"โลกอียิปต์โบราณ" มนต์สเน่ห์ที่ยังคงเต็มไปด้วยเรื่องลึกลับของภัยร้าย ถูกปลูกฝังใส่สมองของพวกเราผ่านการสำรวจของนักโบราณคดี จนกลายเป็นตำนานน่ากลัวเล่าขานกันมาอย่างไม่จบไม่สิ้น !
มิติที่ 6 สัปดาห์นี้ เราจะพาคุณไปพบกับเรื่องราวที่เรียกได้ว่ามันอาจจะเป็นความเข้าใจผิดจากเรื่องเล่า กับข้อมูลที่เพิ่งถูกเปิดเผยขึ้นมา ที่เรียกได้ว่าเป็นอีกด้านของความจริงที่พวกเราหลายคนอาจจะยังไม่เคยรู้ ว่ามันถูกค้นพบจริงกับสิ่งแรกที่จะสั่นคลอนสิ่งที่เราเคยรู้ นั่นก็คือเรื่องราวของพระองค์ !!!
พระนางคลีโอพัตราที่ 7 ฟาโรห์แห่งอียิปต์โบราณองค์สุดท้ายที่มีเชื้อสายชาวกรีก และมีชื่อเสียงโด่งดังพระองค์หนึ่งในประวัติศาสตร์โลก เป็นที่กล่าวขานกันว่าพระนางทรงมีพระสิริโฉมงดงาม ตามคำบอกเล่าจากบันทึกของเชคสเปียร์ และได้ผู้กำกับภาพยนตร์อย่างโจเซฟ แอล แมนคีวิซ ถ่ายทอดความงามนั้นออกมาให้ผู้คนได้รับรู้บนแผ่นฟีล์ม
แต่ถึงจะบอกแบบนั้น หลักฐานที่พบบนเหรียญโรมันกลับแสดงให้เห็นถึงพระพักตร์ของพระนาง ที่ออกจะดูเหมือนผู้ชาย อย่างเช่นจมูกที่มีขนาดใหญ่ คางและริมฝีปากบาง ที่ไม่เคยพบว่าวัฒนธรรมของประเทศไหนบันทึกกันว่าเป็นลักษณะของหญิงสาวที่งดงามตามที่ควร ในทางกลับกันสมองของพระนางต่างหากที่มีความฉลาดปราดเปรื่องเลื่องลือ เพราะในบันทึกต่าง ๆ ที่พูดถึงพระนางนั้นล้วนระบุว่า พระนางคลีโอพัตราทรงมีพระปรีชาสามารถทางด้านความคิด น่าจะเป็นเสน่ห์ที่แท้จริงของพระองค์ !
เรื่องต่อมาที่เราต้องทำความเข้าใจกันใหม่นั้น ก็คือสิ่งที่เรารับรู้มาตลอดเกี่ยวกับวัฒนธรรมของชาวอียิปต์โบราณ ก็คงจะไม่พ้นเรื่องของมัมมี่ ปิรามิด และเทพเจ้าอียิปต์ผู้ยิ่งใหญ่ ซึ่งมีการสรุปแบบง่าย ๆ ว่า ชาวอียิปต์โบราณนั้นน่าจะหมกมุ่นอยู่แต่กับเรื่องความตาย โดยในความจริงที่ยิ่งกว่าความเป็นจริงก็คือ เหล่าแรงงานผู้ยิ่งใหญ่แห่งอียิปต์นั้น ต่างก็มองว่าความตายเป็นวาระสำคัญ และเป็นวิถีชีวิตอันงดงาม ยกตัวอย่างเช่น งานภาพวาดมากมายที่ถูกวาดประดับประดาภายในสุสาน ล้วนแสดงให้เห็นถึงการเฉลิมฉลองอันยิ่งใหญ่
และนั่นก็รวมไปถึงสมบัติล้ำค่ามากมายที่ถูกฝังลงไปในสุสาน เพื่อให้เจ้านายของพวกเขาที่จากไป ได้เอาไว้ใช้สอยในชีวิตใหม่ที่โลกหน้า โดยไม่ต้องไปลำบากไปทำงานหากันใหม่ที่นั่น
การทำมัมมี่นั้นก็คือวิถีในการเก็บรักษาศพ เพื่อเตรียมรับให้พวกเขากลับมายังโลกนี้อีกครั้งสักวันหนึ่ง ซึ่งทั้งหมดก็หมายความได้ว่าจริง ๆ แล้ว ชาวอียิปต์อาจจะไม่ได้หมกมุ่นกับความตาย แต่พวกเขาน่าจะหมกมุ่นกับการมีชีวิตอยู่เสียมากกว่า เพราะถ้าพวกเขาชอบวุ่นวายกับความตาย พิธีกรรมและวัฒนธรมน่าจะพูดถึงการกลับมามีชีวิตน้อยกว่านี้ หรือไม่ก็ไม่พูดถึงกันเลยใช่หรือไม่ ?
