29 มิถุนายน 2559

มิติที่ 6 ตอนพิเศษ แคสท์เกม SCP CB กับ Let's Kill Jeff the Killer - Asylum ขอมาก็จัดไป !!!

 เปิดดูบนยูทูป

มิติที่ 6 สัปดาห์นี้ กับคำสัญญาที่ผู้บรรยายรายการได้หลุดปากไปว่า ถ้ามีคนขอให้แคสท์เกม ก็จะแคสให้ชมกันครับ งานนี้ เก๊กกันได้ไม่นาน หลุดกันกระจาย !!!
ลิงค์ดาวน์โหลดเกม
-----------
SCP Containment Breach
http://scpcbgame.com/
----------
Let's Kill Jeff The Killer - The ASylum
http://goo.gl/s70aRI
-----------
Facebook : https://facebook.com/Mitithee6/
Website : http://mitithee6.blogspot.com/
Twitter : https://twitter.com/mitithee6
Google+ :https://goo.gl/DFmJmz




24 มิถุนายน 2559

มิติที่ 6 ศุกร์สยองขวัญ Jeff the Killer !!




มิติที่ 6 ศุกร์สยองขวัญกับวันเบา ๆ สัปดาห์นี้ เราจะพาท่านไปรู้จักกับเรื่องราวน่ากลัวของฆาตกรแห่งลางร้ายที่ถูกพูดถึงมากที่สุดในโลกอินเตอร์เน็ต... เจฟเดอะคิลเลอร์ !!

ภาพประกอบทั้งหมดไม่เกี่ยวกับเนื้อหา
หนังสือพิมพ์ท้องถิ่นฉบับหนึ่งเสนอข่าวว่า “ฆาตกรปริศนาตัวร้ายมันยังคงลอยนวล !!” ในสัปดาห์ถัดมากับคดีฆาตกรรมปริศนานั้นเจฟเดอะคิลเลอร์ฆาตกรจอมโหดก็ยังคงได้ใจ และได้มีผู้รอดชีวิตออกมาเล่าเหตุการณ์ให้ฟังว่า

“ผมฝันร้ายเลยลุกขึ้นมากลางดึกครับ” เด็กชายกล่าว

“ผมมองเห็นบางอย่างที่ทำให้หน้าต่างมันเปิด ทั้ง ๆ ที่ผมนึกว่าผมปิดมันไปเรียบร้อยตั้งแต่ก่อนเข้านอนแล้ว ผมจึงลุกขึ้นไปปิดมันอีกครั้ง แล้วทีนี้ผมก็เดินกลับมามุดเข้าผ้าห่มแล้วนอนต่อ ตอนนั้นผมรู้สึกแปลก ๆ ยังกับว่ามีใครบางคนกำลังจ้องมองผมอยู่ พอผมเงยหน้ามองขึ้นไปก็แทบจะกระเด้งออกจากที่นอน เพราะใต้แสงสลัวๆ นั้น แสงที่ลอดผ่านออกมาระหว่างผ้าม่าน มันมีดวงตาคู่หนึ่ง... มันไม่ใช่ดวงตาแบบคนทั่วไป มันดูมืดดำส่องประกายชั่วร้าย ผมกลัวมาก... พอผมมองไปที่ปากของเขา รอยยิ้มสุดสยองนั่นมันทำให้ผมขนลุกซู่ไปทั้งตัว เพราะคนที่ยืนอยู่ตรงนั้นมันกำลังจ้องเขม็งมาที่ผม หลังจากที่เขามองอยู่นานเขาก็พูดกับผมสั้น ๆ ว่า..."



"ไปนอนซะ !!"

ผมร้องลั่น เขาหยิบมีดขึ้นมาจ่อตรงหัวใจของผมแล้วกระโดดขึ้นมาที่หัวเตียง ผมตอบโต้กลับด้วยการพยายามต่อสู้ทุกวิถีทาง พ่อของผมเข้ามาพอดี ผู้ชายคนนั้นจึงปามีดเข้าที่หัวไหล่ของพ่อผม มันเกือบจะฆ่าพ่อเสียแล้ว !!

เมื่อได้ยินเสียงรถตำรวจเดินทางมาถึง ชายคนนั้นก็รีบหนีไปทางห้องโถง ผมได้ยินเสียงเหมือนกระจกแตก พอผมตามออกมาดู ผมก็เห็นกระจกหน้าต่างด้านหลังบ้านแตก ผมมองตามชายคนนั้นก็เห็นเขาหนีไปไกลมาก ผมบอกคุณได้อย่างหนึ่งคือ ผมไม่มีทางลืมหน้าตาของเขาได้เลย เพราะมันสุดจะน่ากลัว ดวงตาปีศาจและรอยยิ้มแบบพวกโรคจิตของเขา มันยังติดตาอยู่ในหัวสมองของผมอยู่

ตำรวจยังคงตามหาชายคนนี้ ถ้าหากคุณเห็นใครที่มีลักษณะตามคำบอกเล่านี้ ได้โปรดแจ้งตำรวจท้องที่ใกล้ ๆ คุณโดยด่วน !!


เจฟและครอบครัวของเขาเพิ่งจะย้ายเข้ามาใหม่ พ่อของเขาเพิ่งได้บรรจุเข้าทำงานที่นี่ และพวกเขาก็รู้สึกดีมากที่จะได้อยู่ร่วมกับเพื่อนบ้านท่าทางแปลก ๆ แบบนั้น เจฟกับลิวสองพี่น้องไม่ค่อยจะบ่นอะไรสักเท่าไหร่ เพราะบ้านหลังนี้มันดีกว่าเดิม เมื่อพวกเขาเริ่มจะจัดข้าวของ ก็มีเพื่อนบ้านคนหนึ่งเข้ามาเยี่ยม

“สวัสดี...”  หญิงคนหนึ่งทักทาย “ฉันชื่อบาบาร่า ฉันอาศัยอยู่ฝั่งตรงข้ามนี่เอง ฉันกับลูกชายเลยอยากจะมาแนะนำตัวค่ะ” เธอหันหน้ากลับไปเรียกลูกชาย

“บิลลี่ เรามีเพื่อนบ้านใหม่มาแน่ะ” บิลลี่ก็กล่าวคำทักทายแล้ววิ่งกลับไปเล่นที่สวนต่อ

“สวัสดีค่ะ”  แม่ของเจฟตอบ “ดิฉันชื่อมากาเร็ต และนี่ก็สามีของดิฉัน.. ปีเตอร์ กับลูกชายสองคนเจฟและลิว” พวกเขาต่างแนะนำตัว จากนั้นบาบาร่าก็ชักชวนพวกครอบครังของเจฟไปร่วมงานฉลองวันเกิดของลูกชาย ซึ่งเจฟกับน้องชายดูเหมือนจะไม่อยากไป แต่แม่ของพวกเขาตอบกลับไปว่า พวกเราจะไปร่วมงานอย่างแน่นอน

เมื่อเจฟกับครอบครัวจัดข้าวของเสร็จ เจฟได้เข้าไปหาแม่แล้วพูดว่า “แม่ครับ ทำไมแม่ต้องชวนเราไปงานเด็ก ๆ แบบนั้นด้วยล่ะ แม่ไม่เห็นเหรอว่าผมไม่ใช่เด็ก ๆ แล้วนะ”

“เจฟ”  แม่ของเขาตอบ “เราเพิ่งจะย้ายมาอยู่ที่นี่ เราควรจะแสดงน้ำใจให้เพื่อนบ้านเห็นว่า เราให้ความสำคัญกับพวกเขานะ เราจะไปที่งานปาร์ตี้กันและนี่คือคำขาดนะจ๊ะ” เจฟอยากจะพูดต่อแต่ก็ต้องหยุด เพราะเขารู้ดีว่ามันไม่ทำให้อะไรดีขึ้นแน่ ๆ เพราะแม่ยื่นคำขาดไปแล้ว เขาจึงเดินขึ้นห้องแล้วหย่อนตัวลงนอน จากนั้นก็นั่งมองเหม่อไปที่เพดาน เขารู้สึกว่ามันมีความรู้สึกแปลกๆ เกิดขึ้นกับตัวเขา มันเป็นความรู้สึกที่ไม่ดีสักเท่าไหร่ แต่เขาพยายามกำจัดมันออกไป

วันรุ่งขึ้นเจฟเดินลงบันไดมาทานอาหารเพื่อเตรียมตัวไปโรงเรียน แล้วเขาก็รู้สึกแบบนั้นอีกครั้ง แต่คราวนี้มันรุนแรงกว่าเดิม มันเจ็บปวดแบบกวนใจมากขึ้น แต่เขาก็สามารถข่มใจกับอาการนี้ได้เหมือนเช่นเคย พอทั้งเจฟและลิวทานอาหารเช้าเสร็จ เขาก็เดินไปที่ป้ายรถประจำทางเพื่อนั่งรอรถโรงเรียน ระหว่างที่นั่งรอรถอยู่นั้น ได้มีเด็กกลุ่มหนึ่งเล่นสเก็ตบอร์ดกระโดดข้ามหน้าตักเฉียดพวกเขาไป เจฟกับลิวถึงกับกระเด้งถอยกลับด้วยความตกใจ “เฮ้ย… อะไรกันเนี่ย !!”

เด็กพวกนั้นจึงหยุดแล้วเดินกลับมาหาทั้งสองพี่น้อง เด็กคนนึงเตะสเก็ตบอร์ดลอยขึ้นมาแล้วจับเอาไว้ เด็กคนนี้อายุน่าจะประมาณ 12 ปี อ่อนกว่าเจฟปีนึง สวมเสื้อยี่ห้อแอโร่โพสเทลกับกางเกงยีนส์ขาด ๆ

“อ๊ะๆๆ เหมือนเราจะเจอก้อนเนื้อชิ้นใหม่ว่ะ” ทันใดนั้นเด็กอีกสองคนก็เดินเข้ามา คนหนึ่งดูผอมมากและอีกคนดูอ้วน ๆ

“อืม.. พวกนายมาใหม่นี่นา ฉันขอแนะนำให้รู้จักกับพวกเรา คนนั้นชื่อคีธ” เจฟกับลิวมองไปที่คนผอม หน้าตาเหมือนคนง่วงนอนแถมไม่น่าจะมีใครคบ “และนั่นคือทรอย” พวกเขาก็มองตามไปที่เด็กอ้วน ที่ดูอ้วนมาก ๆ ราวกับว่าเขาไม่เคยออกกำลังกายมาก่อน ถ้ากลิ้งได้ก็คงกลิ้งไปแล้ว


“และฉัน” เด็กคนแรกพูด “ชื่อว่าแรนดี้ ขาใหญ่ที่นี่... แล้วก็พวกแก เจ้าเด็กใหม่ที่มีเงินมาขึ้นรถโรงเรียน เอาเงินมาให้ฉันซะ...” ลิวยืนขึ้นแล้วก็ใช้หมัดต่อยเข้าไปที่เบ้าตาของเด็กคนนั้นทันที เพื่อน ๆ ของเขารีบรับตัวเอาไว้แล้วส่งมีดให้ “ชะชะชะ ฉันนึกว่าพวกแกจะร่วมมือกับเราดี ๆ ซะอีก แต่ดูท่าทางพวกเราคงต้องใช้ความรุนแรงกันหน่อย” พวกเด็กเกเรเดินตรงไปที่ลิว แล้วกระชากเอากระเป๋าเงินของเขาไป เจฟรู้สึกแบบนั้นขึ้นมาอีกแล้ว ตอนนี้มันค่อนข้างจะหนักกว่าเดิมราวกับถูกไฟเผาไหม้ เจฟจึงยืนขึ้นแต่ลิวบอกให้เขานั่งลง เจฟไม่สนใจแล้วเดินไปที่พวกแก๊งเด็กเกเร

“ฟังนะเจ้าพวกชั่ว เอากระเป๋าเงินของน้องชายฉันคืนมา !!” แรนดี้รีบเอากระเป๋าเงินใบนั้นเก็บเข้ากระเป๋าของตัวเอง จากนั้นก็ชักมีดออกมา !!

“โอว์... แล้วนายจะทำอะไรเหรอ ?” ทันทีที่เขาพูดจบ เจฟก็ต่อยเข้าไปที่จมูกของแรนดี้ เจฟจับที่ข้อมือของเขาแล้วหักมัน แรนดี้ถึงกับร้องเสียงหลง จากนั้นเจฟก็แย่งมีดมาจากมือของเขา ทั้งทรอยและคีธจึงรีบบุกโจมตีเจฟทันที แต่เจฟนั้นเร็วกว่า เขาผลักแรนดี้ลงไปกองกับพื้น และเมื่อคีธบุกเข้ามาเจฟก็สามารถหลบได้ทัน จากนั้นเจฟก็ดันมีดกลับจนเสียบเข้าไปที่แขนของคีธ จนในที่สุดมีดของคีธก็หลุดจากมือและล้มลงไปกองที่พื้นร้องอย่างเจ็บปวดไปอีกคน ทรอยก็บุกเข้ามา แต่เจฟไม่จำเป็นต้องใช้มีดกับเขา เจฟใช้หมัดต่อยเข้าไปที่ท้องของทรอยจนจุกล้มตามไปอีกคน เหตุการณ์จบลงอย่างรวดเร็ว ในขณะที่ลิวยังทำอะไรไม่ถูก ได้แต่ยืนตะลึงกับสิ่งที่เจฟทำ

“เจฟ นายทำได้ยังไง ?” ลิวนึกคำพูดออกมาได้แค่นี้ จากนั้นรถโรงเรียนก็มา ซึ่งคนในรถก็น่าจะรู้ว่ามีเรื่องเกิดขึ้น เจฟและลิวรีบวิ่งหนี พอหันกลับไปดูก็เห็นแรนดี้กับพรรคพวกถูกพาตัวขึ้นรถ เมื่อเจฟและลิวไปถึงโรงเรียน พวกเขากลับไม่ได้เล่าเหตุการณ์อะไร ทุกคนต่างนั่งฟังคำตำหนิ แต่ลิวนั้นคิดถึงสิ่งที่เจฟทำกับพวกเด็กเกเร ส่วนเจฟนั้นดูจะเครียดมากกว่า มันเหมือนมีอะไรบางอย่างที่น่ากลัวกับพลังแบบนั้น มันกระตุ้นให้เขาทำร้ายคน เขาไม่รู้ว่ามันคืออะไร แถมมันก็ไม่ได้ทำให้ทุกอย่างดีขึ้นเลย เขารู้แค่ว่าความรู้สึกแปลก ๆ นั้นมันได้หายไป จนกระทั่งโรงเรียนเลิก เจฟเดินทางกลับมาถึงบ้าน พอกลับมาถึงพ่อกับแม่ก็ถามถึงเรื่องราววันนี้ เขาเลยตอบไปด้วยน้ำเสียงไม่ค่อยจะดีนักว่า “วันนี้เยี่ยมไปเลยครับ” จนเช้าวันรุ่งขึ้น เขาได้ยินเสียงเคาะประตูหน้าบ้าน เจฟเดินลงไปก็พบกับเจ้าหน้าที่ตำรวจสองนายที่หน้าประตูกับแม่ของเขาที่หันมามองด้วยท่าทางไม่ค่อยจะสู้ดีนีก

“เจฟ ตำรวจเขาบอกแม่ว่า เธอไปทำร้ายพวกเด็ก ๆ สามคน แล้วก็ไม่ได้ทะเลาะกันธรรมดา พวกเขาถูกแทง นี่มันอะไรกันลูก” เจฟก้มหน้ามองพื้น แล้วสารภาพว่ามันได้เกิดเรื่องแบบนั้นขึ้นมาจริง ๆ

“แม่ครับ พวกเขาจะใช้มีดกับพวกเราก่อนนะครับ”

“พ่อหนุ่ม” ตำรวจคนหนึ่งพูด

“เจ้าพวกเด็กสามคนนั้น สองคนถูกแทง อีกคนถูกต่อยที่ท้อง และพวกเราก็มีพยานเห็นตอนที่เธอทำแบบนั้น แล้วเธอจะเอายังไง ?” เจฟรู้แล้วว่าคำพูดของเขามันไม่ช่วยอะไร เพราะแม้เขาจะบอกว่าตัวเองกับลิวถูกลงมือก่อน แต่ก็ยังไม่มีใครลงมือทำร้ายพวกเขาเลย เพราะความจริงมันก็ฟ้องอยู่แล้วว่า ทั้งเขาและลิวนั้นไม่ได้เป็นฝ่ายป้องกันตัวเลย

“เอาล่ะ ไปเรียกน้องชายของเธอลงมา” เจฟไม่ยอมทำตาม เพราะจริง ๆ มีแต่เขาเองที่ทำร้ายพวกเด็กกลุ่มนั้น

“คุณตำรวจครับ  ผมเอง ผมทำร้ายเด็กพวกนั้นคนเดียวครับ ส่วนลิวเขาพยายามจะห้ามผมครับ แต่เขาห้ามผมไม่สำเร็จ” ตำรวจจึงมองหน้ากัน

“อืมไอ้หนู สงสัยจะได้เข้าสถานกักกันสักปีนึงนะ….”

