำยืนยันจากแม่ของยูจีนที่เล่าว่า ตอนช่วงเวลาที่เกิดเหตุตอนนั้นบ้านของเธอเกิดสั่นไหวขึ้นมาโดยไม่ทราบสาเหตุ ส่วนวิทยุก็ถูกอะไรบางอย่างตัดสัญญาณไปถึง 45 นาที และมีรายงานจากผู้อำนวยการของคณะกรรมการการศึกษายืนยันว่า เขาเคยเห็นจานบินบินขึ้นในช่วงเวลาประมาณ 6.30น. ของวันที่ 13 กันยายนปีเดียวกันนั้นด้วย ซึ่งเช้าวันดังกล่าวเป็นวันหลังจากคืนเกิดเหตุที่สองแม่ลูกคู่นี้พบเหตุการณ์ประหลาด

หลังจากการเผชิญหน้ากับสิ่งมีชีวิตลึกลับ สมาชิกบางคนของกลุ่มวันที่ 12 กันยายนได้มีอาการล้มป่วยคล้าย ๆ กัน บางคนก็ยังมีอาการเป็น ๆ หาย ๆ ซึ่งบางที่คนที่ว่านี้ก็คือพวกในกลุ่มที่อ้างว่าได้สัมผัสกับหมอกประหลาดในคืนนั้น อาการป่วยที่ว่านั้นก็ได้แก่ การระคายเคืองที่เยื่อบุจมูกและคอบวม โดยในรายของยูจีนเขาต้องทนทุกข์ทรมานกับการอาเจียนและชักตลอดทั้งคืน อีกทั้งยังมีอาการระคายเคืองที่คออีกตลอดสัปดาห์

แพทย์ที่ได้ดูแลพยานบางคนได้ระบุรายละเอียดเกี่ยวกับอาการเหล่านี้ว่า มันดูคล้ายกับอาการของเหยื่อที่ถูกแก๊สมัสตาร์ดหรือไม่ก็เป็นอาการของผู้ป่วยโรคฮิสทีเรีย แต่มันก็เป็นไปได้ที่สาเหตุจะเกิดจากผู้ป่วยไปประสบกับเหตุการณ์ที่น่าตกใจหรือสะเทือนใจเป็นอย่างมากเช่นกัน

จนเวลาผ่านมา 48 ปี เหตุการณ์นี้ก็ได้รับการพิสูจน์อีกครั้งจากโจเซฟ นิเคล แห่งกลุ่มสืบสวนสิ่งลี้ลับที่เรียกย่อ ๆ ว่า CSI หรือ CSICOP  ซึ่งเรื่องนี้ได้ถูกสรุปไว้ในปี ค.ศ. 2000 ว่า... ลำแสงสีฟ้าที่ถูกพบโดยพยานหลายคนในวันที่ 12 กันยายน ค.ศ. 1952 นั้นน่าจะเป็นอุกาบาต ส่วนแสงสีแดงที่พบนั้นน่าจะเป็นไฟนำทาง หรือไม่ก็เป็นไฟสัญญาณเตือนทางอากาศ ส่วนสิ่งมีชีวิตลึกลับที่พยานได้พบนั้น มันดูใกล้เคียงกับนกฮูก นกเค้าแมว หรือไม่ก็นกแสกเป็นอย่างมาก

"โจเซฟ นิเคล"

ซึ่งนิคเคลได้ยืนยันว่า สาเหตุที่พวกเขาเห็นนกแสกผิดเพี้ยนไปมันก็เป็นเพราะความเครียดและความกังวลที่มากจนเกินเหตุ โดยนิเคลได้ยกข้อสรุปที่ได้มาจากนักสืบคนอื่น ๆ ว่า มันอาจจะเกี่ยวข้องกับกองทัพอากาศก็เป็นได้ แต่ก็ยังมีบางคนที่เข้าใจว่ามันอาจจะไม่ใช่นกฮูกแต่เป็นมนุษย์ผีเสื้อกลางคืน ไม่ก็อาจจะเป็นอะไรที่คล้าย ๆ กับเหตุการณ์การเผชิญหน้ากับสิ่งลึกลับที่คริสเตียนเคาน์ตี้ของกลุ่มเคลลี่ และหมู่บ้านฮ็อพกินส์วิลล์ในรัฐเคนตักกี้ก็เป็นได้

