6 เมษายน 2561

มิติที่ 6 | NES Godzilla Creepypasta/Chapter 1 - 3 !!!


เนสก็อตซิลล่า (NES Godzilla Creepypasta)

กดเพื่อดูบนยูทูป

มิติที่ 6 ศุกร์สยองขวัญ กับเรื่องราวเบา ๆ ในวันศุกร์สะดวกสัปดาห์นี้ เราจะเล่าเรื่องราวของมัน เรื่องราวของเกมบนเครื่องแฟมิคอมเกมนั้น เราจะเล่ามันจบภายในกี่วัน ก็คงต้องมารอชมกันดีกว่า ว่าเรื่องนี้... มันคืออะไรกันแน่ !?

Chapter 1: Earth & Mars

เมื่อตอนที่ผมเป็นเด็ก มันมีสองสิ่งที่ผมชอบที่สุด นั่นก็คือก็อดซิลล่าและเครื่องเกมแฟมิคอม นั่นก็เลยทำให้ตอนเกมก็อตซิลล่า ภาคมอนส์เตอร์ออฟมอนส์เตอร์ออกวางขาย ผมนี่รู้สึกเหมือนฝันเป็นจริงเลยล่ะ ผมยังจำได้..ส่วนใหญ่ของเกมคือการเดินหมากและผ่านด่าน ฉากนอกโลกก็ต้องเจอกับรถถังและเครื่องบินมากมาย แถมยังได้ต่อสู้แบบตัวต่อตัวกับศัตร์ของก็อดซิลล่า ที่มองรวม ๆ แล้ว มันก็ดูเหมือนจะเยอะเกินไปหน่อย แต่ผมไม่สนหรอก พอผมได้ของขวัญวันเกิดเป็นเกมนี้ตอนสิบขวบ ผมก็เล่นมันทั้งวันทั้งคืนเลยละ

แต่ที่น่าเสียดายก็คือ เมื่อปีก่อนผมดันเอาเกมนี้ไปแลกกับเกมอามากอน มันทำผมเสียความรู้สึกมาก หลังจากที่รู้ว่าเกมมันไม่ได้เจ๋งเหมือนกับหน้าปก และเมื่อเร็วๆ นี้ผมเพิ่งซื้อเครื่องแฟมิคอมตัวใหม่มา โดยหลังจากการตามหากับถามเพื่อนไปทั่ว บิลลี่เพื่อนของผม เขาก็ช่วยหาตลับเกมก็อดซิลล่าภาคนี้มาให้ผมจนได้
ผมเองก็ดีใจมากที่เขาเจอมัน เกมสุดยอดแห่งวัยเด็กของผม แต่ผมก็ไม่เคยถามบิลลี่ว่าเขาไปเจอมันจากที่ไหน ? จะว่าไปแล้วเขาก็เคยหาเกมให้ผมมาแล้วหลายเกม อย่าง Legend of Zelda, Bomberman ไม่เว้นแม้แต่เกมกาก ๆ แบบ Action 52 แต่กับก็อดซิลล่านี่ถือเป็นเกมแรกที่ใช่สุด ๆ
พอผมเปิดเกมมาเล่น ความหลังมากมายก็หลั่งไหลกลับมาเหมือนคลื่นลูกใหญ่ เพลงธีมก็อตซิลล่า 8 บิตที่สาดออกมาจากลำโพง มันทำให้ผมรู้สึกดีจริง ๆ นะ ถึงมันดูงี่เง่าก็เถอะ เพื่อนบางคนก็หัวเราะเยาะที่ผมยังเล่นเกมยุคดึกดำบรรพ์ขนาดนี้เหมือนกัน แต่ผมก็ไม่เคยรู้สึกเลยว่าอะไรมันจะดีกวาเกมแฟมิคอม คือผมว่ามันเล่นง่ายแล้วก็ปลอดภัย จนกระทั่งมาเจอเกมตลับนี้ผมก็ไม่เหลือความรู้สึกดี ๆ แบบนั้นอีกเลย
คือผมเกือบจะลืมไปแล้วว่าก็อดซิลล่าเกมนี้มันเป็นแบบไหน ตัวเกมจะยิงถล่มคุณด้วยระเบิดและกระสุนมากมาย เรียกได้ว่ามาครบแทบจะทุกทิศทาง แถมตัวเล่นของเราก็ใหญ่พอที่จะต่อต้านมันได้สบาย พอเล่นไปยังไม่ทันไรผมก็ได้เจอกับบอสตัวแรกซะแล้ว
ตัวแรกนี่มันคือกีโซร่า หมึกยักษ์ไคจูที่ไม่เคยได้เจอในหนังโรง !
สิ่งที่น่าเบื่อของเจ้านี่ก็คือ มันมักจะต้อนเราเข้ามุม แล้วก็เอาหนวดของมันมาซัดใส่เรา ที่ร้ายกว่านั้นก็คือ เราจะขยับตัวไม่ได้จนกว่ามันจะออกห่างไป แต่ถึงมันจะทำให้เราบาดเจ็บไม่ได้ มันก็จะหลอกล่อเราจนเวลาหมด แล้วการต่อสู้ก็ต้องเริ่มใหม่ แถมพลังของมันก็จะกลับเพิ่มขึ้นมาเหมือนเดิมด้วย
แต่ทีนี้มันเหมือนมีบางอย่างผิดไป บางทีมันอาจจะเป็นจุดผิดพลาดก็เป็นได้ มันโจมตีผมไม่ยอมหยุด เวลาสำหรับต่อสู้ก็มาหยุดตรงที่วินาทีที่ 40 ทั้ง ๆ ที่ตอนนี้มันผ่านไปแล้วตั้ง 5 นาที หน้าจอก็เริ่มเละเทะไปจนเป็นแบบนี้...
Gezoraglitch-1


นั่นจึงทำให้ผมดึงตลับเกมออก จากนั้นก็เป่าลมเข้าไปตามสูตรพิเศษของชาวร็อค เสียบเกมแล้วเล่นใหม่อีกรอบ คือผมไม่ยอมเล่นเกมต่อทั้ง ๆ ที่ตลับสกปรกแน่ ๆ และก็จริง ๆ พอเริ่มเล่นใหม่ ผมก็เอาชนะเจ้ากีโซร่า รวมไปถึงบอสอย่างเจ้าโมเกร่าไปได้แบบไร้ปัญหา
แล้วผมก็ได้เข้าสู่ดาวดวงต่อไปคือดาวอังคาร ผมเดินไปทั่วกระดานแล้วก็ได้เจอบางอย่างที่เหนือความคาดหมาย อย่างเช่นจุดที่เจ้าวารานมันควรจะอยู่ มันกลับมีเจ้าไททาโนซอรัสมายืนอยู่แทนได้ยังไง คือในเกมมันไม่มีเจ้านี่นะ ไหนจะไคจูเป็นสิบตัวนั่นอีก หรือจริง ๆ ไททาโนซอรัสมันมีอยู่ในเกมอยู่แล้ว แต่ถูกเอามาสลับกับเจ้าวารานเพราะอะไรบางอย่างหรือเปล่า ?
Titanosaurusboard-1


นั่นก็เลยทำให้ผมรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมา เพราะนี่มันไม่ใช่แค่เกมโปรดของผม แต่นี่ผมกำลังเล่นเกมต้นแบบที่มีมอนสเตอร์ตัวใหม่อยู่ในเกมด้วย พูดมากไปก็เสียเวลา ผมจึงรีบเล่นเลเวลนี้เพื่อจะได้เห็นว่าเจ้าไททาโนซอรัสมันเป็นยังไงดีกว่า
ผมต้องสู้กับเจ้ากีโซร่าอีกรอบ ซึ่งผมก็ซัดมันได้ก่อนที่หนวดของมันจะเข้าโจมตี แล้วตอนนี้กลิทช์ในเกมมันก็กลับมาหลังจากที่มันตาย เจ้ากีโซร่าไม่ร่วงลงไปที่มุมจอตามที่ควรเป็น แต่มันกลับโดนกลิทช์จนรูปร่างเละเทะไปหมด แถมดวงตาของมันก็โผล่ขึ้นมาจนเต็มไปทั่วจอด้วย
Gezoradeath-1
ผมรู้เลยว่านี่คือสัญญาณบอกว่ามีบางอย่างผิดปกติในเกมแล้ว แต่ผมเลือกที่จะไม่สนใจดีกว่า เพราะตอนนี้ผมอยากเล่นเกมต่อไปข้างหน้า ว่าแล้วผมก็เข้าไปซัดกับเจ้าโมเกร่าทันที และก็เช่นกัน..หน้าจอมันผิดปกติไปเป็นแบบนี้
Moguerabig-1


เจ้าโมเกร่ามันตัวใหญ่ขึ้นกว่าปกติถึงสองเท่า มันทำให้ผมตะลึงเพราะนี่คงไม่หมูซะแล้ว แต่สุดท้ายผมก็ปราบมันได้อยู่ดี แต่ทีนี้พอมันตายหน้าจอก็เกิดกลิทช์ขึ้นมาอีก
Mogueramelt-1


มันเกิดขึ้นเร็วมากก็จริง แต่ผมก็สามารถจับภาพในเกมเอามาให้ดูได้แบบนี้ ว่าแต่..มันเกิดอะไรขึ้นกับเจ้าโมเกรายักษ์กันแน่ ? ตอนนี้มันดูทั้งแตกทั้งละลาย และถ้ามองไปที่ข้อความตรงมุมขวาบนของจอ เราก็จะเห็นได้ว่าตอนนี้มันกลายเป็นรูปนกในกรงไปเสียแล้ว ซึ่งผมก็ไม่เข้าใจว่ามันคืออะไรอยู่ดี
แล้วผมก็ได้เข้ามาซัดกับเจ้าไททาโนซอรัส ซึ่งผมก็ยังคงกังวลว่าจะได้เจอกลิทช์แบบไหนอีกหรือเปล่านะ ? ซึ่งผมก็แปลกใจตรงไททาโนซอรัสนี่ไม่มีอะไรผิดปกติ ทุกอย่างดำเนินไปอย่างที่ควรเป็น ตัวมันสูงกว่าเรานิดหน่อย เพราะในหนังมันก็สูงกว่าก็อดซิลล่าอยู่แล้ว ผมว่านี่มันเจ๋งไปเลย !
Titanfight-1
พอการต่อสู้กับบอสที่ไม่เคยเห็นมาก่อนจบลง ผมก็กลับมาสู้กับพวกศัตรูปกติไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งถึงดาวพฤหัส ผมก็เจอกับเจ้าตัวไม่ปกติอีกครั้ง ที่นั่นมันก็คือฉากเพโธส
Pathos-1

-----------------


Chapter 2: Pathos

เพโธสมันดูเหมือนกับฉากดาวพฤหัสที่ไม่เหมือนกันก็คือตัวแผนที่ มันเป็นสีน้ำเงินเข้มมากกว่าสีเขียว สิ่งแรกที่ผมสังเกตเห็นก็คือ ไอคอนทุกตัวถูกเปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินกับสีส้มเท่านั้น ส่วนสัตว์ประหลาดที่เห็นมีมาใหม่ก็คือ ฮีโดร่า และบิโอลันเต้


