30 มิถุนายน 2560

มิติที่ 6 ศุกร์สยองขวัญ ไขปริศนา Tom's Basement ตอนที่หายไปของการ์ตูนเรื่องทอมกับเจอรี่ !!!


คำชี้แจง
มิติที่ 6 ได้จัดทำคลิปเล่าเรื่อง "ทอมแอนด์เจอรี่ลอสคาร์ทูน" หรือ "ทอมเบสเมนท์" เพื่อให้ทราบที่มาของเรื่องราว ก่อนการชี้แจงความจริงหลังจากเรื่องเล่าเท่านั้น ทางรายการไม่ได้มีเจตนาใด ๆ ที่จะทำให้ภาพลักษณ์ของการ์ตูนเรื่องนี้ต้องเสื่อมเสีย จึงเรียนมาเพื่อทราบ



คุณเคยดูการ์ตูนเรื่องทอมกับเจอรี่กันบ้างไหม ? เจ้าแมวสีเทาอมฟ้ากับเจ้าหนูสีน้ำตาลศัตรูของมัน ได้ต่อสู้ห้ำหั่นกันเป็นปกติทั้งบนจอแก้วและจอเงินมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1940 ผ่านฝีมือการผลิตและกำกับมาหลายต่อหลายคนที่ล้วนได้รับความนิยมในเด็กและเยาวชนทั่วโลกไม่แพ้กัน
มิติที่ 6 ศุกร์สยองขวัญ กับเรื่องราวเบา ๆ ในวันศุกร์สะดวกสัปดาห์นี้ เราจะเล่าเรื่องราวที่ถูกอ้างว่ามันเป็นหนึ่งในตอนที่ถูกตัดทิ้งไปจากการ์ตูนทอมกับเจอรี่ ที่ทำให้หลายคนเข้าใจว่ามันเป็นเรื่องจริง ว่าเรื่องนี้... มันคืออะไรกันแน่ !?

ก่อนที่จะตามหาที่มาของเรื่องราวนี้ มิติที่ 6 จะขอเล่าเรื่องราวที่ถูกเล่าขานกันมาให้ท่านผู้ชมได้รับทราบกันก่อน โดยเรื่องราวนั้นมีอยู่ว่า


ซีรีส์ 13 ตอนของการ์ตูนเรื่องทอมกับเจอรี่ คือผลงานของผู้กำกับชาวเชคโกสโลวาเกียชื่อ "ยีน ดีทช์" เรียกได้ว่ามันเป็นผลงานยอดแย่กับความด้อยคุณภาพและสร้างความน่าเบื่อหน่าย การบันทึกเสียงที่ไม่ดี กับงานภาพเคลื่อนไหวที่จงใจนำเสนอความรุนแรง มันก็ดูจริงจังมากเกินไปจนทำให้รู้สึกน่ารำคาญ

บางคนคิดว่าสำหรับดีทช์เองคงไม่ได้ชอบแนวทางการนำเสนอแบบนี้เหมือนกัน และเขาอาจถูกกดดันให้จัดทำซีรีส์นี้ขึ้นมาจนอยากถ่ายทอดความรู้สึกแบบนั้น ให้ผู้ชมรู้สึกแย่กับซีรีส์นี้เช่นเดียวกับเขาหรือเปล่าก็ไม่ทราบได้ หลายคนไม่ทราบว่าดีทช์ได้จัดทำซีรีส์การ์ตูนเรื่องนี้ไว้มากกว่า 13 ตอนแล้ว แต่ที่จริงมันมีอีก 1 ตอน ที่น้อยคนนักจะได้ดู

โดยตอนที่ว่านั้นมันถูกเรียกว่า "Tom's Basement" หรือ "ห้องใต้ดินของทอม" มันเปิดฉากที่ตัวทอม กำลังยืนอยู่ในบ้านไม่ต่างกับตอนอื่น ๆ มีเจ้าของบ้านตัวอ้วน ๆ และดูขี้โมโหไม่ต่างกับทุกตอน เพียงแต่ว่าในครั้งนี้เจ้าของบ้านดูจะโมโหมากกว่าทุกตอนที่เขาเคยปรากฏตัว โดยในฉากแรกเขาก็เหยียบหางของเจ้าทอมในท่าทางที่ดูเหมือนจริง และเจ้าทอมที่ดูบาดเจ็บสมจริงก็หันหน้าหนีด้วยความเจ็บปวด ซึ่งสาเหตุทำให้มันต้องโดนนั้นก็น่าจะเพราะว่า จุดที่มันกำลังยืนอยู่นั้นคือประตูทางลงไปยังห้องใต้ดินนั่นเอง