โดยในคืนวันที่ 12 กันยายนของปีนั้น มีรายงานระบุถึงอุกาบาตที่ตกลงมาจนมีผู้พบเห็นมากมายถึง 3 รัฐ นั่นก็คือในแมรี่แลนด์ เพ็นซิลวาเนีย และเวสต์เวอจิเนีย และก็มีรายงานเครื่องบินตกในแถบหุบเขาเอลค์ริเวอร์ที่อยู่ห่างออกไปจากเมืองแฟลตวูดประมาณ 11 ไมล์ โดยมีผู้พบเห็นไฟสีแดงสามดวงกระพริบจากไฟนำทางของเครื่องบินออกมาจากบริเวณที่เกิดเหตุนั้นด้วย และมันก็เป็นไปได้ว่าสิ่งที่พยานเข้าใจว่าเป็นใบหน้าของสิ่งมีชีวิตลึกลับมันก็อาจจะเป็นนกแสก

นกแสก... แกว๊ก แกว๊ก!

ส่วนที่เห็นเหมือนกับมือและกงเล็บกับรูปร่างของใบหน้าที่ดูเหมือนกับรูปทรงโพธิ์ดำของไพ่นั้น นิคเคลสรุปว่าทุก ๆ อย่างนั้นมันเหมือนกับพวกเขาจะเห็นเงาของนกแสกนั่นเอง โดยลักษณะการลอยได้ของมันก็น่าจะเป็นนกแสกตัวใหญ่ที่กำลังเกาะกิ่งไม้อยู่ ซึ่งนักวิจัยผู้นี้ได้สรุปอีกว่าใบไม้ที่ติดอยู่กับกิ่งตรงจุดนกแสกเกาะอยู่นั้นมันสามารถเกิดเป็นภาพลวงตา เหมือนกับว่ามันมีลำตัวส่วนล่างเป็นแบบนั้น
และเขาก็ได้สรุปปัจจัยเหล่านี้มันคือสาเหตุที่ทำให้พยานแต่ละคนเห็นเจ้าสิ่งนี้ไม่เหมือนกัน บางคนก็เห็นเป็นมือกงเล็บเล็ก ๆ บางคนก็เห็นเป็นมืองอกออกมาข้างหน้า ซึ่งมันตรงกับลักษณะของนกแสกที่กำลังเกาะอยู่บนกิ่งไม้เป็นอย่างมาก

มีคำอธิบายอื่น ๆ ได้ถูกนำเสนอออกทางสื่อเช่นกันว่า กลุ่มพยานในวันที่ 12 กันยายนดังกล่าวน่าจะประสบกับเหตุอุกาบาตตก ซึ่งมันส่งผลทำให้เกิดกลุ่มเมฆรูปร่างเหมือนคนได้เช่นกัน และในส่วนของแคธลีน เมย์กับลูกชายนั้น พวกเขาน่าจะมองเห็นเครื่องบินของทางการที่บินไปยังจุดเกิดเหตุมากกว่า

แต่ไม่ว่ามันจะเป็นอะไรก็ตาม นับตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมาในทุก ๆ ปีที่เมืองแฟลตวูดก็จะจัดนิทรรศการงานฉลองสัตว์ประหลาดตัวสีเขียว โดยในงานจะมีคอนเสิร์ตให้ชมต่อเนื่องตลอดสามวัน ซึ่งทางพิพิธภัณฑ์กรีนมอนส์เตอร์ก็จะจัดงานท่องเที่ยวไปยังจุดเกิดเหตุด้วย