Biollanteboard
แต่ละเลเวลที่ผมเข้าไปเล่นมันดูผ่านไปได้ช้ากว่าที่ควร เรียกว่าช้ากว่าเพลงที่เล่นในฉากหลังอีก และทุก 12 วินาที ผมจะต้องได้ยินเสียงอะไรกระแทกดังขึ้น สักพักเพลงก็ค่อย ๆ เร็วขึ้น บางทีคนแต่งเพลง อาจจงใจใส่เพลงหลายเพลงไว้ในฉากนี้หรือเปล่าก็ไม่รู้
ผมบังคับก็อดซิลล่าเดินเข้าไปในเลเวลสีน้ำเงิน ในฉากจะมีภูเขาสีน้ำเงินเป็นแบ็คกราวด์ บนท้องฟ้าจะมีดวงดาวสีแดงลอยอยู่ มีบางจุดที่ดูเหมือนจะเป็นกลิชให้เห็นด้วย แต่ตอนนี้ผมมาไกลเกินกวาจะไปสนใจมันแล้ว


Bluemountains


สักพักผมก็รู้ว่าเลเวลพวกนี้ มันไม่มีศัตรูออกมาให้เห็นเลยสักตัว แต่ถึงจะเห็นว่าไม่มีอะไรแบบนั้น ผมกลับสังเกตได้ว่าแถบพลังของผมกำลังค่อย ๆ ลดลงไปทีละนิด ซึ่งผมก็พยายามไม่สนใจมันมากนัก
พอผ่านมาได้ผมก็เลยเข้าไปในเลเวลสีส้มดูบ้าง ฉากนี้มันแปลกอยู่นิดหน่อยเพราะบนท้องฟ้ามันมีลักษณะเดียวกันกับที่บนพื้น ซึ่งผมก็เข้าใจว่าคนออกแบบเกม คงอยากทำให้มันดูเหมือนกำลังเดินอยู่ในถ้ำก็เป็นได้


Yuck
ที่นี่มีศัตรูเพียงแบบเดียว มาตังโก้สพาวน์มันลอยอยู่ทั่วไป เพลงประกอบก็ไม่ได้ช่วยอะไร เสียงกลองก็ดังยังกับหนังผี พอผ่านมาได้ผมก็พยายามหลีกเลี่่ยงที่จะเข้าไปเล่นในด่านสีส้มนี้ตลอด


ในแผนที่ก็สั้น นั่นก็เลยทำให้ผมใช้เวลาไปไม่มากเท่าไหร่ ก่อนที่จะต้องไปเจอกับเจ้ากีโซราและโมเกรา เพียงแต่ตอนนี้ภาพในเกมมันจะดูแปลกไปกว่าเดิมมาก
คือผมได้เจอโมเกราก่อน และผมก็สังเกตเห็นเครื่องช่วยบินถูกเปลี่ยนไป จนดูเหมือนกับของพาสคากุลาเลยทีเดียว รูปแบบการต่อสู้ก็เหมือนกับม็อธรา นั่นก็คือการขยับไปมาด้วยทีท่างดงาม มันโจมตีด้วยการใช้หนวดข้างหน้าควงสว่าน ที่ดวงตายังคงปล่อยแสงได้เหมือนเดิม แถมมันยังสามารถยิงแสงออกมาจากปลายปากสว่านได้ด้วย
Weirdmoguera


พอต้องเข้ามาสู้กับกีโซรา ที่นี่ก็มีสัตว์ประหลาดตัวใหม่เข้ามาแทรกในการต่อสู้ มันวิ่งและกระโดดเร็วมาก แถมยังเหวี่ยงแขนไปมาจนทำให้เข้าใกล้ได้ยากขึ้นด้วย แน่นอนว่ามันพยายามต้อนผมให้จนมุม จนผมว่ามันน่าเบื่อมากที่สุดจริง ๆ แต่ผมก็ปราบมันได้ด้วยการใช้หางฟาด ร่วมกับปล่อยแสงจากปากนั่นแหละ
Weirdgezora


พอเอาชนะมันได้ผมก็เข้ามาสู้กับไททาโนซอรัส แต่พอเริ่มการต่อสู้มันก็ไม่รู้ไปอยู่ที่ไหนอีก ตัวเกมตัดหน้าจอกลับไปที่แผนที่ ทำให้ผมเห็นว่ามันไม่อยู่ที่นี่อีกต่อไปแล้ว
สิ่งที่เหลือตอนนี้มีแต่เจ้าบิโอลันเต้ มันทำให้ผมแปลกใจด้วยการโจมตีจากสภาพที่ยังเป็นดอกไม้แบบนั้น มันเคลื่อนที่ไม่ได้แต่ใช้หนวดของมันเป็นตัวป้องกัน นั่นก็เลยทำให้ผมต้องบาดเจ็บหนักเพราะมันมากกว่าตัวอื่น
Rosefight
พอสู้ไปได้สักพักมันก็เป็นอย่างที่คิด มันแปลงร่างเข้าสู่ร่างสุดยอด รูปร่างของมันดูดีมากสำหรับเครื่องเกมโบราณแบบนี้
Biolfight


แต่การโจมตีของมันยังไม่เปลี่ยน ที่เพิ่มมาก็คือตอนนี้มันขยับตัวได้แบบช้า ๆ พอโดนมันโจมตีผมก็เห็นได้ชัดว่ามันทำให้ผมเจ็บหนักมากขึ้นด้วย และอีกอย่างที่มันทำได้ก็คือการพ่นน้ำลายพิษใส่ ซึ่งผมก็จัดการกับมันด้วยการกระโดดหลบไปแบบนี้
Biolacid
ก็ถือว่าไม่ยากเท่ากับเจ้าไททาโนซอรัส ผมใช้เวลาไปเพียงแค่ 2 ยก เจ้าบิโอลันเต้ก็หนีไปเลย พอออกมาที่แผนที่ทุกอย่างก็เงียบไปหมด ผมสังเกตเห็นเครื่องหมายแปลก ๆ ที่ไม่เคยเห็นมาก่อนอยู่ที่ตรงนั้นด้วย
Redboard


ก่อนที่จะเข้าไปสู้กับบิโอลันเต้ ผมยังไม่เห็นอะไรแบบนี้เลยนะ มันดูเหมือนหน้ากากชาวป่าสีแดง ที่ยิ่งมองก็ยิ่งน่ากลัวจริง ๆ แต่ถ้าผมไม่ยอมเจอกับมัน ผมก็จะไม่สามารถออกจากฉากเพโธสไปได้แน่ ๆ คิดได้แบบนั้นผมจึงพาก็อดซิลล่าเดินไปยังเลเวลนี้ทันที
Run


ในฉากนี้มันดูเหมือนกับอยู่ในนรก ไม่มีทองฟ้า ข้างล่างก็มีไฟติดอยู่บนพื้น แถมมันยังดูดีเกินกว่าจะเป็นไฟจากเครื่องเกมแฟมิคอม เพลงประกอบก็เล่นช้า ๆ เสียงกลองก็ฟังดูเหมือนเสียงหัวใจเต้น
ข้อความบอกสถานะด้านบนก็หายไปหมด เหลือตัวอักษรอยู่ที่ตรงกลางข้างบนสุดเขียนว่า “วิ่ง” ตอนนี้ความรู้สึกของผมมีแต่ความกลัว ผมรีบเดินไปข้างหน้าให้มันออกจากที่นี่เร็ว ๆ แต่ดูเหมือนมันจะไม่มีศัตรูอะไรสักตัวอยู่ที่นี่ จนเวลาผ่านไปเป็นนาทีผมก็นึกถึงคำว่าวิ่งบนนั้นมันคืออะไร ? หรือมันจะหมายถึงวิ่งหนีจากอะไรหรือเปล่า ? แล้วมันก็เริ่มโจมตีทั้ง ๆ ที่ผมมองไม่เห็นว่ามันคืออะไร ?
และตอนนั้นจู่ ๆ นอกห้องของผมก็มีเสียงแปลก ๆ ดังขึ้นมาด้วย พอผมหันหลังไปดูว่ามีอะไรแค่แป๊บเดียว หันกลับมาเจ้าก็อดซิลล่าของผมก็ตายไปเสียแล้ว เมื่อกี้ที่ผมเห็นมันคงจะเป็นกลิทช์แน่ ๆ นั่นก็เลยทำให้ผมรีบจดพาสเวิร์ตเกมก่อนที่จะเริ่มเล่นอีกครั้ง
พอเข้ามาที่หน้าใส่พาสเวิร์ดผมก็ต้องแปลกใจไปอีกรอบ เพลงที่เล่นอยู่มันคืออะไรกันเนี่ย ? มันไม่ได้เข้ากันกับเกมเลยแม้แต่น้อย นี่มันเพลงจากเกมสยองขวัญชัด ๆ บางทีคนทำคงคิดว่าพวกเด็ก ๆ คงไม่รู้ ว่าเขาแอบมักง่ายกับฉากตรงนี้หรือเปล่า ? อีกอย่างที่ผมไม่ชอบก็คือ ถ้ากรอกพาสเวิร์ดเสร็จผมจะได้กลับมาที่ฉากล่าสุดก็จริง และผมคงจะต้องเล่นทุกอย่างใหม่หมดแหง ๆ แต่พอเอาเข้าจริง ๆ ตัวเกมกลับพาผมมาอยู่ตรงเลเวลหน้ากากสีแดงนั่นเลย แบบนี้ก็ดีสิ ! ว่าแล้วผมก็รีบบุกเข้าไปในฉากเมื่อสักครู่ทันที
พอเข้าไปผมก็ได้ยินเสียงโทนต่ำดังขึ้น จากนั้นผมก็เห็นมัน... ตัวอะไรกันเนี่ย ?


