มิติที่ 6 ศุกร์สยองขวัญกับวันเบา ๆ สัปดาห์นี้ เราจะพาท่านไปรู้จักกับเรื่องราวน่ากลัวของฆาตกรแห่งลางร้ายที่ถูกพูดถึงมากที่สุดในโลกอินเตอร์เน็ต... เจฟเดอะคิลเลอร์ !!
|
ภาพประกอบทั้งหมดไม่เกี่ยวกับเนื้อหา |
หนังสือพิมพ์ท้องถิ่นฉบับหนึ่งเสนอข่าวว่า “ฆาตกรปริศนาตัวร้ายมันยังคงลอยนวล !!” ในสัปดาห์ถัดมากับคดีฆาตกรรมปริศนานั้นเจฟเดอะคิลเลอร์ฆาตกรจอมโหดก็ยังคงได้ใจ และได้มีผู้รอดชีวิตออกมาเล่าเหตุการณ์ให้ฟังว่า
“ผมฝันร้ายเลยลุกขึ้นมากลางดึกครับ” เด็กชายกล่าว
“ผมมองเห็นบางอย่างที่ทำให้หน้าต่างมันเปิด ทั้ง ๆ ที่ผมนึกว่าผมปิดมันไปเรียบร้อยตั้งแต่ก่อนเข้านอนแล้ว ผมจึงลุกขึ้นไปปิดมันอีกครั้ง แล้วทีนี้ผมก็เดินกลับมามุดเข้าผ้าห่มแล้วนอนต่อ ตอนนั้นผมรู้สึกแปลก ๆ ยังกับว่ามีใครบางคนกำลังจ้องมองผมอยู่ พอผมเงยหน้ามองขึ้นไปก็แทบจะกระเด้งออกจากที่นอน เพราะใต้แสงสลัวๆ นั้น แสงที่ลอดผ่านออกมาระหว่างผ้าม่าน มันมีดวงตาคู่หนึ่ง... มันไม่ใช่ดวงตาแบบคนทั่วไป มันดูมืดดำส่องประกายชั่วร้าย ผมกลัวมาก... พอผมมองไปที่ปากของเขา รอยยิ้มสุดสยองนั่นมันทำให้ผมขนลุกซู่ไปทั้งตัว เพราะคนที่ยืนอยู่ตรงนั้นมันกำลังจ้องเขม็งมาที่ผม หลังจากที่เขามองอยู่นานเขาก็พูดกับผมสั้น ๆ ว่า..."
"ไปนอนซะ !!"
ผมร้องลั่น เขาหยิบมีดขึ้นมาจ่อตรงหัวใจของผมแล้วกระโดดขึ้นมาที่หัวเตียง ผมตอบโต้กลับด้วยการพยายามต่อสู้ทุกวิถีทาง พ่อของผมเข้ามาพอดี ผู้ชายคนนั้นจึงปามีดเข้าที่หัวไหล่ของพ่อผม มันเกือบจะฆ่าพ่อเสียแล้ว !!
เมื่อได้ยินเสียงรถตำรวจเดินทางมาถึง ชายคนนั้นก็รีบหนีไปทางห้องโถง ผมได้ยินเสียงเหมือนกระจกแตก พอผมตามออกมาดู ผมก็เห็นกระจกหน้าต่างด้านหลังบ้านแตก ผมมองตามชายคนนั้นก็เห็นเขาหนีไปไกลมาก ผมบอกคุณได้อย่างหนึ่งคือ ผมไม่มีทางลืมหน้าตาของเขาได้เลย เพราะมันสุดจะน่ากลัว ดวงตาปีศาจและรอยยิ้มแบบพวกโรคจิตของเขา มันยังติดตาอยู่ในหัวสมองของผมอยู่
ตำรวจยังคงตามหาชายคนนี้ ถ้าหากคุณเห็นใครที่มีลักษณะตามคำบอกเล่านี้ ได้โปรดแจ้งตำรวจท้องที่ใกล้ ๆ คุณโดยด่วน !!
เจฟและครอบครัวของเขาเพิ่งจะย้ายเข้ามาใหม่ พ่อของเขาเพิ่งได้บรรจุเข้าทำงานที่นี่ และพวกเขาก็รู้สึกดีมากที่จะได้อยู่ร่วมกับเพื่อนบ้านท่าทางแปลก ๆ แบบนั้น เจฟกับลิวสองพี่น้องไม่ค่อยจะบ่นอะไรสักเท่าไหร่ เพราะบ้านหลังนี้มันดีกว่าเดิม เมื่อพวกเขาเริ่มจะจัดข้าวของ ก็มีเพื่อนบ้านคนหนึ่งเข้ามาเยี่ยม
“สวัสดี...” หญิงคนหนึ่งทักทาย
“ฉันชื่อบาบาร่า ฉันอาศัยอยู่ฝั่งตรงข้ามนี่เอง ฉันกับลูกชายเลยอยากจะมาแนะนำตัวค่ะ” เธอหันหน้ากลับไปเรียกลูกชาย
“บิลลี่ เรามีเพื่อนบ้านใหม่มาแน่ะ” บิลลี่ก็กล่าวคำทักทายแล้ววิ่งกลับไปเล่นที่สวนต่อ
“สวัสดีค่ะ” แม่ของเจฟตอบ