“เดี๋ยวครับ !!” ตำรวจมองตามเสียงไป ก็พบกับลิวกำลังยืนถือมีด ตำรวจจึงชักปืนแล้วเล็งไปที่ลิว

“ผมเองครับ ผมทำร้ายเจ้าพวกเด็กเวรนั่น ผมมีหลักฐานด้วย” เขาเลิกชายแขนเสื้อขึ้นเพื่อให้เห็นร่องรอยมีด และรอยฟกช้ำจากการต่อสู้

“ไอ้หนุ่ม วางมีดลงซะ” เจ้าหน้าทีตำรวจบอก ลิวจึงวางมีดลงกับพื้น แล้วเอามือวางไว้บนศีรษะเดินมาหาตำรวจ

“ไม่นะ.. ลิว ฉันทำไง.. ฉันเอง...” เจฟพูดท่ามกลางน้ำตานองหน้า

“ไม่นะ คุณตำรวจจับผมไปเถอะครับ” ตำรวจจึงจับตัวลิวไปขึ้นรถ

“ลิว.. บอกพวกเขาสิว่าฉันทำ.. ฉันทำไง.. ฉันทำร้ายพวกมันคนเดียวไง” เจฟกล่าว

แม่โอบไหล่ของเจฟแล้วพูดว่า “เจฟ... ได้โปรด.. อย่าโกหกอีกเลย ลูกหยุดได้แล้ว” เจฟมองไปที่รถตำรวจเห็นน้องชายของเขาอยู่ในนั้นกำลังวิ่งออกไป และในไม่กี่นาทีต่อมาพ่อของเจฟก็มาถึง เขาสังเกตเห็นความผิดปกติของเจฟจึงถามว่า

“นี่มันอะไรกัน ?” เจฟไม่สามารถจะตอบอะไรได้ เพราะเขายังร้องไห้อยู่ แม่ของเจฟเดินมาที่พ่อแล้วบอกข่าวร้ายให้ได้รู้ เจฟเสียใจอยู่เป็นชั่วโมงกว่าเขาจะเดินกลับเข้ามาในบ้าน มองเห็นพ่อกับแม่ที่กำลังช็อกกับเหตุการณ์ ไม่รู้ว่าพ่อกับแม่กำลังคิดอะไรแต่ตอนนี้เจฟอยากนอนแล้ว โดยพยายามเก็บความรู้สึกเอาไว้ในใจ สองวันต่อมาก็ไม่มีข่าวอะไรจากลิวเลย ไม่มีใครมาหามีแต่ความเศร้าโศกและความสับสนในใจ

จนถึงวันเสาร์เจฟก็ถูกแม่ปลุกขึ้นมา “เจฟ วันนี้แล้วนะ” แม่พูดกับเขาพร้อมกับเปิดผ้าม่านรับแสงเข้ามาในห้อง

“อะไรครับ วันอะไร ?” เจฟถาม

“อะไร ก็งานปาร์ตี้ของบิลลี่ไง” เจฟถึงกับหายง่วง

“แม่ครับ แม่ล้อผมเล่นใช่ไหม ? แม่ไม่ควรจะพาผมไปงานปาร์ตี้หลังจาก… ”  แล้วทุกอย่างก็เงียบไป

“เจฟ พวกเรารู้ว่ามีอะไรเกิดขึ้นนะ แม่คิดว่าปาร์ตี้นี้มันควรจะเป็นวันที่สดใสมากกว่า เอาล่ะ... ไปแต่งตัวซะ” แม่ของเจฟเดินออกจากห้องแล้วลงไปเตรียมตัว เจฟรีบลุกขึ้นแล้วหยิบเสื้อผ้ามาใส่จากนั้นก็เดินลงมา เขาเห็นพ่อกับแม่แต่งตัวพร้อมหน้า แม่ของเขาใส่ชุดกระโปรง ส่วนพ่อของเขาอยู่ในชุดสูท เจฟรู้สึกแปลก ๆ กับเสื้อผ้าสำหรับไปงานปาร์ตี้ของเด็กแบบนั้น

“ลูก... นั่นลูกจะแต่งตัวแบบนั้นจริง ๆ หรือ ?” แม่ของเจฟถาม

“มันก็ดีกว่าแต่งตัวเต็มยศนะครับ” เจฟตอบ แม่ของเขาจึงดุเจฟด้วยรอยยิ้มว่า

“นี่เจฟ เราอาจจะแต่งตัวเกินเหตุก็จริงนะ แต่นี่มันคือสิ่งที่เราจะสร้างความประทับใจให้กับที่ ๆ เราจะไป” แม่ของเจฟพูดแบบนั้น เจฟจึงกลับไปที่ห้องอีกที

“ผมไม่มีชุดแบบนั้นนะครับ” เจฟตะโกนลงมา

“ก็เลือกมาสักอย่างสิ” แม่ของเจฟตอบ เจฟลองมองไปทั่วตู้เสื้อผ้าเพื่อจะหาอะไรที่มันดูไม่ธรรมดา จนได้กางเกงสีดำและเสื้อกล้ามมาใส่เพิ่ม แต่เขาหาเสื้อเชิ้ตไม่เจอ พอมองไปทั่ว ๆ เขาก็พบเสื้อเชิ้ตลายทาง ที่ดูไม่ค่อยเข้ากับกางเกงสักเท่าไหร่ แต่สุดท้ายก็ได้ชุดฮู้ดสีขาวมาใส่แทน

“นี่ลูกจะใส่ชุดนั้นจริง ๆ เหรอ ?” ทั้งสองถาม แม่ของเจฟมองไปที่นาฬิกา

“โอ... ไม่มีเวลาจะเปลี่ยนชุดแล้วล่ะ ไปกันเถอะ” ทุกคนจึงออกมาหน้าประตูบ้าน พวกเขาข้ามถนนไปยังบ้านของบาบาร่าและบิลลี่ที่ดูเหมือน ๆ กับพ่อแม่ของเจฟ นั่นคือพวกเขาก็แต่งตัวกันเต็มยศจนออกนอกหน้าเช่นกัน พอทุกคนเดินเข้าไปในบ้าน เจฟกลับเห็นแต่พวกผู้ใหญ่ไม่มีเด็กเลยสักคน

“พวกเด็ก ๆ เล่นกันอยู่ที่สวนจ้ะ...เจฟ  เธอจะไม่ไปเล่นกับพวกเขาหน่อยเหรอ ?” บาบาร่าบอก

เจฟเดินออกไปที่สวนของบ้าน เขาก็ได้เจอกับเด็กหลายคน ที่กำลังวิ่งเล่นกันไปทั่ว แต่งตัวเป็นพวกคาวบอย ถือปืนพลาสติกยิงเล่นกัน แล้วทันใดนั้นก็มีเด็กคนหนึ่งเดินมาหาเจฟแล้วส่งปืนของเล่นให้กับเขา

“เฮ่ !! มาเล่นกันไหม ?”

“อ่า... ไม่เอา ฉันโตเกินกว่าจะเล่นอะไรแบบนี้แล้วล่ะ” พวกเด็ก ๆ จึงมองเจฟแบบงง ๆ

“มาเถอะ” เด็กคนนั้นบอก

“ก็ได้”  เจฟจึงสวมหมวกแล้วเริ่มไล่ยิงเด็ก ๆ  แรก ๆ เจฟก็ไม่ได้คิดอะไร แต่พอผ่านไปซักพักเจฟก็เริ่มจะสนุก แม้มันจะไม่เจ๋งสักเท่าไหร่ แต่นี่ก็เป็นครั้งแรกที่เขาได้ทำอะไรที่จะไม่ต้องคิดถึงลิว พอเจฟเล่นกับเด็ก ๆ อยู่พักนึง ทันใดนั้นเขาก็ได้ยินเสียงแปลก ๆ บางอย่างกำลังวิ่งเข้ามา !!  เจฟถูกจู่โจมจากแรนดี้ ทรอย และคีธคู่ปรับเก่า พวกเขากระโดดเข้ามาพร้อมกับสเก็ตบอร์ด เจฟวางปืนปลอมแล้วถอดหมวกออก แรนดี้มองจ้องเจฟด้วยสายตาอันคลั่งแค้น

“สวัสดี นั่นเจฟใช่ไหม ?” แรนดี้ถาม “เรายังมีธุระต้องสะสางกันใช่ไหม ?”

เจฟมองไปที่ดั้งจมูกช้ำ ๆ ของแรนดี้แล้วพูดว่า “ฉันว่ามันน่าจะเสมอกันแล้วนะ ฉันถูกนายเล่นงาน ส่วนน้องชายฉันก็เข้าสถานกักกัน”

แรนดี้จ้องตาของเจฟแล้วพูดว่า “ไม่นะ ฉันไม่อยากเสมอ ฉันอยากชนะ นายต้องถูกพวกเราเตะก้นสักวัน” พูดจบแรนดี้ก็บุกเข้ามาถึงตัวเจฟ ทั้งคู่ล้มลงไปบนพื้น แรนดี้ต่อยไปที่จมูกของเจฟ เจฟดึงหูแรนดี้แล้วเอาหัวโขกสู้ เจฟผลักแรนดี้จนล้มลงไปที่พื้น พวกเด็ก ๆ คนอื่นร้องกันระงมด้วยความตกใจ พวกพ่อแม่ของทุกคนจึงวิ่งออกมาจากบ้าน ทรอยกับคีธชักปืนออกมาจากกระเป๋า

“มันจะไม่มีใครเข้ามาขัดจังหวะ หรือมีใครคิดจะบินหนีไปได้หรอก !!” จากนั้นแรนดี้ก็ชักมีดออกมาแล้วแทงเข้าไปที่ไหล่ของเจฟ

เจฟร้องอย่างเจ็บปวดแล้วคุกเข่าล้มลง แรนดี้เตะเข้าไปที่ยอดหน้าของเจฟ หลังจากนั้นก็เตะไปอีกสามที เมื่อเจฟจับเท้าของแรนดี้ได้จึงบิดมันอย่างแรงจนเขาล้มลงไปที่พื้น เจฟยืนขึ้นแล้วเดินตรงไปที่ประตู ทรอยจับตัวเจฟเอาไว้

“อยากให้ช่วยไหม ?” ทรอยยกคอเสื้อของเจฟขึ้นจนตัวลอย แล้วโยนเขาไปที่ประตูระเบียงบ้าน เจฟพยายามจะยืนขึ้น ทรอยก็เตะเขาร่วงลงไปอีก แรนดี้จึงรีบเข้ามาเตะเจฟซ้ำอีกจนเจฟกระอักออกมาเป็นเลือด

“มาสิเจฟ สู้กับฉัน” แรนดี้จับเจฟขึ้นมาแล้วโยนเขาเข้าไปในครัว แรนดี้มองเห็นขวดวอดก้าบนเค้าท์เตอร์ จึงหยิบมาฟาดไปที่ศีรษะของเจฟอย่างแรง

“สู้สิ !!” แรนดี้จับเจฟโยนเข้าไปที่ห้องนั่งเล่น

“มาเลยเจฟ มองมาทางนี้” เจฟมองขึ้นมาด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยเลือด

“ฉันเป็นคนทำให้น้องชายนายเข้าซังเตยังไงล่ะ แล้วนี่นายจะมานั่งทำบ้า รอให้มันออกมาตั้งปี นายมันกากจริง ๆ” เจฟจึงค่อย ๆ ลุกขึ้น

“มาเลย ยืนขึ้นมาสู้กัน” เจฟยืนขึ้นมา ใบหน้าของเขาอาบไปด้วยเลือดผสมวอดก้า เจ้าความรู้สึกแปลก ๆ นั้นกลับมาอีกแล้ว บางอย่างที่ไม่ยอมให้เจฟล้มลงไปอีก “มาเลยมา”  แรนดี้วิ่งเข้าใส่เจฟทันที ทันใดนั้นบางสิ่งในตัวเจฟก็ยึดครองร่างของเค้า จิตวิญญาณของเขาถูกทำลาย สติสัมปชัญญะของเขาหายไป ทุกอย่างที่เขาทำได้ตอนนี้คือการฆ่า เขาจับแรนดี้ลากออกไปข้างนอก เจฟยืนคร่อมร่างแรนดี้แล้วต่อยเข้าไปที่หัวใจของเขาอย่างแรง จนหัวใจของแรนดี้แทบจะหยุดเต้น แรนดี้ถึงกับหายใจไม่ออก เจฟทุบซ้ำลงไป ต่อยแล้วต่อยอีกจนเลือดสาดกระเซ็นออกมาจากร่างของแรนดี้ จนในที่สุดแรนดี้ก็สิ้นลม

ทุกคนมองมาที่เจฟ ทั้งพ่อแม่และเด็กๆ ที่ร้องไห้ ทรอยและคีธ ค่อย ๆ เอาปืนจ่อเล็งมาที่เจฟ พอเจฟเห็นปืนเล็งมา เขาจึงวิ่งไปที่บันได พร้อม ๆ กับจังหวะที่ทั้งสองยิงปืนใส่ ทำให้กระสุนยิงพลาด เจฟวิ่งขึ้นบันไดต่อไป เขาได้ยินเสียงทรอยและคีธกำลังตามมา เจฟจึงรู้ว่าตอนนี้พวกเขาไม่มีกระสุนปืนเหลือแล้ว เจฟจึงวิ่งกลับไปทางห้องน้ำ เขาดึงที่แขวนผ้าขนหนูออกมาจากกำแพง พร้อมกับทรอยและคีธที่วิ่งถือมีด

ทรอยแกว่งมีดเข้าใส่เจฟ เจฟตอบโต้โดยใช้ที่แขวนผ้าขนหนูฟาดเข้าที่ใบหน้าของทรอย ทรอยทรุดลงไปเหลือแต่คีธ เขาคล่องแคล่วกว่าทรอยสามารถหลบที่แขวนผ้าขนหนูที่เจฟฟาดใส่ได้ คีธวางมีดลงแล้วตะครุบเข้าไปที่คอของเจฟ แล้วผลักไปชนกับกำแพง  ในขณะที่ทั้งทรอยและคีธกำลังสะใจ เจฟก็หยิบที่แขวนผ้าขนหนูขึ้นมาฟาดเข้าไปที่ศีรษะของคีธเต็มแรง เขาจึงล้มลงเลือดไหลออกจนเกือบตาย เจฟยิ้มอย่างชั่วร้าย

“ขำอะไรวะ !!” คีธถามเจฟ คีธหยิบไฟแช็คออกมาแล้วจุด “ขำอะไร ?” คีธพูดอีก “เสื้อผ้าของแกมีแต่เหล้าชุ่มไปหมดเลยไม่ใช่เหรอ ?” สายตาของเจฟเบิกโพลง ขณะที่คีธโยนไฟแช็คที่จุดไฟมาที่เขา ทำให้ไฟลุกลามไปทั่วตัว เพราะอัลกอฮอร์จากวอดก้า ในขณะที่ไฟกำลังคลอกเจฟอยู่นั้น เจฟเองก็พยายามกลิ้งตัวบนพื้นเพื่อดับไฟแต่มันก็ไร้ผล เจฟจึงตัดสินใจวิ่งลงมาที่ห้องโถง แล้วก็ล้มลงเพราะสะดุดกับบันไดกลิ้งลงมาชั้นล่าง ในตอนนั้นเจฟเห็นพ่อกับแม่ของเขากำลังช่วยกันดับไฟบนตัวจากนั้นทุกอย่างก็มืดดับไป

เมื่อเจฟตื่นขึ้นมาก็พบว่าตัวเองมีผ้าพันไว้ทั่วใบหน้า เขามองอะไรไม่เห็นเลย แต่เขารู้สึกเจ็บที่ไหล่และมีรอยเย็บไปทั่วทั้งตัว เขาพยายามจะยืนขึ้นแต่รู้สึกเหมือนกับมีท่ออะไรบางอย่างอยู่ในแขนของเขา เมื่อเขาพยายามจะลุกมันก็จะล้ม จนพยาบาลรีบเข้ามาห้าม

“ฉันไม่คิดว่าคุณจะสามารถลุกออกมาจากที่นอนได้ตอนนี้นะคะ” เธอพูดพลางจับเจฟให้นอนลง แล้วจัดการเอาสายท่อกลับมาเสียบไว้ที่แขนเหมือนเดิม เจฟนั่งลง เขามองอะไรไม่เห็น ไม่รู้ว่ารอบ ๆ มีอะไรเกิดขึ้นบ้าง จนเวลาผ่านไปเขาก็ได้ยินเสียงของแม่

“ลูกรัก ลูกโอเคใช่ไหม ?” เธอถาม แต่เจฟตอบอะไรไม่ได้ เพราะใบหน้าของเขามีผ้าพันแผลพันอยู่ทั่วจนไม่สามารถพูดได้

“แม่มีข่าวดีนะลูก หลังจากที่พยานบอกกับตำรวจว่าแรนดี้พยายามจะทำร้ายลูก พวกเขาก็ตัดสินใจที่จะปล่อยตัวลิวออกมา” เจฟถึงกับลุกนั่ง จนลืมไปว่ามีท่อเสียบอยู่ที่แขน

“ลิวจะได้ออกมาพรุ่งนี้แล้ว พวกเธอจะได้กลับมาอยู่ด้วยกันอีกครั้ง” แม่ของเจฟกอดเขาก่อนจะกลับ

สองสัปดาห์ต่อมาทุกคนในครอบครัวมาเยี่ยมเจฟอีกครั้ง วันนี้เป็นวันที่หมอจะเปิดหน้าของเจฟ ครอบครัวของเจฟต่างตั้งตารอลุ้นว่าผลจะออกมาเป็นอย่างไร เมื่อหมอค่อยๆ เอาผ้าพันแผลออกจนกระทั่งชิ้นสุดท้าย

“นี่คือดีที่สุดแล้วครับ”  หมอบอก แล้วผละตัวออกปล่อยให้ทุกคนมองไปที่ใบหน้าของเจฟ

แม่ของเจฟถึงกับกรีดร้องลั่น ลิวกับพ่อของเจฟถึงกับตะลึง

“อะไร ? เกิดอะไรขึ้นกับหน้าของผมเหรอ ?” เจฟถาม เขาลุกออกจากเตียงเดินไปยังห้องน้ำแล้วมองไปที่กระจก ภาพที่เห็นนั้นเป็นใบหน้าช่างดูสยดสยองเป็นอย่างยิ่ง ปากของเขาถูกไฟลวกจนเป็นสีแดง ใบหน้าของเขาเป็นสีขาวโพลน เส้นผมเปลี่ยนจากสีน้ำตาลกลายเป็นสีดำ เขาค่อย ๆ เอามือลูบไปที่ใบหน้า ความรู้สึกราวกับมันเป็นแผ่นหนังหนา ๆ เจฟมองกลับไปที่ครอบครัวของเขา แล้วก็กลับไปมองที่กระจกอีกครั้ง

“เจฟ... มันไม่แย่นักหรอกนะ…” ลิวพูด

“ไม่แย่อะไรกัน ?” เจฟพูด

“นี่มันดีออก” ทุกคนแปลกใจ เจฟหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง ทุกคนสังเกตเห็นว่าตาและมือของเจฟกำสั่นเทา

“เจฟ.. เธอโอเคไหม ?”

“โอเคอะไร ? ผมไม่เคยมีความสุขแบบนี้มาก่อนเลย” เจฟหัวเราะต่อ

“มองที่ผมสิ ใบหน้าแบบนี้มันช่างเหมาะกับผมจริง ๆ” เจฟหัวเราะไม่ยอมหยุด เขาลูบไล้ไปบนใบหน้าของตัวเอง แล้วก็มองไปที่กระจก นี่มันอะไรกัน ถ้าเราจำได้ว่าช่วงที่เจฟกำลังสู้กับแรนดี้นั้น มันมีบางอย่างเข้ามาในจิตสำนึกของเขา ตอนนี้มันได้ทำให้เจฟกลายเป็นเครื่องจักรสังหารโดยไม่มีใครรู้ไปเสียแล้ว

“คุณหมอคะ” คุณแม่ของเจฟถามหมอ “ลูกชายของดิฉัน เป็นอะไร ?”