คุณพอจะนึกภาพตอนตัวเองตกอยู่ในอันตรายออกไหม ? ความรู้สึกหนาววูบจนเสียวสันหลัง นั่นแหละสิ่งที่ผมกำลังเป็น และผมก็ได้จับภาพของมันมาให้ดูด้วย
Hellbeast1


ผมไม่เคยเห็นเจ้านี่ในหนังเรื่องก็อดซิลล่าภาคไหน ๆ มันดูเหมือนจะถูกสร้างขึ้นมาใหม่ ไอ้ของแบบนี้มาอยู่ในเกมสำหรับเด็กได้ยังไงกัน ?
Hellbeast2


แต่ที่แน่ ๆ ตอนนี้ผมต้องวิ่งหนีใช่ไหม วิ่งให้ไวมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เจ้านี้มันวิ่งเร็วมาก เร็วจนทำให้ผมรู้เลยว่าการหนีตายมันเป็นยังไง เพราะถ้าเราหนีมันไม่พ้นมีหวังคงได้ตายเพราะถูกมันแตะทีเดียวแหง ๆ
พอรอดมาได้ผมก็รีบปิดเครื่องเกมทันที ไม่อยากเชื่อเลยว่าสิ่งที่เห็นเมื่อกี้มันเพิ่งเกิดขึ้นกับผมจริง ๆ
ผมกลับมานั่งพิจารณาอีกครั้งว่า ถ้าผมอยากจะเล่นต่อก็ควรจะใช้ม็อธราเพื่อบินหนีไปเลยจะดีไหม แล้วผมก็กลับมานั่งนิ่งอยู่หน้าแผนที่อีกหลายนาที ตอนนี้ความหวาดกลัวกลายเป็นความอยากรู้ มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ? เกมนี้มันคืออะไร ? สิ่งที่ควรทำตอนนี้ก็คือผมต้องใช้ม็อธราเพื่อบินยิงยาวไปยังดาวดวงต่อไปแบบไม่ต้องไปยุ่งกับเจ้านั่นให้เสียเวลาดีกว่า
Trance

-----------------


Chapter 3: Trance

ตอนนี้ผมมาอยู่ในแผนที่ชื่อแทรนส์ เพลงในฉากไม่ได้ช่วยอะไรให้ดีขึ้นเลย จะให้อธิบายยังไงดี..เอาเป็นว่าข้ามไปเลยดีกว่า


ผมรีบดูว่ามีสัตว์ประหลาดตัวใหม่อยู่ตรงไหน มันมีเจ้าออร์ก้าสัตว์ประหลาดที่ไม่ได้เข้าหนังโรงในปี ค.ศ. 2000 แต่ได้มาอยู่ในเกมตอนปี ค.ศ. 1988 เนี่ยนะ ! มันเป็นไปไม่ได้ !.. ก็เกมนี้มันมาก่อนเจ้านี่จะมีไม่ใช่เหรอ
Trance2


คนในสตูดิโอของโตโฮคงฉลาดมาก ผมมั่นใจว่าพวกเขาไม่น่าจะรู้อนาคตได้ และถ้าเขารู้เขาก็คงไม่ยอมให้โรแลนด์เอ็มเมอริช เอาก็อดซิลล่ามาย่ำยีจนเละเทะแบบนั้นหรอก
แต่นี่อาจจะเป็นการแฮ็กรอมหรือเปล่า ? ถ้าเป็นแบบนั้นใครจะเป็นคนทำ !? ทำเมื่อไหร่ !? ทำยังไง !? ทำไปทำไม !? คำถามมันก็ตามมาจนรกสมองไปหมด
มีแว่บนึงที่ผมคิดว่าบางทีคนที่แฮ็กรอมมันอาจจะเป็นเจ้าบิลลี่เพื่อนผมรึเปล่า ? เขาคงอยากจะแกล้งผมก็ได้ แต่ว่ามันไม่มีทางแน่ ๆ เพราะบิลลี่ไม่มีทางรู้วิธีแฮ็กรอมได้ขนาดนั้น นี่มันเป็นการปรับเปลี่ยนไปจนถึงระบบเกม แถมยังยัดรอมกลับลงไปในตลับเสียด้วย มันไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ ที่จะทำแน่นอน !


แต่ผมก็ต้องวางความสงสัยแบบนั้นเอาไว้ก่อน ตอนนี้ผมกำลังมองไปที่แผนที่ เจ้าเครื่องหมายอัศเจรีย์นั่น มันเอาไว้ทำอะไรกันแน่นะ ?
Trance1

ผมรู้ว่าคุณก็คงสงสัยเหมือนกัน ผมเลยขออธิบายว่ามันคือเลเวลคำถามนั่นเอง พอเข้าไปดูมันก็เป็นแบบนี้...
Likedogs
ก็อย่างที่เห็น คำถามมันอยู่ข้างบน ส่วนข้างล่างมีปุ่มใช่กับไม่ใช่ ส่วนข้างบนตรงกลางนั่นก็คือรูปใบหน้า ที่ผมคิดว่ามันน่าจะเป็นคนตั้งคำถาม
เพลงในฉากนี้ไม่มีอะไรผิดปกติ มันคือเพลงที่เราควรจะได้ยิน ตอนเราใช้สูตรลับว่า "Gh1d0ra" เพื่อจะได้เข้าไปเล่นในฉากลับนั่นเอง
เจ้าใบหน้าตรงกลางนั่นมันจะตั้งคำถามกับคุณ 12 ข้อ ซึ่งเราจะต้องบังคับให้ก็อดซิลล่าเป็นตัวเลือกคำตอบ พอตอบไปคำถามก็จะหายไป ส่วนใบหน้านั่นก็จะเปลี่ยนอิริยาบถไปพักหนึ่ง จากนั้นมันก็จะกลับมาเป็นหน้าแบบนั้นเพื่อถามคำถามใหม่ โดยไม่มีการจำกัดเวลาและไม่มีผลว่าจะตอบถูกหรือเปล่าด้วย
บางคำถามก็ถามแบบไม่คิดถึงคนตอบ อย่างถามว่าคุณชอบทำร้ายคนไหม ? คุณเคยก่ออาชญากรรมหรือเปล่า ?


บางทีก็มีคำถามที่ไม่น่าถามอย่างเช่น ดวงอาทิตย์ร้อนไหม ? น้ำเปียกหรือเปล่า ?


โดยการแสดงสีหน้าของเจ้าตัวที่อยู่ด้านบนนั่น ดูเหมือนมันจะไม่มีผลอะไรกับเกมเลย บางทีคนที่ทำมันขึ้นมา คงแค่เอาคำถามมายัดไว้ให้ตอบกันเล่นแหง ๆ
Express1
Express2-1


คือผมว่าเราอย่าเสียเวลากับตรงนี้เลย มาดูที่ตัวเกมฉากต่อไปดีกว่า คือตอนนี้ผมได้ลองเข้าไปในไอค่อนฉากสีเขียวแล้ว
Greentemple


ค่อยรู้สึกเหมือนอยู่ในเกมขึ้นมาหน่อย คนออกแบบฉากทำได้น่ากลัวมาก เพลงในฉากก็ฟังดูหลอนเหมือนจะสะกดจิตเราได้เสียด้วย


ที่นี่มีศัตรูใหม่อยู่สองชนิด นั่นก็คือผีบินกับค้างคาวหน้าเป็นโครงกระดูกม้า มันโผล่มาแบบมั่วไปหมด แต่ผมก็จับภาพพวกมันไว้ได้ภายในภาพเดียวกันแบบนี้
Greentempleenemy
พอมาถึงฉากภูเขาสีน้ำเงินมันก็ดูค่อนข้างดีมาก ผมเดินไปเรื่อย ๆ จนมาเจอกับเซอร์ไพรซ์เป็นเจ้านี่อีกครั้ง
Notmogueraattack
เจ้าโมเกราที่ไม่ใช่โมเกร่าตัวนี้ มันพุ่งตรงเข้ามาโจมตีผมตรง ๆ พลังของผมลดลงไปไม่มาก ผมใช้เวลาปราบมันไปประมาณสองนาที โดยไม่ต้องห่วงว่าเวลาจะหมดที่ตรงจุดนี้ แต่ปกติพวกตัวบอสมันจะไม่โผล่มาที่ฉากเดินไม่ใช่เหรอ นั่นก็เลยทำให้ผมเริ่มกังวลกับกฏในเกมที่เปลี่ยนไปซะแล้ว


หลังจากผ่านฉากนั้นมาได้ ตอนนี้ก็คือเวลาสู้กับเจ้าวารานที่ไม่ใช่วาราน เพราะมันกลายเป็นตัวอะไรสักอย่างแบบนี้นั่นเอง
Notvaran
เจ้านี่มันโจมตีผมด้วยการเตะ และก็สามารถกางหน้าอกเพื่อยิงมิสไซล์ความร้อนได้ด้วย อะไรกันเนี่ย !?
Notvaranmissile
วิธีจัดการก็แค่ใช้หางฟาด ซึ่งผมก็สามารถเอาชนะมันไปได้ไม่ยากสักเท่าไหร่ ส่วนตัวต่อไปที่ผมจะต้องสู้กับมัน ก็คือเจ้าฮีโดร่าที่ไม่ใช่ฮีโดร่าอีกนั่นแหละ
Nothedorah


หน้าตามันดูคล้ายกับเจ้าค้างคาวหน้าม้าที่เพิ่งพบมา มันถือว่าเป็นอีกตัวที่สู้ด้วยค่อนข้างยาก มันมีความสามารถพิเศษอย่างเช่น มันสามารถเรียกฝูงค้างคาวหน้าม้าให้มาช่วยโจมตีเราได้
Nothedorah2
พอผ่านมันไปได้ ผมก็เข้าไปในฉากเครื่องหมายสีเขียวเพื่อเก็บพลังให้เต็ม ที่นี่ไม่มีเจ้าค้างคาวหน้าม้าแล้ว คงเพราะผมเพิ่งจัดการตัวหัวหน้ามาได้ล่ะมั้ง
และผมก็พบความจริงอย่างหนึ่งว่า ถ้าผมจัดการสัตว์ประหลาดได้จนหมด เจ้าเครื่องหมายหน้าสีแดงมันก็จะปรากฏขึ้น นั่นก็เลยทำให้ผมหลีกเลี่ยงที่จะสู้กับเจ้าออร์ก้า แล้วรีบเดินหน้าไปที่ฐานทัพดีกว่า
Trance3  Wontwork
พอมาถึงตรงนี้ตัวเกมก็บอกว่าไม่มีสัตว์ประหลาดอยู่ที่นี่ แล้วเกมมันก็บังคับให้ผมไปเจอกับออร์ก้าทันที นั่นก็เลยทำให้ผมต้องสู้กับมันอย่างเลี่ยงไม่ได้
Confrontingorga
การต่อสู้กับมันทำให้ผมแน่ใจได้ว่า ไม่ว่าใครที่แฮ็กรอมเกมนี้ เขาจะต้องเป็นแฟนพันธุ์แท้ก็อดซิลล่าอย่างแน่นอน เพราะเจ้าออร์ก้าตัวนี้มันโผล่ขึ้นมาในหนังหลังจากเกมนี้วางขายเป็นสิบปี
Orgalaser
มันสามารถโจมตีเราได้ด้วยการต่อย และการปล่อยแสงความร้อนออกมาจากหัวไหล่ และถ้าเราโจมตีจนพลังมันเหลือแค่ครึ่งนึงได้ มันก็จะเริ่มมีการโจมตีแบบใหม่ขึ้นมา มันอ้าปากจนกว้างมากพอ ที่จะกินก็อดซิลล่าเข้าไป ซึ่งถ้ามันทำได้พลังของเราจะถูกขโมยไปกลายเป็นของมันด้วย
Orgaeat
แต่ก็ยังดีที่ตอนนี้มันได้เปิดจุดอ่อนให้ผมเห็น คือผมสามารถพ่นไฟใส่ในปากของมัน ส่งผลทำให้พลังของมันลดลงได้เช่นกัน และนั่นก็เลยทำให้ผมสามารถปราบมันได้สำเร็จ จนพอออกจากตรงนั้นมาได้ เพลงฉากหลังก็เงียบลงทันที และตอนนี้ที่แผนที่ก็ปรากฏไอค่อนหน้ากากสีแดงขึ้นอีกครั้ง
Trancered