“ดิฉันชื่อมากาเร็ต และนี่ก็สามีของดิฉัน.. ปีเตอร์ กับลูกชายสองคนเจฟและลิว” พวกเขาต่างแนะนำตัว จากนั้นบาบาร่าก็ชักชวนพวกครอบครังของเจฟไปร่วมงานฉลองวันเกิดของลูกชาย ซึ่งเจฟกับน้องชายดูเหมือนจะไม่อยากไป แต่แม่ของพวกเขาตอบกลับไปว่า พวกเราจะไปร่วมงานอย่างแน่นอน
เมื่อเจฟกับครอบครัวจัดข้าวของเสร็จ เจฟได้เข้าไปหาแม่แล้วพูดว่า
“แม่ครับ ทำไมแม่ต้องชวนเราไปงานเด็ก ๆ แบบนั้นด้วยล่ะ แม่ไม่เห็นเหรอว่าผมไม่ใช่เด็ก ๆ แล้วนะ”
“เจฟ” แม่ของเขาตอบ
“เราเพิ่งจะย้ายมาอยู่ที่นี่ เราควรจะแสดงน้ำใจให้เพื่อนบ้านเห็นว่า เราให้ความสำคัญกับพวกเขานะ เราจะไปที่งานปาร์ตี้กันและนี่คือคำขาดนะจ๊ะ” เจฟอยากจะพูดต่อแต่ก็ต้องหยุด เพราะเขารู้ดีว่ามันไม่ทำให้อะไรดีขึ้นแน่ ๆ เพราะแม่ยื่นคำขาดไปแล้ว เขาจึงเดินขึ้นห้องแล้วหย่อนตัวลงนอน จากนั้นก็นั่งมองเหม่อไปที่เพดาน เขารู้สึกว่ามันมีความรู้สึกแปลกๆ เกิดขึ้นกับตัวเขา มันเป็นความรู้สึกที่ไม่ดีสักเท่าไหร่ แต่เขาพยายามกำจัดมันออกไป
วันรุ่งขึ้นเจฟเดินลงบันไดมาทานอาหารเพื่อเตรียมตัวไปโรงเรียน แล้วเขาก็รู้สึกแบบนั้นอีกครั้ง แต่คราวนี้มันรุนแรงกว่าเดิม มันเจ็บปวดแบบกวนใจมากขึ้น แต่เขาก็สามารถข่มใจกับอาการนี้ได้เหมือนเช่นเคย พอทั้งเจฟและลิวทานอาหารเช้าเสร็จ เขาก็เดินไปที่ป้ายรถประจำทางเพื่อนั่งรอรถโรงเรียน ระหว่างที่นั่งรอรถอยู่นั้น ได้มีเด็กกลุ่มหนึ่งเล่นสเก็ตบอร์ดกระโดดข้ามหน้าตักเฉียดพวกเขาไป เจฟกับลิวถึงกับกระเด้งถอยกลับด้วยความตกใจ
“เฮ้ย… อะไรกันเนี่ย !!”
เด็กพวกนั้นจึงหยุดแล้วเดินกลับมาหาทั้งสองพี่น้อง เด็กคนนึงเตะสเก็ตบอร์ดลอยขึ้นมาแล้วจับเอาไว้ เด็กคนนี้อายุน่าจะประมาณ 12 ปี อ่อนกว่าเจฟปีนึง สวมเสื้อยี่ห้อแอโร่โพสเทลกับกางเกงยีนส์ขาด ๆ
“อ๊ะๆๆ เหมือนเราจะเจอก้อนเนื้อชิ้นใหม่ว่ะ” ทันใดนั้นเด็กอีกสองคนก็เดินเข้ามา คนหนึ่งดูผอมมากและอีกคนดูอ้วน ๆ
“อืม.. พวกนายมาใหม่นี่นา ฉันขอแนะนำให้รู้จักกับพวกเรา คนนั้นชื่อคีธ” เจฟกับลิวมองไปที่คนผอม หน้าตาเหมือนคนง่วงนอนแถมไม่น่าจะมีใครคบ
“และนั่นคือทรอย” พวกเขาก็มองตามไปที่เด็กอ้วน ที่ดูอ้วนมาก ๆ ราวกับว่าเขาไม่เคยออกกำลังกายมาก่อน ถ้ากลิ้งได้ก็คงกลิ้งไปแล้ว
“และฉัน” เด็กคนแรกพูด
“ชื่อว่าแรนดี้ ขาใหญ่ที่นี่... แล้วก็พวกแก เจ้าเด็กใหม่ที่มีเงินมาขึ้นรถโรงเรียน เอาเงินมาให้ฉันซะ...” ลิวยืนขึ้นแล้วก็ใช้หมัดต่อยเข้าไปที่เบ้าตาของเด็กคนนั้นทันที เพื่อน ๆ ของเขารีบรับตัวเอาไว้แล้วส่งมีดให้
“ชะชะชะ ฉันนึกว่าพวกแกจะร่วมมือกับเราดี ๆ ซะอีก แต่ดูท่าทางพวกเราคงต้องใช้ความรุนแรงกันหน่อย” พวกเด็กเกเรเดินตรงไปที่ลิว แล้วกระชากเอากระเป๋าเงินของเขาไป เจฟรู้สึกแบบนั้นขึ้นมาอีกแล้ว ตอนนี้มันค่อนข้างจะหนักกว่าเดิมราวกับถูกไฟเผาไหม้ เจฟจึงยืนขึ้นแต่ลิวบอกให้เขานั่งลง เจฟไม่สนใจแล้วเดินไปที่พวกแก๊งเด็กเกเร
“ฟังนะเจ้าพวกชั่ว เอากระเป๋าเงินของน้องชายฉันคืนมา !!” แรนดี้รีบเอากระเป๋าเงินใบนั้นเก็บเข้ากระเป๋าของตัวเอง จากนั้นก็ชักมีดออกมา !!