เจ้าของบ้านตะโกนดุด่าเจ้าทอมว่า "อย่าลงไปข้างล่างนั่น !" เจ้าทอมก็รีบวิ่งหลบไปยังอีกห้องด้วยความหวาดกลัว ซึ่งฉากมันก็คาอยู่ที่หน้าประตูห้องใต้ดินต่อไป และเราจะเห็นเจ้าเจอรี่ค่อย ๆ เดินออกมาจากรูหนูของมัน ท่าทางของมันดูแปลกประหลาด ลายเส้นที่วาดออกมาก็ดูผิดไปจากตอนอื่น ๆ เพราะสิ่งที่เห็นในตอนนี้เจอรี่กำลังทำหน้าตาชั่วร้าย มองตามไปที่เจ้าทอมเพิ่งวิ่งหนีหายไปอีกห้อง ดูน่ากลัวเป็นอย่างมาก

ไม่กี่นาทีผ่านไปทุกอย่างก็เริ่มดูปกติขึ้น เจอรี่หาทางแกล้งเจ้าทอมซ้ำแล้วซ้ำเล่า เขาหลอกให้ทอมวิ่งไล่เขาไปยังหน้าประตูห้องใต้ดินที่ว่าอยู่สองสามครั้ง ซึ่งทุกครั้งนั้นเจ้าของบ้านก็จะจับทอมเอาไว้ด้วยความรุนแรง และภาพที่เห็นมันทำให้รู้สึกได้ว่าทอมกำลังบาดเจ็บอยู่จริง โดยแต่ละครั้งที่ทอมถูกทำร้าย ฉากก็จะถูกตัดไป จนถึงการทำร้ายครั้งที่ 3 ร่างกายของทอมก็บอบช้ำไปหมด เห็นเลือดพุ่งออกมาสองสามแห่งและที่ขาก็ดูเหมือนจะหักไปแล้ว

จากจุดนี้ทอมก็อ้อนวอนขอเจอรี่ให้เลิกแกล้งเขาเสียที โดยทอมนั้นไม่ได้แสดงออกมาเป็นคำพูด เขาร้องไห้และทำเสียงอู้อี้ที่เราสามารถเข้าใจได้จากทีท่าการแสดงออก แล้วทางเจอรี่ก็หัวเราะเยาะและผลักทอมให้กลิ้งตกลงไปทางบันไดชั้นใต้ดินอีกครั้ง

เจ้าของบ้านก็จับทอมกลับขึ้นมาแล้วปามันออกไป ตอนนี้กล้องก็ซูมเข้าไปยังใบหน้าของทอม หน้าของมันเปลี่ยนสีเป็นหน้าซีดเผือด เจ้าของบ้านดุด่าทอมด้วยเสียงที่ดังขึ้นมากกว่าการ์ตูนปกติพึงกระทำ ซึ่งไม่อยากจะบอกเลยว่าเขาพูดว่าอะไร นอกจากจะสรุปว่ามันเป็นคำพูดที่แสดงถึงความโกรธของเขาเป็นอย่างมาก

 ดูเหมือนในที่สุดเจ้าเจอรี่ก็เริ่มจะสงสารทอมแล้ว เจอรี่หยิบมีดขึ้นมาแล้ววิ่งวนหลอกล่อเจ้าของบ้าน จากนั้นเจอรี่ก็อาศัยจังหวะที่เจ้าของบ้านกำลังงงใช้มีดแทงไปที่ขาของเขา ตามด้วยภาพความรุนแรงที่บอกได้เพียงว่าเจ้าเจอรี่มันฆ่าเจ้าของบ้านไปแล้ว

ทอมเปิดประตูห้องใต้ดินแล้วร่วมมือกับเจอรี่ ช่วยกันแบกร่างเจ้าของบ้านลงไปทางบันไดชั้นใต้ดิน ที่ข้างล่างนี้มีศพจำนวนมากมายนอนเรียงรายในสภาพไม่น่าดูเป็นอย่างมาก ทอมกับเจอรี่จับมือกันราวกับพวกเขาเพิ่งจะเอาชนะฆาตกรต่อเนื่องได้สำเร็จ แต่อยู่ดี ๆ เจอรี่ก็ทำหน้าตาน่ากลัวขึ้นมาอีกครั้ง แล้วมันก็พูดกับทอมด้วยน้ำเสียงอันน่ากลัวว่า “นายคงไม่เชื่อแน่ ๆ !”