ตอนนี้ผมพร้อมมาก นั่นจึงทำให้ผมรีบเข้าไปในฉากนั้นทันที แล้วผมก็ได้เห็นเจ้าสิ่งนั้นอีกครั้ง ช้าไม่ได้เสียแล้ว ผมต้องรีบย้ายก้นเจ้าก็อดซิลล่าให้ออกวิ่งทันทีจะดีกว่า
แต่ทีนี้เส้นทางมันกลับไม่ได้ง่ายเหมือนคราวก่อน มันมีอุปสรรคขวางทางวิ่งหนีของผมเยอะมาก บางชิ้นก็ลอยอยู่กลางอากาศ แต่ก็ยังดีที่ผมสามารถกระโดดข้ามมันไปได้ทุกอัน
จนผ่านไปสักพักผมก็เริ่มได้ยินเสียงคำรามของเจ้านั่น ผมเรียกมันว่าสัตว์ประหลาดแมงมุมก็แล้วกัน มันกำลังไล่ตามหลังผมมาแล้วตอนนี้ พวกสิ่งกีดขวางนั่นมันทำให้ผมวิ่งได้ช้าลง แต่กับมันไม่ใช่ ! เจ้านั่นมันสามารถทำลายทุกอย่างได้ด้วยการใช้ปากงับเข้าไปตรง ๆ แบบนั้น
Bigmouth
ผมกลัวมากแต่ต้องพยายามวิ่งต่อไปให้ได้เร็วที่สุด ทำยังไงก็ได้ให้หนีจากมันให้พ้น ตื่นเต้นสุด ๆ เลยล่ะ ! แล้วผมก็หัวเราะขึ้นมาพร้อมกับเยาะเย้ยมันว่า "ไม่ใช่ตอนนี้หรอกเจ้าตูดหมึก !" ซึ่งผมก็ได้จับภาพตอนนั้นมาให้ดูด้วยแล้ว


แต่หลังจากที่ผมพูดประโยคไม่น่ารักนั่นจบลง เจ้าสัตว์ประหลาดแมงมุมก็มีทีท่าเปลี่ยนไป มันทำให้ผมรู้สึกหนาววูบเหมือนถูกผีหลอก เพราะอย่างที่เห็นในภาพมันหันหน้ามามองที่ผมตรง ๆ เลย
Heheardthat
ผมหัวเราะไม่ออกกับสิ่งที่เห็น แต่ยังไงตอนนี้ผมกำลังจะไปที่ฉากใหม่แล้ว และก่อนที่จะเล่นเกมต่อผมขอไปอาบน้ำล้างหน้าก่อนนะ
Dementia


- จบตอนที่ 3 -

แล้วอย่าลืมติดตามรายการมิติที่ 6 ศุกร์สยองขวัญ กับเรื่องราวเบา ๆ พร้อมกับที่มาของมันกันได้ทุกวันศุกร์สะดวก และหลังจากจบรายการแล้ว อย่าลืมกดสับสไครป์ กดไลก์ กดแชร์ และอย่าลืมทิ้งคอมเมนต์กันไว้ด้วยนะครับ ยังมีเรื่องราวต่าง ๆ อีกมากมายรอคุณอยู่ สำหรับวันนี้... สวัสดี !
แปลและเรียบเรียงโดย นิวัฒน์ อ่ำแสง
ขอบคุณที่มา: Creepypasta Wiki

4 เมษายน 2561

มิติที่ 6 | 10 ตำนานปราสาทและสะพานที่ถูกสร้างโดยฝีมือของปีศาจ !!!




ขึ้นชื่อว่าปีศาจ มันคือความชั่วร้ายที่สามารถทำได้ทุกอย่าง เพื่อแลกกับพลังวิญญาณของมนุษย์ที่มันต้องการ มันคือความโลภ ที่จะปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าใครก็ตาม ที่กำลังต้องการความช่วยเหลือจากโลกมืด !!!

กดเพื่อชมในยูทูป
มิติที่ 6 สัปดาห์นี้ เราจะพาท่านผู้ชมไปพบกับสถานที่ 10 แห่ง เรื่องราวการก่อสร้างที่เกี่ยวข้องกับตำนานโบราณ เรื่องราวของการทำสัญญากับปีศาจเพื่อแลกกับความสำเร็จ พวกเขาจัดการกับข้อแลกเปลี่ยนกันได้อย่างไร ? โปรดนำวิจารณญาณไปใส่อ่างแช่น้ำตรงนั้น แล้วมาดูกันว่าเรื่องราวทั้งหมดนี้... มันคืออะไรกันแน่ !?


ปราสาทเยสเตอร์ (Yester Castle East Lothian, Scotland)

ภาพจาก: Brendandh


เยสเตอร์คาสเซิล อยู่ในเขตโลเธี่ยนตะวันออกของประเทศสก็อตแลนด์ มันถูกสร้างขึ้นมาตั้งแต่ ค.ศ. 1267 โดย เซอร์ฮิวโก้ เดอ ยิฟฟาร์ด ชายผู้มีชื่อเสียงในเรื่องความคลั่งไคล้วิทยาศาสตร์เทียมสาขาวิชาเล่นแร่แปรธาตุ โดยตำนานที่ถูกเล่ากันมานั้น มันก็ไม่พ้นเรื่องที่เขาสร้างปราสาทแห่งนี้สำเร็จได้อย่างไร ซึ่งในยุคนั้นก็ได้พูดถึงเรื่องนี้เอาไว้ว่า ท่านเซอร์ฮิวโก้ผู้นี้ได้ใช้กองทัพก็อบลินมาช่วยกันทำงานก่อสร้าง ผ่านการทำสัญญากับปีศาจตนหนึ่ง
กับคำถามว่าพวกชาวบ้านยุคนั้นเขาเล่าลือแบบนี้กันได้ยังไง ก็ขอบอกเลยว่ามันไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะท่านเซอร์ฮิวโก้คนนี้ ก็ถือเป็นอีกท่านที่ได้รับการวิพากษ์วิจารณ์กันไปเป็นวงกว้างอยู่แล้ว บางคนก็บอกว่าเขาเป็นนักมายากล บางคนก็บอกว่าเขาเป็นพ่อมด ไม่ก็บอกว่าเป็นอะไรสักอย่างที่สามารถจัดประเภทให้อยู่ในแบบเดียวกับคนประเภทอย่างนั้น ซึ่งทั้งหมดก็ได้ทำให้เขามีชื่อเรียกอีกอย่างว่า “พ่อมดแห่งเยสเตอร์” นั่นเอง
ซึ่งมันก็ยังดีอยู่อย่างที่ตอนนี้ปราสาทเยสเตอร์มันถูกทำลายไปเรียบร้อย แต่ส่วนที่เรียกว่าห้องโถงก็อบลิน สถานที่ที่ท่านเซอร์มักจะใช้ประกอบพิธีกรรมลึกลับ มันยังคงตั้งตระหง่านมาจนถึงทุกวันนี้ได้ยังไงก็ไม่รู้ และที่จุดตรงนี้มันก็มีข่าวร่ำลือกันว่าเฮี้ยนสุด ๆ เพราะไม่ว่าจะเป็นผู้ใดที่อาจหาญย่างกรายเข้ามาในที่แห่งนี้ ต่างก็ล้วนพูดถึงพลังงานของปีศาจอันรุนแรงที่สิงสถิตย์อยู่อย่างไม่เคยสูญสลายไปไหน ส่วนบันไดทางขึ้นไปยังจุดดังกล่าว ที่มันอยู่บริเวณไม่ห่างจากหุบเขานั้น ปัจจุบันก็ถูกปิดกั้นโดยชาวบ้านไปแล้ว ซึ่งพวกเขาให้เหตุผลในการทำแบบนั้นว่า ทางขึ้นดังกล่าวมันก็คือประตูนรกนั่นเอง !
ที่มา: Atlasobscura


--------------


สะพานปอนเตเดลลามัดดาเลน่า (Ponte della Maddalena Borgo a Mozzano, Italy)

Unknown Source

ปอนเตเดลลามัดดาเลน่า มันก็คือสถานที่ ๆ รู้จักกันในชื่อสากลว่า สะพานแห่งแมรี่แมกดาเลน มันถูกสร้างให้พาดข้ามผ่านแม่น้ำเซอชิโอ ที่อยู่ในเมืองบอร์โกอะโมซซาโน ประเทศอิตาลี ไม่มีใครรู้ว่าสะพานแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไหร่ ซึ่งนักประวัติศาสตร์ต่างก็คาดเดาว่า สะพานแห่งนี้น่าจะถูกสร้างขึ้นในช่วง ค.ศ. 1046 ถึง ค.ศ. 1115
แต่ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม พวกเราก็รู้ว่าสะพานแห่งนี้ มันยังคงถูกใช้มาจนถึงช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 14 เพราะมันมีบันทึกถึงการปรับปรุงสะพานชัดเจนที่ช่วงนี้ แต่ชื่อเดิมของมันคืออะไร ? กลับไม่มีใครบันทึกเอาไว้เสียแบบนั้น โดยชื่อที่ถูกเรียกในปัจจุบันของมัน ก็เป็นชื่อที่ถูกตั้งมาตอนช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 16 เมื่อในยุคนั้นมีโบสถ์ที่สร้างขึ้นเพื่อสดุดีให้กับแมรี่ แมกดาเลน โดยสร้างขึ้นเลียบชายฝั่งแม่น้ำแห่งนี้
แล้วมันก็เลยเกิดตำนานเรื่องเล่ากันต่อมาว่า สะพานแห่งนี้มันสร้างจนสำเร็จขึ้นมาได้ก็เพราะว่ามีสถาปนิกในยุคนั้น เกิดไม่มั่นใจว่าตัวเองจะสามารถสร้างสะพานให้สำเร็จได้ตามเวลาแน่ ๆ และนั่นจึงทำให้เขาไปทำสัญญากับปีศาจเพื่อขอความช่วยเหลือ และเจ้าปีศาจก็ตกลงรับข้อเสนอด้วยการแลกเปลี่ยนอันน่าสะพรึ่งกลัวตามแบบฉบับ ที่มันจะช่วยสร้างสะพานให้เสร็จก็ได้ แต่เขาต้องแลกกับวิญญาณของมนุษย์คนแรก ที่จะได้มาเดินข้ามสะพานแห่งนี้
ในภายหลังสถาปนิกท่านนั้นก็ได้กลายมาเป็นนักบวชท้องถิ่น และเขาก็ได้จัดแจงเอาหมูมาเดินข้ามสะพานเพื่อใช้เป็นเครื่องบัดพลี ซึ่งก็ถือว่าเขาผิดสัญญากับปีศาจอย่างแรง เจ้าปีศาจเจอแบบนี้เข้าก็เจ็บใจ รีบกระโดดลงแม่น้ำหายไป และก็ไม่เคยมีใครเห็นมันอีกเลยมาจนถึงทุกวันนี้