“โอว์... แล้วนายจะทำอะไรเหรอ ?” ทันทีที่เขาพูดจบ เจฟก็ต่อยเข้าไปที่จมูกของแรนดี้ เจฟจับที่ข้อมือของเขาแล้วหักมัน แรนดี้ถึงกับร้องเสียงหลง จากนั้นเจฟก็แย่งมีดมาจากมือของเขา ทั้งทรอยและคีธจึงรีบบุกโจมตีเจฟทันที แต่เจฟนั้นเร็วกว่า เขาผลักแรนดี้ลงไปกองกับพื้น และเมื่อคีธบุกเข้ามาเจฟก็สามารถหลบได้ทัน จากนั้นเจฟก็ดันมีดกลับจนเสียบเข้าไปที่แขนของคีธ จนในที่สุดมีดของคีธก็หลุดจากมือและล้มลงไปกองที่พื้นร้องอย่างเจ็บปวดไปอีกคน ทรอยก็บุกเข้ามา แต่เจฟไม่จำเป็นต้องใช้มีดกับเขา เจฟใช้หมัดต่อยเข้าไปที่ท้องของทรอยจนจุกล้มตามไปอีกคน เหตุการณ์จบลงอย่างรวดเร็ว ในขณะที่ลิวยังทำอะไรไม่ถูก ได้แต่ยืนตะลึงกับสิ่งที่เจฟทำ
“เจฟ นายทำได้ยังไง ?” ลิวนึกคำพูดออกมาได้แค่นี้ จากนั้นรถโรงเรียนก็มา ซึ่งคนในรถก็น่าจะรู้ว่ามีเรื่องเกิดขึ้น เจฟและลิวรีบวิ่งหนี พอหันกลับไปดูก็เห็นแรนดี้กับพรรคพวกถูกพาตัวขึ้นรถ เมื่อเจฟและลิวไปถึงโรงเรียน พวกเขากลับไม่ได้เล่าเหตุการณ์อะไร ทุกคนต่างนั่งฟังคำตำหนิ แต่ลิวนั้นคิดถึงสิ่งที่เจฟทำกับพวกเด็กเกเร ส่วนเจฟนั้นดูจะเครียดมากกว่า มันเหมือนมีอะไรบางอย่างที่น่ากลัวกับพลังแบบนั้น มันกระตุ้นให้เขาทำร้ายคน เขาไม่รู้ว่ามันคืออะไร แถมมันก็ไม่ได้ทำให้ทุกอย่างดีขึ้นเลย เขารู้แค่ว่าความรู้สึกแปลก ๆ นั้นมันได้หายไป จนกระทั่งโรงเรียนเลิก เจฟเดินทางกลับมาถึงบ้าน พอกลับมาถึงพ่อกับแม่ก็ถามถึงเรื่องราววันนี้ เขาเลยตอบไปด้วยน้ำเสียงไม่ค่อยจะดีนักว่า “วันนี้เยี่ยมไปเลยครับ” จนเช้าวันรุ่งขึ้น เขาได้ยินเสียงเคาะประตูหน้าบ้าน เจฟเดินลงไปก็พบกับเจ้าหน้าที่ตำรวจสองนายที่หน้าประตูกับแม่ของเขาที่หันมามองด้วยท่าทางไม่ค่อยจะสู้ดีนีก
“เจฟ ตำรวจเขาบอกแม่ว่า เธอไปทำร้ายพวกเด็ก ๆ สามคน แล้วก็ไม่ได้ทะเลาะกันธรรมดา พวกเขาถูกแทง นี่มันอะไรกันลูก” เจฟก้มหน้ามองพื้น แล้วสารภาพว่ามันได้เกิดเรื่องแบบนั้นขึ้นมาจริง ๆ
“แม่ครับ พวกเขาจะใช้มีดกับพวกเราก่อนนะครับ”
“พ่อหนุ่ม” ตำรวจคนหนึ่งพูด
“เจ้าพวกเด็กสามคนนั้น สองคนถูกแทง อีกคนถูกต่อยที่ท้อง และพวกเราก็มีพยานเห็นตอนที่เธอทำแบบนั้น แล้วเธอจะเอายังไง ?” เจฟรู้แล้วว่าคำพูดของเขามันไม่ช่วยอะไร เพราะแม้เขาจะบอกว่าตัวเองกับลิวถูกลงมือก่อน แต่ก็ยังไม่มีใครลงมือทำร้ายพวกเขาเลย เพราะความจริงมันก็ฟ้องอยู่แล้วว่า ทั้งเขาและลิวนั้นไม่ได้เป็นฝ่ายป้องกันตัวเลย
“เอาล่ะ ไปเรียกน้องชายของเธอลงมา” เจฟไม่ยอมทำตาม เพราะจริง ๆ มีแต่เขาเองที่ทำร้ายพวกเด็กกลุ่มนั้น
“คุณตำรวจครับ ผมเอง ผมทำร้ายเด็กพวกนั้นคนเดียวครับ ส่วนลิวเขาพยายามจะห้ามผมครับ แต่เขาห้ามผมไม่สำเร็จ” ตำรวจจึงมองหน้ากัน
“อืมไอ้หนู สงสัยจะได้เข้าสถานกักกันสักปีนึงนะ….”