การทำมัมมี่นั้นก็คือวิถีในการเก็บรักษาศพ เพื่อเตรียมรับให้พวกเขากลับมายังโลกนี้อีกครั้งสักวันหนึ่ง ซึ่งทั้งหมดก็หมายความได้ว่าจริง ๆ แล้ว ชาวอียิปต์อาจจะไม่ได้หมกมุ่นกับความตาย แต่พวกเขาน่าจะหมกมุ่นกับการมีชีวิตอยู่เสียมากกว่า เพราะถ้าพวกเขาชอบวุ่นวายกับความตาย พิธีกรรมและวัฒนธรมน่าจะพูดถึงการกลับมามีชีวิตน้อยกว่านี้ หรือไม่ก็ไม่พูดถึงกันเลยใช่หรือไม่ ?
ถึงแม้มิติที่ 6 เราจะเน้นในเรื่องเหตุและผลในการเล่าเรื่อง แต่ก็ยังมีผู้คนอีกมากมายที่เชื่อว่าชาวอียิปต์โบราณนั้นเคยติดต่อกับมนุษย์ต่างดาวมาก่อน พวกเขาล้วนมองว่าปิรามิดนั้นคือหลักฐานของความเชื่อนี้ โดยชี้ไปที่ภาพวาดที่อยู่ภายในนั้นบางภาพ ที่เขาดูยังไง ๆ มันก็หมายถึงมนุษย์ต่างดาวแน่ ๆ
แต่เอาเข้าจริง ๆ สำหรับเรื่องนี้ ชาวอียิปต์ปัจจุบันมองว่าพวกเขากำลังถูกกลุ่มคนที่มีความเชื่อในเอเลี่ยน ดูถูกความสามารถบรรพบุรุษของพวกเขากันอยู่ ไม่ว่าจะเรื่องของมหาปิรามิดกีซ่า ที่ถูกสร้างขึ้นจากการคำนวนชั้นสูง ร่วมกับความรู้ทางดาราศาสตร์อันแม่นยำ มันคือความสามารถอันสูงส่งของสถาปนิกชาวอียิปต์ รวมถึงความแข็งแกร่งคงทนกว่า 4,000 ปี จะมายกประโยชน์ทั้งหมดให้กับสมมติฐานของคนกลุ่มนั้น ที่บอกว่ามันคือฝีมือของมนุษย์ต่างดาวกันง่าย ๆ ได้อย่างไร ?
การสร้างสมมติฐานเกี่ยวกับเอเลี่ยน สำหรับชาวอียิปต์มองว่ามันเป็นการเย้ยหยันทางวัฒนธรรม ที่กล่าวหาว่าบรรพบุรุษของพวกเขาไร้ความสามารถในทักษะการออกแบบก่อสร้าง !