ซึ่งในบางแห่งก็เล่าเรื่องนี้ต่างออกไป พวกเขาบันทึกเอาไว้ว่าสถาปนิกคนนั้นใช้สุนัขมาเดินข้ามก่อนต่างหาก แล้วเจ้าปีศาจมันก็โกรธอย่างหนัก ถึงกับคว้าเจ้าสุนัขตัวนั้นติดมือลงไปในน้ำ แล้วก็ไม่เคยกลับมาให้ใครเห็นอีกเช่นกัน แล้วทีนี้เรื่องเล่านี้ก็บอกว่า วิญญาณของเจ้าหมาตัวนั้นต่อมาก็ได้กลายเป็นปีศาจหมา กลับมาคอยเดินข้ามสะพานแห่งนี้ในช่วงเวลาตอนเย็น ของปลายเดือนตุลาคมเพื่อแก้แค้น และกับคำถามว่าปีศาจหมาอย่างมันจะกลับมาแก้แค้นใคร คำตอบก็คือแก้แค้นท่านสถาปนิกนั่นแหละ และในทุกวันนี้เจ้าปีศาจหมานั่นก็ยังคงตามหาวิญญาณของเขาอยู่ แบบไม่รู้ว่าจะได้เจอวันไหนให้เรื่องมันจบไปง่าย ๆ
ที่มา: Italoamericano

--------------


สะพานมอนนาว (Monnow Bridge Monmouth, Wales)


Unknown Source

ในตำนานของประเทศเวลส์ เรื่องของแจ็คโอเค็นท์ ก็ถือเป็นตำนานอันโด่งดังเกี่ยวกับการจัดการความโลภของปีศาจอย่างปราดเปรื่อง แจ็คโอเคนท์ทำให้ปีศาจเชื่อว่า เขาได้ขายวิญญาณให้กับปีศาจไปจริง ๆ เพื่อแลกเปลี่ยนกับพลังอำนาจอันเหนือมนุษย์ มาทำประโยชน์ให้กับเขามากมายหลายอย่าง
โดยหนึ่งในสิ่งที่ปีศาจต้องเสียทีให้แจ็คนั้น ครั้งหนึ่งแจ็คได้ทำสัญญากับปีศาจเพื่อแลกเปลี่ยนกับความสมบูรณ์ของพันธุ์พืชที่เขาปลูกในไร่ เขาเจรจากับมันว่าถ้าปีศาจสามารถทำให้พวกมันงอกงามได้จริง ก็จงเอาพืชผลทั้งหมดไปได้เลย เพียงแต่ปีศาจจะต้องเลือกก่อนว่า จะเอาพืชผลที่ได้จากส่วนข้างบน หรือจะเอาพืชผลที่ได้จากใต้ดินเพียงหนึ่งอย่างเท่านั้น แล้วทีนี้เจ้าปีศาจมันก็เลือกจะเอาพืชผลบนดิน ซึ่งแจ็คโอเคนท์ก็จะตอบตกลงไปแบบไม่มีปัญหา
พอถึงช่วงหว่านเมล็ดพันธุ์ แจ็คก็หว่านเมล็ดหัวผักกาดเพื่อที่มันจะให้ผลออกมาเป็นหัวทางใต้ดิน ทางเจ้าปีศาจที่ไม่รู้เรื่องนี้ ก็ดลบันดาลให้ฝนฟ้าตกลงมาอย่างพอเพียง จนถึงช่วงเก็บเกี่ยวมันถึงเพิ่งรู้ว่าทั้งหมดก็คือหัวผักกาด นั่นก็เลยทำให้ปีศาจถึงกับเงิบ มันเอาอะไรไปไม่ได้เลยสักอย่าง พอปีต่อมาเจ้าปีศาจก็โผล่มาอีก และก็รู้ว่าแจ็คจะต้องปลูกพืชใต้ดินอีกแน่ ๆ มันจึงเปลี่ยนข้อเสนอมาขอพืชผลใต้ดินแทนซะเลย ซึ่งแจ็คก็ตอบตกลงเพื่อแลกกับความอุดมสมบูรณ์เหมือนเคยเช่นกัน
พอถึงเวลาหว่านเมล็ดพันธุ์เจ้าปีศาจก็ดลบันดาลฝนมาให้ด้วยความหวังว่า รอบนี้มันจะเอาไปให้เกลี้ยงเลย โดยมันก็หารู้ไม่ว่าทางแจ็คโอเคนท์ ได้หว่านเมล็ดข้าวสาลีไปเรียบร้อยแล้ว นั่นก็เลยทำให้เมื่อถึงเวลาเก็บเกี่ยว เจ้าปีศาจก็ถึงกับเงิบไปอีกเป็นครั้งที่สอง จะเอาไปทำอะไรได้นะกับรากต้นข้าว เอาไปใส่แกงจืดยังไม่ได้เลย เจ้าปีศาจต้องกลับบ้านมือเปล่าเป็นรอบสอง เพื่อรอวันแก้แค้นเจ้ามนุษย์คนนี้กันต่อไป


ซึ่งนั่นก็เป็นแค่หนึ่งในวีรกรรมหลอกปีศาจของแจ็ค ยังมีอีกหลายครั้งหลายหนที่เขาหลอกใช้มัน ซึ่งอีกหนึ่งในนั่นก็คือการหลอกให้สร้าง สะพานมอนนาว ที่อยู่ในแถบหุบเขามอนธ์เมาท์ โดยแลกกับวิญญาณของคนที่จะเดินข้ามคนแรก แล้วพอถึงวันที่สะพานสร้างเสร็จเข้าจริง ๆ แจ็คก็โยนกระดูกหมูล่อให้สุนัขวิ่งขึ้นสะพานเป็นเครื่องสังเวยให้กับปีศาจเสียแบบนั้น


จนถึงขนาดวันตาย แจ็คก็ยังคงแกล้งให้ปีศาจต้องเงิบได้ เพราะช่วงก่อนที่เขาจะตายเจ้าปีศาจก็ได้แวะมาหา ซึ่งมันบอกว่ารอบนี้ไม่ว่าแจ็คจะฝังศพตัวเองที่ตรงไหน ไม่ว่าจะฝังศพข้างในสุสานหรือนอกกำแพงสุสานของโบสถ์ มันก็จะมาเอาวิญญาณของเขาไปให้ได้ แจ็คได้ยินแบบนั้นก็เข้าใจ และตอบตกลงเจ้าปีศาจไปแบบไม่มีปัญหา พอถึงเวลานั้นเข้าจริง ๆ ครอบครัวของเขาก็ได้รับการสั่งเสียเอาไว้ว่า จงฝังศพของเขาเอาไว้ใต้กำแพงโบสถ์นะ พอเจ้าปีศาจเดินทางมาถึง มันก็เลยต้องเจ็บใจไปอีกครั้ง เพราะการฝังศพแบบนี้ มันทำให้แจ็คไม่ได้อยู่ข้างในหรือนอกบริเวณโบสถ์ จบตำนานศรีธนญชัยสายยุโรปไปแบบยอดเยี่ยม
ที่มา: Oxfordindex
--------------

สะพานทาร์สเต็ป (Tarr Steps Somerset, England)


ภาพจาก: Adrain Colston

ทาร์สเต็ปส์ คือสะพานเล็ก ๆ ที่อยู่ในอุทยานแห่งชาติเอ็กซ์มัวร์ ของมณฑลโซเมอร์เซ็ต ประเทศอังกฤษ ที่นี่มันไม่เหมือนกับสะพานแห่งไหนที่เราเคยรู้จัก เพราะชิ้นส่วนแต่ละส่วนของสะพานทำจากแผ่นหินขนาดใหญ่วางทับก้อนหินอีกทีเป็นทอด ๆ นั่นก็เลยทำให้เวลาที่เราเดินข้ามมันแต่ละก้าว สะพานมันจะกระดกไปตามน้ำหนักเท้าที่เรากด จนเกิดเสียงก็อบแก็บจนน่าหวาดเสียวตลอดเวลา


ไม่มีใครรู้ว่าทาร์สเตปส์มันถูกสร้างมาตั้งแต่เมื่อไหร่ นักโบราณคดีคาดเอาไว้ว่า มันน่าจะถูกสร้างในช่วง 1,000 ปีก่อนคริสตกาล ไปจนถึงยุคคริสต์ศตวรรษที่ 14 นั่นก็เลยไม่แปลกที่ชาวบ้านจะมีตำนานพูดถึงมันเอาไว้ว่า สะพานแห่งนี้มันจะถูกสร้างขึ้นมาจากใครได้ ถ้าไม่ใช่ฝีมือของพวกปีศาจ แต่ที่มันสร้างขึ้นมาเพื่อใช้ข้ามหรือเปล่านั้น ชาวบ้านก็ตอบเรามาว่าไม่ใช่แบบนั้นอยู่แล้ว ก็ปีศาจมันบินได้นั่นก็เลยทำให้มันไม่เคยคิดอยากจะเดินข้ามสะพานแห่งนี้ แต่ที่มันสร้างของแบบนี้ขึ้นมาก็เพราะมันแค่อยากจะมานอนเล่น กินลมชมวิว ตากแดดให้ตัวแดงตัวดำสมกับเป็นปีศาจเท่านั้นแหละ และเจ้าปีศาจตัวนี้มันก็ไม่อยากให้ใครมาเดินข้ามที่ของมัน นั่นก็เลยทำให้มันร่ายคำสาปเอาไว้ ว่าหากมีใครคิดอยากจะลองดี เดินข้ามผ่านสะพานนี้เป็นคนแรกล่ะก็ ขอบอกเลยว่าข้าจะฉีกร่างของมันให้เป็นชิ้น ๆ !
ซึ่งเมื่อพวกเขาเล่าลือกันไปขนาดนี้ มันก็เลยเป็นสาเหตุทำให้ชาวบ้านที่อยากใช้งานมัน จะต้องหาทางแก้คำสาปของเจ้าปีศาจตัวนี้ให้ได้เสียก่อน ว่าแล้วพวกเขาก็นำแมวตัวหนึ่ง มาเป็นตัวแทนช่วยเดินข้ามให้หน่อย ซึ่งเจ้าแมวเองมันก็ยอมข้ามสะพานให้แบบไม่ค่อยจะเต็มใจสักเท่าไหร่ พอมันข้ามไปได้ไม่ทันไร พวกชาวบ้านก็เห็นมันหายวับไปกลางสะพานกับตา นั่นก็เลยทำให้มีบางคนมองว่า บางทีเจ้าแมวผู้อับโชคตัวนั้นอาจจะถูกปีศาจจับฉีกเป็นชิ้น ๆ ไปเรียบร้อยแล้วแน่ ๆ