“เดี๋ยวครับ !!” ตำรวจมองตามเสียงไป ก็พบกับลิวกำลังยืนถือมีด ตำรวจจึงชักปืนแล้วเล็งไปที่ลิว
“ผมเองครับ ผมทำร้ายเจ้าพวกเด็กเวรนั่น ผมมีหลักฐานด้วย” เขาเลิกชายแขนเสื้อขึ้นเพื่อให้เห็นร่องรอยมีด และรอยฟกช้ำจากการต่อสู้
“ไอ้หนุ่ม วางมีดลงซะ” เจ้าหน้าทีตำรวจบอก ลิวจึงวางมีดลงกับพื้น แล้วเอามือวางไว้บนศีรษะเดินมาหาตำรวจ
“ไม่นะ.. ลิว ฉันทำไง.. ฉันเอง...” เจฟพูดท่ามกลางน้ำตานองหน้า
“ไม่นะ คุณตำรวจจับผมไปเถอะครับ” ตำรวจจึงจับตัวลิวไปขึ้นรถ
“ลิว.. บอกพวกเขาสิว่าฉันทำ.. ฉันทำไง.. ฉันทำร้ายพวกมันคนเดียวไง” เจฟกล่าว
แม่โอบไหล่ของเจฟแล้วพูดว่า
“เจฟ... ได้โปรด.. อย่าโกหกอีกเลย ลูกหยุดได้แล้ว” เจฟมองไปที่รถตำรวจเห็นน้องชายของเขาอยู่ในนั้นกำลังวิ่งออกไป และในไม่กี่นาทีต่อมาพ่อของเจฟก็มาถึง เขาสังเกตเห็นความผิดปกติของเจฟจึงถามว่า
“นี่มันอะไรกัน ?” เจฟไม่สามารถจะตอบอะไรได้ เพราะเขายังร้องไห้อยู่ แม่ของเจฟเดินมาที่พ่อแล้วบอกข่าวร้ายให้ได้รู้ เจฟเสียใจอยู่เป็นชั่วโมงกว่าเขาจะเดินกลับเข้ามาในบ้าน มองเห็นพ่อกับแม่ที่กำลังช็อกกับเหตุการณ์ ไม่รู้ว่าพ่อกับแม่กำลังคิดอะไรแต่ตอนนี้เจฟอยากนอนแล้ว โดยพยายามเก็บความรู้สึกเอาไว้ในใจ สองวันต่อมาก็ไม่มีข่าวอะไรจากลิวเลย ไม่มีใครมาหามีแต่ความเศร้าโศกและความสับสนในใจ
จนถึงวันเสาร์เจฟก็ถูกแม่ปลุกขึ้นมา
“เจฟ วันนี้แล้วนะ” แม่พูดกับเขาพร้อมกับเปิดผ้าม่านรับแสงเข้ามาในห้อง
“อะไรครับ วันอะไร ?” เจฟถาม
“อะไร ก็งานปาร์ตี้ของบิลลี่ไง” เจฟถึงกับหายง่วง
“แม่ครับ แม่ล้อผมเล่นใช่ไหม ? แม่ไม่ควรจะพาผมไปงานปาร์ตี้หลังจาก… ” แล้วทุกอย่างก็เงียบไป
“เจฟ พวกเรารู้ว่ามีอะไรเกิดขึ้นนะ แม่คิดว่าปาร์ตี้นี้มันควรจะเป็นวันที่สดใสมากกว่า เอาล่ะ... ไปแต่งตัวซะ” แม่ของเจฟเดินออกจากห้องแล้วลงไปเตรียมตัว เจฟรีบลุกขึ้นแล้วหยิบเสื้อผ้ามาใส่จากนั้นก็เดินลงมา เขาเห็นพ่อกับแม่แต่งตัวพร้อมหน้า แม่ของเขาใส่ชุดกระโปรง ส่วนพ่อของเขาอยู่ในชุดสูท เจฟรู้สึกแปลก ๆ กับเสื้อผ้าสำหรับไปงานปาร์ตี้ของเด็กแบบนั้น
“ลูก... นั่นลูกจะแต่งตัวแบบนั้นจริง ๆ หรือ ?” แม่ของเจฟถาม
“มันก็ดีกว่าแต่งตัวเต็มยศนะครับ” เจฟตอบ แม่ของเขาจึงดุเจฟด้วยรอยยิ้มว่า
“นี่เจฟ เราอาจจะแต่งตัวเกินเหตุก็จริงนะ แต่นี่มันคือสิ่งที่เราจะสร้างความประทับใจให้กับที่ ๆ เราจะไป” แม่ของเจฟพูดแบบนั้น เจฟจึงกลับไปที่ห้องอีกที
“ผมไม่มีชุดแบบนั้นนะครับ” เจฟตะโกนลงมา
“ก็เลือกมาสักอย่างสิ” แม่ของเจฟตอบ เจฟลองมองไปทั่วตู้เสื้อผ้าเพื่อจะหาอะไรที่มันดูไม่ธรรมดา จนได้กางเกงสีดำและเสื้อกล้ามมาใส่เพิ่ม แต่เขาหาเสื้อเชิ้ตไม่เจอ พอมองไปทั่ว ๆ เขาก็พบเสื้อเชิ้ตลายทาง ที่ดูไม่ค่อยเข้ากับกางเกงสักเท่าไหร่ แต่สุดท้ายก็ได้ชุดฮู้ดสีขาวมาใส่แทน
“นี่ลูกจะใส่ชุดนั้นจริง ๆ เหรอ ?” ทั้งสองถาม แม่ของเจฟมองไปที่นาฬิกา
“โอ... ไม่มีเวลาจะเปลี่ยนชุดแล้วล่ะ ไปกันเถอะ” ทุกคนจึงออกมาหน้าประตูบ้าน พวกเขาข้ามถนนไปยังบ้านของบาบาร่าและบิลลี่ที่ดูเหมือน ๆ กับพ่อแม่ของเจฟ นั่นคือพวกเขาก็แต่งตัวกันเต็มยศจนออกนอกหน้าเช่นกัน พอทุกคนเดินเข้าไปในบ้าน เจฟกลับเห็นแต่พวกผู้ใหญ่ไม่มีเด็กเลยสักคน
“พวกเด็ก ๆ เล่นกันอยู่ที่สวนจ้ะ...เจฟ เธอจะไม่ไปเล่นกับพวกเขาหน่อยเหรอ ?” บาบาร่าบอก
เจฟเดินออกไปที่สวนของบ้าน เขาก็ได้เจอกับเด็กหลายคน ที่กำลังวิ่งเล่นกันไปทั่ว แต่งตัวเป็นพวกคาวบอย ถือปืนพลาสติกยิงเล่นกัน แล้วทันใดนั้นก็มีเด็กคนหนึ่งเดินมาหาเจฟแล้วส่งปืนของเล่นให้กับเขา
“เฮ่ !! มาเล่นกันไหม ?”