ในส่วนเจ้าสิ่งมีชีวิตลึกลับที่ถูกตั้งชื่อว่าเป็นสัตว์ประหลาดแห่งแฟลตวูดนั้น ก็ได้ถูกนำมาทำเป็นบอสใหญ่ของเครื่องเล่นเกมแฟมิลี่ชื่ออามาก้อน และถูกใช้เป็นบอสในด่านสองของเกมชื่อสเปซแฮริเออร์(ภาค 2) ส่วนเกมอื่น ๆ ที่ใช้มันเป็นสัตว์ประหลาดต่างดาว เช่น
  • ตัว Gimme ของเกมเดอะวันเดอร์ฟูล 101 บนเครื่องเกม Wii U
  • ถูกใช้สรรพนามเรียกแทนตัวว่า “พวกมัน” ในเกมเดอะลีเจนด์ออฟเซลด้า ตอนเมเจอร่าส์มาสค์
  • เคยได้เป็นเป็นบอส ในเกมทัมเบิลป็อบ
  • เคยเป็นตัว “ฮาโยคอนตัน” ในเกมไวด์อาร์มส์
  • เป็นศัตรูประกอบอยู่ในฉากลาสเวกัส ของเกมนินจาเบสบอลแบทแมน
  • ถูกทำเป็นตัวผู้เล่นสายเวทย์มนต์ อยู่ในซีรีย์เกมสไครปเบิลเนาท์
  • และก็ยังมีอีกหลายเกมที่ใช้คาแรกเตอร์ของมันมาทำเป็นตัวประกอบ ซึ่งถ้าใครเคยเล่นเกมไหน แล้วพบกับตัวอะไรที่มีหน้าตาแบบนี้ ก็แสดงว่ามันถูกนำมาจากเรื่องราวนี้นั่นเอง
ตัวอย่างสัตว์ประหลาดแห่งแฟลตวูดในเกมอามาก้อน, สไครปเบิลเนาท์Ninja Baseball Batman และ Tumble pop

เรื่องราวของมันก็ได้ถูกนำมาเล่าอยู่ในเพลงชื่อ The Being ของวงร็อคชื่ออาร์กายกูลซ์บี้แอนด์เดอะร็อฟวิ่งมิดไนท์ ซึ่งท่านผู้ชมสามารถลองหาฟังได้จากเว็บไซต์ยูทูป โดยการพิมพ์ชื่อเพลงในช่องค้นหานะครับ

กดที่นี่เพื่อฟังเพลง The Being

ล่าสุดเมื่อปี ค.ศ. 2014 ที่ผ่านมา ในแบร็กซ์ตันเคาน์ตี้ก็ได้เกิดโครงการสร้างเก้าอี้ยักษ์ที่ใช้รูปร่างลักษณะของสัตว์ประหลาดแห่งแฟลตวูดตัวนี้ มาวางไว้ให้ผู้คนที่ชื่นชอบในตัวมันได้เข้ามานั่งเล่นและถ่ายรูปกันได้อย่างอิสระ ซึ่งถ้าใครได้มีโอกาสไปเที่ยวยังเมืองแฟลตวูดก็อย่าลืมแวะไปถ่ายภาพกันไว้เป็นที่ระลึกนะครับ

ภาพจาก: Cafe Cimino Country Inn  

อย่าลืมกดสับสไครป์ กดไลก์ กดแชร์ หรือทิ้งคอมเมนต์กันไว้ด้วยนะครับ ยังมีเรื่องราวต่าง ๆ อีกมากมายรอคุณอยู่ สำหรับวันนี้... สวัสดี