“ครับ อาการนี้เป็นพฤติกรรมของคนไข้ที่ได้รับความกระทบกระเทือนทางจิตใจน่ะครับ แล้วมันจะค่อย ๆ ดีขึ้นในอีกไม่กี่สัปดาห์ อย่าลืมพาแกกลับมาตรวจทางจิตวิทยากันอีกทีนะครับ”

“ได้ค่ะ ขอบคุณมากค่ะคุณหมอ” แม่ของเจฟกลับไปหาเจฟ

“เจฟลูกรัก ได้เวลากลับบ้านเราแล้วลูก”

เจฟมองไปที่กระจก ใบหน้าของเขากำลังยิ้มเหมือนคนบ้า “โอเคคับแม่” แล้วเจฟก็หัวเราะต่อไป แม่ของเจฟจึงพยุงเขาใส่เสื้อผ้า

“นี่เพิ่งซักมาเลยนะ” แม่ของเจฟพูดขณะที่มองไปที่ชุดกางเกงสีดำ และเสื้อฮูดสีขาวที่เจฟเคยใส่ ตอนนี้มันได้ถูกซักทำความสะอาดเรียบร้อยแล้ว แม่ของเจฟจึงพาเขาไปเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วพาเขากลับไปที่ห้อง จากนั้นก็เดินออกไปโดยไม่มีใครรู้เลยว่าการออกไปครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้ายที่ได้อยู่กับเจฟ

ในคืนนั้น แม่ของเจฟตื่นขึ้นมาเพราะได้ยินเสียงออกมาจากห้องน้ำ มันเป็นเสียงของใครสักคนกำลังร้องไห้ เธอค่อย ๆ เดินไปดู เมื่อเธอมองเข้าไป เธอก็พบกับภาพสุดสยอง เธอเห็นเจฟกำลังใช้มีดกรีดปากของตัวเองจนฉีกยาวไปถึงแก้ม

“เจฟ นั่นลูกทำอะไร !!?”

เจฟมองมาที่แม่ “ผมไม่สามารถจะยิ้มต่อไปได้แล้วครับแม่ มันเจ็บปวดมาก แต่ตอนนี้ผมสามารถยิ้มได้ตลอดไปแล้ว” แม่ของเจฟสังเกตเห็นว่าตอนนี้ดวงตาของเขากลายเป็นวงกลมสีดำไปแล้ว

“เจฟ ตาของลูก !!” ราวกับว่าดวงตาของเจฟตอนนี้ไม่สามารถจะปิดได้อีกต่อไป

“ผมมองไม่เห็นหน้าตัวเองเลยครับ ผมเหนื่อยจากการที่ดวงตามันพยายามจะปิด ผมเลยเผาหนังตาของผมซะ ให้มันมองเห็นหน้าตัวเองได้ตลอดเวลา” แม่ของเจฟค่อย ๆ ผละตัวถอยออกมา มองดูลูกชายอย่างเจ็บปวด “มีอะไรครับแม่ ผมดูไม่ดีหรือไง ?”


“ใช่ ...ลูกดูดีมาก ให้แม่ไปเรียกพ่อมาดูหน้าลูกหน่อยนะ” เธอพูดจบก็รีบวิ่งกลับไปที่ห้องแล้วปลุกพ่อของเจฟให้ตื่น

“ที่รัก เอาปืนมา เรา… !!” เธอหยุดพูดเพราะเธอเห็นเจฟกำลังยืนอยู่ที่หน้าประตูและในมือ ก็กำลังถือมีดอยู่

“แม่โกหก !!!!!”  นั่นเป็นสิ่งสุดท้ายที่พวกเขาได้ยินปากเจฟ เพราะตอนนี้เจฟได้ใช้มีดฆ่าพวกเขาทั้งสองไปเรียบร้อยแล้ว

ลิวน้องชายของเขาตื่นขึ้นมาเพราะได้ยินเสียงเอะอะ แต่ตอนนี้เขาไม่ได้ยินเสียงอะไรแล้ว ลิวจึงหลับตานอนต่อ แต่แล้วเขาก็รู้สึกแปลก ๆ ราวกับว่ามีอะไรบางอย่างกำลังจ้องมองอยู่ เขาเงยหน้ามองขึ้นไป ก่อนที่มือของเจฟจะปิดปากลิวเอาไว้ เจฟค่อย ๆ ใช้มีดเสียบเข้าไปที่ร่างของลิว ลิวดิ้นไปมาและพยายามจะหนีเอาชีวิตรอด

“ชู้ววววว”

“ไปนอนซะ !!”


เรื่องราวของเจฟเดอะคิลเลอร์นั้น เป็นหนึ่งในเรื่องของครีปปี้พาสต้าที่โด่งดังเพราะใบหน้าอันน่ากลัวของเขาที่ไม่มีจมูก ผิวขาวโพลน ไม่มีหนังตา และมีดวงตาเป็นวงแหวนสีดำ โดยภาพของเจฟเดอะคิลเลอร์นั้น ถูกใช้บ่อยมากในอินเตอร์เน็ต อีกทั้งวลีติดหู “ไปนอนซะ !!” ของเขา ก็มีผลทำให้เรื่องราวนี้ เป็นที่รู้จักกันในหมู่นักฟังเรื่องราวน่ากลัวอย่างกว้างขวาง

โดยครั้งแรกที่ภาพของเจฟเดอะคิลเลอร์ได้ถูกใช้นั้น มันถูกโพสต์ลงบนกระดานข่าวของเวบไซต์ นิวกราวด์ เวบชุมชนคนเล่นเกม โดยสมาชิกที่ใช้ชื่อว่า “คิลเลอร์เจฟ(killerjeff)” เมื่อเดือนสิงหาคม ค.ศ. 2008 โดยในโพสต์นั้นบอกว่าภาพนี้เป็นของจริง มันเป็นภาพตัวเขาเอง ซึ่งแท้จริงแล้วภาพดังกล่าวน่าจะถูกนำมาตัดต่อจากภาพของคุณแคธี่ โรบินสัน ที่เธอถูกล้อเรื่องน้ำหนักตัวจากสมาชิกเวบไซต์ “4chan” จนต้องฆ่าตัวตายไปในช่วงฤดูใบไม้ผลิของปี ค.ศ. 2008 นั่นเอง

แคธี่ โรบินสัน หญิงสาวที่ฆ่าตัวตาย

เมื่อวันที่ 3 ตุลาคม ค.ศ. 2008  มียูทูปเบอร์ชื่อว่า “Sesseur(เซสซอร์)” ได้ทำการอัพโหลดวิดีโอนำเสนอครีบปี้พาสต้าเกี่ยวกับตัวละครนี้ โดยคลิปนี้สามารถทำยอดวิวได้เกิน 8 แสนวิว ในช่วงเวลา 8 ปี ซึ่งถือว่าเป็นครั้งแรกที่มีการใช้ภาพประกอบเรื่องเล่าด้วยภาพตัวละคร

เรื่องราวของเจฟเดอะคิลเลอร์จึงได้ถูกพูดถึงเป็นอย่างมาก ทั้งในเว็บไซต์ครีบปี้พาสต้าวิกิ และบนเวบไซต์ครีบปี้พาสต้าเอง ต่อมายูทูปเบอร์ชื่อ “MrCreepyPasta” ก็ได้เล่าเรื่องนี้ลงในคลิปของเขา สร้างปรากฏการณ์ยอดคนดูสูงถึงสี่ล้านคนภายในสี่ปี และปัจจุบันก็มียอดผู้ชมถึงห้าล้านวิวไปเรียบร้อยแล้ว และก็มีนักแรพแบทเทิล ทำเพลงแรพเจฟเดอะคิลเลอร์แบทเทิลกับสเลนเดอร์แมนขึ้นมา พวกเขาสามารถทำยอดผู้ชมได้เกือบถึง 60 ล้านวิวเลยทีเดียว

กดเพื่อดูวิดีโอเพลงแรพ "เจฟเดอะคิลเลอร์" แบทเทิลกับ "สเลนเดอร์แมน"

และมีเวบไซต์ชื่อ “anne.jpg” ได้ทำภาพของเจฟเดอะคิลเลอร์มาใส่ประกอบเป็นเสียงปืนเมื่อวันที่ 9 กันยายน ค.ศ. 2008 จนเวลาผ่านไป 8 ปี เวบไซต์ดังกล่าวก็มีผู้เข้ามาเยี่ยมชมมากถึง 23 ล้านครั้ง และเวบไซต์ “Urban Dictionary” ก็ได้บันทึกเรื่องราวนี้ไว้ในวันที่ 30 กรกฎาคม ค.ศ. 2013 นี่เอง

ส่วนในประเทศไทย ก็ได้นำเรื่องราวของเจฟเดอะคิลเลอร์มานำเสนอกันอย่างมากมาย ทั้งภาพวาด การ์ตูน และคลิปบนยูทูป รวมถึงดัดแปลงแต่งเติมเรื่องราวเพิ่มเข้าไป จนกลายเป็นเรื่องราวที่มีผู้ได้พบเจอบางท่านเข้าใจว่ามันเป็นเรื่องจริงไปเลยก็มี และนอกจากจะมีการนำเสนอเรื่องราวแล้ว ความนิยมของเจฟเดอะคิลเลอร์ในประเทศไทยนั้น ก็มีเหล่าวัยรุ่นได้สร้างเกมคำถามสนุก ๆ เอาไว้บนเวบไซต์เด็กดีด็อตคอม เกี่ยวกับเรื่องนี้เป็นจำนวนมากอีกด้วย

สำหรับเรื่องราวของเจฟเดอะคิลเลอร์ที่มิติที่ 6 ได้นำมาเล่านั้น เราได้แปลมากจากต้นฉบับภาษาอังกฤษโดยตรงจึงทำให้ทราบได้ว่า เรื่องนี้เป็นเพียงนิยายออนไลน์เท่านั้น ไม่ได้เป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นจริงแต่อย่างใด และเมื่อเราได้ทราบความจริงกันไปแล้ว มิติที่ 6 ก็อยากจะบอกกับท่านผู้ชมว่า เวลาที่มีใครนำเรื่องราวนี้มาเล่ากันในวงสนทนา ก็จงอย่าได้ไปทำอะไร ที่จะไปขัดขวางการเล่าเรื่องนี้เลยจะดีกว่านะครับ เพราะว่าความจริงนั้น มันช่างไม่มีเสน่ห์เอาเสียเลย !!


อย่าลืมติดตามรายการศุกร์สยองขวัญ ที่จะพาท่านผู้ชมไปพบกับเรื่องราวเบา ๆ กันได้ทุกวันศุกร์สะดวก กับเรื่องลี้ลับสยองขวัญที่ถูกเล่าขาน และร่วมไขปริศนานั้นไปพร้อม ๆ กันกับพวกเรา มิติที่ 6 ครับ

แปลและเรียบเรียง นิวัฒน์ อ่ำแสง
ที่มา
[1] Newgrounds – Killerjeff post
[2] Creepypasta – Jeff the Killer
[3] Creepypasta Wiki – Creepypasta Wiki
[4] JTK Wiki- Jane The Killer
[7] Creepypasta Wiki – Search for Jeff The Killer
[8] Creepypasta.com – Search for Jeff The Killer
[10] Urban Dictionary – anne.jpg

22 มิถุนายน 2559

มิติที่ 6 บันทึกสด!! ครั้งที่ 3 เล่าเรื่องกันสด ๆ (21 มิ.ย. 2559 สี่ทุ่ม.)




มิติที่ 6 Live Streaming บนช่องยูทูป รอบนี้เรามีเรื่องที่ท่านผู้ชมขอมาเล่ากันแบบสดๆ ครับ ได้แก่ เบอร์มรณะ, ซุยไซด์พอทเทรด, เดทบาทซิมสัน, สควิดเวิร์ดส์ซุยไซด์ และโฆษณาคลีเนกซ์ของญี่ปุ่น รวมทั้งอัพเดตโซดิแอคคิลเลอร์ "Ted Crzu", ตุ๊กตาผีคิคุโกะ, ผีมุมห้อง และการทดลองอดนอนรัสเซีย
โดยผู้บรรยายรายการ มิติที่ 6 นิวัฒน์ อ่ำแสง

กดดูได้ที่นี่ค่ะ

-----------
Facebook : https://facebook.com/Mitithee6/
Website : http://mitithee6.blogspot.com/
Twitter : https://twitter.com/mitithee6
Google+ :https://goo.gl/DFmJmz
-----------
ดนตรีประกอบโดย
Dreams Become Real โดย Kevin MacLeod
ได้รับอนุญาตภายใต้ ใบอนุญาต Creative Commons Attribution 
(https://creativecommons.org/licenses/...)
ที่มา: http://incompetech.com/music/royalty-...
ศิลปิน: http://incompetech.com/

17 มิถุนายน 2559

มิติที่ 6 ศุกร์สยองขวัญ ไขปริศนาที่มาของการทดลองการอดนอนในรัสเซีย

หากท่านผู้ชมเคยทราบมาบ้างแล้วว่า ในช่วงยุคสงครามโลกครั้งที่ 2 นั้น เหล่ากลุ่มประเทศมหาอำนาจทางสงคราม ได้พยายามคิดหาทุกวิถีทางเพื่อให้ได้มาซึ่งชัยชนะ ท่านผู้ชมก็จะทราบดีว่า พวกเขาเหล่านั้นได้ซุ่มทำการทดลองบางอย่างในมนุษย์ ด้วยความโหดร้ายทารุณโดยไม่คิดถึงความเป็นคน เพื่อจะค้นหาคำตอบจากสมมติฐานต่าง ๆ แล้วนำสิ่งเหล่านั้นมาใช้ประโยชน์ในสงคราม โดยท้ายที่สุดแล้ว มันก็จบลงด้วยชัยชนะของบางประเทศ และผู้แพ้ก็ต้องชดใช้กับสิ่งที่เกิดขึ้น



มิติที่ 6 ศุกร์สยองขวัญในวันเบา ๆ สัปดาห์นี้ เราจะพาท่านไปพบกับเรื่องราวสุดสยองขวัญ ที่มีผู้อ้างว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นในช่วงยุคสงครามเย็นของประเทศมหาอำนาจ ที่เราไม่เคยรู้มาก่อนว่า แท้ที่จริงแล้วมันคืออะไรกันแน่ !!

ภาพประกอบทั้งหมดไม่เกี่ยวกับเนื้อหา
 กดเพื่อดูได้ที่นี่ครับ

ก่อนจะไปฟังเรื่องราวนั้น มิติที่ 6 ขอแจ้งให้ท่านผู้ชมทราบก่อนว่า เรื่องนี้มีเนื้อหาและการใช้ภาษาที่ค่อนข้างจะสื่อถึงความน่ากลัวมากกว่าเรื่องทั่วไป ดังนั้นมิติที่ 6 ขอให้ท่านผู้ชมทุกท่าน รับชมกันด้วยวิจารณญาณมากกว่าปกติ และสำหรับท่านผู้ชมที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี ควรรับฟังด้วยเหตุและผล โดยมิติที่ 6 จะเฉลยความจริงให้ทราบในตอนท้ายเรื่อง ส่วนเรื่องราวต้นฉบับนี้ มีการใช้ภาษาอังกฤษที่ค่อนข้างซับซ้อนตามรูปแบบของการเขียนนิยาย มิติที่ 6 จึงกราบขออภัย หากมีบางประโยคที่แปลผิดพลาด หรือผิดความหมายมา ณ ที่นี้


กลุ่มนักวิจัยชาวรัสเซียในยุคช่วงปี ค.ศ. 1940  ได้ทำการทดลองกับมนุษย์จำนวน 5 คน ด้วยการบังคับไม่ให้พวกเขานอนหลับเป็นเวลา 15 วัน โดยใช้แก๊สบางอย่างเป็นตัวกระตุ้น

โดยเหยื่อทั้ง 5 คนนั้น ได้ถูกกักบริเวณในสถานที่ลับแห่งหนึ่ง และมีการเฝ้าดูแลอย่างระมัดระวัง เพื่อไม่ให้พวกเขามีอาการขาดอ็อกซิเจนจนเสียชีวิตเพราะแก๊สดังกล่าว เนื่องจากมันเป็นแก๊สพิษที่มีความเข้มข้นสูง และสมัยนั้นยังไม่มีกล้องวงจรปิด  นักวิจัยจึงต้องใช้ไมโครโฟนสำหรับเฝ้าฟังความเป็นไปในห้องนั้นแทน และมีช่องมองกระจกด้านเดียวหนากว่า 5 นิ้ว เพื่อใช้สำหรับตรวจสอบอากัปกิริยาของคนในห้อง โดยในห้องนั้นจะมีกองหนังสือและคอกกั้นสำหรับนอน แต่ไม่มีที่นอนให้ มีน้ำและห้องน้ำพร้อมอาหารแห้งอย่างเพียงพอสำหรับคน 5 คน ที่จะต้องใช้ชีวิตอยู่ในนั้นมากกว่าหนึ่งเดือน

มนุษย์ที่ถูกนำมาทดลองนั้นก็คือ นักโทษการเมืองของฝ่ายศัตรูในช่วงระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 นั่นเอง ทุก ๆ อย่างค่อนข้างจะไปได้ดีในช่วง 5 วันแรก ไม่มีใครบ่นอะไรมากมายกับเรื่องคำสัญญาที่ว่า พวกเขาจะได้รับการปล่อยตัวหลังจากเข้าร่วมการทดลองนี้ โดยมีกฎห้ามนอนหลับเป็นเวลา 30 วัน ซึ่งการสนทนาพูดคุยและกิจกรรมต่าง ๆ ของพวกเขา จะถูกเฝ้าสังเกตการณ์ตลอดเวลา โดยบันทึกผลการทดลองในช่วงนี้ได้บันทึกไว้ว่า ทุกคนเริ่มพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องราวอันน่าสลดใจในอดีตของแต่ละคนตลอดเวลา และน้ำเสียงการในการสนทนาของทุกคน ก็เริ่มจะหม่นหมองลงไปเรื่อย ๆ เมื่อเวลาผ่านไป 4 วัน