“อ่า... ไม่เอา ฉันโตเกินกว่าจะเล่นอะไรแบบนี้แล้วล่ะ” พวกเด็ก ๆ จึงมองเจฟแบบงง ๆ
“มาเถอะ” เด็กคนนั้นบอก
“ก็ได้” เจฟจึงสวมหมวกแล้วเริ่มไล่ยิงเด็ก ๆ แรก ๆ เจฟก็ไม่ได้คิดอะไร แต่พอผ่านไปซักพักเจฟก็เริ่มจะสนุก แม้มันจะไม่เจ๋งสักเท่าไหร่ แต่นี่ก็เป็นครั้งแรกที่เขาได้ทำอะไรที่จะไม่ต้องคิดถึงลิว พอเจฟเล่นกับเด็ก ๆ อยู่พักนึง ทันใดนั้นเขาก็ได้ยินเสียงแปลก ๆ บางอย่างกำลังวิ่งเข้ามา !! เจฟถูกจู่โจมจากแรนดี้ ทรอย และคีธคู่ปรับเก่า พวกเขากระโดดเข้ามาพร้อมกับสเก็ตบอร์ด เจฟวางปืนปลอมแล้วถอดหมวกออก แรนดี้มองจ้องเจฟด้วยสายตาอันคลั่งแค้น
“สวัสดี นั่นเจฟใช่ไหม ?” แรนดี้ถาม
“เรายังมีธุระต้องสะสางกันใช่ไหม ?”
เจฟมองไปที่ดั้งจมูกช้ำ ๆ ของแรนดี้แล้วพูดว่า
“ฉันว่ามันน่าจะเสมอกันแล้วนะ ฉันถูกนายเล่นงาน ส่วนน้องชายฉันก็เข้าสถานกักกัน”
แรนดี้จ้องตาของเจฟแล้วพูดว่า
“ไม่นะ ฉันไม่อยากเสมอ ฉันอยากชนะ นายต้องถูกพวกเราเตะก้นสักวัน” พูดจบแรนดี้ก็บุกเข้ามาถึงตัวเจฟ ทั้งคู่ล้มลงไปบนพื้น แรนดี้ต่อยไปที่จมูกของเจฟ เจฟดึงหูแรนดี้แล้วเอาหัวโขกสู้ เจฟผลักแรนดี้จนล้มลงไปที่พื้น พวกเด็ก ๆ คนอื่นร้องกันระงมด้วยความตกใจ พวกพ่อแม่ของทุกคนจึงวิ่งออกมาจากบ้าน ทรอยกับคีธชักปืนออกมาจากกระเป๋า
“มันจะไม่มีใครเข้ามาขัดจังหวะ หรือมีใครคิดจะบินหนีไปได้หรอก !!” จากนั้นแรนดี้ก็ชักมีดออกมาแล้วแทงเข้าไปที่ไหล่ของเจฟ
เจฟร้องอย่างเจ็บปวดแล้วคุกเข่าล้มลง แรนดี้เตะเข้าไปที่ยอดหน้าของเจฟ หลังจากนั้นก็เตะไปอีกสามที เมื่อเจฟจับเท้าของแรนดี้ได้จึงบิดมันอย่างแรงจนเขาล้มลงไปที่พื้น เจฟยืนขึ้นแล้วเดินตรงไปที่ประตู ทรอยจับตัวเจฟเอาไว้
“อยากให้ช่วยไหม ?” ทรอยยกคอเสื้อของเจฟขึ้นจนตัวลอย แล้วโยนเขาไปที่ประตูระเบียงบ้าน เจฟพยายามจะยืนขึ้น ทรอยก็เตะเขาร่วงลงไปอีก แรนดี้จึงรีบเข้ามาเตะเจฟซ้ำอีกจนเจฟกระอักออกมาเป็นเลือด
“มาสิเจฟ สู้กับฉัน” แรนดี้จับเจฟขึ้นมาแล้วโยนเขาเข้าไปในครัว แรนดี้มองเห็นขวดวอดก้าบนเค้าท์เตอร์ จึงหยิบมาฟาดไปที่ศีรษะของเจฟอย่างแรง
“สู้สิ !!” แรนดี้จับเจฟโยนเข้าไปที่ห้องนั่งเล่น
“มาเลยเจฟ มองมาทางนี้” เจฟมองขึ้นมาด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยเลือด
“ฉันเป็นคนทำให้น้องชายนายเข้าซังเตยังไงล่ะ แล้วนี่นายจะมานั่งทำบ้า รอให้มันออกมาตั้งปี นายมันกากจริง ๆ” เจฟจึงค่อย ๆ ลุกขึ้น
“มาเลย ยืนขึ้นมาสู้กัน” เจฟยืนขึ้นมา ใบหน้าของเขาอาบไปด้วยเลือดผสมวอดก้า เจ้าความรู้สึกแปลก ๆ นั้นกลับมาอีกแล้ว บางอย่างที่ไม่ยอมให้เจฟล้มลงไปอีก
“มาเลยมา” แรนดี้วิ่งเข้าใส่เจฟทันที ทันใดนั้นบางสิ่งในตัวเจฟก็ยึดครองร่างของเค้า จิตวิญญาณของเขาถูกทำลาย สติสัมปชัญญะของเขาหายไป ทุกอย่างที่เขาทำได้ตอนนี้คือการฆ่า เขาจับแรนดี้ลากออกไปข้างนอก เจฟยืนคร่อมร่างแรนดี้แล้วต่อยเข้าไปที่หัวใจของเขาอย่างแรง จนหัวใจของแรนดี้แทบจะหยุดเต้น แรนดี้ถึงกับหายใจไม่ออก เจฟทุบซ้ำลงไป ต่อยแล้วต่อยอีกจนเลือดสาดกระเซ็นออกมาจากร่างของแรนดี้ จนในที่สุดแรนดี้ก็สิ้นลม
ทุกคนมองมาที่เจฟ ทั้งพ่อแม่และเด็กๆ ที่ร้องไห้ ทรอยและคีธ ค่อย ๆ เอาปืนจ่อเล็งมาที่เจฟ พอเจฟเห็นปืนเล็งมา เขาจึงวิ่งไปที่บันได พร้อม ๆ กับจังหวะที่ทั้งสองยิงปืนใส่ ทำให้กระสุนยิงพลาด เจฟวิ่งขึ้นบันไดต่อไป เขาได้ยินเสียงทรอยและคีธกำลังตามมา เจฟจึงรู้ว่าตอนนี้พวกเขาไม่มีกระสุนปืนเหลือแล้ว เจฟจึงวิ่งกลับไปทางห้องน้ำ เขาดึงที่แขวนผ้าขนหนูออกมาจากกำแพง พร้อมกับทรอยและคีธที่วิ่งถือมีด