และชี้ให้เห็นว่าภาพเอเลี่ยนอันโด่งดังที่ถูกเอาไปอ้างว่าเป็นเอเลี่ยนนั้น มันเกิดจากกลุ่มคนเหล่านี้คิดไปเอง รวมไปถึงการนำภาพมาตกแต่งเพื่อสร้างเรื่องราวหวือหวาอีกหลายชิ้น เพื่อสนับสนุนความคิดของพวกเขา แถมยังถูกนำมาทำเป็นสารคดีเทียม ทำร้ายความรู้สึกของชาวอียิปต์ โดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ที่ไม่ทราบเหมือนกันว่าเรื่องราวพวกนี้มันจะจบลงที่วันใด
กรณีต่อมามีหลายคนเชื่อว่า ทุกวันนี้พวกเราค้นพบทุกสิ่งทุกอย่างเกี่ยวกับอียิปต์โบราณกันแล้ว และก็อาจจะมองกันว่าตอนนี้ เรื่องราวของอียิปต์โบราณคงหมดหัวข้อการค้นหา แต่จริง ๆ แล้วมันก็ไม่ได้เป็นแบบนั้นเลย การค้นพบใหม่ยังคงเกิดขึ้นทุกวัน อย่างเช่นเรื่องของ "เรือแห่งแสงอาทิตย์" ก็ถือเป็นอีกหนึ่งสิ่งที่เพิ่งถูกค้นพบจากมหาปิรามิด มีการสันนิษฐานว่าเรือลำนี้ก็คือพาหนะในการนำพาวิญญาณของฟาโรห์ ไปพบกับเทพเจ้าแห่งดวงอาทิตย์ที่ชื่อรา เพื่อจะได้ร่วมต่อสู้กับปีศาจแห่งความมืดอาเพพ ที่ว่ากันว่าเทพเจ้ารานั้นจะล่องเรือแสงอาทิตย์ของพระองค์ในระหว่างการต่อสู้กับปีศาจตัวนี้ ที่เห็นกันได้เป็นประจำตั้งแต่ช่วงรุ่งเช้า ข้ามผ่านท้องฟ้าไปจนถึงตอนพระอาทิตย์ตกนั่นเอง
มีอีกสิ่งที่ผู้คนทั่วไปอาจจะคิดว่า ชาวอียิปต์โบราณนั้นเป็นผู้คิดค้นตัวอักษรเฮียโรกริฟส์ แต่จริง ๆ แล้วมีความเป็นไปได้ว่ามันถูกนำมาถึงอียิปต์ โดยผู้รุกรานชาวเอเชียตะวันตกและก็มีอีกตำนานเล่าว่า มันถูกสร้างขึ้นมาจากการเห็นร่องรอยการเลื้อยของงู ซึ่งในความจริงที่เห็นนั้นตัวอักษรเฮียโรกริฟส์จะถูกใช้ในการจารึกเรื่องราวต่าง ๆ ตั้งแต่บทกวีไปจนถึงบันทึกประวัติศาสตร์
ส่วนในเรื่องคำสาปนั้นแทบจะเรียกได้ว่าไม่เคยมีการค้นพบ ว่ามีการใช้อักษรเหล่านี้ในการจารึกสาปแช่งใครมาก่อน โดยคำจารึกที่พบในสุสานนั้นจะเป็นประโยคอย่างเช่น “อายุของมันผู้นั้นจะค่อย ๆ ลดลง” ไม่ก็ “มันผู้นั้นจะไม่มีทายาท” ส่วนถ้อยคำที่แรงกว่านี้ก็ยังไม่เคยมีการค้นพบ ว่าจะมีการจารึกในสุสานกษัตริย์พระองค์ใด จะมีก็แต่ในข่าวลือที่มิติที่ 6 เคยเล่าไว้ในคลิป เปิดปมปริศนาคำสาปฟาโรห์ตุตันคามุน ที่สุดท้ายมันก็เป็นเพียงเรื่องที่ถูกแต่งขึ้นมา เพื่อเอาไว้กำราปเหล่านักโบราณคดีต่างชาติ ที่เข้ามาขโมยสมบัติโบราณ ของบรรพบุรุษชาวอียิปต์เท่านั้น