ภาพจาก: Killb94   

เรียบเรียงและบรรยายโดย นิวัฒน์ อ่ำแสง
ขอบคุณที่มา: Wikipedia และ Ufoevidence.org

แท็ก: flatwoods, แฟลตวูด, monster, ufo, ยูเอฟโอ, มนุษย์ต่างดาว, สัตว์ประหลาดต่างดาว, ปีศาจแห่งเมืองแฟลตวูด, Braxton County Monster, แบร็กซ์ตันเคาน์ตี้, มอนส์เตอร์, lizard monster, ลิซาร์ดมอนส์เตอร์, Phantom of Flatwoods, mustard gas, owl, นกเค้าแมว

14 เมษายน 2560

มิติที่ 6 ศุกร์สยองขวัญ ไขปริศนาทำไมนางสงกรานต์ปี พ.ศ. 2560 ถึงนอนบนหลังช้าง !?



ปีนี้น้ำมากเสี่ยงจะท่วมใหญ่ บ้านเมืองจะเกิดยุทธสงครามฆ่าฟันกัน คำทำนายบ้านเมืองชุดนี้เกิดขึ้นมาจากการทำนายทายทักของสมาคมโหราศาสตร์นานาชาติ พูดถึงเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นหลังจากวันสงกรานต์ปี พ.ศ. 2560 นี้ โดยกรรมการผู้ช่วยรองนายกรัฐมนตรีท่านหนึ่งได้ระบุชื่อนางสงกรานต์ประจำปีว่าปีนี้คือวาระของนาง ซึ่งถือเป็นเทวีฝ่ายร้าย !!!

กดเพื่อดูคลิปที่นี่

มิติที่ 6 ศุกร์สยองขวัญ กับเรื่องราวเบา ๆ ในวันศุกร์สะดวกสัปดาห์นี้ เราจะพาคุณไปรู้จักกับเธอนางสงกรานต์ฝ่ายร้ายผู้ห้าวหาญ ที่ในปีนี้แม้มันจะถึงเวลาที่เธอจะต้องเข้ามารับหน้าที่สำคัญ แต่เธอกลับเดินทางมาด้วยอิริยาบถที่ผิดปกติ ที่เป็นเช่นนี้... มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ !?


โดยเรื่องราวนั้นมีอยู่ว่า


ตามจารึกที่วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม(วัดโพธิ์) มีตำนานเรื่องเล่าพูดถึงเศรษฐีผู้ร่ำรวยแต่กลับไร้ทายาทคนหนึ่ง ได้ไปมีเรื่องทะเลาะกับคนขี้เมาที่ปลูกบ้านอยู่ใกล้ ๆ กัน เถียงไปเถียงมาเศรษฐีก็ถูกขี้เมาจี้ใจดำเรื่องไม่มีลูก แถมยังถูกเยาะเย้ยว่าสู้ตนไม่ได้เพราะขี้เมาแต่มีลูกตั้ง 2 คน นั่นจึงทำให้เศรษฐีถึงกับสะอึก เดินหลบหน้าเข้าบ้านไปนั่งน้อยใจอยู่เพียงคนเดียว

ด้วยเหตุนี้เศรษฐีจึงทำพิธีบวงสรวงต่อดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ทุกวัน จนเวลาผ่านไปสามปีเศรษฐีก็ยังไม่ได้ลูกกับเขาสักที จนถึงช่วงเข้าสู่ราศีเมษเศรษฐีจึงตัดสินใจไปอธิษฐานขอลูกกับรุกขเทวาที่สิงสถิตย์อยู่ในต้นไทรริมน้ำ


ซึ่งรุกขเทวาได้ฟังคำอธิษฐานของเศรษฐีแล้วก็เห็นใจ เหาะขึ้นสวรรค์นำเรื่องนี้ไปเล่าให้พระอินทร์ฟัง และทั้งหมดนั้นจึงทำให้พระอินทร์เกิดเมตตาประทานลูกชายให้เศรษฐีได้สมปรารถนา ซึ่งต่อมาเศรษฐีก็ได้ลูกชายและตั้งชื่อเด็กคนนี้ว่า ธรรมบาลกุมาร และปลูกคฤหาสถ์หลังใหญ่ให้เป็นของรับขวัญแก่บุตรของตน