จนผ่านวันที่ 5 ไป พวกเขาเริ่มจะบ่นเกี่ยวกับสภาวะรอบตัว และเหตุการณ์ที่ทำให้พวกเขาต้องมาอยู่ที่แห่งนี้ และเริ่มที่จะแสดงอาการหวาดระแวงอย่างรุนแรงให้เห็น และในที่สุดพวกเขาก็หยุดพูดคุยกัน โดยเริ่มจะพูดพึมพำใส่ไมโครโฟน และบ่นใส่กระจกด้านเดียวของช่องหน้าต่างสำหรับเฝ้าสังเกตการณ์นั้น และที่เริ่มจะแปลกไปก็คือ ดูเหมือนว่าพวกเขาทั้งหมดจะเริ่มคิดว่า พวกเขาสามารถผ่านพ้นการทดลองนี้ไปได้ ด้วยการหักหลังเพื่อน ๆ ร่วมห้องเสียอย่างนั้น  ซึ่งตอนแรกทีมวิจัยเข้าใจว่าสิ่งนี้น่าจะเป็นผลจากปฏิกิริยาของแก๊สก็เป็นได้

หลังจากผ่านไป 9 วัน ก็มีคนหนึ่งเริ่มกรีดร้องขึ้นมา เขาวิ่งไปทั่วห้องวนไปวนมาพร้อมกับตะโกนสุดเสียง จนเวลาผ่านไปกว่า 3 ชั่วโมง เขาก็ยังคงกรีดร้องแบบนั้นต่อไป เพียงแต่ว่าตอนนี้ กลับมีแต่เสียงเล็กแหลมดังออกมาเป็นระยะ ๆ แทน ทีมนักวิจัยคาดว่าตอนนี้กล่องเสียงในคอของเขาน่าจะเสียไปแล้ว ซึ่งสิ่งที่น่าตกใจไปกว่านั้นก็คือ ปฏิกิริยาของคนอื่น ๆ ในห้อง พวกเขากลับไม่แสดงอาการใด ๆ ออกมาเลย แต่ทุกคนที่เหลือกลับยังคงกระซิบกระซาบใส่ไมโครโฟนอยู่อย่างนั้น แล้วจู่ ๆ อีกคนก็เริ่มกรีดร้องออกมาบ้าง ส่วนคนที่เหลือก็เริ่มเดินไปหยิบหนังสือออกมากันคนละเล่ม แล้วทำการฉีกหน้าหนังสือออกทีละหน้าเพื่อมาเช็ดกองอุจจาระ จากนั้นก็นำมันมาแปะไว้ที่หน้ากระจกสังเกตการณ์ สักพักเสียงกรีดร้องก็หยุดลง เหลือแต่เพียงเสียงพึมพำหน้าไมโครโฟน

สามวันต่อมา ทีมวิจัยทำการตรวจสอบไมโครโฟนทุกชั่วโมง เพื่อให้แน่ใจว่ามันยังคงทำงานได้อยู่ เพราะตลอดเวลานั้น ไม่มีเสียงใด ๆ ดังออกมาจากผู้เข้ารับการทดลองทั้ง 5 คน ที่อยู่ในห้องนั้นเลย แต่ปริมาณการใช้ออกซิเจนในห้องนั้นกลับแสดงผลว่าทั้ง 5 คน นั้นยังคงมีชีวิตอยู่ ซึ่งจริง ๆ แล้วปริมาณการใช้อ็อกซิเจนของทั้ง 5 คน ในตอนนี้ อยู่ในระดับสูงราวกับทุกคนกำลังออกกำลังกายกันอย่างหนัก จนรุ่งเช้าของวันที่ 14 มาถึง ทีมวิจัยได้พยายามหาทางทำอะไรสักอย่าง เพื่อให้เกิดปฏิกิริยาโต้ตอบจากในห้องออกมาบ้าง ด้วยการใช้อินเตอร์คอมสื่อสารเข้าไปในห้อง โดยหวังว่าน่าจะได้รับการตอบสนองอะไรสักนิด ที่จะยืนยันว่าคนข้างในห้องนั้นยังไม่เสียชีวิตหรือสลบกันไปหมดแล้ว โดยนักวิจัยประกาศเข้าไปว่า

“พวกเราจะเปิดประตูเข้าไปในห้องเพื่อตรวจสอบไมโครโฟน จงถอยห่างจากประตูแล้วหมอบราบลงไปกับพื้น ไม่งั้นพวกคุณจะถูกยิง คนที่ทำตามคำสั่งจะได้รับอิสระอย่างแน่นอน”

แล้วพวกเขาก็ต้องแปลกใจกับน้ำเสียงอันเยือกเย็นเสียงหนึ่งที่ตอบกลับออกมาว่า

“พวกเราไม่อยากเป็นอิสระแล้ว”



ได้มีการโต้เถียงไปมาระหว่างทีมวิจัยกับทางกองทัพที่สนับสนุนการวิจัยนี้ขึ้น เพราะตอนนี้พวกเขาไม่สามารถจะใช้อินเตอร์คอมตรวจสอบปฎิกิริยาอะไรได้อีกแล้ว จนในที่สุด พวกเขาจึงตัดสินใจเปิดประตูห้องในกลางดึกของวันที่ 15 ไปเลยดีกว่า

เมื่อครบเวลา 15 วัน ระหว่างที่ทำการระบายแก๊สกระตุ้นดังกล่าวออกจากห้อง ทันใดนั้นก็มีเสียงจากไมโครโฟนในห้องดังขึ้น โดยมีเสียงคน 3 คน พูดร้องขอราวกับกำลังขอความรักบอกให้พ่นแก๊สนั้นกลับมา แต่ทว่าในที่สุดประตูห้องก็ถูกเปิดออก เหล่าทหารรัสเซียได้เข้าไปเพื่อช่วยเหลือเหยื่อข้างใน ทันใดนั้นก็มีเสียงกรีดร้องที่ดังกว่าทุกครั้งขึ้นมา และสิ่งที่เหล่าทหารได้เห็นภายในห้องนั้นก็คือ 4 ใน 5 คนที่ร่วมทดลองนั้นยังไม่ตาย แต่ทว่ามันกลับไม่มีใครสักคนที่สามารถจะเรียกได้ว่ายังมีชีวิตอยู่ !!

เมื่อได้สำรวจสภาพในห้องพบว่า อาหารตั้งแต่วันที่ 5 นั้นแทบจะไม่พร่องลงไปแม้แต่น้อย และมีก้อนชิ้นเนื้อต้นขาและหน้าอกจากศพของผู้เข้ารับการทดลองที่เสียชีวิตอุดอยู่ตรงปากท่อระบายน้ำกลางห้องจนทำให้มีน้ำท่วมขังในห้องสูงถึง 4 นิ้ว ซึ่งจริง ๆ แล้วก็ไม่รู้ว่าระหว่างน้ำกับเลือด อันไหนจะมากกว่ากัน ตอนนี้ทั้งสี่คนที่รอดชีวิตนั้น ทั้งกล้ามเนื้อและผิวหนังล้วนถูกฉีกออกมาจากร่างกายของพวกเขา และตรงผิวหนังที่เปิดออกจนกระดูกโผล่มาจากปลายนิ้วนั้น มันบ่งชี้ชัดว่าบาดแผลต่าง ๆ นั้น ล้วนเกิดมาจากการใช้มือ ไม่ได้เกิดจากการใช้ฟันกัดอย่างที่นักวิจัยคาดเอาไว้ในตอนแรก และจากการตรวจสอบจุดและมุมของบาดแผลอย่างละเอียดนั้น ก็บ่งชี้ว่าเกิดจากพวกเขาได้ลงมือทำร้ายตัวเองทั้งสิ้น

อวัยวะภายในตั้งแต่ส่วนล่างของซี่โครงของทั้ง 4 คน ล้วนถูกควักออกมา ยกเว้นหัวใจ ปอด และกระบังลมยังคงอยู่ที่เดิม ผิวหนังและกล้ามเนื้อที่ยึดบริเวณชายโครงนั้นถูกฉีกออก จนเห็นปอดที่อยู่ภายในช่องซี่โครงนั้น เส้นเลือดและอวัยวะภายในยังคงทำงานอยู่ พวกเขาเพียงควักมันออกมาแล้ววางไว้บนพื้น กระจัดกระจายไปรอบๆ โดยที่ร่างกายของผู้เข้ารับการทดลองยังคงหายใจอยู่ ระบบทางเดินอาหารของทั้ง 4 คน ก็ยังคงทำงานและย่อยอาหารได้ เห็นได้ชัดว่ากระเพาะของพวกเขานั้น กำลังทำการย่อยชิ้นเนื้อของตัวเอง ที่พวกเขาได้ฉีกมากินในช่วงตลอดการทดลองที่ผ่านมา !!

เหล่าทหารรัสเซียได้พยายามปฏิบัติงานให้ทุกอย่างดำเนินไปอย่างดีที่สุด แต่ก็มีบางคนที่ปฏิเสธจะเข้าไปเพื่อพาผู้เข้ารับการทดลองออกมาจากห้อง เพราะเหยื่อเหล่านั้นยังคงกรีดร้องขอที่จะอยู่ในห้องต่อไป และอ้อนวอนขอให้ปล่อยแก๊สกลับเข้ามาเหมือนเดิมเพราะกลัวว่าตัวเองจะหลับ

ทุกคนต่างแปลกใจที่เหล่าผู้เข้ารับการทดลองนั้น พยายามขัดขืนไม่ยอมออกจากห้อง ทหารรัสเซียคนหนึ่งต้องเสียชีวิตเพราะถูกกัดที่ลำคอจนลูกกระเดือกหลุดออกมา และเส้นเลือดที่ขาของเขาก็ถูกผู้เข้ารับการทดลองคนหนึ่งกัด ถ้าจะนับคนที่อาสามาตายในสัปดาห์นี้ล่ะก็ เรียกได้ว่ามีทหารรัสเซียเสียชีวิตไปถึง 5 นายแล้ว

จู่ ๆ ผู้เข้ารับการทดลองที่รอดชีวิตคนหนึ่งก็เกิดม้ามแตกจนเลือดทะลักออกมาจำนวนมาก เหล่าแพทย์วิจัยพยายามที่จะทำให้เขาสงบลงแต่มันก็ไร้ผล เขาได้รับการฉีดมอร์ฟีนในปริมาณมากกว่าปกติถึง 10 เท่า แต่ก็ยังคงอาละวาดขัดขืนราวกับเป็นสัตว์ป่า จนซี่โครงและแขนของหมอคนหนึ่งถึงกับหัก และเมื่อหัวใจของเขาเต้นอย่างรุนแรงถึงขีดสุด จนเลือดสาดกระเซ็นไปบนอากาศมากกว่าที่จะไหลเวียนอยู่ในกระแสเลือด จนกระทั่งเลือดหมดไปเขาก็ยังคงกรีดร้องและอาละวาดต่ออีกกว่า 3 นาที ทุบตีคนที่อยู่ใกล้ ๆ อีกทั้งยังพูดแต่คำว่า “ขออีก” ซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนน้ำเสียงค่อย ๆ เบาลง และในที่สุดเสียงก็เงียบไป

ผู้เข้ารับการทดลองที่รอดชีวิตทั้ง 3 คนนั้น ต่างถูกควบคุมตัวอย่างเข้มงวดเพื่อส่งตัวไปยังสถานรักษาพยาบาล สองคนที่เหลือนี้ยังมีเสียงอยู่ พวกเขาต่างร้องขอแก๊สเพื่อจะได้ทำให้ตัวเองไม่ต้องหลับอยู่ตลอดเวลา

คนที่บาดเจ็บมากที่สุดได้ถูกนำตัวเข้าห้องผ่าตัด ในระหว่างกระบวนการนำอวัยวะภายในของเขากลับเข้าไปในร่างนั้น ก็พบว่าเขามีอาการต่อต้านยากล่อมประสาทที่แพทย์พยายามจัดในขั้นตอนการเตรียมผ่าตัด โดยเขาได้อาละวาดอย่างหนักทั้ง ๆ ที่ถูกมัดอยู่ จนเมื่อเขาถูกรมแก๊สยาสลบ เขาก็พยายามที่จะแกะสายรัดหนังที่พันธนาการหนากว่า 4 นิ้วจนขาดออก จนต้องใช้กำลังทหารที่มีน้ำหนักกว่า 200 ปอนด์ช่วยกันฉุดไว้ และฉีดยาชาเข้าไปในปริมาณที่มากกว่าปกติเล็กน้อยเพื่อให้เขาสงบลง หนังตาของเขาค่อย ๆ ปิดลงอย่างสั่นเครือจนปิดสนิท และหัวใจของเขาก็หยุดเต้นไป ผลการชันสูตรศพออกมาว่า ผู้เข้ารับการทดลองคนนี้ได้เสียชีวิตบนเตียงผ่าตัดนั่นเอง โดยพบว่าเลือดของเขานั้นมีปริมาณออกซิเจนมากกว่าคนปกติถึง 3 เท่า กล้ามเนื้อของเขาที่ยังคงติดเหลืออยู่กับโครงกระดูกบางส่วนนั้น อยู่ในสภาพแหลกเหลวไปหมด และยังพบว่ามีกระดูกหักถึง 9 แห่งจากการต่อสู้เลยทีเดียว

ผู้รอดชีวิตคนที่ 2 นั้นก็คือคนแรกที่เริ่มกรีดร้องในช่วงการทดลองนั่นเอง กล่องเสียงของเขาถูกทำลายจนไม่สามารถจะพูดขอหรือปฏิเสธการผ่าตัดได้ เขาทำได้เพียงแสดงทีท่าส่ายหัวไปมาในการบอกปฏิเสธ จนเมื่อแก๊สยาสลบถูกนำมาใกล้ ๆ เขาก็ส่ายหัวแสดงความไม่เต็มใจ จนพวกเขาต้องทำการผ่าตัดโดยไม่ใช้ยาสลบแทน เวลาผ่านไป 6 ชั่วโมง กับอาการนิ่งเฉยของเขานั้น กระบวนการผ่าตัดนำอวัยวะภายในกลับเข้าไปในร่างยังดำเนินต่อไป แพทย์ได้พยายามเย็บปิดแผลด้วยเนื้อหนังที่ยังพอมีเหลืออยู่ โดยแพทย์ผ่าตัดพูดซ้ำ ๆ ว่า การรักษานี้น่าจะทำให้ผู้ป่วยมีชีวิตต่อไปได้ พยาบาลที่กำลังช่วยการผ่าตัดอยู่นั้นก็เกิดอาการหลอนขึ้นมา เมื่อเธอสังเกตเห็นที่ปากคนไข้นั้นหันมายิ้มมาให้เธออยู่ตลอด

เมื่อการผ่าตัดจบสิ้นลง ผู้รอดชีวิตคนนี้ก็มองมาที่แพทย์ผ่าตัด และเริ่มส่งเสียงหวีดร้องออกมาอย่างดัง เหมือนกับพยายามจะพูดอะไรบางอย่าง ซึ่งมันอาจจะเป็นเรื่องสำคัญมากก็ได้ ทีมผ่าตัดที่มีปากกาจึงส่งปากกากับกระดาษให้เขาเขียน ซึ่งข้อความนั้นกลับเป็นประโยควลีง่าย ๆ บอกว่า

“ผ่าตัดต่อไป”



ส่วนคนที่เหลืออีก 2 คน ก็ล้วนได้รับการผ่าตัดแบบไม่ใช้ยาสลบเช่นกัน เพียงแต่พวกเขาต้องใช้ยาชาแทน โดยตลอดการผ่าตัดนั้น แพทย์ผ่าตัดแทบจะทำงานไม่ได้เพราะว่าคนไข้ได้หัวเราะอยู่ตลอดเวลา แถมในช่วงที่กำลังผ่าตัดนั้น เหยื่อทดลองก็ยังใช้สายตามองตามแพทย์อยู่ตลอดทั้ง ๆ ที่ฉีดยาชาเข้าไปแล้ว และยาชานั้นก็หมดฤทธิ์ไปอย่างรวดเร็ว ทำให้พวกเขาสามารถพยายามจะดิ้นหนีกันต่อได้อีก ในช่วงที่เขาสามารถจะเริ่มพูดได้นั้น ทั้งสองต่างก็ร้องขอแก๊สกระตุ้นกันทันที ทีมวิจัยเองก็พยายามจะสอบถามพวกเขาว่า ทำไมถึงต้องทำร้ายตัวเองขนาดนั้น ทำไมถึงกล้าทำ และทำไมถึงต้องการจะรับแก๊สกันอีก คนหนึ่งได้ตอบออกมาว่า

“ผมต้องการตื่นต่อไป”

ในเวลาต่อมาทั้งสามถูกพากลับไปยังห้องเดิม เพื่อรอดูว่าจะต้องทำอย่างไรกับพวกเขากันต่อไป ทีมวิจัยต้องเผชิญหน้ากับกองทัพที่ให้การสนับสนุน เพื่อรายงานผลความล้มเหลวของโครงการ และขอกระทำการการุณยฆาตให้แก่ผู้รอดชีวิต แต่ทางผู้บัญชาการและเจ้าหน้าที่พิเศษของเคจีบีนั้น กลับเห็นประโยชน์อะไรบางอย่าง โดยพวกเขาอยากรู้ว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นอีกบ้าง ถ้านำผู้เข้าร่วมการทดลองที่เหลือนี้กลับไปรมแก๊สต่อ โดยทีมวิจัยก็ได้ปฏิเสธไปอย่างแข็งขันแต่มันก็ไม่เป็นผล

การเตรียมห้องทดลองจึงถูกจัดขึ้นมาอีกครั้ง ผู้เข้ารับการทดลองทุกคนถูกต่อเข้ากับเครื่องตรวจวัดคลื่นสมอง และพันธนาการพวกเขาไว้กับเตียงอย่างแน่นหนา ทุกคนที่นั่นล้วนแปลกใจที่ทั้งสามคนกลับไม่มีการต่อต้านเลยเมื่อรู้ว่าตัวเองจะต้องกลับไปถูกรมแก๊สอีก นี่แสดงว่าทั้งสามนั้นรู้สึกดีใจมากที่จะไม่ต้องหลับ คนหนึ่งที่สามารถพูดได้นั้นก็ฮัมเพลงจนเสียงดัง คนที่พูดไม่ได้ก็พยายามสะบัดขาให้หลุดจากที่รัดหนังอย่างแรง ซ้ายทีขวาทีอย่างตั้งอกตั้งใจ อีกคนที่เหลือก็พยายามยกหัวออกจากหมอนและกระพริบตาถี่ยิบ และเมื่อทีมวิจัยตรวจสอบไปที่คลื่นสมอง พวกเขาก็ถึงกับตกตลึงก็เพราะว่า คลื่นสมองของทุกคนกลับดูเป็นปกติมาก และบางครั้งก็กลายเป็นเส้นตรงอย่างไม่น่าเชื่อ ราวกับว่าพวกเขากำลังจะสมองตายแล้วก็สามารถกลับมาเป็นปกติได้ และในขณะที่กำลังตรวจสอบคลื่นสมองในกระดาษรายงานผลอยู่นั้น พยาบาลคนหนึ่งสังเกตเห็นว่าดวงตาของเหยื่อปิดลงพร้อม ๆ กับช่วงที่ศีรษะของเขาฟาดลงไปที่หมอน คลื่นสมองของเขาก็เปลี่ยนเป็นหลับลึกจากนั้นก็กลายเป็นเส้นตรงในตอนท้าย แล้วหัวใจของเขาก็ค่อย ๆ หยุดเต้นไป

คนที่เหลือที่ยังสามารถพูดได้ก็เริ่มกรีดร้อง คลื่นสมองของเขากลายเป็นเส้นตรงเหมือนกับคนที่เพิ่งเสียชีวิต แต่เขาแค่สลบไปเท่านั้น ผู้บัญชาการจึงสั่งให้ทำการปิดตายห้องนั้นเสีย โดยจะปล่อยให้ผู้ร่วมการทดลองสองคนอยู่ในนั้นกับนักวิจัยอีก 3 คนด้วย โดยนักวิจัยหนึ่งในสามคนนั้นก็ได้ชักปืนออกมายิงเข้ากลางแสกหน้าผู้บัญชาการทันที จากนั้นก็หันปืนไปทางเหยื่อทดลองคนที่พูดไม่ได้ แล้วเหนี่ยวไกระเบิดสมองใส่ทันที เขาได้หันปืนไปยังเหยื่อทดลองคนที่เหลือ ซึ่งในขณะนั้นคนอื่น ๆ ในทีมหนีก็ได้วิ่งหนีออกจากห้องจนหมดแล้ว เขาตะคอกเสียงใส่ชายที่ถูกมัดอยู่กับโต๊ะว่า

“ฉันไม่อยากจะถูกขังอยู่ที่นี่กับนายหรอก !!