ส่วนในเรื่องคำสาปนั้นแทบจะเรียกได้ว่าไม่เคยมีการค้นพบ ว่ามีการใช้อักษรเหล่านี้ในการจารึกสาปแช่งใครมาก่อน โดยคำจารึกที่พบในสุสานนั้นจะเป็นประโยคอย่างเช่น “อายุของมันผู้นั้นจะค่อย ๆ ลดลง” ไม่ก็ “มันผู้นั้นจะไม่มีทายาท” ส่วนถ้อยคำที่แรงกว่านี้ก็ยังไม่เคยมีการค้นพบ ว่าจะมีการจารึกในสุสานกษัตริย์พระองค์ใด จะมีก็แต่ในข่าวลือที่มิติที่ 6 เคยเล่าไว้ในคลิป เปิดปมปริศนาคำสาปฟาโรห์ตุตันคามุน ที่สุดท้ายมันก็เป็นเพียงเรื่องที่ถูกแต่งขึ้นมา เพื่อเอาไว้กำราปเหล่านักโบราณคดีต่างชาติ ที่เข้ามาขโมยสมบัติโบราณ ของบรรพบุรุษชาวอียิปต์เท่านั้น
จนกระทั่งต่อมา มีการค้นพบศิลาโรเซตต้าในปี ค.ศ. 1978 และมันก็ได้ถูกผู้เชี่ยวชาญแปลความหมายออกมา จึงทำให้นักวิชาการส่วนใหญ่เชื่อว่า ตัวอักษรเฮียโรกริฟส์นั้นแท้ที่จริงแล้วมันคือภาพวาด ไม่ได้เป็นสัญลักษณ์แทนเสียงอ่านใด ๆ เหมือนกับตัวอักษรที่โลกปัจจุบันใช้กันอยู่
อย่างไรก็ดีจากการสำรวจเราจะพบอักษรเฮียโรกริฟส์ได้ทั่วไปภายในสุสาน และพระราชวังหลายแห่งของชาวอียิปต์โบราณ โดยตอนแรกนั้นบันทึกจากนักโบราณคดีเชื่อว่า ภายในปิรามิดไม่มีการตกแต่งสักเท่าไหร่ จนกระทั่งหลังจากที่มีการค้นพบสำคัญภายในมหาปิรามิดกีซ่า ที่ตอนแรกเชื่อกันว่าข้างในนอกจากพระศพแล้วก็ไม่น่าจะมีอะไรอีก
มีการค้นพบห้องลับห้องหนึ่งที่บอกกับเราว่าจริง ๆ แล้วเมื่อ 4,000 ปีก่อน ปิรามิดนั้นไม่ได้มี "สีเหลือง" ตามธรรมชาติ เหมือนกับที่เห็นกันอยู่ทุกวันนี้ มีบางจุดอย่างเช่นเสาภายในที่แสดงให้เห็นว่ามันเคยถูกทา "สีแดง" และ "สีขาว" มาก่อน ซึ่งสีที่เห็นนี้ถูกทาไว้อย่างบรรจง บ่งบอกถึงงานออกแบบอันทรงคุณค่าควรคู่กับความยิ่งใหญ่ที่โลกต้องยกให้เป็นงานก่อสร้างอันเลื่องลือของโลกใบนี้จริง ๆ
ยังมีความเชื่อที่ถูกเล่ากันมาคลาดเคลื่อนอีกอย่าง นั่นก็คือวัฒนธรรมที่ว่ากันว่าฟาโรห์นั้นกลัวความเดียวดายที่โลกหน้า ถึงกับสั่งประหารข้าราชบริพารมากมาย แล้วทำเป็นมัมมี่ยัดใส่ในหุ่นตุ๊กตา ซึ่งในปัจจุบันมีการยืนยันกันแล้วว่า เมื่อกษัตริย์ฟาโรห์สิ้นพระชนม์ เหล่าข้าราชบริพารไม่ได้ถูกประหารเพื่อฝังรวมกับพระองค์ตามที่หลายๆ คนเชื่อแต่อย่างใด แต่ก็มีฟาโรห์อย่างน้อยเพียง 2 พระองค์ ในราชวงศ์แรกของอียิปต์ที่มีการค้นพบว่า พวกพระองค์พาเหล่าบริวารไปอยู่ด้วยกันในสุสาน ซึ่งก็อาจจะมาจากสิ่งนี่ ที่ทำให้มีผู้คนสรุปรวมกันไปว่า การพาเหล่าข้าราชบริพารไปสู่โลกความตายพร้อมกับฟาโรห์นั้นเป็นเรื่องปกติ