"เก๊าจะโดนฉีกมั้ย... เงี้ยว"
พอเหตุการณ์มันเลวร้ายแบบนี้ ชาวบ้านก็เลยไปร้องขอให้ท่านบาทหลวงของชุมชน ช่วยมาตรวจสอบคำสาปของปีศาจให้หน่อย ว่าหลังจากที่มันได้เจ้าเหมียวไปเป็นเครื่องสังเวยแล้ว ตอนนี้คำสาปจะถูกล้างหมดไปหรือยัง ? ท่านบาทหลวงเองก็คิดไตร่ตรองอยู่พักหนึ่ง แล้วท่านก็เดินไปยังสะพานทันที พอเดินไปจนถึงกลางสะพาน ท่านก็ตะโกนท้าเจ้าปีศาจว่า ฉันจะเดินข้ามสะพานแห่งนี้ได้หรือยัง แล้วทันใดนั้น เจ้าปีศาจก็ตะโกนถ้อยคำสาปแช่งขึ้นมา ซึ่งท่านบาทหลวงเองก็ไม่ได้หวาดกลัวอะไรทั้งนั้น นั่นจึงทำให้เจ้าปีศาจยอมล่าถอย และปล่อยให้ท่านบาทหลวงเดินต่อไปจนถึงอีกฝั่ง จนกระทั่งท่านเดินกลับมาชาวบ้านจึงสบายใจ และใช้งานสะพานแห่งนี้ต่อมาจนถึงทุกวันนี้


แต่แถมท้ายอีกนิดนึงว่ายังไม่จบ เพราะในเรื่องเล่านั้นบอกว่าถึงเจ้าปีศาจมันจะยอมให้ชาวบ้านใช้งานสะพานนี้ได้ แต่มันก็ไม่ได้ยอมให้ใช้แบบไม่มีเงื่อนไข เพราะถ้าวันไหนมันอยากจะกลับมาอาบแดด พวกชาวบ้านก็ห้ามมาเดินผ่านที่สะพานนี้อยู่ดี และที่เรื่องเล่ามันเป็นแบบนั้น ก็เพราะมีบางครั้งที่ชาวบ้านเดินข้ามสะพานไป ได้เกิดอุบัติเหตุสะพานพังจนพลัดตกน้ำหายไปไม่ได้ขึ้นฝั่ง
ซึ่งในความเป็นจริงนั้น มันก็เป็นเพราะสะพานแห่งนี้มันเป็นสะพานหิน ไม่ได้มีวัสดุเชื่อมต่อใด ๆ อย่างแข็งแรง นอกจากการนำแผ่นหินมาวางทับกันเพียงเท่านั้น นั่นก็เลยทำให้ช่วงเวลาน้ำหลาก ตัวสะพานมันจะถูกสายน้ำทำลายจนสะพานขาดออกจากกัน ส่งผลทำให้มีบางคนเสียหลักตกลงไปในน้ำลอยหายไปนั่นเอง โดยในปัจจุบันทางการได้ช่วยกันซ่อมแซมสะพานให้แข็งแรงมากขึ้นกว่าเดิมแล้ว นั่นก็เลยทำให้เจ้าปีศาจไม่ค่อยได้กลับมาอาบแดดกันอีกเลย
ที่มา: Britainexpress


--------------


สะพานปีศาจแห่งเซเรดิเจียน (Devil’s Bridge Ceredigion, Wales)

ภาพจาก: Ynysforgen Jack

สะพานปีศาจแห่งเซเรดิเจียน ประกอบไปด้วยสะพานอยู่สามแห่ง แต่ละแห่งมันก็ไม่ได้อยู่แยกจากกัน เพราะมันถูกสร้างซ้อนทับกันไปเหมือนตึกสามชั้น สะพานแห่งนี้ตั้งอยู่เหนือแม่น้ำมายนาค ในเมืองเซเรดิเจียน ประเทศเวลส์ โดยสะพานที่หนึ่งใต้สุด ก็ถือว่าเป็นสะพานปีศาจแบบออริจินัล ที่ถูกสร้างขึ้นมาด้วยความยากลำบาก เพราะภูมิประเทศบริเวณนี้คือช่องว่างระหว่างภูเขาสองลูก นั่นก็เลยทำให้การมีอยู่ของมัน ถูกร่ำลือกันว่าผู้ที่สร้างสะพานนี้มันไม่น่าจะใช่มนุษย์ธรรมดาแน่ ๆ
นักโบราณคดีคาดการณ์ว่า สะพานปีศาจแห่งนี้น่าจะถูกสร้างขึ้นมาในช่วงกลางยุคปี ค.ศ. 1100 โดยฝีมือของนักบวชจากโบสถ์สตราต้าฟลอริด้า ที่จริง ๆ ตอนนั้นมันถูกตั้งชื่อว่า สะพานนักบวช
เพราะตามประวัติศาสตร์นั้น บันทึกไว้ว่าโบสถ์สตราต้าฟลอริด้า ถูกสร้างขึ้นมาในช่วงประมาณยุคปี ค.ศ. 1164 และสะพานก็น่าจะสร้างขึ้นประมาณ ค.ศ. 1188 ส่วนสะพานชั้นที่ 2 ถูกสร้างครอบสะพานเดิมมาตั้งแต่ ค.ศ. 1753 และอีกประมาณ 150 ปีต่อมา สะพานชั้นที่สามจึงถูกสร้างคร่อมชั้นที่สองในปี ค.ศ. 1901 แต่ถึงนักโบราณคดีจะพบหลักฐานกันแบบนั้น มันก็ยังมีข่าร่ำลือว่าสะพานแห่งแรก มันถูกสร้างขึ้นมาสำเร็จได้ก็เพราะ หลังจากที่มีหญิงชราชื่อเมแกนได้ทำสัญญากับปีศาจไปแล้วนั่นเอง
 
เพราะพื้นที่ตรงนั้นมันไม่ใช่ที่ ๆ จะสร้างสะพานกันได้ง่าย ๆ เพราะนอกจากจะเป็นช่องเขาสูงชันแล้ว ที่นั่นมันก็ยังมีฝนตกหนักอยู่ในบางช่วงของปีด้วย และนั่นก็คือสิ่งที่ทำให้เมแกนต้องพบกับปัญหา วัวของเธอเกิดไปติดอยู่ตรงบริเวณริมฝั่งแม่น้ำมายนาค ทำให้เธอไม่สามารถขี่หลังมันข้ามผ่านไปได้เลย
และในเวลานั้นเจ้าปีศาจมันก็ปรากฏตัวขึ้น มันเสนอว่าจะสร้างสะพานข้ามให้ก็ได้ เพียงแต่สิ่งที่มันต้องการก็คือดวงวิญญาณของใครก็ได้ ที่จะมาข้ามสะพานแห่งนี้เป็นคนแรก !
พอการเจรจาเป็นที่ตกลง เจ้าปีศาจก็เริ่มสร้างสะพานให้จนเสร็จ จากนั้นมันก็รอให้เมแกนเดินข้าม เพื่อที่จะได้นำวิญญาณของเธอมาเป็นเครื่องสังเวยคนแรก ทางหญิงชราเองก็เตรียมตัวไว้แล้วเช่นกัน นั่นจึงทำให้เธอโยนขนมปังขึ้นไปบนสะพานหนึ่งชิ้น สุนัขของเธอเห็นแบบนั้นก็เลยรีบวิ่งขึ้นไปกินบนสะพาน และนั่นก็เลยทำให้มันกลายเป็นสิ่งมีชีวิตตัวแรกที่ได้ประเดิมสะพานแห่งนี้ ปีศาจเห็นแบบนั้นเข้าก็ถึงกับเซ็ง นั่นก็เลยทำให้มันหายตัวไป ไม่กลับมาทวงอะไรจากใครอีกเลย
ที่มา: Visitmidwales


--------------


สะพานหินเรเจนสเบิร์ก (Stone Bridge Regensburg, Germany)

ภาพจาก: planetware.com


สะพานหินเรเจนส์เบิร์ก ถูกสร้างให้พาดผ่านแม่น้ำดานูปของประเทศเยอรมนี ในช่วงประมาณปี ค.ศ. 1135 ถึง ค.ศ. 1146 ส่วนหอคอยสามจุดที่อยู่บนสะพาน มันก็ถูกสร้างขึ้นตามมาในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 13 มันเคยถูกทำลายมาครั้งหนึ่งโดยธารน้ำแข็งในช่วงปี 1784 และก็เคยถล่มพังไปอีกครั้งหลังจากสงครามในช่วงปี ค.ศ. 1810 นั่นก็เลยทำให้มันเหลือหอคอยบนนั้นเพียงจุดเดียว และก็เช่นกัน ตำนานที่ถูกเล่าขานกันมานั้นยืนยันว่า สะพานแห่งนี้มันถูกสร้างโดยฝีมือของปีศาจ
เพราะในช่วงที่กำลังก่อสร้างสะพานอยู่นั้น ว่ากันว่าเหล่าคนงานก่อสร้างสะพาน กับพวกคนงานที่สร้างโบสถ์ใกล้ ๆ ต่างก็พนันขันต่อกันว่าฝ่ายตัวเอง จะต้องเป็นผู้ทำงานปิดจ็อปได้ก่อนอีกฝ่ายแน่ ๆ จนการก่อสร้างดำเนินไป รูปการณ์มันก็แทบจะทำนายได้ชัดว่า ฝ่ายสร้างโบสถ์น่าจะเป็นฝ่ายได้ชัยไปแบบใส ๆ นั่นก็เลยทำให้ฝ่ายสร้างสะพานที่ไม่อยากปราชัย เริ่มต้นพิธีกรรมทำสัญญากับปีศาจทันที
เจรจาจบเริ่มต้นขึ้น เจ้าปีศาจบอกว่าจะช่วยก็ได้ เพียงแต่สิ่งแลกเปลี่ยนนั้นมันก็ต้องสมน้ำสมเนื้อใช่ไหม ? มันต้องการวิญญาณของสิ่งมีชีวิตอย่างน้อยสามดวงเป็นข้อแลกเปลี่ยน ซึ่งพวกคนงานฝ่ายสะพานต่างก็ยินดีรับข้อเสนอ นั่นจึงทำให้ปีศาจช่วยพวกเขาสร้างสะพานได้สำเร็จก่อนโบสถ์จริง ๆ
แล้วทีนี้เรื่องมันก็น่าจะเดาต่อกันได้ ก็คือเจ้าปีศาจได้โผล่ขึ้นมาทวงของที่มันต้องได้รับ ซึ่งเหล่าคนสร้างสะพานก็ฉลาดมากพอที่จะส่งสุนัขหนึ่งตัว ไก่อีกสองตัว ให้เดินข้ามสะพานก่อนใคร ๆ เจ้าปีศาจเห็นแบบนั้นก็เลยโกรธใหญ่ มันกระโดดไปที่กลางสะพานเพื่อหวังจะทำลายทิ้งซะเลย แต่ก็นั่นแหละปีศาจมันทำไม่สำเร็จ นั่นจึงทำให้มันตัดสินใจ สิงสู่อยู่ที่ใต้สะพานตรงนั้น เพื่อเป็นการล้างอายที่เสียรู้พวกมนุษย์