“แกเป็นอะไรกันแน่ ?” เขาถาม

“ฉันต้องรู้ให้ได้”

เหยื่อทดลองส่งยิ้มตอบมาที่เขาแล้วพูดว่า

“นี่คุณลืมง่ายแบบนี้เลยเหรอ ?”

“พวกเราก็คือพวกคุณนั่นแหละ พวกเราคือความบ้าคลั่งที่ถูกซ่อนอยู่ภายในของพวกคุณทุกคน คอยเฝ้าเพ้อร้องขออิสระกันอยู่ตลอดเวลา จากส่วนลึกของสันดานดิบตัวเอง พวกเราก็คือสิ่งที่พวกคุณซ่อนมันไว้ใต้ที่นอนทุก ๆ คืน พวกเราก็คือพวกคุณที่ซ่อนอยู่ในความเงียบยามที่ขยับตัวไม่ได้ และยามที่พวกคุณได้ขึ้นสวรรค์ มันก็จะเป็นที่ ๆ พวกเรา ไม่มีทางจะได้เหยียบย่างเลย”

นักวิจัยคนนั้นถึงกับอึ้ง จากนั้นก็เล็งปืนเข้าไปที่หัวใจของเหยื่อแล้วก็ยิง คลื่นสมองกลายเป็นเส้นตรง เหยื่อทดลองค่อย ๆ กระอักออกมาว่า

“เกือบ… จะ.. อิสระ..อยู่แล้วเชียว...”

ซึ่งถ้าตอนจบไม่ได้มีประโยคการสนทนาแบบนี้ เราก็คงจะเชื่อกันไปแล้วว่า เรื่องราวนี้คือเรื่องจริง !!


ตอนนี้เป็นที่ทราบกันดีแล้วว่า มันเป็นเรื่องที่ถูกแต่งขึ้นมา เพียงแต่ว่าเรื่องราวนี้มันถูกเผยแพร่ขึ้นมาจริง ๆ ตั้งแต่เมื่อไหร่ ซึ่งมิติที่ 6 จะค่อย ๆ นำท่านผู้ชมมาร่วมค้นหาสิ่งนี้ไปด้วยกันครับ

เรื่องราวการทดลองการอดนอนของรัสเซีย หรือการทดลองการนอนหลับของชาวรัสเซีย ที่มาจากชื่อภาษาอังกฤษว่า "Russian Sleep Experiment" นั้น มีหลักฐานอ้างอิงที่เก่าที่สุดมาจากเวบบล็อกชื่อ "Rip747" บนเวบไซต์เวิร์ดเพรสผู้ให้บริการบล็อกสำหรับเขียนบันทึกเรื่องราวบนอินเตอร์เน็ต เมื่อวันที่ 8 สิงหาคม ค.ศ. 2009 นั่นเอง โดยเนื้อหาในเอ็นทรี่นั้นได้เขียนบอกเอาไว้ว่า เจ้าของบล็อกได้นำเรื่องราวนี้มาจากฟอร์เวิร์ดเมล์ของพี่ชายของเขา
เว็บบล็อก "Rip747" 

ซึ่งต่อมาเรื่องราวดังกล่าวก็ถูกนำไปเผยแพร่ในเวบบอร์ดชุมชนนักเพาะกายชื่อ "bodybuilding.com" ในหมวดเรื่องทั่วไป เมื่อวันที่ 20 สิงหาคม ค.ศ. 2009 โดยสมาชิกชื่อฟาลคอลพันช์ จนเวลาผ่านไป 1 ปี เรื่องราวนี้จึงได้ถูกเขียนลงบนเวบไซต์วิเกีย ครีบปี้พาสต้า ในวันที่ 16 สิงหาคม ค.ศ. 2010 จนในวันที่ 24 พฤศจิกายน ค.ศ. 2011 มันก็ได้ถูกนำไปอ่านลงในคลิปบนเวบไซต์ยูทูป โดยผู้โพสต์ชื่อว่า "MrCreepyPasta" จนมีผู้เข้าชมมากมายกว่าแปดแสนวิว และความคิดเห็นมากกว่าหกพันในช่วงสามปี จนเมื่อวันที่ 26 ตุลาคม ค.ศ. 2012  สมาชิกเวบไซต์เร็ดดิทชื่อ "Griffin23" ก็ได้โพสต์ลิงค์ของเรื่องราวนี้ในหมวด "/r/WTF" ทำให้เขาได้รับการโหวตสูงถึง 1,700 โหวต จนได้เป็นกระทู้ทรงคุณค่าเก็บเข้าคลัง และเมื่อถึงวันที่ 7 มีนาคม ค.ศ. 2013  เรื่องราวนี้จึงได้ถูกสร้างเป็นเวบไซต์แบบหน้าเดียวขึ้นมาในชื่อ "RussianSleepExperiment.com" โดยใช้เนื้อหาจากครีปปี้พาสต้ามาเขียนนั่นเอง ซึ่งปัจจุบันเวบไซต์ดัง
กล่าวได้หมดอายุลงไปเรียบร้อยแล้ว และในวันที่ 28 สิงหาคม ปีเดียวกัน เวบไซต์ "Snops.com" ก็ได้ขึ้นบัญชีเรื่องราวการทดลองการนอนหลับของชาวรัสเซียนี้ให้เป็นเรื่องโกหก โดยวันที่ 1 ตุลาคม ค.ศ. 2013 นั้น  มียูทูปเบอร์ชื่อ "IReadCreepyPastas" ได้อัพโหลดเรื่องราวนี้อีกครั้ง พร้อมกับใช้ภาพประกอบการอ่านเป็นภาพน่ากลัวแบบขาวดำ โดยสามารถทำยอดวิวจากผู้ชมได้มากถึง 11 ล้านวิว และความคิดเห็นมากกว่า 18,000 เลยทีเดียว

 กดเพื่อเข้าดู
กดเพื่อดูที่มาภาพนี้ในเว็บไซต์ Deviant Art
สำหรับภาพที่ถูกอ้างว่าเป็นเหยื่อที่เข้ารับการทดลองด้านบนนั้น แท้ที่จริงแล้วมันถูกนำมาจากตุ๊กตาชื่อว่า Spazm ที่สามารถหาซื้อได้จากเว็บไซต์ eBay ในราคา 119.99 ดอลล่าร์สหรัฐ โดยนำมารีทัชเพื่อใช้ประกอบนิยายเรื่องนี้เท่านั้น


ส่วนในประเทศไทยนั้น เรื่องราวนี้ก็ได้ถูกนำมาเล่าต่อมากมาย โดยหลาย ๆ แห่งก็ได้บอกความจริงไว้ในท้ายเรื่องว่ามันคือเรื่องที่ถูกแต่งขึ้นมา และหลาย ๆ แห่งก็ไม่ได้บอกความจริง ซึ่งก็มีผู้ทำคลิปอ่านเรื่องนี้ออกมามากมาย มีทั้งอ่านไม่จบและบอกไม่หมด จนทำให้ท่านผู้ชมเป็นจำนวนมากต้องเกิดความคลางแคลงใจ เพราะเรื่องราวของมันถ้านำไปเทียบกับการทดลองสุดสยองขวัญที่มิติที่ 6 เคยได้นำเสนอมาก่อนไม่ว่าจะเป็นการทดลองของอเมริกา ญี่ปุ่น หรือเยอรมัน ที่เกิดขึ้นจริงในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 นั้น เรื่องแบบนี้มันก็น่าจะเกิดขึ้นมาจริง ๆ กับรัสเซียก็เป็นได้

แต่ทีนี้เมื่อเรารู้กันแล้วว่า เรื่องราวนี้เป็นเพียงเรื่องที่ถูกแต่งขึ้นมา ทางมิติที่ 6 ก็อยากจะบอกกับท่านผู้ชมทุกท่านว่า เวลาที่มีใครหยิบยกเรื่องราวนี้ขึ้นมาเล่าในวงสนทนา เราก็จงอย่าไปทำอะไรที่จะทำให้การเล่านั้นต้องหยุดชะงักลงไปจะดีกว่านะครับ เพราะว่าความจริงนั้น มันช่างไม่มีสเน่ห์เอาเสียเลย



พบกับรายการมิติที่ 6 ศุกร์สยองขวัญกับเรื่องราวเบา ๆ จากพวกเราทุกวันศุกร์สะดวก ที่จะพาท่านผู้ชมไปพบกับเรื่องราวน่ากลัวสุดสยองขวัญพร้อมกับที่มาของเรื่องราวกันได้ทุกสัปดาห์นะครับ หลังจากอ่านจบแล้ว อย่าลืมกดไลค์ กดแชร์ และทิ้งคอมเม้นท์กันไว้นะครับ

แปลและเรียบเรียงโดย นิวัฒน์ อ่ำแสง
ที่มา
http://polyfresh.tumblr.com/post/348510379/russian-sleep-experiment
http://rohitbandaru.wordpress.com/the-russian-sleep-experiment/
http://rpgaming.prophpbb.com/topic4282.html
http://www.streetfighters.com.au/forum/topic.asp?TOPIC_ID=19496
http://kajina.deviantart.com/journal/29029762/
http://www.snopes.com/horrors/ghosts/russiansleep.asp
http://www.russiansleepexperiment.com/
http://forum.bodybuilding.com/showthread.php?t=118548141
http://rip747.wordpress.com/2009/08/08/russian-sleep-experiment-the-best-short-story-ive-read/
http://www.google.com/trends/explore?hl=en-US#q=russian+sleep+experiment
https://youtu.be/T1EW4r6Kiiw
https://youtu.be/MEwbfnCpKA4
http://knowyourmeme.com/memes/russian-sleep-experiment
Wikia Creepypasta : http://goo.gl/b5QGY
Reddit : https://goo.gl/y59Pdm

15 มิถุนายน 2559

มิติที่ 6 ซากศพลึกลับปริศนา ที่สามารถหาคำตอบได้แล้ว

หลายครั้งหลายหนที่เราเปิดเวบไซต์อ่านข่าวเรื่องราวปริศนาลึกลับ ก็มักจะพบกับเรื่องราวมากมายถูกรายงานข่าวออกมาอย่างครึ่ง ๆ กลาง ๆ โดยหลายเรื่องนั้นก็มักจะทำให้เรารู้สึกสงสัยกันต่อว่ามันเป็นเรื่องจริงหรือไม่ ? แล้วเรื่องราวเหล่านั้น ได้มีใครพยายามพิสูจน์จนถึงที่สุดแล้วหรือยัง ?


มิติที่ 6 สัปดาห์นี้ เราจะพาท่านไปพบกับเรื่องราวซากศพสัตว์ประหลาดลึกลับ ที่เคยทราบกันมาก็เป็นเพียงเรื่องราวในครึ่งแรก จนทำให้เราต้องตามหาเรื่องราวในครึ่งหลังว่า แท้ที่จริงแล้วซากศพปริศนาเหล่านั้นมันคืออะไรกันแน่ !!


โดยเรื่องราวที่มิติที่ 6 จะขอเล่านั้น มิได้มีเจตนาที่จะทำลายความเชื่อส่วนบุคคลของผู้ใด เราเพียงต้องการนำเสนอเรื่องราวที่ถูกถ่ายทอดมาเพื่อให้ได้รับทราบความจริงมากที่สุดเท่านั้น ซึ่งการนำเสนอครั้งนี้ หากสร้างความไม่พอใจให้กับท่านผู้ชมท่านใด ทางทีมงานมิติที่ 6 กราบขออภัยมา ณ ที่นี้


มัมมี่เจ้าหญิงแห่งเปอร์เซีย


เมื่อวันที่ 19 ตุลาคม ค.ศ. 2000  เจ้าหน้าที่ในเมืองบาโลคิสถาน ประเทศปากีสถาน ได้รับวิดีโอเทปม้วนหนึ่งมาจากนายอาลี อัคบาร์ โดยในวีดีโอเทปม้วนนี้ได้ปรากฎภาพของมัมมี่โบราณที่อาลีอ้างว่า เขาพบมัมมี่ร่างนี้จากตลาดมืดค้าวัตถุโบราณ โดยมันถูกขายในราคา 20 ล้านดอลล่าห์ ซึ่งหลังจากได้ข้อมูลดังกล่าว เจ้าหน้าที่ตำรวจก็ได้ส่งกำลังไปยังพื้นที่หมู่บ้านของนายวาลี มูฮัมหมัดรีกี้ ที่อยู่ในเมืองคารานใกล้ชายแดนของอัฟกานิสถานนั่นเอง จากการสอบสวนนายมูฮัมหมัดนั้น เขาได้บอกกับเจ้าหน้าที่ตำรวจว่า เขาได้ซื้อมัมมีร่างนี้มาจากชาวอิหร่านชื่อ "ชารีฟ ชฮาร์ บากี" โดยเขาพบร่างมัมมี่นี้หลังจากเหตุแผ่นดินไหวในเมืองกัตต้า

โดยในงานแถลงข่าววันที่ 26 ตุลาคม ค.ศ. 2000  นั้น มีนักโบราณคดีจากกรุงอิสลามาบัดของมหาวิทยาลัยเกวดอีอะแซม ได้ประกาศกับสื่อว่า มัมมี่ดังกล่าวนี้คือร่างของเจ้าหญิงองค์หนึ่งที่เสียชีวิตมาแล้วกว่า 2,600 ปี

ซึ่งมัมมี่ร่างนี้ถูกบรรจุอยู่ในโลงที่ลงรักปิดทองเป็นอย่างดี มีอักษรคูนีฟอร์มสลักอยู่บนแผ่นอก บรรจุอยู่ในโลงหินอีกชั้น โดยศพถูกทำเป็นมัมมี่ด้วยกรรมวิธีอาบด้วยขี้ผึ้งลงบนตัวศพ ซึ่งเจ้าหญิงมีพระนามว่า "โรดูกูเน่แห่งเปอร์เซีย" ทำให้เรื่องนี้กลายเป็นการค้นพบครั้งสำคัญเลยทีเดียว เพราะตลอดมานั้นยังไม่มีใครพบกับมัมมี่ในเปอร์เซียมาก่อน ทั้งกระบวนการทำให้ศพเป็นมัมมี่นั้นก็ไม่เหมือนกับของอียิปต์เลย ซึ่งหลังจากการตรวจสอบจบลง ทางรัฐบาลของอิหร่านกับปากีสถานถึงกับต้องทะเลาะกันเพื่อแย่งกรรมสิทธิ์ในความเป็นเจ้าของมัมมี่ร่างนี้กันเลยทีเดียว

ด้วยเรื่องราวของมัมมี่เจ้าหญิงแห่งเปอร์เซียร่างนี้ ทำให้มีนักโบราณคดีมากมายพยายามสืบหาประวัติความเป็นมาของเธอ ซึ่งในที่สุดพวกเขาก็พบกับความผิดปกติบางอย่างบนตัวอักษรคูนิฟอร์มที่สลักอยู่บนแผ่นอกของมัมมี่ร่างนี้ สิ่งนั้นก็คือการใช้ไวยากรณ์ที่ผิดจากภาษาจริง ๆ จึงทำให้เกิดการนำมัมมี่ไปเอ็กซเรย์หาเบาะแสเพิ่มเติม โดย "ศาสตราจารย์อาเม็ด ดานี่" จากปากีสถาน ได้พยายามตรวจสอบวัตถุที่ติดมากับมัมมี่ก็พบว่า มันไม่ได้มีอายุเก่าแก่แต่อย่างใดเลย

นายอิบราฮิมก็ได้ข้อสรุปออกมาว่า มัมมี่เจ้าหญิงแห่งเปอร์เซียร์ร่างนี้ แท้ที่จริงแล้วเป็นร่างของหญิงสาวอายุประมาณ 21 - 25 ปี ที่เสียชีวิตไปเมื่อปี ค.ศ. 1996 นี่เอง โดยเธอถูกสังหารด้วยของแข็งบางอย่างที่บริเวณลำคอ

ในที่สุดเมื่อวันที่ 5 สิงหาคม ค.ศ. 2005  ก็ได้มีการประกาศว่าศพของเธอนั้น สมควรที่จะได้รับการทำพิธีฝังศพอย่างถูกต้อง แต่ว่าพอเอาเข้าจริง ๆ เวลาได้ล่วงเลยมาจนถึงปี ค.ศ. 2011  ศพของเธอก็ยังไม่ได้รับการทำพิธีแต่อย่างใด เนื่องจากความล่าช้าของระบบราชการที่หมดความสนใจในมัมมี่ร่างนี้ไปแล้วนั่นเอง