ซึ่งในภายหลังมีการค้นพบว่าแท้ที่จริงแล้วเหล่าบริวารของฟาโรห์นั้น จะยังคงมีชีวิตอยู่ต่อไปมากกว่าที่จะตายตามกษัตริย์ของพวกเขา ดังนั้นสิ่งที่ถูกฝังไปจริง ๆ จะเป็นเพียงหุ่นตุ๊กตาที่เรียกกันว่า "ชาปทิส" มิใช่ข้าราชบริพาร โดยหุ่นตุ๊กตาเหล่านี้นอกจากจะมีรูปร่างเป็นคน ก็สามารถเป็นสัตว์ต่าง ๆ เพื่อเอาไว้ช่วยไม่ให้ฟาโรห์ของพวกเขาต้องมีชีวิตอย่างเดียวดายในโลกหน้านั่นเอง ซึ่งก็แน่นอนว่าหลังจากนักโบราณคดีนำชาปทิสไปตรวจสอบ พวกเขาพบว่าภายในตุ๊กตาเหล่านั้นจะมีซากสิ่งมีชีวิตจริง ๆ อยู่น้อยมาก โดยส่วนใหญ่ที่พบจะเป็นเพียงตุ๊กตาเปล่า ๆ ทั้งสิ้น
ซึ่งในภายหลังมีการค้นพบว่าแท้ที่จริงแล้วเหล่าบริวารของฟาโรห์นั้น จะยังคงมีชีวิตอยู่ต่อไปมากกว่าที่จะตายตามกษัตริย์ของพวกเขา ดังนั้นสิ่งที่ถูกฝังไปจริง ๆ จะเป็นเพียงหุ่นตุ๊กตาที่เรียกกันว่า "ชาปทิส" มิใช่ข้าราชบริพาร โดยหุ่นตุ๊กตาเหล่านี้นอกจากจะมีรูปร่างเป็นคน ก็สามารถเป็นสัตว์ต่าง ๆ เพื่อเอาไว้ช่วยไม่ให้ฟาโรห์ของพวกเขาต้องมีชีวิตอย่างเดียวดายในโลกหน้านั่นเอง ซึ่งก็แน่นอนว่าหลังจากนักโบราณคดีนำชาปทิสไปตรวจสอบ พวกเขาพบว่าภายในตุ๊กตาเหล่านั้นจะมีซากสิ่งมีชีวิตจริง ๆ อยู่น้อยมาก โดยส่วนใหญ่ที่พบจะเป็นเพียงตุ๊กตาเปล่า ๆ ทั้งสิ้น
มีความเชื่อที่เคยถูกเล่าเป็นวงกว้างว่า เหล่าข้าทาสนั้นคือผู้สร้างปิรามิดในอียิปต์ ซึ่งความเชื่อนี้ถูกบันทึกต่อ ๆ กันมาตั้งแต่สมัยนักประวัติศาสตร์ของกรีก ได้เริ่มประเด็นไว้ตั้งแต่ 500 ปีก่อนคริสตกาล
แต่ต่อมาความเชื่อนี้ก็ถูกพิสูจน์ว่าไม่ใช่ เมื่อมีการขุดพบซากของผู้สร้างปิรามิดอยู่ในบริเวณของมหาปิรามิดกีซ่า ร่างของพวกเขาเหล่านั้นถูกฝังอยู่เคียงข้างพระศพฟาโรห์ บ่งบอกถึงการได้รับเกียรติสูงสุดจากพระองค์ ซึ่งนั่นย่อมไม่ได้หมายถึงทาสอย่างแน่นอน !
และนอกจากนี้ยังมีการพบซากโครงกระดูกของวัวจำนวนมาก ถูกฝังอยู่ตามร่องหลุมรอบ ๆ ปิรามิด ซึ่งมันก็คือหลักฐานที่บอกเราให้รู้ว่า เหล่าผู้สร้างปิรามิดกินวัวพวกนี้เป็นอาหาร และอีกอย่างหนึ่งที่เราลืมนึกถึงก็คือ ปิรามิดนั้นถูกสร้างขึ้นจากทักษะฝีมืออันสูงส่ง ทั้งรูปแบบและลวดลายภาพวาด มันก็น่าจะเพียงพอที่จะบอกเราได้หรือเปล่าว่า แท้ที่จริงแล้วปิรามิดนั้นถูกสร้างขึ้นโดยช่างฝีมือชาวอียิปต์ ไม่ใช่เหล่าข้าทาสอย่างที่เราเห็นในหนังฮอลิวูดอย่างแน่นอน !
แต่ต่อมาความเชื่อนี้ก็ถูกพิสูจน์ว่าไม่ใช่ เมื่อมีการขุดพบซากของผู้สร้างปิรามิดอยู่ในบริเวณของมหาปิรามิดกีซ่า ร่างของพวกเขาเหล่านั้นถูกฝังอยู่เคียงข้างพระศพฟาโรห์ บ่งบอกถึงการได้รับเกียรติสูงสุดจากพระองค์ ซึ่งนั่นย่อมไม่ได้หมายถึงทาสอย่างแน่นอน !