ทรอยแกว่งมีดเข้าใส่เจฟ เจฟตอบโต้โดยใช้ที่แขวนผ้าขนหนูฟาดเข้าที่ใบหน้าของทรอย ทรอยทรุดลงไปเหลือแต่คีธ เขาคล่องแคล่วกว่าทรอยสามารถหลบที่แขวนผ้าขนหนูที่เจฟฟาดใส่ได้ คีธวางมีดลงแล้วตะครุบเข้าไปที่คอของเจฟ แล้วผลักไปชนกับกำแพง ในขณะที่ทั้งทรอยและคีธกำลังสะใจ เจฟก็หยิบที่แขวนผ้าขนหนูขึ้นมาฟาดเข้าไปที่ศีรษะของคีธเต็มแรง เขาจึงล้มลงเลือดไหลออกจนเกือบตาย เจฟยิ้มอย่างชั่วร้าย
“ขำอะไรวะ !!” คีธถามเจฟ คีธหยิบไฟแช็คออกมาแล้วจุด
“ขำอะไร ?” คีธพูดอีก
“เสื้อผ้าของแกมีแต่เหล้าชุ่มไปหมดเลยไม่ใช่เหรอ ?” สายตาของเจฟเบิกโพลง ขณะที่คีธโยนไฟแช็คที่จุดไฟมาที่เขา ทำให้ไฟลุกลามไปทั่วตัว เพราะอัลกอฮอร์จากวอดก้า ในขณะที่ไฟกำลังคลอกเจฟอยู่นั้น เจฟเองก็พยายามกลิ้งตัวบนพื้นเพื่อดับไฟแต่มันก็ไร้ผล เจฟจึงตัดสินใจวิ่งลงมาที่ห้องโถง แล้วก็ล้มลงเพราะสะดุดกับบันไดกลิ้งลงมาชั้นล่าง ในตอนนั้นเจฟเห็นพ่อกับแม่ของเขากำลังช่วยกันดับไฟบนตัวจากนั้นทุกอย่างก็มืดดับไป
เมื่อเจฟตื่นขึ้นมาก็พบว่าตัวเองมีผ้าพันไว้ทั่วใบหน้า เขามองอะไรไม่เห็นเลย แต่เขารู้สึกเจ็บที่ไหล่และมีรอยเย็บไปทั่วทั้งตัว เขาพยายามจะยืนขึ้นแต่รู้สึกเหมือนกับมีท่ออะไรบางอย่างอยู่ในแขนของเขา เมื่อเขาพยายามจะลุกมันก็จะล้ม จนพยาบาลรีบเข้ามาห้าม
“ฉันไม่คิดว่าคุณจะสามารถลุกออกมาจากที่นอนได้ตอนนี้นะคะ” เธอพูดพลางจับเจฟให้นอนลง แล้วจัดการเอาสายท่อกลับมาเสียบไว้ที่แขนเหมือนเดิม เจฟนั่งลง เขามองอะไรไม่เห็น ไม่รู้ว่ารอบ ๆ มีอะไรเกิดขึ้นบ้าง จนเวลาผ่านไปเขาก็ได้ยินเสียงของแม่
“ลูกรัก ลูกโอเคใช่ไหม ?” เธอถาม แต่เจฟตอบอะไรไม่ได้ เพราะใบหน้าของเขามีผ้าพันแผลพันอยู่ทั่วจนไม่สามารถพูดได้
“แม่มีข่าวดีนะลูก หลังจากที่พยานบอกกับตำรวจว่าแรนดี้พยายามจะทำร้ายลูก พวกเขาก็ตัดสินใจที่จะปล่อยตัวลิวออกมา” เจฟถึงกับลุกนั่ง จนลืมไปว่ามีท่อเสียบอยู่ที่แขน
“ลิวจะได้ออกมาพรุ่งนี้แล้ว พวกเธอจะได้กลับมาอยู่ด้วยกันอีกครั้ง” แม่ของเจฟกอดเขาก่อนจะกลับ
สองสัปดาห์ต่อมาทุกคนในครอบครัวมาเยี่ยมเจฟอีกครั้ง วันนี้เป็นวันที่หมอจะเปิดหน้าของเจฟ ครอบครัวของเจฟต่างตั้งตารอลุ้นว่าผลจะออกมาเป็นอย่างไร เมื่อหมอค่อยๆ เอาผ้าพันแผลออกจนกระทั่งชิ้นสุดท้าย
“นี่คือดีที่สุดแล้วครับ” หมอบอก แล้วผละตัวออกปล่อยให้ทุกคนมองไปที่ใบหน้าของเจฟ
แม่ของเจฟถึงกับกรีดร้องลั่น ลิวกับพ่อของเจฟถึงกับตะลึง
“อะไร ? เกิดอะไรขึ้นกับหน้าของผมเหรอ ?” เจฟถาม เขาลุกออกจากเตียงเดินไปยังห้องน้ำแล้วมองไปที่กระจก ภาพที่เห็นนั้นเป็นใบหน้าช่างดูสยดสยองเป็นอย่างยิ่ง ปากของเขาถูกไฟลวกจนเป็นสีแดง ใบหน้าของเขาเป็นสีขาวโพลน เส้นผมเปลี่ยนจากสีน้ำตาลกลายเป็นสีดำ เขาค่อย ๆ เอามือลูบไปที่ใบหน้า ความรู้สึกราวกับมันเป็นแผ่นหนังหนา ๆ เจฟมองกลับไปที่ครอบครัวของเขา แล้วก็กลับไปมองที่กระจกอีกครั้ง
“เจฟ... มันไม่แย่นักหรอกนะ…” ลิวพูด
“ไม่แย่อะไรกัน ?” เจฟพูด
“นี่มันดีออก” ทุกคนแปลกใจ เจฟหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง ทุกคนสังเกตเห็นว่าตาและมือของเจฟกำสั่นเทา
“เจฟ.. เธอโอเคไหม ?”