พอคิดเสร็จเจ้าปีศาจจึงปีนขึ้นไปบนยอดหอคอยหนึ่งของโบสถ์ใกล้ ๆ จากนั้นก็กระโดดลงมาแล้วก็ได้ตายไปในทันที ซึ่งถึงเรื่องราวมันจะฟังดูไม่เป็นเหตุผลขนาดนี้ แต่เรื่องจริง ๆ ก็คือ สะพานมันสร้างง่ายกว่าโบสถ์อยู่แล้ว เพราะในบันทึกนั้นระบุว่า หลังจากสะพานสร้างเสร็จไปแล้วหนึ่งร้อยปี โบสถ์ที่เราพูดถึงในเรื่อง มันถึงเพิ่งจะสร้างเสร็จเปิดให้ประชาชนเข้าใช้กัน


ก็นั่นน่ะสิ... ไหนว่าปีศาจมันไม่ใช่สิ่งมีชีวิต ทำไมมันถึงสามารถฆ่าตัวตายได้ง่าย ๆ แบบนั้น แต่ช่างมันก่อน เพราะเรายังมีเรื่องต่อไป ให้ท่านผู้ชมได้เห็นถึงพรสวรรค์ ทางด้านสถาปัตยกรรมของปีศาจกันอีกแห่ง
ที่มา: travel-wonders.com


--------------


สะพานพอนเต ดา มิซาเรลา (Ponte da Mizarela Montalegre, Portugal)

ภาพจาก: ruralea.com

พอนเต ดา มิซาเรลา ชื่อของมันก็หมายถึงสะพานมิซาเรล่านั่นเอง สะพานแห่งนี้ถูกสร้างข้ามผ่านแม่น้ำราบาเกา ที่อยู่ในเขตเทศบาลมอนตาเลเกร ประเทศโปรตุเกส สะพานแห่งนี้นอกจากจะมีชื่อที่ถูกเรียกเป็นทางการแบบนั้นแล้ว มันก็ยังถูกเรียกว่า สะพานแห่งปีศาจ และ สะพานจากนรก อีกชื่อ ซึ่งสาเหตุที่มันถูกเรียกแบบนั้น มันก็เพราะในตำนานนั้นบอกว่า


กาลครั้งหนึ่งมีอาชญากรที่กำลังหนีหัวซุกหัวซุน ได้เกิดหนีมาจนมุมอยู่ที่ริมแม่น้ำราบาเกาตรงนี้ ซึ่งทางเดียวที่เขาจะสามารถหนีไปยังหมู่บ้านฝั่งตรงข้ามได้ นั่นก็คือการทำสัญญากับปีศาจ เพื่อให้มันมาช่วยสร้างสะพานข้าม คิดได้แบบนั้นเขาจึงเริ่มทำพิธีกรรมเรียกปีศาจให้มาคุยด้วยทันที


เจ้าปีศาจบอกว่าจะช่วยทำสะพานให้ก็ได้ แต่มันต้องการข้อแลกเปลี่ยน ซึ่งนั่นก็คือวิญญาณของอาชญากรคนนี้นั่นเอง พอเขาได้ยินแบบนั้นก็คิดหนักเพราะถ้าเขาได้สะพานข้ามไป เดี๋ยวเขาก็คงต้องตายอยู่ดีแหง ๆ แต่ถึงจะไม่มีสะพาน เขาก็คงต้องถูกจับไปลงโทษตายอยู่ดี นั่นจึงทำให้เขารีบตกปากรับข้อเสนอ เพื่อจะได้รีบหนีไปตายเอาดาบหน้าดีกว่า


การเจรจาจบลงเจ้าปีศาจจึงเนรมิตสะพานให้ชายคนนี้ข้าม พอข้ามเสร็จ สะพานก็หายไปก่อนที่ทางการจะตามมาได้ทัน
หลังจากที่อาชญากรคนนี้รอดมาได้ เขาก็เกิดสำนึกกลับใจเป็นคนดี จากนั้นก็ได้เดินทางไปเยี่ยมท่านบาทหลวง เพื่อขอความช่วยเหลือก่อนที่ตัวเองจะต้องตาย ท่านบาทหลวงได้ฟังเรื่องทุกอย่างจบ ท่านจึงมอบน้ำมนต์ศักดิ์สิทธิ์ให้กับเขา โดยกำชับให้นำสิ่งนี้ไปพรมที่สะพานตรงนั้นโดยเร็ว


เจ้าอาชญากรรับคำ จากนั้นก็รีบเดินทางกลับไปยังฝั่งแม่น้ำ พอไปถึงเขาก็ร้องขอให้ปีศาจช่วยสร้างสะพานแบบคราวทีแล้วให้อีกครั้ง เจ้าปีศาจที่กำลังอยากได้วิญญาณของชายหนุ่ม ได้ยินแบบนั้นเข้าก็ไม่ทันคิดอะไร รีบเสกสะพานให้ปรากฏขึ้นมาอีกครั้งทันที และตอนนี้อาชญากรหนุ่มก็รีบสาดน้ำมนต์ไปที่สะพาน จากนั้นก็นำน้ำมนต์ที่เหลือมารดที่ร่างกาย นั่นจึงทำให้เจ้าปีศาจไม่สามารถกระชากวิญญาณของชายหนุ่มไปได้ แถมสะพานที่สร้างไว้ก็เสกให้หายไปไม่ได้เช่นกัน และด้วยเหตุนี้สะพานจึงยังคงอยู่มาจนถึงทุกวันนี้นั่นเอง
ซึ่งนอกจากตำนานเรื่องนี้แล้วมันก็ยังมีอีกตำนานที่เล่ากันว่า สะพานมิซาเรล่าแห่งนี้ จริง ๆ แล้วมันถูกสร้างโดยชาวบ้านที่อยู่แถวริมแม่น้ำนั่นแหละ แต่ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร เจ้าปีศาจมันถึงได้ออกมาทำลายสะพานแห่งนี้ไปถึง 12 ครั้ง และยังทิ้งคำสาปให้กับชาวบ้านอีกว่า ไม่ว่าจะสร้างสะพานนี้มาอีกกี่ครั้ง มันก็จะทำลายให้สูญสิ้นไปทุกครั้งอย่างแน่นอน
พอชาวบ้านได้ยินแบบนี้ พวกเขาจึงเดินทางไปพบกับท่านบาทหลวง เพื่อให้ท่านช่วยหาทางแก้ไขให้สักหน่อยจะได้ไหม ซึ่งท่านบาทหลวงก็ได้แนะนำให้ชาวบ้าน ช่วยกันสร้างสะพานใหม่อีกเป็นครั้งสุดท้าย พอสะพานถูกสร้างเสร็จ เจ้าปีศาจก็ปรากฏตัวขึ้นมาจริง ๆ แต่ก่อนที่มันจะได้ทำอะไร ท่านบาทหลวงก็ได้โยนก้อนขนมปังหนึ่งชิ้นขึ้นไปบนกลางสะพาน จากนั้นก็สวดขอพลังจากพระผู้เป็นเจ้า ให้ช่วยขับไล่ปีศาจออกไปจนสำเร็จ
ที่มา: translate.google.com


--------------


ปราสาทมุกาเชโว (Mukachevo Castle Palanok, Ukraine)

Unknown Source


ปราสาทมุคาเชโว แห่งเมืองพาลาน็อก มันมีอีกชื่อว่าปราสาทพาลาน็อกแห่งมุคาเชโว ซึ่งไม่ว่าจะเรียกชื่อไหนก็ถือว่าไม่ผิด เพราะยังไงมันก็คือปราสาทที่อยู่ในประเทศยูเครนเหมือนกัน ปราสาทแห่งนี้ถูกก่อสร้างขึ้นมาตั้งแต่ในช่วงยุคกลางประมาณปี ค.ศ. 1396 ถึง ค.ศ. 1414 เจ้าของนั้นก็คือ เจ้าชายเฟดอร์ โคเรียโทวิช (Fedor Koryatovich) ที่เป็นผู้สั่งให้เพิ่มป้อมปราการเข้าไปอีกในเวลาต่อมา

ภาพเหมือน "เจ้าชายเฟดอร์ โคเรียโทวิช"

นอกจากนี้เจ้าชายเองก็ยังทรงมีความกังวลเกี่ยวกับน้ำเป็นอย่างมาก พระองค์คิดว่าถ้าปราสาทถูกศัตรูล้อมวันใด คนข้างในก็มีหวังจะต้องขาดน้ำตายไปหมดอย่างแน่นอน นั่นก็เลยทำให้เจ้าชายสั่งคนของเขา ให้ช่วยกันขุดบ่อน้ำหนึ่งบ่อเอาไว้ใช้ แต่พอสร้างเสร็จ มันก็ไม่มีน้ำผุดในบ่ออย่างที่คิดอีก น้ำฝนก็ไม่มี แถมยังเป็นแบบนี้ยาวนานต่อมาเป็นปีอีกต่างหาก
ด้วยเหตุนี้เจ้าชายจึงเสนอรางวัลเป็นทองคำหนึ่งถุง ให้กับใครก็ได้ที่สามารถนำน้ำมาเติมจนเต็มบ่อ เจ้าปีศาจรู้ข่าวเข้าก็ดีใจ รีบปรากฏกายออกมาบอกว่ามันทำได้ พูดจบมันก็รีบกระโดดลงบ่อไป แล้วน้ำก็ผุดขึ้นมาจนเต็มบ่อแห่งนั้นแทบจะในทันที
แล้วทีนี้ปัญหามันก็เกิดขึ้นมาเพราะที่เจ้าชายพูดว่าจะให้ทองคำเป็นถุงนั้น จริง ๆ แล้วพระองค์ไม่มีจะให้ขนาดนั้นหรอก แถมเจ้าปีศาจมันก็รออยู่ข้างนอกด้วยความดีใจ ท่านพ่อมดของปราสาท จึงให้คำแนะนำกับเจ้าชายว่า เอาแบบนี้ พระองค์นำเหรียญทองมาสักสองสามเหรียญ จากนั้นก็นำมันใส่ลงไปในถุงเล็ก ๆ แล้วส่งมันให้กับเจ้าปีศาจเป็นรางวัลก็น่าจะได้ เพราะตอนเจ้าชายประกาศเรื่องรางวัล ท่านไม่ได้บอกนี่นา ว่าท่านจะให้ทองถุงใหญ่ขนาดไหนกับคนที่ทำได้สำเร็จ
พอเจ้าชายทำตามคำแนะนำ เจ้าปีศาจก็ถึงกับไม่พอใจอย่างหนัก ทะเลาะกับเจ้าชายอยู่นานสองนาน ก่อนที่จะรำคาญกระโดดลงไปในบ่อน้ำ และตั้งแต่นั้น ยามใดที่ชาวบ้านจะไปตักน้ำที่บ่อแห่งนี้ พวกเขาก็มักจะได้ยินเสียงคำรามของมัน ดังออกมาจากปากบ่อจนน่าขนลุก พอเวลาผ่านไปก็ไม่มีชาวบ้านคนไหนกล้าเข้าใกล้บ่อน้ำนั้นอีก ส่วนเจ้าชายก็อับอายที่ทำแบบนั้นกับเจ้าปีศาจ จนพระองค์ก็ไม่เคยย่างกรายจากปราสาทไปไหนอีกเลย
ที่มา: discover-ukraine.info