และนอกจากนี้ยังมีการพบซากโครงกระดูกของวัวจำนวนมาก ถูกฝังอยู่ตามร่องหลุมรอบ ๆ ปิรามิด ซึ่งมันก็คือหลักฐานที่บอกเราให้รู้ว่า เหล่าผู้สร้างปิรามิดกินวัวพวกนี้เป็นอาหาร และอีกอย่างหนึ่งที่เราลืมนึกถึงก็คือ ปิรามิดนั้นถูกสร้างขึ้นจากทักษะฝีมืออันสูงส่ง ทั้งรูปแบบและลวดลายภาพวาด มันก็น่าจะเพียงพอที่จะบอกเราได้หรือเปล่าว่า แท้ที่จริงแล้วปิรามิดนั้นถูกสร้างขึ้นโดยช่างฝีมือชาวอียิปต์ ไม่ใช่เหล่าข้าทาสอย่างที่เราเห็นในหนังฮอลิวูดอย่างแน่นอน !
จากความเชื่อที่เข้าใจกันผิด ๆ นี้ มันได้กลายเป็นเรื่องละเอียดอ่อนระหว่างชนชาติ ที่ถูกอ้างว่าทาสเหล่านี้คือชาวอิสราเอล เพียงเพราะมันเป็นสิ่งที่ถูกอ้างกันมาจากพระคัมภีร์ไบเบิล ที่มีบางคนเชื่อว่าเหตุการณ์ในพระคัมภีร์นั้นเป็นประวัติศาสตร์จริง ๆ
โดยนักโบราณคดีของอียิปต์นั้นออกมาแย้งว่า มันไม่เคยมีหลักฐานบ่งชี้ว่าชาวอิสราเอลนั้นถูกกดขี่โดยชาวอียิปต์โบราณ และจากบันทึกของชาวอียิปต์โบราณเอง นักโบราณคดีก็ไม่เคยพบว่ามีการเอ่ยถึงเรื่องทาสมาก่อนเลย ไม่เคยแม้แต่การพูดถึงภัยพิบัติ 10 ประการ และไม่เคยมีบันทึกเรื่องราวของชาวฮิบรูนับล้านเข้ามาอาศัยอยู่ในอียิปต์ หรือแม้แต่ในทะเลทราย อีกทั้งเรื่องราวการหลบหนีของเหล่าทาสนับล้าน ที่ทำลายเศรษฐกิจของชาวอียิปต์โบราณก็ไม่เคยมีการบันทึกไว้ จะมีก็แต่บันทึกความเจริญรุ่งเรืองตลอด 2,000 ปีก่อนคริสตกาล ก่อนที่พระคัมภีร์ไบเบิลจะเกิดขึ้นมาเสียด้วยซ้ำ ดังนั้นเรื่องราวที่เกิดขึ้นในพระคัมภีร์ที่เกี่ยวข้องกับชาวอียิปต์นั้น บางทีอาจเป็นเพียงเรื่องที่ถูกบันทึกไว้ จากความเข้าใจผิดของผู้บันทึกเพียงด้านเดียว !
โดยนักโบราณคดีของอียิปต์นั้นออกมาแย้งว่า มันไม่เคยมีหลักฐานบ่งชี้ว่าชาวอิสราเอลนั้นถูกกดขี่โดยชาวอียิปต์โบราณ และจากบันทึกของชาวอียิปต์โบราณเอง นักโบราณคดีก็ไม่เคยพบว่ามีการเอ่ยถึงเรื่องทาสมาก่อนเลย ไม่เคยแม้แต่การพูดถึงภัยพิบัติ 10 ประการ และไม่เคยมีบันทึกเรื่องราวของชาวฮิบรูนับล้านเข้ามาอาศัยอยู่ในอียิปต์ หรือแม้แต่ในทะเลทราย อีกทั้งเรื่องราวการหลบหนีของเหล่าทาสนับล้าน ที่ทำลายเศรษฐกิจของชาวอียิปต์โบราณก็ไม่เคยมีการบันทึกไว้ จะมีก็แต่บันทึกความเจริญรุ่งเรืองตลอด 2,000 ปีก่อนคริสตกาล ก่อนที่พระคัมภีร์ไบเบิลจะเกิดขึ้นมาเสียด้วยซ้ำ ดังนั้นเรื่องราวที่เกิดขึ้นในพระคัมภีร์ที่เกี่ยวข้องกับชาวอียิปต์นั้น บางทีอาจเป็นเพียงเรื่องที่ถูกบันทึกไว้ จากความเข้าใจผิดของผู้บันทึกเพียงด้านเดียว !