ฉากต่อมานั้นเจ้าเจอรี่ก็ใช้มีดแทงสังหารทอมอย่างทารุณ ตามด้วยโยนศพของมันไปกองรวมกับศพก่อนหน้าเหล่านั้น และในฉากสุดท้ายเจอรี่ก็ปักป้ายว่า “ขายบ้าน” เอาไว้ที่สนามหญ้าหน้าบ้านหลังนี้ จากนั้นเราก็จะได้ยินเสียงมันหัวเราะราวกับว่ามันจะไปทำอะไรแบบนี้อีกที่ไหนสักแห่ง
ที่มา: KI Simpson
แปลโดย: นิวัฒน์ อ่ำแสง

--จบ--

ทอมแอนด์เจอรี่ลอสคาร์ทูน หรือ ทอมกับเจอรี่ตอนที่หายไป หรือที่รู้จักกันในชื่อ ทอมส์เบสเมนท์ หรือ ห้องใต้ดินของทอม เป็นเรื่องสยองขวัญออนไลน์แต่งโดยสมาชิกเว็บไซต์ชุมชน Gamefaqs.com ชื่อ KI Simpson ไว้เมื่อช่วงประมาณเดือนธันวาคม ปี ค.ศ. 2010 โดยใช้เทคนิคการเล่าแบบปกติ พูดถึงฉากที่ถูกตัดทิ้งไปในซีรีส์ DVD 13 ตอน ของการ์ตูนเรื่องทอมกับเจอรี่ ชุดที่กำกับโดยยีน ดีทช์

"ยีน ดีทช์" ผู้กำกับเรื่องทอมแอนด์เจอรี่
หลังจากที่เรื่องเล่านี้ถูกเผยแพร่ออกไป ก็ได้ทำให้มีผู้ชมที่รักทอมกับเจอรี่จำนวนมากเข้าใจว่ามันมีตอนที่ถูกตัดทิ้งตอนนี้อยู่จริง ๆ เนื่องจากที่ผ่านมาซีรีส์การ์ตูนเรื่องนี้เคยถูกทางสถานีโทรทัศน์หลายแห่งทั่วโลก ตัดสินใจคัดเนื้อหาบางตอนทิ้งเนื่องจากการสื่อถึงความรุนแรงที่ดูเกินจริง จนอาจส่งผลให้เยาวชนเลียนแบบทำตามจนเกิดอันตราย ซึ่งถือได้ว่าเป็นการนำข้อเท็จจริงมาแต่งเป็นเรื่องราวให้ผู้คนเกิดความสับสน และมีน้อยคนที่จะทราบว่ามันเป็นเพียงเรื่องเล่าสยองขวัญออนไลน์เท่านั้น
และน้อยคนที่ว่านั้นก็ได้นำเรื่องนี้ออกมาเล่ากันไปตั้งแต่ปี ค.ศ. 2010 มาถึงปัจจุบัน โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อสร้างความสับสนให้กับแฟนการ์ตูนมากกว่าที่จะบอกว่ามันเป็นเรื่องเล่า ทำให้ทุกวันนี้ยังคงมีการตั้งกระทู้สอบถามตามชุมชนต่าง ๆ กันอยู่ว่า เรื่องนี้มันเป็นเรื่องจริงหรือไม่ ?

โดยความเป็นจริงแล้วตั้งแต่การ์ตูนเรื่องทอมแอนด์เจอรี่ถูกสร้างมาในปี ค.ศ. 1940 นั้น มันได้ถูกกำกับโดยผู้กำกับมากมายหลายท่าน และเวอร์ชั่นที่ถูกอ้างถึงในเรื่องนี้มันถูกกำกับโดยยีน ดิทช์ จริง ๆ เพียงแต่แทบไม่มีใครทราบกันเท่าไหร่ว่า ก่อนที่เขาจะมาทำการ์ตูนเรื่องนี้ ยีน ดิทช์เคยกำกับหนังการ์ตูนป็อบอาย ร่วมกับแรมบรานดท์จนโด่งดังมาแล้ว

โดยในซีรีส์ทอมกับเจอรี่ 13 ตอนที่ว่านี้ ยีน ดีทช์ได้กำกับไว้ในช่วงประมาณ ปี ค.ศ. 1961 - 1962 ที่มีจุดแตกต่างจากผู้กำกับท่านอื่น ๆ ในวิธีการดำเนินเรื่องที่เราจะเห็นว่าเจ้าทอมแมวในเรื่องจะมีเจ้าของเป็นชายหนุ่มร่างอ้วนปรากฎตัวมาให้เห็นเกือบทุกตอน และที่สำคัญทุกตอนนั้นถูกวาดออกมาอย่างดี ไม่มีส่วนไหนที่จะทำให้รู้สึกได้เลยว่ามันเป็นผลงานที่น่าอับอาย เพียงแต่ความรุนแรงที่ถูกแสดงออกมาในทุกฉากนั้นค่อนข้างจะดูสมจริง จนทำให้เรารู้สึกเช่นกันว่าเจ้าทอมในซีรีส์ของผู้กำกับคนนี้มันถูกรังแกจนดูน่าสงสาร ไม่แพ้ซีรีส์ที่ถูกกำกับโดยท่านอื่น ๆ เลย