ชีลีนบล็อบ



ในเดือนกรกฎาคมของปี ค.ศ. 2003  มีการพบร่างเน่าเปื่อยของสัตว์ประหลาดยักษ์สีเทาบนชายหาดพินุโน่ ในลอสมัวมอสของประเทศชิลี โดยซากของมันมีขนาดกว้าง 5.8 เมตร ยาว 12.5 เมตร ซึ่งการค้นพบซากของมันในครั้งนี้ กลายเป็นข่าวใหญ่ขึ้นมาเพราะนักชีววิทยานั้น ไม่สามารถจะระบุได้ว่ามันคือตัวอะไรกันแน่ มีการคาดเดากันไปว่า เจ้าซากนี้มันอาจจะเป็นสัตว์ทะเลสายพันธุ์ปลาหมึกยักษ์ที่ไม่เคยมีใครพบมาก่อน ซึ่งต่อมาซากของมันก็ถูกทำลายจากสารฟอร์มาดีไฮด์โดยไม่ได้ตั้งใจ ในช่วงทำการทดลองหาที่มาของมันนั่นเอง

พอมาถึงเดือนมิถุนายน ค.ศ. 2004  ก็ได้มีการรายงานว่า พวกเขาสามารถสืบหาที่มาของซากนี้ได้จากดีเอ็นเอที่เหลืออยู่ ซึ่งพวกเขาก็พบว่าแท้ทีจริงแล้ว มันคือเสปิร์มของวาฬที่พ่นออกมา ซึ่งในวาฬที่โตเต็มที่นั้นจะสามารถพ่นเสปิร์มออกมาได้ขนาดใหญ่มากถึงกว่า 20.5 เมตร และมีน้ำหนักกว่า 57,000 กิโลกรัมเลยทีเดียว


ทรุนโก้


เมื่อวันที่ 25 ตุลาคม ค.ศ. 1924  มีผู้คนแถวชายหาดควาซูลูนาทาล เมืองมาเกท ประเทศอาฟริกาใต้ ได้เห็นการต่อสู้กันในทะเลระหว่างสัตว์ยักษ์ตัวหนึ่งเป็นสัตว์ทะเลสีขาวกับวาฬสองตัว ซึ่งหนึ่งในผู้เห็นเหตุการณ์ชื่อ "ฮิวจ์ บาลานซ์" บอกว่า เจ้าสัตว์ตัวนั้นมันดูคล้าย ๆ กับหมีขั้วโลกขนาดยักษ์ โดยมันใช้หางที่มีรูปร่างเหมือนหางกุ้งร็อบสเตอร์ ฟาดใส่พวกวาฬก่อนจะหนีหายไป ซึ่งระหว่างการต่อสู้นั้น มันได้กระโดดขึ้นมาเหนือน้ำสูงกว่า 6 เมตร โดยการต่อสู้ครั้งนี้กินเวลายาวนานกว่า 3 ชั่วโมง แล้วในคืนนั้นเอง ก็มีชิ้นส่วนของสัตว์ทะเลตัวนั้นลอยมาเกยฝั่ง โดยซากของมันนั้นกลับไม่มีเลือดใด ๆ ติดมาเลย

ชิ้นส่วนของเจ้าสัตว์ทะเลลึกลับนี้ไม่มีส่วนหัว รูปร่างคล้ายกับงวงช้างยาวประมาณเมตรครึ่ง กว้างประมาณ 40 เซ็นติเมตร ซึ่งภายหลังได้มีการตั้งชื่อเจ้าชิ้นส่วนนี้ว่า "ทรุนโก้" โดยตลอด 10 วันนั้น กลับไม่มีนักวิทยาศาสตร์แขนงใดมาตรวจสอบเจ้าซากนี้เลย จนสุดท้ายคลื่นชายฝั่งก็ดูดมันหายกลับไปในท้องทะเล โดยเหตุการณ์นี้ได้ถูกเผยแพร่ทางหนังสือพิมพ์ของลอนดอนในวันที่ 27 ธันวาคม พาดหัวข่าวว่า มันเป็นปลาที่มีรูปร่างคล้ายหมีขั้วโลก และเมื่อเวลาผ่านมาจนถึงเดือนกันยายนของปี ค.ศ. 2010  นักชีวลึกลับวิทยาชาวเยอรมันชื่อว่า "มาคัส เฮมมเลอร์" ก็ได้พยายามค้นหาภาพต่าง ๆ ของเจ้าทรุนโก้ตัวนี้จากแหล่งต่าง ๆ ในที่สุดเขาได้ก็พบกับภาพของมันที่มีลักษณะเป็นสัตว์ใหญ่สีขาว ที่เคยลอยมาติดชายหาดเมื่อปี ค.ศ. 1924 ตัวนี้

ผู้คนมากมายต่างก็พยายามจะระบุให้ได้ว่าเจ้าซากลึกลับนั้นมันคืออะไรกันแน่ ซึ่งแท้ที่จริงแล้วก็มีคำอธิบายที่สมเหตุผลมากที่สุดก็คือ เจ้าทรุนโก้นั้นน่าจะเป็นวาฬขนาดใหญ่ ไม่ก็ปลาฉลามบาสกิ้น หรือไม่ก็ฉลามวาฬ และที่ดูเป็นสีขาวนั้นก็เป็นเพราะการสะท้อนแสงของน้ำมากกว่า และก็อาจเป็นไปได้ว่าเจ้าทรุนโก้นั้น อาจจะเป็นวาฬสายพันธุ์ใหม่ก็ได้ หรือไม่ก็เป็นสิงโตทะเลพันธ์ุไหนสักพันธุ์ ไม่ก็แมวน้ำ และหนึ่งในคำอธิบายที่น่าเชื่อถือก็คือ เจ้าซากลึกลับนั้นอาจเป็นช้างน้ำเผือกที่มีลักษณะใกล้เคียงคำบอกเล่าของพยานในที่เกิดเหตุมากที่สุด

และในปี ค.ศ. 2010  หลังจากที่ภาพเจ้าทรุนโก้ถูกเผยแพร่ออกไปนั้น ก็มีการสันนิษฐานว่ามันอาจจะเป็นสเปิร์มของวาฬก็ได้เช่นกัน ไม่ก็เป็นแค่ก้อนไขมันของวาฬที่หลุดออกมาจากร่างของมันที่เน่าเปื่อยก็เป็นได้



สัตว์ประหลาดคิตเชนูเมกูสิบ



เมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม ค.ศ. 2010  มีผู้หญิงสองคนกำลังเดินเล่นคุยกันอยู่แถวทะเลสาปบิ๊กเทร้าท์ ในแถบตะวันตกเฉียงเหนือของออนตารีโอ้ประเทศคานาดา ทั้งสองตกตะลึงเมื่อเจ้าสุนัขของพวกเธอไปดึงซากศพของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมขนาดเล็กที่มีความยาวประมาณ 1 ฟุต มาจากไหนก็ไม่รู้ ทั้งสองจึงตัดสินใจถ่ายภาพของมันเอาไว้ โดยในภาพนั้นดูเหมือนกับสัตว์ประหลาดอะไรบางอย่าง ก่อนที่ทั้งคู่จะตัดสินใจรีบออกจากพื้นที่นั้น

ซึ่งหลังจากตรวจสอบภาพดังกล่าวก็พบว่า มันเป็นภาพของซากสัตว์อะไรบางอย่าง ที่ดูคล้ายหนูไม่ก็ตัวนาก แต่ลักษณะมันก็แปลกประหลาดอยู่ดี โดยเมื่อเวลาผ่านไปอีกหลายวันหญิงสาวทั้งสองก็ได้กลับไปดูที่เกิดเหตุอีกครั้ง พวกเขาก็พบว่าตอนนี้มันได้หายไปแล้ว ซึ่งต่อมาเรื่องราวนี้ก็ไปถึงนักข่าว ทำให้การพบซากสัตว์ประหลาดนี้ได้ถูกกล่าวขานออกไปเป็นวงกว้างเลยทีเดียว

โดยข่าวที่ถูกเขียนออกไปนั้น บ้างก็บอกว่ามันเหมือนกับเจ้าตัวคิทเชนูเมกูสิบ ไม่ก็เจ้าตัวโอมาจินาอากูส์ ที่แปลว่าเจ้าตัวน่าเกลียด ซึ่งเป็นสัตว์ในนิทานของชาวพื้นเมืองในแคนนาดานั่นเอง ว่ากันว่าเจ้าตัวโอมาจินาอากูส์นั้น เป็นสัตว์ในเรื่องเล่าที่มีตัวตนจริงแต่ไม่เคยมีใครพบมาก่อน จนกระทั่งสองสาวนี้ได้พบและถ่ายภาพเก็บเอาไว้

แต่นักวิเคราะห์ที่ได้เห็นภาพถ่ายของมัน กลับบอกว่าแท้ที่จริงแล้วหน้าตามันค่อนข้างจะเหมือนกับตัวมิงค์อเมริกันมากกว่า แต่สาเหตุที่ใบหน้าของมันไม่มีขนและดูน่ากลัวแบบนั้นก็เพราะว่ามันตายจนเนื้อเริ่มเน่า ทำให้ขนหลุดออกจากบริเวณหน้าเท่านั้นเอง


คดี "ทาแมนชูด"

เมื่อวันที่ 1 ธันวาคม ค.ศ. 1948  มีการพบศพชายนิรนามคนหนึ่งนั่งเกยโขดหินบนชายหาดโซเมอร์ตั้น ใน เมืองเอเดเลดประเทศออสเตรเลีย โดยผลการชันสูตรศพนั้น สามารถพิสูจน์ได้เพียงว่าชายคนนี้เป็นชาวอังกฤษ อายุประมาณ 40 - 45 ปี สูง 180 เซ็นติเมตร โดยศพนั้นสวมเสื้อเชิ้ตสีขาวผูกเนคไทใส่กางเกงขายาวสีน้ำตาล สวมถุงเท้ารองเท้า และยังพบเสื้อโค้ตแบบกระดุมสองแถวสีน้ำตาลใกล้ ๆ ศพ ซึ่งเครื่องแต่งกายทั้งหมดดูค่อนข้างจะมีราคา แต่ปรากฎว่าตรายี่ห้อต่าง ๆ ที่ควรจะพบอยู่บนเครื่องแต่งกายนั้น กลับถูกดึงออกไปทั้งหมด ในส่วนรูปลักษณ์ของเขาก็ดูเป็นคนสะอาดใบหน้าเกลี้ยงเกลา ที่บริเวณใบหูของเขาก็พบคราบควันบุหรี่และเศษบุหรี่ครึ่งมวนอยู่แถวไหล่ด้านขวาของเสื้อแจ็คเก็ต

เศษกระดาษที่พบในที่เกิดเหตุ

นอกจากเจ้าหน้าที่ชันสูตรจะไม่สามารถระบุตัวตนของเขาได้แล้ว ก็ยังพบว่าอวัยวะภายในของเขาค่อนข้างจะมีขนาดผิดปกติ ซึ่งในระหว่างการตรวจสอบนั้น พวกเขาก็พบแผ่นกระดาษชิ้นเล็ก ๆ ถูกตัดไว้อย่างปราณีต ม้วนสอดเก็บไว้ในกระเป๋าลับของกางเกงผู้ตายพิมพ์อักษรว่า “ทาแมนชูด” ซึ่งน่าจะแปลว่า “จุดจบ” โดยเป็นคำที่จะพบได้ในหน้าสุดท้ายของบทกวีรูไบยัตแห่งโอมาคายาม ซึ่งบทกวีนี้จะมีเนื้อหาเกี่ยวกับการใช้ชีวิตให้เต็มที่จนวาระสุดท้าย และยังพบกับเศษกระดาษอีกแผ่นที่เขียนโค้ดลับไว้อีกชุด ซึ่งไม่มีใครสามารถตีความรหัสเหล่านั้นได้ โดยมีการวิเคราะห์ไว้ว่า ตัวอักษรดังกล่าวน่าจะเป็นโค้ดเชาวเลขที่มีเพียงเจ้าของข้อความเท่านั้นจะสามารถเข้าใจข้อความนั้นได้
สุดท้ายตำรวจออสเตรเลียจึงได้ตัดสินใจดองศพลึกลับนี้ไว้ตั้งแต่วันที่ 10 ธันวาคม ค.ศ. 1948  ทำให้เป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องราวการพบศพลึกลับที่ถูกเผยแพร่ไปทั่วโลก

ต่อมาหลังจากข่าวการค้นพบกระดาษโน้ตดังกล่าวถูกแพร่กระจายออกไป ก็มีชายคนหนึ่งได้เฉลยเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า เขาพบที่มาของมันจากกวีรูไบยัต ที่แปลโดยเอ็ดเวิร์ด ฟิทซ์เจอราลด์ โดยบทกวีเล่มนั้นมันตกอยู่ในรถของเขา ที่จอดอยู่ในเกลเนลก์ คืนวันที่ 30 พฤศจิกายน ค.ศ. 1948  โดยหน้าสุดท้ายนั้นพบว่ามีส่วนที่ถูกตัดออกไป นั่นก็คือส่วนที่พิมพ์ไว้ว่า “ทาแมนชูด” นั่นเอง และยังพบอีกว่าในหนังสือเล่มนั้นมีเบอร์โทรศัพท์ของอดีตนางพยาบาลคนหนึ่งอยู่ด้วย เมื่อตรวจสอบกับพยาบาลคนดังกล่าวเธอกลับยืนยันว่าไม่เคยรู้จักกับชายคนนี้มาก่อน 

เมื่อเรื่องนี้ถูกทำเป็นสารคดีในโทรทัศน์ รายการดังกล่าวได้เรียกพยาบาลคนนี้ว่า "เจสติน" ซึ่งน่าจะเป็นเพียงชื่อที่ตั้งขึ้นเพื่อใช้เรียกในรายการ โดยชื่อนี้มาจากหน้าแรกของหนังสือบทกวีดังกล่าวเท่านั้น โดยการสืบสวนก็ต้องหยุดชะงักไปอีกครั้ง เมื่อพบว่าเจสตินได้เสียชีวิตไปในปี ค.ศ. 2007 ที่ผ่านมา ทำให้ต่อมาในปี ค.ศ. 2009  ภาพของชายที่เสียชีวิตคนนี้จึงถูกเรียกชื่อตามสถานที่พบศพนั่นก็คือ "เดอะโซเมอตันแมนแห่งครอบครัวเจสติน"


ลิวบา



ในเดือนมีนาคม ค.ศ. 2007  นักล่ากวางเรนเดียร์ชื่อว่า "ยูริ คูดี้" ได้พบซากแช่แข็งของช้างแมมมอธขนยาวจากแถบอาร์คติกยามาล เมืองเพนนินซูล่าของประเทศรัสเซีย ซึ่งต่อมาซากช้างแมมมอธตัวนี้ก็ได้ถูกตั้งชื่อว่า "ลิวบา" โดยซากของมันมีน้ำหนักประมาณ 50 กิโลกรัม และส่วนสูง 85 เซนติเมตร คาดกันว่าเจ้าแมมมอธตัวนี้น่าจะมีอายุประมาณหนึ่งเดือน และเสียชีวิตไปเมื่อ 42,000 ปีก่อน โดยร่างของมัน ถือว่าเป็นซากแมมมอธที่ค่อนข้างจะสมบูรณ์ที่สุดเท่าที่มีการพบสัตว์ชนิดนี้

ต่อมานักวิทยาศาสตร์ได้ตรวจพบว่าช้างแมมมอธตัวนี้ ยังมีคราบของนมแม่ของมันอยู่ในกระเพาะอาหาร และยังพบอุจจาระตกค้างในลำไส้ใหญ่อีกด้วย และยังพบอีกว่าลักษณะของมันเหมือนกับช้างในยุคปัจจุบันที่มีลักษณะของอุจจาระเหมือน ๆ กัน โดยสามารถระบุได้ว่าเจ้าลิวบาน่าจะเสียชีวิตในสถานที่ ๆ ค่อนข้างอุดมสมบูรณ์ และคาดว่ามันน่าจะเสียชีวิตจากการพลัดตกลงไปในบ่อโคลนดูด จึงทำให้สภาพของซากเจ้าลิวบ้าค่อนข้างจะสมบูรณ์

ต่อมานักวิทยาศาสตร์ทั่วโลกก็ได้พบกับความทึ่งอีกครั้งหนึ่ง เมื่อพวกเขาได้พบกับผลการทดสอบจากฟันของมัน โดยผลนั้นก็คือการประมาณอายุของซากที่แท้จริงนั่นเอง โดยผลแจ้งออกมาว่าซากนี้น่าจะมีอายุที่แท้จริงคือ 10,000 ปี ไม่ใช่ 42,000 ปี ตามที่คาดกันไว้ในตอนแรก และนักวิทยาศาสตร์ญี่ปุ่นก็พยายามจะสกัดเอาดีเอ็นเอของมันมาเพื่อทำการโคลนนิ่งเจ้าลิวบาให้เกิดใหม่อีกครั้ง โดยหวังจะได้ค้นคว้าในสิ่งที่ยังไม่รู้จากแมมมอธขนยาวชนิดนี้อย่างละเอียดต่อไปในอนาคต


สัตว์ประหลาด "มอนท็อก"



เจ้ามอนท็อกเป็นข่าวขึ้นมาหลังจากที่มีผู้พบซากของมัน ลอยมาติดอยู่ที่ชายหาดใกล้ย่านธุรกิจมอนท็อกของกรุงนิวยอร์ก ในช่วงเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 2008  โดยผู้พบก็คือ "เจนน่า ฮิววิท" อายุ 26 ปี ซึ่งเรื่องราวการค้นพบของฮิววิทนั้น ได้ถูกเผยแพร่ผ่านหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นในเมืองอิสต์แฮมตั้น ที่ ๆ เธออาศัยอยู่นั่นเอง

เนื้อหาข่าวนั้น พูดถึงสัตว์ประหลาดจากท้องทะเล ไม่ก็สัตว์ทดลองกลายพันธุ์ที่หลุดมาจากศูนย์ทดลองในเกาะพลัม และก็ได้อ้างอิงถึงลาร์รี่ เพ็นนี ผู้อำนวยการฝ่ายธรรมชาติวิทยาแห่งอิสต์แฮมตั้น ที่บอกว่าซากนี้มันอาจจะเป็นเพียงตัวแร็คคูนที่ถูกปลาฉลามทำร้ายมากกว่า