จนเวลาผ่านไปธรรมบาลกุมารก็อายุได้เจ็ดปี เติบโตมาเป็นเด็กฉลาดสามารถรู้ภาษานก จบวิชาไตรเภทจนได้รับการยกย่องให้เป็นอาจารย์ คอยบอกมงคลต่าง ๆ ให้กับผู้คนทั่วไป จนชื่อเสียงเลื่องลือไปไกลขึ้นไปถึงพรหมโลกชั้นที่สาม และมันก็ได้ทำให้ท้าวกบิลพรหมผู้มีหน้าที่ดูแลความเป็นไปของมนุษย์และสัตว์โลก ที่มีพระธิดาเจ็ดพระองค์คอยช่วยเหลือในการทำงานตลอดมา คิดนึกสนุกเกิดอยากจะประลองปัญญากับธรรมบาลกุมาร ถึงขั้นเสด็จลงมาหาเพื่อทายปัญหากับเด็กน้อยผู้นี้

โดยพระองค์ตั้งคำถามกับธรรมบาลกุมารว่า ตอนเช้าศิริอยู่ที่ใด ? ตอนเที่ยงอยู่ที่ใด ? และตอนค่ำศิริจะไปอยู่ที่ใด ? โดยเดิมพันกับธรรมบาลกุมารว่า ถ้าตอบคำถามนี้ได้ท้าวกบิลพรหมจะบั่นเศียรตัวเองส่งมาให้เป็นเครื่องบูชา แต่ถ้าธรรมบาลกุมารตอบไม่ได้ล่ะก็ เด็กน้อยจะต้องมอบศีรษะของตนให้เป็นเครื่องสังเวยแทน ซึ่งธรรมบาลกุมารเองก็ยังคิดไม่ออกว่าจะตอบอะไรในตอนนั้น จึงได้ขอเวลา 7 วัน เพื่อจะได้ค้นหาคำตอบที่ถูกต้องมาให้

ธรรมบาลกุมารพยายามคิดหาคำตอบอยู่นาน จนเวลาผ่านเข้าวันที่ 6 ก็ยังคิดไม่ออก นั่นจึงทำให้เขาท้อใจเดินลงไปนอนเล่นที่ใต้ต้นตาล พอดีบนต้นไม้นั้นมีนกอินทรี 2 ตัวผัวเมียคุยกันอยู่ ธรรมบาลกุมารนั้นรู้ภาษานกเป็นอย่างดี จึงแอบนอนฟังพวกมันคุยกัน
นางนกอินทรีถามสามีว่า... "พรุ่งนี้จะกินอะไรกันดี ?"
สามีตอบว่า... "รอกินศพเจ้าธรรมบาลกุมารก็ดีนะ พรุ่งนี้มันจะต้องตายเพราะตอบคำถามของท้าวกบิลพรหมไม่ได้แน่ ๆ"
นางนกอินทรีจึงถามต่อว่า... "แล้วคำถามของท้าวกบิลพรหมคืออะไร ?
 สามีก็เล่าให้ฟังและเฉลยว่า...
 "ตอนเช้าสิริจะอยู่ที่หน้า เพราะมนุษย์ตื่นขึ้นมาจะต้องล้างหน้าทุกเช้า
ตอนเที่ยงสิริจะอยู่ที่อก เพราะมนุษย์จะใช้น้ำหอมประพรมร่างกายบริเวณอก
ส่วนตอนค่ำสิริจะอยู่ที่เท้า เพราะก่อนเข้านอนมนุษย์จะต้องล้างเท้านั่นเอง"