--------------


สะพานไทเฟลส์บรูก (Schollenen Gorge, Switzerland)
ภาพจาก: atlasobscura.com

สะพานไทเฟลส์บรูก หรืออีกชื่อก็คือ โชลลิเน็นกอรจ์ มันอยู่ในมณฑลอุริ ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ที่นี่ มีประวัติอันสุดน่ากลัวเกี่ยวกับนักท่องเที่ยวมากมาย เพราะไม่รู้ว่าทำไมวัยรุ่นเอ็กซตรีมถึงได้พากันมากระโดดน้ำเล่นกันที่สะพานแห่งนี้ และในขณะที่ปัจจุบันมันก็น่ากลัวอยู่แล้ว ที่นี่ก็ยังมีตำนานเล่าขานกันไว้อีกเรื่อง โดยในตำนานนั้นบอกว่า ในสมัยกอน ผู้คนที่อยู่ในมณฑลอุริ ต้องสร้างสะพานข้ามนี้ขึ้นมาด้วยความยากลำบาก พวกเขาต้องขนหินใส่หลังตัวล่อ แล้วค่อย ๆ เดินขึ้นมาบนหุบเขาทีละนิด ซึ่งถ้าใครนึกไม่ออกว่าล่อเป็นยังไง เราก็หาภาพมาประกอบให้ดูกันแล้วตรงนี้ ไหนจะปัญหาเรื่องการก่อสร้าง ที่เรียกได้ว่ากว่าจะสำเร็จเสร็จสิ้น พวกเขาก็ต้องพบกับอุปสรรคขวางกั้นมากมาย
และด้วยความยากลำบากนี้จึงทำให้ผู้คนที่มีส่วนในการสร้างสะพาน ต้องพากันหาทางเพื่อเจรจากับปีศาจ โดยพวกเขาทำข้อตกลงกับมัน ด้วยการแลกชีวิตของคนข้ามสะพานคนแรกกันอีกแล้ว ซึ่งก็ไม่รู้ว่าปีศาจมันไม่รู้จักเข็ดกันบ้างหรือไง เพราะหลังจากการเจรจาจบลง มันก็ได้ช่วยทำให้สะพานแห่งนี้สร้างเสร็จสมบูรณ์ และในวันต่อมา มันก็ไปยืนรอที่อีกฝั่งของสะพาน เพื่อรอรับวิญญาณหนึ่งดวงตามที่ตกลงกันไว้
และก็เช่นกันชาวนาส่งแพะของเขาเดินเข้าไป เจ้าปีศาจเห็นแบบนั้นก็เลยโมโห กระโดดไปคว้าเจ้าแพะ เพื่อหมายจะฉีกร่างของมันให้เป็นร้อยชิ้น แต่ในเสี้ยววินาทีนั้น มันก็คิดได้ว่าการทำเช่นนี้ มันไม่สามารถดับไฟแค้นที่ถูกหลอกได้แน่ ๆ นั่นจึงทำให้มันรีบวิ่งลงไปที่เชิงเขาข้างล่าง จากนั้นก็เลือกหาหินก้อนใหญ่ที่สุดจนเจอ เพื่อหวังจะได้ทำลายสะพานไปเสียให้สิ้น แล้วปัญหาใหญ่ก็เกิดขึ้นกับมันทันทีเช่นกัน


เจ้าปีศาจมันแบกหินก้อนยักษ์ขึ้นมาไม่ไหว มันจึงเลือกใช้วิธีค่อย ๆ กลิ้งขึ้นเขามาอย่างช้า ๆ ยิ่งกลิ้งก็ยิ่งเหนื่อย จนสุดท้ายมันก็หมดแรงลงไปนั่งกับพื้น และทันใดนั้นเอง หญิงชราที่เพิ่งเดินมาก็เห็นมันเข้า เธอรู้ทันทีว่าเจ้านี่มันไม่ใช่มนุษย์แน่ ๆ เพราะที่เท้าของมัน มีลักษณะเป็นพังผืดผิดกับมนุษย์ทั่วไป นั่นจึงทำให้เธอรีบจัดการสร้างสัญลักษณ์ไม้กางเขน ปักกั้นไว้ระหว่างก้อนหินยักษณ์กับตัวของเธอ และด้วยเหตุนี้ เจ้าปีศาจก็เลยติดอยู่ตรงเชิงเขาต่อไป ไม่สามารถกลิ้งหินขึ้นมาทำลายสะพานได้


หลังจากที่เจ้าปีศาจมันพยายามอยู่นาน มันก็ตัดใจกลับไปนรกด้วยความอดสู และในปัจจุบันสะพานแห่งนั้นก็เลยถูกเรียกว่าสะพานปีศาจ ส่วนก้อนหินที่เจ้าปีศาจทิ้งเอาไว้ ทุกคนก็เรียกมันว่าหินปีศาจนั่นเอง
ที่มา: translate.google.com


--------------


สะพานวาลองเตร (Valentre Bridge Cahors, France)

ภาพจาก: D. Viet

สะพานวาลองเตร มันก็คือสะพานที่พาดผ่านแม่น้ำลูท ในเมืองกาออร์ ที่อยู่ทางใต้ของประเทศฝรั่งเศส มันถูกสร้างขึ้น ตั้งแต่ช่วงระหว่าง ค.ศ. 1308 ถึง ค.ศ. 1378 ใช้เวลาสร้างรวมทั้งสิ้น 70 ปีเต็ม ว่ากันว่า สาเหตุที่สะพานแห่งนี้ ต้องใช้เวลาสร้างยาวนานขนาดนี้ มันก็เพราะผู้สร้าง ตัดสินใจทำพิธีเรียกปีศาจให้ออกมาช่วยเช่นกัน ซึ่งมันก็ได้ทำข้อตกลงกับสถาปนิกผู้สร้างเอาไว้ว่า วันใดที่สะพานสร้างเสร็จ มันจะมาขอรับวิญญาณของเขาไปทันที
และในช่วงที่สะพานใกล้จะสร้างเสร็จ สถาปนิกก็คิดจะถ่วงเวลาให้มันเสร็จช้าลงสักหน่อย นั่นจึงทำให้เขาสั่งเจ้าปีศาจ ให้ช่วยทำภารกิจที่สำคัญให้อย่างหนึ่ง นั่นก็คือ มันจะต้องตักน้ำด้วยตะแกรงที่มีแต่รูขึ้นมาให้เขา
เจ้าปีศาจรับคำ แล้วรีบใช้ตะแกรงไปตักน้ำขึ้นมาให้ แต่ไม่ว่าจะตักสักกี่ครั้ง น้ำก็ไหลออกจากรูตะแกรงไปจนหมดอยู่ดี เจ้าปีศาจพยายามไปได้เกือบเจ็ดสิบปี มันก็รู้แล้วว่ามันกำลังถูกหลอก เจ้ามนุษย์คนนี้มันฉลาดนักใช่ไหม ? คิดได้ดังนั้น เจ้าปีศาจจึงร้องเรียกเหล่าภูติผีลูกสมุนให้ออกมา จากนั้นก็สั่งให้เข้าโจมตีสะพานให้พังเสียให้สิ้น แต่เรื่องนี้ ผู้สร้างสะพานก็ได้คิดไว้แล้วเช่นกัน นั่นจึงทำให้เขาสั่งคนงานให้เตรียมการป้องกันไว้ตลอดเจ็ดสิบปี สุดท้าย เจ้าปีศาจก็ต้องคว้าน้ำเหลวจากไปแบบไม่เต็มใจ เพราะไม่สามารถทำลายสะพานให้หายแค้นได้สำเร็จ
แต่ถึงจะบอกแบบนั้น ที่ส่วนมุมของหอคอยตรงกลางสะพาน มันยังคงมีร่องรอยของการโจมตีเหลือทิ้งเอาไว้ ซึ่งร่องรอยนี้ ก็ได้ถูกทิ้งเอาไว้มานานจนถึงปี ค.ศ. 1879 ทางการจึงได้สั่งซ่อมแซมจุดดังกล่าวให้สมบูรณ์
และเพื่อแสดงความเคารพต่อตำนานดังกล่าว พอล กาต์ สถาปนิกผู้ดูแลการซ่อมแซม ก็ได้ใส่รูปปั้นปีศาจตัวหนึ่ง ทำท่ากำลังจะขโมยก้อนอิฐติดไว้ที่จุดเสียหายตรงนั้น และตั้งใจออกแบบหน้าของมัน ให้เหมือนกับมันยังคงคิดอยู่เสมอว่า ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปแค่ไหน มันก็ยังอยากจะทำลายสะพานนี้ให้จงได้ เพื่อตอกย้ำให้ทุกคนรู้ว่า ตำนานเรื่องนี้เป็นเรื่องจริง
ที่มา: divona-hotel-cahors.com


หลาย ๆ ตำนานมันน่าเศร้า สถานที่ทุกอย่างมันไม่ใช่จะสร้างกันได้ง่าย ๆ คนออกแบบและคนงานต้องเหนื่อยกันมาขนาดไหน ทำไมชาวบ้านถึงยกประโยชน์ให้ปีศาจไปหมดก็ไม่รู้ แต่ก็นั่นแหละ... สมัยนั้นอะไรที่เป็นของแปลกชาวบ้านก็มักจะโทษปีศาจกันไว้ก่อน
ทุกวันนี้ในยุโรปหลายแห่งที่มีการเปิดสะพาน วันแรกที่เปิดชาวบ้านมักจะใช้สัตว์เลี้ยงมาเป็นประธานเดินบนสะพานจนเป็นประเพณี พอเห็นแบบนี้มันก็ทำให้เราสบายใจขึ้นมา เพราะอย่างน้อยฝรั่งเขาก็มีความเชื่อในแบบของเขาเหมือนกัน จริงไหมล่ะครับ !?

"มาเป็นประธาน..งัก"

หลังจากจบรายการมิติที่ 6 แล้ว อย่าลืมกดสับสไครป์ กดไลก์ กดแชร์ และอย่าลืมทิ้งคอมเมนต์กันไว้ด้วยนะครับ ยังมีเรื่องราวต่าง ๆ อีกมากมายรอคุณอยู่ สำหรับวันนี้... สวัสดี !
แปลและเรียบเรียงโดย นิวัฒน์ อ่ำแสง
ขอบคุณที่มา: Listverse

ประกาศ

เพื่อเป็นกำลังใจเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้กับเรา ขอความร่วมมือจากผู้ที่นำเรื่องราวจากมิติที่ 6 ไปใช้ในที่ของท่าน กรุณาลงเครดิตกลับมาที่เราจะเป็นพระคุณอย่างสูงครับ