โดยหลังจากภาพถ่ายของเจ้ามอนท็อกที่ถูกถ่ายโดยฮิววิทออกเผยแพร่ทางสื่อนั้น ซากของมันก็ได้หายไป และภาพถ่ายของมันก็ถูกอัพโหลดไปทางเวบไซต์ในอินเตอร์เน็ตอย่างรวดเร็ว โดยเนื้อหาของข่าวก็เริ่มจะถูกดัดแปลงไปเรื่อย ๆ บ้างก็บอกว่าเป็นภาพที่ถูกถ่ายโดยหญิงสาวไม่ทราบชื่อ กล่าวว่าขนาดของมันเท่า ๆ กับแมวบ้าน บางคนก็บอกว่ามันคือเต่าทะเล ทั้งที่จริง ๆ แล้วก็ไม่ได้เป็นแบบนั้นเลย เพราะร่างของเต่านั้นไม่สามารถถอดตัวเองออกมาจากกระดองในลักษณะนั้นได้ บางคนก็บอกว่ามันคือหนูน้ำ บ้างก็บอกว่าเป็นสุนัข ไม่ก็สุนัขโคโยตี้ที่ขนหลุดร่วงเพราะเริ่มอืด

อย่างไรก็ตามนักสัตว์วิทยาที่ชื่อ "ดาเรน เนช" ได้พยายามวิเคราะห์ภาพดังกล่าวแล้วก็สามารถระบุได้ว่า แท้ที่จริงแล้วมันก็คือตัวแรคคูน โดยในวันที่ 14 มีนาคม ค.ศ. 2011 นั้น รายการเนชั่นแนลจีโอกราฟฟิคได้ออกอากาศเกี่ยวกับเจ้าสัตว์ประหลาดตัวนี้ โดยเฉลยในตอนท้ายเช่นกันว่า แท้ที่จริงแล้วมันคือตัวแรคคูนนั่นเอง


ซากสัตว์ประหลาดของ "ซุยโยมารุ"



เมื่อวันที่ 25 เมษายน ค.ศ. 1977  มีเรือประมงอวนลากชื่อ "ซุยโย มารุ" ที่กำลังหาปลาอยู่ทางตะวันออกของไครซ์เชิร์ทในประเทศนิวซีแลนด์ อยู่ดี ๆ ลูกเรือก็รู้สึกได้ถึงความผิดปกติของอวนที่กำลังดักจับปลาอยู่ใต้ทะเลลึกกว่า 300 เมตร เมื่อทุกคนได้พยายามช่วยกันกู้อวนขึ้นมา พวกเขาก็ได้พบกับสัตว์ประหลาดที่กลิ่นค่อนข้างเหม็นมาก โดยซากสัตว์ประหลาดนี้มีน้ำหนักกว่า 1,800 กิโลกรัม ตัวยาวประมาณ 10 เมตร คอยาวถึงเมตรครี่ง มีครีบสีแดงและหางยาวกว่าสองเมตร โดยในรายงานต้นฉบับนั้นพบว่าครีบหลังของมันมีลักษณะขาดออก และไม่พบอวัยวะภายในเลย

หลังจากการค้นพบนี้ลูกเรือของซุยโยมารุต่างก็มั่นใจว่า มันคือสัตว์ลึกลับใต้ทะเลลึกที่ไม่มีใครเคยพบมาก่อนอย่างแน่นอน ซึ่งนายอากีระ ทานากะ กัปตันเรือก็ได้ตัดสินใจทิ้งซากนี้กลับลงสู่ทะเล โดยก่อนที่จะทิ้งไป พวกเขาก็ได้ถ่ายภาพของมันเอาไว้ด้วย ซึ่งหลังจากรูปภาพนั้นไปถึงมือหนังสือพิมพ์ของญี่ปุ่น มันก็ได้กลายเป็นข่าวใหญ่ในทันที โดยชาวญี่ปุ่นได้วิเคราะห์กันว่า ซากประหลาดนี้มันน่าจะเป็นตัวเพลซิโอซอร์ที่บ้าคลั่งไหว้น้ำข้ามทะเลมา ต่อมาศาสตราจารย์โทคิโอะ ชิมากะ จากมหาวิทยาลัยโยโกฮาม่า ก็ได้ออกมายืนยันว่าเป็นตัวเพลซิโอซอร์เช่นกัน

ต่อมาในวันที่ 25 กรกฎาคม ค.ศ. 1977  บริษัทไทโยฟิชได้ออกมาพูดถึงรายงานจากเนื้อเยื่อของเจ้าสัตว์ประหลาดนี้ โดยบอกว่าลักษณะของมันนั้นค่อนข้างจะคล้ายกับสัตว์ทะเลมีครีบอย่างฉลามบาสกิ้น ซึ่งเป็นสัตว์น้ำขนาดใหญ่เป็นอันดับสองในท้องทะเล ซึ่งพวกมันสามารถเติบโตได้ถึงกว่า 9 เมตร และสามารถดำน้ำได้ลึกกว่า 12 เมตร ซึ่งโดยปกติหลังจากฉลามชนิดนี้ตาย ซากของมันมักจะถูกพบในสภาพหัวด้านล่างหลุดหายไป ซึ่งดู ๆ ไปจากซากการตายแบบนั้น ก็อาจจะทำให้ดูเหมือนตัวเพลซิโอซอร์ได้เช่นกัน


มัมมี่แห่งภูเขาซานเปรโดร


ในช่วงเดือนตุลาคม ค.ศ. 1932  นักขุดแร่สองคนชื่อว่า "เซซิล เมนย์" และ "แฟร็งค์ คาร์" ได้ค้นพบห้องลับใต้ดินในช่วงที่กำลังจะทำการระเบิดเหมืองทองในภูเขาซานเปรโด  ที่อยู่ห่างไป 60 ไมล์ จากทางใต้ของแคสเปอร์ไวโอมิ่ง

โดยห้องลับนั้นมีขนาดกว้างและยาวประมาณ 1.2 เมตร และมีด้านลึกเข้าไปประมาณ 4.57 เมตร หลังจากที่เข้าไปในห้องนั้น เขาทั้งสองก็พบกับศพของชายร่างเล็กที่กลายเป็นมัมมี่ มีน้ำหนักประมาณ 12 ออนส์ โดยซากของเขานั้นอยู่ในท่านั่งขัดสมาธิตั้งฉากอยู่กับพื้น โดยตัวมัมมี่นั้นมีขนาดสูงประมาณ 7 นิ้ว ในท่านั่ง และน่าจะสูงประมาณ 14 นิ้ว หากอยู่ในท่ายืน มีลักษณะผิวเป็นสีน้ำตาลและยับย่น บริเวณศีรษะบิดเบี้ยวและนัยน์ตาที่ปูดโปนออกมา มีปากที่กว้างแต่ริมฝีปากไม่หนามากนัก

โดยมัมมี่นี้อยู่ในสภาพที่ค่อนข้างจะสมบูรณ์ แม้กระทั่งเล็บก็ยังคงมองเห็นได้ชัดเจน ในส่วนของศีรษะนั้นค่อนข้างจะมีสีคล้ำจนมองไม่ชัด และทั่วร่างก็ดูเหมือนจะอาบน้ำยาบางอย่างเคลือบศพอยู่ หลังจากการค้นพบซากมัมมี่นี้ก็ได้ถูกตั้งชื่อว่า "มัมมี่แห่งเปรโด"

ต่อมานักวิทยาศาสตร์จากทั่วประเทศได้เดินทางมาร่วมตรวจสอบกันยกใหญ่ จนในปี ค.ศ. 1950  ก็มีผลการเอ็กซเรย์ออกมา โดยรายงานบอกว่าภายในร่างกายนั้นมีกระดูกคล้ายกับกระดูกมนุษย์ และมีกระดูกหักในบางแห่ง รวมไปถึงบริเวณกระดูกคอและกระดูกสันหลังด้วย ซึ่งจุดนี้น่าจะเป็นสาเหตุให้บนศีรษะของมัมมี่นั้น เต็มไปด้วยคราบเลือดจนดูเป็นสีดำคล้ำนั่นเอง ซึ่งหมายความว่ามัมมี่ร่างนี้น่าจะถูกฆ่าตายอย่างทารุณ

ซากมัมมี่นี้ได้ถูกตรวจสอบโดย "ดร. เฮ็นรี่ แชพิโร่" นักชีวมนุษย์วิทยาจากพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์แห่งชาติอเมริกา ซึ่งเขาได้ศึกษาผ่านระบบเอ็กซเรย์ เชื่อว่าร่างมัมมี่นี้เป็นชายอายุประมาณ 65 ปี ก่อนที่จะเสียชีวิต โดยในปากมีเขี้ยวขนาดใหญ่ราวกับว่าเป็นพวกแวมไพร์ โดยทางมหาวิทยาลัยฮาวาร์ดเองก็ได้ยืนยันเรื่องนี้ด้วยเช่นกัน

อย่างไรก็ดีเมื่อเวลาผ่านไปสามสิบปี ดร. จอร์จ จิลนักมานุษยวิทยานิติศาสตร์ ก็ได้เสนออีกทฤษฎีขึ้นมา โดยเขารู้สึกว่าร่างนี้น่าจะเป็นร่างของทารกชาวอินเดีย ซึ่งหลังจากที่มัมมี่ร่างนี้ถูกพบแรก ๆ ในสมัยนั้น ก็มีการพบร่างลักษณะนี้อีกในบริเวณใกล้ ๆ กัน ซึ่งมันคือร่างของมัมมี่ผู้หญิงที่มีความสูงเพียง 4 นิ้ว เท่านั้น


โดยชาวอเมริกันพื้นเมืองได้บอกเล่าเรื่องราวตำนานเกี่ยวกับมนุษย์ตัวเล็ก ซึ่งเป็นเรื่องราวที่ถูกเล่าปากต่อปากกันในเผ่าอาราปาโฮ เผ่าสิอ็อก เผ่าเชเยน และเผ่าครอว์ ได้พูดถึงสิ่งมีชีวิตลักษณะเหมือนมนุษย์ตัวเล็กที่มีขนาดเพียง 20 นิ้ว ไปจนถึง 3 ฟุต โดยในบางแห่งก็เรียกพวกเขาว่า "มนุษย์จิ๋วจอมเขมือบ" และก็มีเรื่องเล่าเกี่ยวกับชาวเผ่ามนุษย์จิ๋ว "ไนเมอริก้า" เช่นกัน โดยชาวมนุษย์จิ๋วเผ่านี้จะอาศัยอยู่ตามเทือกเขาเปโดร ทางตอนใต้ของไวโอมิ่ง และได้ต่อสู้กับมนุษย์ปกติด้วยลูกดอกอาบยาพิษ และเล่ากันว่าชาวเผ่าไนเมอริก้าที่เริ่มจะแก่หรือเจ็บป่วยนั้น จะถูกฆ่าโดยคนในเผ่าด้วยการตีที่ศีรษะนั่นเอง

ซึ่งเหตุผลสุดท้ายนี้ ก็ค่อนข้างจะเป็นเหตุเป็นผลที่สุด เพราะสภาพศพนั้นดูค่อนข้างจะใกล้เคียงกับมัมมี่แห่งเปรโดที่ถูกพบเป็นอย่างมาก โดยต่อมาในวันที่ 7 กรกฎาคม ค.ศ. 1979 ก็มีข่าวว่ามัมมี่ตัวนี้ได้ถูกส่งต่อให้กับลีโอนาร์ด วัดเลอร์ นักธุรกิจในนิวยอร์ค ซึ่งหลังจากนั้นมาข่าวของมัมมี่แห่งเปรโดรก็หายไป จนกระทั่งข่าวของมันได้กลับมาอยู่ในกระแสสังคมออนไลน์อีกครั้ง


สัตว์ประหลาดแห่งปานามา


เจ้าซากของตัวประหลาดแห่งปานามาตัวนี้ ได้ถูกถ่ายภาพไว้ได้ที่บริเวณใกล้ ๆ หมู่บ้านเซอโร่อาซูล ประเทศปานามา ในช่วงเดือนกันยายน ค.ศ. 2009  มันถูกพบโดยกลุ่มนักปีนเขาวัยรุ่น พวกเขาบอกเล่าว่า สภาพของมันนั้นไม่มีขน มีแต่หนังและฟันแหลมคม หน้าตาน่าเกลียดน่ากลัวมาก จมูกโบ๋ แขนยาว และหนึ่งในสมาชิกก็ได้จับมันโยนลงไปในบ่อน้ำซึ่งหลังจากนั้น พวกเขาก็ได้กลับมาเพื่อถ่ายภาพซากของมันมาให้ดู

โดยหลังจากกลุ่มวัยรุ่นได้นำภาพที่ถ่ายได้ส่งให้กับสถานีโทรทัศน์ของปานามา และบอกเล่าเรื่องราวนี้ผ่านทางอินเตอร์เน็ต ผู้คนก็ค่อนข้างแปลกใจและช่วยกันหาว่า แท้ที่จริงแล้วเจ้าตัวประหลาดนี้มันคือตัวอะไรกันแน่ ซึ่งหลังจากที่เวลาผ่านไป 4 วัน ทางสถาบันธรรมชาติวิทยาของปานามาก็ได้ออกมาเฉลยว่า แท้ที่จริงแล้วเจ้าตัวประหลาดแห่งปานามาตัวนี้มันก็คือ "สลอตสีน้ำตาล" นั้นเอง ซึ่งสาเหตุที่มันไม่มีขนก็เพราะว่ามันตายในน้ำจนเริ่มจะอืดจนขนหลุดแล้วก็เกยตื้นขึ้นมา หรือไม่ก็ถูกจับมาวางไว้ที่โขดหินข้างบ่อน้ำนั่นเอง ซึ่งถ้าดูจากภาพของเจ้าตัวสลอตแล้ว มันก็น่าจะเป็นสลอตจริง ๆ นะครับ

จากเรื่องเล่าทั้งหมด 10 เรื่องนี้ ทำให้มิติที่ 6 อยากบอกกับท่านผู้ชมว่า ในปัจจุบันนี้เรื่องราวลึกลับแปลกประหลาดที่ถูกนำเสนอตามเวบไซต์บ้านเรานั้น บางเรื่องราวอาจมีการติดตามผลจนได้คำตอบกันเรียบร้อยแล้ว เพียงแต่ในหลาย ๆ เวบนั้น ไม่ได้ทำการติดตามข่าวต่อจนถึงที่สุด แล้วมันก็ทำให้เราได้รับรู้เรื่องราวกันอย่างครึ่ง ๆ กลาง ซึ่งมันก็น่าจะดีกว่าถ้าหากเราสามารถรู้ว่า ข่าวต่าง ๆ นั้นมีการพิสูจน์อะไรไปแล้วบ้าง เพราะถ้าเรารู้ข่าวสารเพียงแค่ครึ่งแรก แล้วนำเรื่องราวนี้ไปบอกต่อกันโดยไม่ทราบเรื่องราวแท้จริงในครึ่งหลัง มันก็อาจทำให้เราดูกลายเป็นคนงมงายไร้สาระไปเลยก็ได้

การยอมรับในความจริงนั้น มันจะทำให้เรามีเหตุผลกับข่าวสารเรื่องราวแนวนี้ในอนาคต จนเมื่อเราได้พบกับเรื่องลี้ลับที่เป็นเรื่องจริง ๆ เมื่อใด นั่นก็จะทำให้เราสามารถที่จะมั่นใจได้ว่า เรื่องลึกลับที่เราต้องการมันอยู่ตรงนี้แล้ว แบบนั้นก็น่าจะดีกว่านะครับ



หลังจากอ่านเรื่องราวจากมิติที่ 6 จบแล้ว อย่าลืมกดติดตาม กดไลค์ กดแชร์ และทิ้งคอมเมนต์กันไว้นะครับ

แปลและเรียบเรียง นิวัฒน์ อ่ำแสง
ขอบคุณที่มา
http://www.toptenz.net/top-10-strange-and-bizarre-dead-bodies.php

10 มิถุนายน 2559

มิติที่ 6 ศุกร์สยองขวัญ ไขปริศนาตุ๊กตาผีโอคิคุ

หากพูดถึงของเล่นของเด็ก สิ่งแรกที่เราจะคิดถึงนั้นก็คงจะไม่พ้นหุ่นยนต์หรือตุ๊กตา และถ้าพูดถึงของเล่นของเด็กผู้หญิง ก็คงต้องนึกถึงตุ๊กตาผู้หญิงน่ารัก ๆ ซึ่งแน่นอนว่าตุ๊กตาสำหรับเด็กผู้หญิงนั้น มันก็เป็นดังเพื่อนเล่นที่อยู่ใกล้ชิดกับพวกเธอมากกว่าใคร


มิติที่ 6 ศุกร์สยองขวัญ ในวันศุกร์สะดวกสัปดาห์นี้ เราจะขอพาท่านไปรู้จักกับตุ๊กตาโบราณตัวหนึ่ง ตุ๊กตาที่ได้รับการถ่ายทอดความรัก ความรู้สึก รวมไปถึงวิญญาณของเจ้าของ ที่ปัจจุบันมันยังคงแสดงให้เรารู้ว่า ยังมีวิญญาณของเด็กน้อยสิงสู่อยู่ในนั้น

 กดดูได้ที่นี่

ก่อนที่จะเล่าเรื่องให้ทุกท่านได้รับฟัง มิติที่ 6 ได้ค้นหาที่มาของเรื่องราวนี้อยู่หลายแห่ง และในแต่ละแห่งนั้น ก็มีรายละเอียดแตกต่างกันไป โดยมิติที่ 6 จะขอนำเรื่องเล่าที่คาดว่าน่าจะเป็นต้นฉบับที่ถูกแปลมาจากต้นฉบับจริง ๆ ให้ได้รับทราบกันก่อน

มีเรื่องราวลี้ลับเรื่องหนึ่ง มันเป็นเรื่องของตุ๊กตาที่มีวิญญาณของเด็กน้อยสิงสู่ โดยมันได้ถูกเล่าขานกันมานานหลายทศวรรษ นั่นก็คือตำนาน "ตุ๊กตาโอคิคุ" ซึ่งชื่อของมันได้ถูกตั้งขึ้นตามชื่อของเด็กหญิงเจ้าของตุ๊กตานั้นนั่นเอง ตุ๊กตาตัวนี้มีส่วนสูงประมาณ 40 เซ็นติเมตร (16 นิ้ว) สวมชุดกิโมโน มีนัยตาสีดำ และที่สำคัญบริเวณเส้นผมของมัน สามารถงอกยาวออกมาได้ราวกับเส้นผมของคนจริง ๆ