ธรรมบาลกุมารได้ยินคำตอบจากนกอินทรีก็จดจำจนขึ้นใจ พอถึงวันสุดท้ายท้าวกบิลพรหมก็มาตามสัญญา ซึ่งธรรมบาลกุมารก็ได้นำคำที่ได้ยินจากนกมาตอบ จนท้าวกบิลพรหมถึงกับอึ้งเพราะคำตอบที่ตอบมานั้นเป็นคำตอบที่ถูกต้อง นั่นจึงทำให้ท้าวกบิลพรหมต้องเรียกพระธิดาทั้งเจ็ดให้มาประชุมเพื่อจะบอกว่าตอนนี้ท่านได้แพ้เดิมพันกับธรรมบาลกุมารแล้ว

แต่การตัดเศียรบูชาในครั้งนี้จะสร้างปัญหาใหญ่ขึ้นมาอย่างมาก เพราะถ้าตั้งศีรษะของท่านไว้บนพื้นดินก็จะเกิดไฟจะลุกไหม้ไปทั่วปฐพี ถ้าโยนขึ้นฟ้าก็จะส่งผลทำให้สภาพอากาศแห้งแล้ง ครั้นจะโยนลงทะเลน้ำก็จะแห้งเหือดหายในทันที

นั่นจึงทำให้ท้าวกบิลพรหมสั่งธิดาทั้งเจ็ดว่า จงนำพานมารองรับเศียรของท่าน แล้วเวียนให้ธิดาแต่ละองค์ผลัดเปลี่ยนกันนำพานใส่เศียรนี้ แห่เวียนขวารอบเขาพระสุเมรุเป็นเวลาหนึ่งชั่วโมง จากนั้นก็ให้นำไปเก็บรักษาไว้ในถ้ำคันธุลีที่อยู่ในเขาไกรลาศ

และตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ทุก ๆ ปีเหล่าธิดาของท้าวกบิลพรหมทั้งเจ็ดจะมาผลัดเปลี่ยนกันทำหน้าที่นี้ในวันมหาสงกรานต์ และทั้งหมดนี้ก็คือประวัติที่มาของวันสงกรานต์และนางสงกรานต์อย่างย่อ ๆ


โดยในปี พ.ศ. 2560 นี้ วันมหาสงกรานต์จะตรงกับวันที่ 14 เมษายน และธิดาผู้ทำหน้าที่อัญเชิญเศียรเท้ากบิลพรหมไปวนรอบเขาพระสุเมรุนั้นก็คือ พระนางกิริณีเทวี ซึ่งบางแห่งก็เรียกว่า พระนางกาฬกิณี เทวี (อ่านว่า กาฬ-กิ-ณี-เท-วี)


พระนางกาฬกิณีเทวีองค์นี้ จะมีผลกับบ้านเมืองของเราอย่างไรบ้าง ?

ตามรายละเอียดที่ทราบมา พระนางกาฬกิณีเทวีองค์นี้เป็นพระธิดาองค์ที่ 5 ประจำวันพฤหัส มีดอกไม้ประจำพระองค์เป็นดอกมณฑา สวมเสื้อผ้าประดับด้วยมรกต อาหารโปรดเป็นถั่วงา มือขวาถือขอช้าง มือซ้ายถือปืนสั้น ซึ่งบางแห่งก็บอกว่าเป็นปืนยาว มีช้างเป็นพาหนะคู่กาย

นางสงกรานต์องค์นี้มีผู้วิเคราะห์ว่าเป็นหนึ่งในนางสงกรานต์ฝ่ายร้ายจากฝ่ายร้ายทั้งหมดสองพระองค์ แต่ถึงนางจะเป็นฝ่ายร้ายนางก็มีศีลธรรมไม่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิตกินแต่มังสวิรัติ ดังนั้นคำว่าร้ายที่นางได้มาก็คือการมอบความเลวร้ายให้กับพวกมารและคนชั่วแต่จะทำดีกับคนที่มีศีลธรรม เรียกได้ว่าพระนางก็เหมือนกับหน่วยปราบปรามที่คอยกำจัดคนพาลอภิบาลคนดีนั่นเอง