“โอเคอะไร ? ผมไม่เคยมีความสุขแบบนี้มาก่อนเลย” เจฟหัวเราะต่อ
“มองที่ผมสิ ใบหน้าแบบนี้มันช่างเหมาะกับผมจริง ๆ” เจฟหัวเราะไม่ยอมหยุด เขาลูบไล้ไปบนใบหน้าของตัวเอง แล้วก็มองไปที่กระจก นี่มันอะไรกัน ถ้าเราจำได้ว่าช่วงที่เจฟกำลังสู้กับแรนดี้นั้น มันมีบางอย่างเข้ามาในจิตสำนึกของเขา ตอนนี้มันได้ทำให้เจฟกลายเป็นเครื่องจักรสังหารโดยไม่มีใครรู้ไปเสียแล้ว
“คุณหมอคะ” คุณแม่ของเจฟถามหมอ
“ลูกชายของดิฉัน เป็นอะไร ?”
“ครับ อาการนี้เป็นพฤติกรรมของคนไข้ที่ได้รับความกระทบกระเทือนทางจิตใจน่ะครับ แล้วมันจะค่อย ๆ ดีขึ้นในอีกไม่กี่สัปดาห์ อย่าลืมพาแกกลับมาตรวจทางจิตวิทยากันอีกทีนะครับ”
“ได้ค่ะ ขอบคุณมากค่ะคุณหมอ” แม่ของเจฟกลับไปหาเจฟ
“เจฟลูกรัก ได้เวลากลับบ้านเราแล้วลูก”
เจฟมองไปที่กระจก ใบหน้าของเขากำลังยิ้มเหมือนคนบ้า
“โอเคคับแม่” แล้วเจฟก็หัวเราะต่อไป แม่ของเจฟจึงพยุงเขาใส่เสื้อผ้า
“นี่เพิ่งซักมาเลยนะ” แม่ของเจฟพูดขณะที่มองไปที่ชุดกางเกงสีดำ และเสื้อฮูดสีขาวที่เจฟเคยใส่ ตอนนี้มันได้ถูกซักทำความสะอาดเรียบร้อยแล้ว แม่ของเจฟจึงพาเขาไปเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วพาเขากลับไปที่ห้อง จากนั้นก็เดินออกไปโดยไม่มีใครรู้เลยว่าการออกไปครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้ายที่ได้อยู่กับเจฟ
ในคืนนั้น แม่ของเจฟตื่นขึ้นมาเพราะได้ยินเสียงออกมาจากห้องน้ำ มันเป็นเสียงของใครสักคนกำลังร้องไห้ เธอค่อย ๆ เดินไปดู เมื่อเธอมองเข้าไป เธอก็พบกับภาพสุดสยอง เธอเห็นเจฟกำลังใช้มีดกรีดปากของตัวเองจนฉีกยาวไปถึงแก้ม
“เจฟ นั่นลูกทำอะไร !!?”
เจฟมองมาที่แม่
“ผมไม่สามารถจะยิ้มต่อไปได้แล้วครับแม่ มันเจ็บปวดมาก แต่ตอนนี้ผมสามารถยิ้มได้ตลอดไปแล้ว” แม่ของเจฟสังเกตเห็นว่าตอนนี้ดวงตาของเขากลายเป็นวงกลมสีดำไปแล้ว
“เจฟ ตาของลูก !!” ราวกับว่าดวงตาของเจฟตอนนี้ไม่สามารถจะปิดได้อีกต่อไป
“ผมมองไม่เห็นหน้าตัวเองเลยครับ ผมเหนื่อยจากการที่ดวงตามันพยายามจะปิด ผมเลยเผาหนังตาของผมซะ ให้มันมองเห็นหน้าตัวเองได้ตลอดเวลา” แม่ของเจฟค่อย ๆ ผละตัวถอยออกมา มองดูลูกชายอย่างเจ็บปวด
“มีอะไรครับแม่ ผมดูไม่ดีหรือไง ?”
“ใช่ ...ลูกดูดีมาก ให้แม่ไปเรียกพ่อมาดูหน้าลูกหน่อยนะ” เธอพูดจบก็รีบวิ่งกลับไปที่ห้องแล้วปลุกพ่อของเจฟให้ตื่น
“ที่รัก เอาปืนมา เรา… !!” เธอหยุดพูดเพราะเธอเห็นเจฟกำลังยืนอยู่ที่หน้าประตูและในมือ ก็กำลังถือมีดอยู่
“แม่โกหก !!!!!” นั่นเป็นสิ่งสุดท้ายที่พวกเขาได้ยินปากเจฟ เพราะตอนนี้เจฟได้ใช้มีดฆ่าพวกเขาทั้งสองไปเรียบร้อยแล้ว
ลิวน้องชายของเขาตื่นขึ้นมาเพราะได้ยินเสียงเอะอะ แต่ตอนนี้เขาไม่ได้ยินเสียงอะไรแล้ว ลิวจึงหลับตานอนต่อ แต่แล้วเขาก็รู้สึกแปลก ๆ ราวกับว่ามีอะไรบางอย่างกำลังจ้องมองอยู่ เขาเงยหน้ามองขึ้นไป ก่อนที่มือของเจฟจะปิดปากลิวเอาไว้ เจฟค่อย ๆ ใช้มีดเสียบเข้าไปที่ร่างของลิว ลิวดิ้นไปมาและพยายามจะหนีเอาชีวิตรอด
“ชู้ววววว”
“ไปนอนซะ !!”