ตุ๊กตาโอคิคุนี้ ถูกตั้งอยู่ที่วัดมังเน็นยิ ในเมืองเล็ก ๆ ของอิวามิซาว่าจังหวัดฮ็อกไกโดมาตั้งแต่ ค.ศ. 1938 โดยมีข่าวลือว่า ตอนแรกที่ตุ๊กตาตัวนี้ได้ถูกนำมาที่วัดใหม่ ๆ นั้น เส้นผมของมันยังคงสั้นอยู่ แต่เมื่อเวลาผ่านไป เส้นผมของตุ๊กตากลับยาวขึ้นมากว่า 25 เซ็นติเมตร (10 นิ้ว) โดยเส้นผมนั้นยาวลงมาจนถึงบริเวณเข่าของตุ๊กตาเลยทีเดียว และไม่ว่าทางวัดจะตัดผมของมันทิ้งไปกี่ครั้ง มันก็จะกลับยาวขึ้นมาใหม่เสมอ

โดยก่อนหน้าที่มันจะมาอยู่ที่วัดแห่งนี้ได้ เกิดจากในปี ค.ศ. 1918  เอย์คิจิ สุสึกิพี่ชายของโอคิคุได้แวะไปเที่ยวนิทรรศการเทโชที่เมืองซับโปโรของประเทศญี่ปุ่น เขาได้ซื้อตุ๊กตาตัวหนึ่งมาจากร้านทานุคิโคจิ ซึ่งเป็นร้านค้าที่เปิดขายของอยู่ข้างถนนที่มีชื่อเสียงอย่างมากของเมืองนั้น ซึ่งเอย์คิจิตั้งใจจะซื้อตุ๊กตาตัวนี้กลับไปเพื่อเป็นของที่ระลึกให้กับโอคิคุ น้องสาววัย 2 ขวบของเขา

แน่นอนว่าเด็กน้อยโอคิคุชอบตุ๊กตาตัวนี้มาก  เธอเล่นกับมันทุกวัน แต่แล้วเมื่อเวลาผ่านไปไม่นาน โอคิคุก็ได้เสียชีวิตจากไปอย่างกระทันหันด้วยโรคไข้หวัด ทางบ้านจึงได้นำตุ๊กตาตัวนี้ไปวางประดับไว้ที่แท่นบูชาของครอบครัว และสวดมนต์ทุกวันเพื่อระลึกถึงเด็กน้อยโอคิคุที่จากไป

จนเมื่อเวลาผ่านไปคนในบ้านก็สังเกตพบว่า เส้นผมของตุ๊กตาตัวนี้มันได้ยาวขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งพวกเขาก็เข้าใจว่า วิญญาณของเด็กน้อยโอคิคุอาจจะสิงสู่อยู่ในตุ๊กตาตัวนี้ก็เป็นได้ เมื่อถึงปี ค.ศ. 1938  ครอบครัวซุซุกิก็ได้ย้ายไปอาศัยอยู่ที่เมืองซาฮาลิน (Sakhalin) และได้มอบตุ๊กตาตัวนี้ให้แก่วัดมังเนงยิเป็นผู้ดูแลนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา


ซึ่งเรื่องนี้ไม่มีใครสามารถจะอธิบายได้ว่า ทำไมเส้นผมของตุ๊กตาตัวนี้ถึงยาวงอกออกมาได้แบบนั้น และได้มีการนำตุ๊กตาตัวนี้ไปตรวจสอบ ก็พบว่าแท้ที่จริงแล้วเส้นผมของมันนั้นทำมาจากเส้นผมคนจริง ๆ

หลังจากมิติที่ 6 ได้พยายามค้นหาเรื่องนี้จากหลายแหล่งก็พบว่า เรื่องราวของตุ๊กตาผีสิงโอคิคุนั้นได้ถูกเวบไซต์หลายแห่งนำไปเผยแพร่ โดยบางแห่งก็ได้แต่งเนื้อหาเพิ่มเติมเข้าไป บ้างก็ว่าเอย์คิจินั้นจริง ๆ ชื่อว่า "เฮียวคิจิ เรคิ" และเพิ่มเติมลักษณะของตุ๊กตาไปอีกว่า นอกจากเส้นผมของตุ๊กตาที่ยาวขึ้นแล้ว ปากของตุ๊กตาที่เคยหุบสนิทกลับเปลี่ยนเป็นเผยอยิ้มขึ้นมาได้ และชื่อของเด็กน้อยที่เสียชีวิตนั้นเธอชื่อว่า "คิคุโกะ" ไม่ใช่ "โอคิคุ" ซึ่งบางแห่งก็ยังแต่งเติมเรื่องของตุ๊กตาเพิ่มขึ้นมาอีกว่า นอกจากเส้นผมของตุ๊กตาจะยาวขึ้นแล้ว เล็บของมันก็ยาวขึ้นได้อีกด้วย

เรื่องจริงมันคืออะไรกันแน่ ? ตุ๊กตาตัวนี้แท้ที่จริงชื่อว่าอะไร ? วัดมังเน็งยิมีจริงหรือไม่ ? เส้นผมของมันยาวขึ้นจริงหรือเปล่า ? และที่สำคัญ ตุ๊กตาตัวนี้มีจริงหรือไม่ ?

มิติที่ 6 ได้พยายามค้นหาที่มาของเรื่องนี้จากเวบไซต์ภาษาญี่ปุ่นก็พบว่า เรื่องราวที่เราได้ยกมาให้รับชมนั้นน่าจะใกล้เคียงที่สุด เพียงแต่จะมีคลาดเคลื่อนไปบ้างก็คือ สถานที่ที่ตุ๊กตาตัวนี้ตั้งอยู่ในปัจจุบันที่วัดมังเน็งยิหรือวัดมังเน็งนั้น อยู่ในเมืองคุริซาว่า อำเภอโงจิ จังหวัดฮ็อคไกโด ส่วนชื่อของพี่ชายที่ซื้อตุ๊กตานั้น ตามต้นฉบับภาษาญี่ปุ่นน่าจะชื่อ "เอย์คิจิ" และชื่อของเด็กน้อยที่เสียชีวิตก็คือ "คิคุโกะ"

วัดมังเน็งยิในปัจจุบัน

มาถึงตรงนี้ ก็ทำให้มิติที่ 6 อยากรู้เสียแล้วว่า แท้ที่จริงแล้ว ตุ๊กตาผีสิงโอคิคุหรือคิคุโกะนั้น เป็นเรื่องจริงมากน้อยแค่ไหน เพราะเบื้องต้นเรารู้กันแล้วว่าตุ๊กตาตัวนี้อยู่ที่วัดนี้จริง แล้วมันยังไงต่อกันแน่ ซึ่งมิติที่ 6 จะค่อย ๆ ค้นหาความจริงนี้ไปพร้อม ๆ กันกับท่านผู้ชมนะครับ

โดยสิ่งที่มิติที่ 6 ได้พบนั้น อยากจะบอกให้ทราบกันก่อนว่า ทางเราเองก็พยายามอย่างสุดความสามารถที่จะค้นหาข้อมูล อาจมีข้อมูลบางอย่างผิดพลาดอยู่อีกมาก ก็ขอให้ท่านผู้ชมใช้วิจารณญาณในการรับชม โดยทุกท่านสามารถแจ้งข้อมูลเพิ่มเติมให้เราได้ทางช่องความเห็นใต้คลิป เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนกันครับ


โดยเรื่องเล่าต้นฉบับที่แท้จริงนั้นมาจากเรื่อง "โอ้ ! ฉันได้ยินเสียงผี"「あっ! 今の声は幽霊だった」 ในนิตยสารสำหรับผู้หญิงที่ชื่อว่า "ชูกังโจเซย์จิชิน" 『週刊女性自身』หรือ "ผู้หญิงรายสัปดาห์" โดยเรื่องนี้ได้ถูกตีพิมพ์เมื่อปี ค.ศ. 1962  ซึ่งผู้เขียนก็คือ "ยูทากะ มาบูจิ"『馬淵豊』

โดยจะขอยกบางส่วนของเรื่องราวมาดังนี้
ในปี ค.ศ. 1958  "สุเคชิจิ ซุซุกิ" อายุ 36 ปี ได้นำตุ๊กตาตัวนี้มาให้กับทางวัดมังเน็งยิ เนื่องจากเขาได้ฝันร้ายเห็นเจ้าตุ๊กตาของลูกสาวที่ตายไปแล้วตัวนี้ มายืนอยู่ข้างเตียง และส่งเสียงเรียกให้ได้ยินจนเขาทนไม่ไหว ถึงกับต้องวางแผนจะย้ายครอบครัวหนีไปที่เกะฮอนชู และตอนที่เขาได้นำมันมาให้กับทางเจ้าอาวาสวัดนั้น เขาได้บอกกับท่านว่า "โปรดนำวิญญาณของคิโยโกะออกมาจากตุ๊กตาให้ทีครับ"

ซึ่งหมายความว่า
1. ตุ๊กตาผีสิงตัวนี้ถูกหัวหน้าครอบครัวชื่อสุเคชิจิ ซุซุกิยกให้กับวันมังเน็งยิ เมื่อปี ค.ศ. 1958 ไม่ใช่ปี ค.ศ. 1938
2. ชื่อของเด็กที่เสียชีวิตนั้นคือ "คิโยโกะ" ไม่ใช่ "คิคุโกะ" หรือ "โอคิคุ"
3. สาเหตุที่ซุซุกินำตุ๊กตานี้มาให้วัดก็เพราะว่าเขาฝันร้ายถึงมัน
4. เจ้าอาวาสวัดคือผู้ที่พบว่าเส้นผมตุ๊กตานั้นยาวออกมา ไม่ใช่ครอบครัวซุซุกิ

ชื่อ "คิคุโกะ" มาจากไหน ?
แท้ที่จริงแล้วชื่อคิคุโกะที่น่าจะเป็นต้นฉบับของเรื่องเล่าในปัจจุบันนั้น มันก็ถูกยกมาจากนิตยสาร "ยังเลดี้" [ヤングレディ ] ฉบับที่ 15 ของญี่ปุ่น ที่ถูกวางจำหน่ายในปี ค.ศ. 1968  โดยรายละเอียดที่ถูกเพิ่มเติมขึ้นมานั้น ก็คือเรื่องเล่าที่มิติที่ 6 ได้เล่าให้ฟังในตอนต้นนั่นเอง ซึ่งนอกจากเนื้อหาที่เล่าแล้ว ยังมีรายละเอียดที่ถูกเพิ่มเข้าไปอีกอย่างหนึ่งก็คือ วันตัดผมตุ๊กตาคิคุโกะนั้น จะตรงกับวันที่ 24 มีนาคมของทุกปี ซึ่งผู้ที่เขียนเรื่องเพิ่มเติมใหม่นี้ก็ไม่ใช่ใครที่ไหน เขาก็คือ "ยูทากะ มาบูจิ" ผู้เขียนเรื่อง "ตุ๊กตาผีคิโยโกะ" นั่นเอง !!

มันกลายเป็นตำนานไปได้อย่างไร ?
มิติที่ 6 ก็ได้ทำการค้นหาต่อไปก็พบว่า เรื่องราวนี้ได้ถูกหนังสือพิมพ์ฮอกไกโดชิมบุน 『北海道新聞』 นำนิยายฉบับดัดแปลงใหม่ของ "ยูทากะ มาบูจิ" มาลงในตีพิมพ์ไว้ในคอลัมน์เรื่องผี ตอน "ตุ๊กตาผีโอคิคุ" หรือ "ไคดังโอคิคุนิงโย"「怪談『お菊人形』」ของหนังสือพิมพ์ฉบับวันที่ 15 สิงหาคม ค.ศ. 1970 นั่นเอง ซึ่งนั่นก็น่าจะเป็นสาเหตุที่ทำให้บนเวบไซต์ภาษาอังกฤษ นึกว่าตุ๊กตาตัวนี้ชื่อว่าโอคิคุก็เป็นได้ และต่อมาเมื่อมีเวบไซต์บางเวบในไทยนำเรื่องราวนี้มาแปล ก็เลยใช้ชื่อว่า "ตุ๊กตาโอคิคุ" นั่นเอง ซึ่งในไทยนั้น ก็ยังมีบางแห่งได้ทำการแปลเรื่องของตุ๊กตาผีคิคุโกะนี้ มาจากต้นฉบับล่าสุดด้วย จึงทำให้ข้อมูลที่ได้รับมาหลาย ๆ ทาง ค่อนข้างสับสนในเรื่องชื่อ วันเวลา และสถานที่

ทำไมเส้นผมของตุ๊กตาคิคุโกะ จึงสามารถงอกยาวออกมาได้ ?
สำหรับกรณีเส้นผมของตุ๊กตาที่งอกยาวออกมาได้นั้น ว่ากันว่าแท้ที่จริงแล้วตุ๊กตาคิคุโกะ มีผมยาวมาตั้งแต่วันที่เจ้าอาวาสวัดได้รับมันมาอยู่แล้ว และเส้นผมของตุ๊กตานั้น ก็ยาวขึ้นจริง ๆ แต่ไม่ได้ยาวออกมามากถึง 20 เซ็นติเมตร ตามที่เรื่องเล่านั้นกล่าวอ้าง เพราะเส้นผมของมันนั้น ยาวออกมาเพียงไม่ถึง 1 มิลลิเมตร แต่มันก็ยาวขึ้นมาทุกปีจริง ๆ

ซึ่งสาเหตุที่ทำให้เส้นผมของตุ๊กตายาวออกมาได้ทุกปีนั้น ก็เป็นเพราะว่าในขั้นตอนการทอเส้นผมของตุ๊กตาญี่ปุ่นนั้น จะมีกรรมวิธีที่เรียกว่า "Flocking Hair" ซึ่งจะใช้เส้นผมไม่ว่าจะเป็นเส้นผมจริง หรือเส้นผมปลอม ที่มีความยาวกว่าที่จะใช้จริง มาทอเข้าไปที่ส่วนหัว หรืออธิบายง่าย ๆ ก็คือ ถ้าจะทำเส้นผมตุ๊กตาให้ยาวซัก 10 เซ็นติเมตร ช่างทำตุ๊กตาจะต้องใช้ความยาวของเส้นผมประมาณ 25 เซ็นติเมตร หรือมากกว่านั้น มาทอเส้นผมเข้าไปในส่วนหนังศีรษะของตุ๊กตา ด้วยวิธีการพับครึ่งเส้นผมนั้น แล้วนำด้านที่พับ ทอเข้าไปในรูเส้นผมของตุ๊กตา นั่นก็หมายความว่าในรูเส้นผม 1 รู จะมีเส้นผม 1 เส้น ที่ถูกพับครึ่ง ทำให้ดูเหมือนมีเส้นผมออกมา 2 เส้น จากนั้นก็ยึดมันไว้ด้วยกาว โดยกรณีของคิคุโกะนั้น เมื่อเวลาผ่านไปหลายปี ตัวกาวที่เริ่มจะเสื่อมสภาพ ก็จะค่อย ๆ คลายตัวออก แล้วเส้นผมที่ถูกกาวยึดไว้มันก็จะค่อย ๆ ถูกแรงต้านทานภายในเส้นผมของมันเอง ดันตัวออกมาจากรูเส้นผมออกมาทีละนิด จนเหมือนเส้นผมของตุ๊กตายาวขึ้นมาได้นั่นเอง


มาถึงจุดนี้ ทำให้มิติที่ 6 กลับไปดูเรื่องราวตั้งแต่ต้นจึงขอสรุปได้ว่า ทุก ๆ ปัจจัยที่ทำให้ตุ๊กตาผีโอคิคุ หรือคิคุโกะ หรือคิโยโกะนี้ ได้กลายเป็นตำนานขึ้นมาได้นั้น มันเริ่มจากนักเขียนนิยายเรื่องน่ากลัวคนหนึ่ง ได้เขียนเรื่องน่ากลัวนี้ขึ้นมาผูกกับตุ๊กตาในวัดมังเน็งยิ จนวันหนึ่งก็มีหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นที่จังหวัดฮอคไกโดไปพบเรื่องนี้เข้า เห็นว่ามันน่าสนใจเพราะเป็นเรื่องท้องถิ่นของบ้านเมืองเขา จึงได้นำมาตีพิมพ์จนเรื่องราวถูกบอกเล่าไปเรื่อย ๆ กลายเป็นตำนานโด่งดังไปไกลทั่วโลก จนมาถึงทุกวันนี้


ซึ่งแน่นอนว่า มิติที่ 6 จัดทำเรื่องนี้ขึ้นมาก็เพื่อความบันเทิงเท่านั้นนะครับ หากมีรายละเอียดใด ๆ ผิดพลาด ท่านผู้ชมสามารถบอกเราได้ที่คอมเม้นต์ใต้คลิป เพื่อเป็นวิทยาทานแก่ท่านผู้ชมอื่น ๆ กันต่อไปครับ และที่แน่ ๆ หากเราได้ยินเพื่อนของเรา หรือใคร ๆ ยกเอาเรื่องนี้มาเล่าในวงสนทนา มิติที่ 6 ก็อยากให้เราเงียบเอาไว้ อย่าได้ไปขัดจังหวะการเล่าเรื่องนี้จะดีกว่านะครับ เพราะว่า "ความจริงนั้น มันช่างไม่มีสเน่ห์เอาเสียเลย"


อย่าลืมติดตามชมมิติที่ 6 ศุกร์สยองขวัญทุกวันศุกร์สะดวก ที่จะพาท่านผู้ชมมาพบกับเรื่องราวน่ากลัว และความจริงไปกับพวกเรา ที่ช่องมิติที่ 6 กันทุกสัปดาห์ครับ สุดท้ายนี้อย่าลืมกดสับสไครป์ กดไลค์ กดแชร์ และทิ้งคอมเมนท์กันไว้นะครับ

แปลและเรียบเรียง นิวัฒน์ อ่ำแสง
ที่มา
http://pinktentacle.com/tag/urban-legend/
http://blog.livedoor.jp/koike_takehiko/
http://www.nazotoki.com/okiku.html
  • 小池壮彦「手押し車を押す看護婦、幽霊ボート、髪の伸びるお菊人形」『現代怪奇解体新書』(宝島社、1998年)
  • 馬淵豊「あっ! 今の声は幽霊だった」『週刊女性自身』(1962年8月6日号)
  • 「怪談『お菊人形』」『北海道新聞』(1970年8月15日付け、夕刊、第五面)
  • 秋口ぎぐる、高井信、山本弘『百鬼夜翔-水色の髪のチャイカ』(角川書店、2001年)
  • あすかあきお『ザ・超能力2』(小学館、1985年)


    ประกาศ

    เพื่อเป็นกำลังใจเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้กับเรา ขอความร่วมมือจากผู้ที่นำเรื่องราวจากมิติที่ 6 ไปใช้ในที่ของท่าน กรุณาลงเครดิตกลับมาที่เราจะเป็นพระคุณอย่างสูงครับ