และเวรผลัดเปลี่ยนของพระนางกาฬกิณีเทวีก็จะไม่ค่อยได้มาทำหน้าที่กันบ่อย ๆ บางครั้งก็ 5 ปี บางครั้งก็ 6 ปี บางทีก็ล่วงเลยมาถึง 7 ปี ถึงจะได้มาทำหน้าที่กันสักครั้ง ซึ่งถ้าจะดูจากเหตุการณ์บ้านเมืองในประเทศไทยช่วงที่พระนางมาทำหน้าที่ ก็มักจะเกิดเหตุการณ์ร้ายแรงถึงขั้นแผ่นดินลุกเป็นไฟอยู่เสมอ ซึ่งเรื่องนี้ก็เป็นเพียงการนำความเชื่อมาผูกเข้ากับการเมือง เพราะมันอาจจะเป็นเพียงเรื่องบังเอิญก็ได้เช่นกัน

เพราะในสมัยก่อนในช่วงเวลาที่พระนางกาฬกิณีเทวีมาเข้าเวรนั้น ไม่ได้มีการระบุว่าจะเกิดเหตุร้ายแรงเหมือนกับที่โหราจารย์ทำนายกันไว้ เนื่องจากคำทำนายปกตินั้นมักจะพูดถึงแต่ความอุดมสมบูรณ์ค้าขายคล่องตัว ไม่ตรงกับคำทำนายที่บอกว่าบ้านเมืองจะเกิดการฆ่าฟัน หรือเกิดน้ำท่วมใหญ่ แล้วทำไมปีนี้คำทำนายถึงได้ออกมาดูเลวร้าย ขนาดน้ำท่วมไฟไหม้ ราวกับบ้านเมืองจะเกิดเภทภัยถึงขั้นล้มตายกันเป็นเบือแบบนี้

ยิ่งอิริยาบถของพระนางกาฬกิณีเทวีในปีนี้ ก็ดูจะผิดปกติกว่าที่เคยเป็น เพราะทุกครั้งการมาของพระนาง ถ้าไม่ยืนบนหลังช้างก็จะนั่ง ซึ่งบางครั้งแม้จะนอนมาก็เพียงนอนเล่นไม่ถึงกับหลับตาเหมือนกับปีนี้

ซึ่งคำตอบของข้อสงสัยทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นคำทำนายหรืออิริยาบถที่ผิดแปลกกว่าทุกปีนั้น ทางหนังสือพิมพ์บ้านเมืองได้อธิบายให้เราได้ทราบกันว่า แท้ที่จริงแล้วในมหาสงกรานต์ปีนี้ ซึ่งตรงกับวันศุกร์ที่ 14 เมษายน พ.ศ. 2560 นั้น

สาเหตุที่นอนหลับตาบนหลังช้างเพราะพระนางกาฬกิณีเทวีจะต้องเดินทางมาเข้าเวรทำหน้าที่อัญเชิญพระเศียรของท้าวกบิลพรหมในตอนดึก คือช่วงเวลาตีสองสี่สิบเก้านาทีสิบสองวินาที ซึ่งเป็นเวลาพักผ่อนนอนหลับของมนุษย์และเทพ พระนางกาฬกิณีเทวีก็คงอ่อนล้าจนง่วงหลับบ้างเป็นธรรมดา


ดังนั้นสิ่งนี้มันก็อาจจะเป็นที่มาของคำทำนายว่าน้ำจะท่วม ไฟจะลุกแผ่นดิน เพราะลองนางสงกรานต์สายบู๊นอนหลับอยู่แบบนั้น พวกเหล่ามารร้ายเห็นเข้าก็อาจจะฮึกเหิมแอบฉวยโอกาสในขณะที่พระนางกำลังพักผ่อน ทำให้บ้านเมืองต้องเดือดร้อนลุกเป็นไฟได้นั่นเอง