สิ่งสุดท้ายที่ทำให้เราเข้าใจผิดกันมาตลอดก็คือเรื่องของคำสาป ตามที่เราได้เล่ากันไปแล้วว่า แท้ที่จริงคำสาปจากโลกอียิปต์โบราณที่จารึกกันไว้ตามสุสานของกษัตริย์นั้นไม่เคยมีมาก่อน แม้แต่เรื่องราวของคำสาปฟาโรห์ตุตันคามุน มิติที่ 6 เองก็เคยเล่าความจริงที่อยู่เบื้องหลังให้ได้ทราบกันไปอย่างละเอียดแล้วว่า เป็นเพียงเรื่องที่ถูกแต่งขึ้นมาจากคำขู่ของเจ้าหน้าที่อียิปต์ ต่อยอดออกมากลายเป็นข่าว แล้วจบด้วยเรื่องเล่าตำนานของชนชาติผู้รุกราน ต่อด้วยการเติมจินตนาการเขียนเป็นหนังสือกวาดรายได้เข้ากระเป๋ากันเพียงเท่านั้น
และสิ่งที่เราควรจะต้องคำนึงให้มากกว่าคำสาปก็คือ การสร้างมูลค่าให้กับประวัติศาสตร์ของชาวอียิปต์ ที่ทำให้พวกเรารู้สึกได้ถึงความยิ่งใหญ่ มากกว่าเรื่องราวของชนชาติไหน ๆ ในทุกด้าน ซึ่งมิติที่ 6 เองก็อยากจะเห็นนักประวัติศาสตร์ของบ้านเรา ใช้แนวทางการประชาสัมพันธ์ให้ได้ผลเหมือนกับทางอียิปต์ ด้วยการนำเสนอความจริงที่เราเองก็แทบจะไม่รู้ ว่าประเทศไทยของเรามีความเป็นมาที่แท้จริงอย่างไรกันแน่ ? เพราะบางทีสิ่งที่ถูกปิดบังเอาไว้ มันอาจยิ่งใหญ่ไม่แพ้กันกับเรื่องราวของชาวอียิปต์โบราณก็เป็นได้ !!?
และสิ่งที่เราควรจะต้องคำนึงให้มากกว่าคำสาปก็คือ การสร้างมูลค่าให้กับประวัติศาสตร์ของชาวอียิปต์ ที่ทำให้พวกเรารู้สึกได้ถึงความยิ่งใหญ่ มากกว่าเรื่องราวของชนชาติไหน ๆ ในทุกด้าน ซึ่งมิติที่ 6 เองก็อยากจะเห็นนักประวัติศาสตร์ของบ้านเรา ใช้แนวทางการประชาสัมพันธ์ให้ได้ผลเหมือนกับทางอียิปต์ ด้วยการนำเสนอความจริงที่เราเองก็แทบจะไม่รู้ ว่าประเทศไทยของเรามีความเป็นมาที่แท้จริงอย่างไรกันแน่ ? เพราะบางทีสิ่งที่ถูกปิดบังเอาไว้ มันอาจยิ่งใหญ่ไม่แพ้กันกับเรื่องราวของชาวอียิปต์โบราณก็เป็นได้ !!?
หลังจากจบรายการมิติที่ 6 แล้ว อย่าลืมกดสับสไครป์ กดไลก์ กดแชร์ หรือทิ้งคอมเมนต์กันไว้ด้วยนะครับ ยังมีเรื่องราวต่าง ๆ อีกมากมายรอคุณอยู่ สำหรับวันนี้... สวัสดี
แปลและเรียบเรียงโดย นิวัฒน์ อ่ำแสง
ขอบคุณที่มา: Listverse
แท็ก: คลีโอพัตรา, คำสาปฟาโรห์, อียิปต์โบราณ, เฮียโรกริฟซ์, ปิรามิด, ผู้สร้างปิรามิด
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น