เรื่องราวของเจฟเดอะคิลเลอร์นั้น เป็นหนึ่งในเรื่องของครีปปี้พาสต้าที่โด่งดังเพราะใบหน้าอันน่ากลัวของเขาที่ไม่มีจมูก ผิวขาวโพลน ไม่มีหนังตา และมีดวงตาเป็นวงแหวนสีดำ โดยภาพของเจฟเดอะคิลเลอร์นั้น ถูกใช้บ่อยมากในอินเตอร์เน็ต อีกทั้งวลีติดหู “ไปนอนซะ !!” ของเขา ก็มีผลทำให้เรื่องราวนี้ เป็นที่รู้จักกันในหมู่นักฟังเรื่องราวน่ากลัวอย่างกว้างขวาง
โดยครั้งแรกที่ภาพของเจฟเดอะคิลเลอร์ได้ถูกใช้นั้น มันถูกโพสต์ลงบนกระดานข่าวของเวบไซต์
“นิวกราวด์” เวบชุมชนคนเล่นเกม โดยสมาชิกที่ใช้ชื่อว่า
“คิลเลอร์เจฟ(killerjeff)” เมื่อเดือนสิงหาคม ค.ศ. 2008 โดยในโพสต์นั้นบอกว่าภาพนี้เป็นของจริง มันเป็นภาพตัวเขาเอง ซึ่งแท้จริงแล้วภาพดังกล่าวน่าจะถูกนำมาตัดต่อจากภาพของคุณแคธี่ โรบินสัน ที่เธอถูกล้อเรื่องน้ำหนักตัวจากสมาชิกเวบไซต์ “4chan” จนต้องฆ่าตัวตายไปในช่วงฤดูใบไม้ผลิของปี ค.ศ. 2008 นั่นเอง
|
แคธี่ โรบินสัน หญิงสาวที่ฆ่าตัวตาย
|
เมื่อวันที่ 3 ตุลาคม ค.ศ. 2008 มียูทูปเบอร์ชื่อว่า “Sesseur(เซสซอร์)” ได้ทำการอัพโหลดวิดีโอนำเสนอครีบปี้พาสต้าเกี่ยวกับตัวละครนี้ โดยคลิปนี้สามารถทำยอดวิวได้เกิน 8 แสนวิว ในช่วงเวลา 8 ปี ซึ่งถือว่าเป็นครั้งแรกที่มีการใช้ภาพประกอบเรื่องเล่าด้วยภาพตัวละคร
เรื่องราวของเจฟเดอะคิลเลอร์จึงได้ถูกพูดถึงเป็นอย่างมาก ทั้งในเว็บไซต์ครีบปี้พาสต้าวิกิ และบนเวบไซต์ครีบปี้พาสต้าเอง ต่อมายูทูปเบอร์ชื่อ “MrCreepyPasta” ก็ได้เล่าเรื่องนี้ลงในคลิปของเขา สร้างปรากฏการณ์ยอดคนดูสูงถึงสี่ล้านคนภายในสี่ปี และปัจจุบันก็มียอดผู้ชมถึงห้าล้านวิวไปเรียบร้อยแล้ว และก็มีนักแรพแบทเทิล ทำเพลงแรพเจฟเดอะคิลเลอร์แบทเทิลกับสเลนเดอร์แมนขึ้นมา พวกเขาสามารถทำยอดผู้ชมได้เกือบถึง 60 ล้านวิวเลยทีเดียว
และมีเวบไซต์ชื่อ “anne.jpg” ได้ทำภาพของเจฟเดอะคิลเลอร์มาใส่ประกอบเป็นเสียงปืนเมื่อวันที่ 9 กันยายน ค.ศ. 2008 จนเวลาผ่านไป 8 ปี เวบไซต์ดังกล่าวก็มีผู้เข้ามาเยี่ยมชมมากถึง 23 ล้านครั้ง และเวบไซต์ “Urban Dictionary” ก็ได้บันทึกเรื่องราวนี้ไว้ในวันที่ 30 กรกฎาคม ค.ศ. 2013 นี่เอง
ส่วนในประเทศไทย ก็ได้นำเรื่องราวของเจฟเดอะคิลเลอร์มานำเสนอกันอย่างมากมาย ทั้งภาพวาด การ์ตูน และคลิปบนยูทูป รวมถึงดัดแปลงแต่งเติมเรื่องราวเพิ่มเข้าไป จนกลายเป็นเรื่องราวที่มีผู้ได้พบเจอบางท่านเข้าใจว่ามันเป็นเรื่องจริงไปเลยก็มี และนอกจากจะมีการนำเสนอเรื่องราวแล้ว ความนิยมของเจฟเดอะคิลเลอร์ในประเทศไทยนั้น ก็มีเหล่าวัยรุ่นได้สร้างเกมคำถามสนุก ๆ เอาไว้บนเวบไซต์เด็กดีด็อตคอม เกี่ยวกับเรื่องนี้เป็นจำนวนมากอีกด้วย
สำหรับเรื่องราวของเจฟเดอะคิลเลอร์ที่มิติที่ 6 ได้นำมาเล่านั้น เราได้แปลมากจากต้นฉบับภาษาอังกฤษโดยตรงจึงทำให้ทราบได้ว่า เรื่องนี้เป็นเพียงนิยายออนไลน์เท่านั้น ไม่ได้เป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นจริงแต่อย่างใด และเมื่อเราได้ทราบความจริงกันไปแล้ว มิติที่ 6 ก็อยากจะบอกกับท่านผู้ชมว่า เวลาที่มีใครนำเรื่องราวนี้มาเล่ากันในวงสนทนา ก็จงอย่าได้ไปทำอะไร ที่จะไปขัดขวางการเล่าเรื่องนี้เลยจะดีกว่านะครับ เพราะว่าความจริงนั้น มันช่างไม่มีเสน่ห์เอาเสียเลย !!
อย่าลืมติดตามรายการศุกร์สยองขวัญ ที่จะพาท่านผู้ชมไปพบกับเรื่องราวเบา ๆ กันได้ทุกวันศุกร์สะดวก กับเรื่องลี้ลับสยองขวัญที่ถูกเล่าขาน และร่วมไขปริศนานั้นไปพร้อม ๆ กันกับพวกเรา มิติที่ 6 ครับ
แปลและเรียบเรียง นิวัฒน์ อ่ำแสง
ที่มา