แต่ถึงแม้พระนางกาฬกิณีเทวีจะนอนหลับในปีนี้ก็ตาม เทพพาหะของพระองค์ก็ยังคงเป็นช้างทรง ซึ่งถือเป็นเครื่องช่วยค้ำชูต่อต้านสิ่งไม่ดีที่อาจจะเกิดขึ้นกันได้อยู่บ้าง นั่นจึงทำให้เหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นอาจไม่เลวร้ายอย่างที่เคยเกิดขึ้นมากับบ้านเมืองของเราในอดีต ซึ่งก็ต้องเน้นกับท่านผู้ชมว่าทุกอย่างมันเป็นเพียงการทำนายเท่านั้น ดังนั้นเราจะขอข้ามเหตุการณ์บ้านเมืองที่เคยเกิดขึ้นกันไปเพื่อความอยู่รอดปลอดภัยของรายการเช่นกันนะครับ

การมาของพระนางกาฬกิณีเทวีในปีนี้ จึงถือเป็นโอกาสสำคัญที่จะใช้คำทำนายต่าง ๆ ในทางที่ถูกต้อง เพราะเหตุร้ายจะเกิดหรือไม่เกิด น้ำจะท่วมหรือไฟลุกท่วมแผ่นดินมันก็ขึ้นอยู่กับความคิดของคนใหญ่คนโตที่เราไม่สามารถจะทำนายทายใจของพวกเขาได้ ซึ่งสิ่งที่ทำได้จริง ๆ ก็มีเพียงสนุกกับสงกรานต์วันปีใหม่ไทย โดยไม่ก่อความเดือดร้อนรำคาญให้กับผู้คนรอบข้างจนเกินงามน่าจะดีที่สุดครับ

และมิติที่ 6 ขอถือโอกาสนี้ อธิษฐานขอให้ท่านผู้ชมพบกับความสุขกายสบายใจ ไร้โรคภัยเบียดเบียน ผ่านพ้นช่วงเวลาที่ไม่ดีเข้าสู่ชีวิตที่ดีกว่าตลอดปีตลอดไป อยากให้ชีวิตเป็นอย่างไรก็ขอให้สมหวังกันถ้วนหน้านะครับ

พบกับรายการมิติที่ 6 ศุกร์สยองขวัญ กับเรื่องราวเบา ๆ พร้อมกับที่มาของมันได้ทุกวันศุกร์สะดวก แล้วอย่าลืมกดสับสไครป์ กดไลก์ กดแชร์ หรือทิ้งคอมเมนต์กันไว้ด้วยนะครับ ยังมีเรื่องราวต่าง ๆ อีกมากมายรอคุณอยู่ สำหรับวันนี้... สวัสดี

เรียบเรียงโดย นิวัฒน์ อ่ำแสง
ขอบคุณที่มา: วิกิพีเดียหนังสือพิมพ์บ้านเมือง และ เวลาประเทศไทย
ภาพประกอบจาก: กระทรวงวัฒนธรรม

แท็ก: Kirinee Devi, กิริณีเทวี, กาฬกิณีเทวี, คำทำนาย, วันสงกรานต์, นางสงกรานต์, สงกรานต์, สงกรานต์ 2560, นางสงกรานต์ 2560, วันสงกรานต์ 2560, ประเพณี, ปีใหม่ไทย, ประเพณีสงกรานต์, ไสยาสน์หลับเนตร, ขี่ช้าง, 14 เม.ย. 2560, 2 นาฬิกา 49 นาที 12 วินาที

ประกาศ

เพื่อเป็นกำลังใจเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้กับเรา ขอความร่วมมือจากผู้ที่นำเรื่องราวจากมิติที่ 6 ไปใช้ในที่ของท่าน กรุณาลงเครดิตกลับมาที่เราจะเป็นพระคุณอย่างสูงครับ