แต่จุดที่ควรให้ความสำคัญจริง ๆ ก็คือ งานภาพที่ผลิตออกมาอย่างดีไม่มีจุดใดบ่งบอกว่าผู้กำกับท่านนี้ไม่ใส่ใจการผลิต และหลังจากที่ยีน ดิทช์กำกับเรื่องนี้เสร็จ เขาก็ได้ไปกำกับการ์ตูนสั้นเรื่อง Munro ในปี ค.ศ. 1961 จนได้รับรางวัลออสก้าในปีดังกล่าว

การ์ตูนสั้นเรื่อง Munro

ตามด้วยผลงานยอดเยี่ยมอีกหลายเรื่องอย่างเช่น Alice of Wonderland in Paris และ The Hobbit ในปี ค.ศ. 1966 ซึ่งที่กล่าวมานี้ก็เป็นเพียงส่วนหนึ่งของผลงานมากมายที่เขาได้สร้างเอาไว้เท่านั้น

ภาพยนตร์เรื่อง Alice of Wonderland in Paris และ The Hobbit (1966)

จนถึงปี ค.ศ. 2003 ยีน ดีทช์ก็ได้รับรางวัลยอดเยี่ยมตลอดกาลในสาขาศิลปะภาพยนตร์อนิเมชั่น ที่น่าจะสรุปได้ว่าเรื่องเล่าทอมกับเจอรี่ตอนที่หายไปเรื่องนี้ กล่าวถึงผู้กำกับท่านนี้ผิดไปทั้งหมดตั้งแต่ต้นเรื่อง

ซึ่งถ้าหากใครอยากทราบว่าซีรีส์ 13 ตอนของทอมกับเจอรี่ ที่ถูกกำกับโดยยีน ดีทช์นั้นมีคุณภาพเป็นเช่นไร มิติที่ 6 ขอแนะนำให้ท่านผู้ชมลองค้นหาตัวอย่างบางตอนจากเว็บไซต์ยูทูป ด้วยการพิมพ์คำค้นว่า Tom and Jerry Gene Deitch Collection แล้วเลือกดูคลิปจากช่อง WB Kids เพื่อให้เห็นกับตากันก็น่าจะดีที่สุดนะครับ

ดังนั้นในฐานะที่ผู้บรรยายเป็นหนึ่งในผู้ที่รักการ์ตูนเรื่องนี้เป็นอย่างมาก ได้ตัดสินใจเล่าเรื่องนี้ตามคำขอของท่านผู้ชม ทั้ง ๆ ที่เราเองนั้นพยายามหลีกเลี่ยงเสมอมา ก็เพราะมิติที่ 6 อยากจะอธิบายให้ท่านผู้ชมทุกท่านทราบกันว่า เรื่องทอมแอนด์เจอรี่ตอนที่ถูกตัดทิ้งที่ชื่อ "ห้องใต้ดินของทอม" มันเป็นเพียงเรื่องที่ถูกแต่งขึ้นมา โดยเราไม่จำเป็นต้องสืบหาว่าใครไปหลอกใครไว้อีก เพราะมันไม่ใช่เรื่องจริงอย่างแน่นอน

และก็เหมือนกับทุกครั้ง ถ้าหากมีใครนำเรื่อง "ทอมกับเจอรี่ตอนที่หายไป" หรือ "ทอมส์เบสเมนท์" มาเล่ากันในวงสนทนา มิติที่ 6 ก็อยากจะบอกกับท่านผู้ชมว่า ขอจงอย่าได้ไปทำอะไรที่จะทำให้การเล่านั้นต้องหยุดชะงักไประหว่างทางน่าจะดีเป็นที่สุด นั่นก็เพราะว่าความจริงนั้น มันช่างไม่มีเสน่ห์... เอาเสียเลย !

อย่าลืมติดตามรายการมิติที่ 6 ศุกร์สยองขวัญกับเรื่องราวเบา ๆ พร้อมกับที่มาของมันกันได้ทุกวันศุกร์สะดวก และหลังจากจบรายการแล้ว อย่าลืมกดสับสไครป์ กดไลก์ กดแชร์ หรือทิ้งคอมเมนต์กันไว้ด้วยนะครับ ยังมีเรื่องราวต่าง ๆ  อีกมากมายรอคุณอยู่ สำหรับวันนี้... สวัสดี

เรียบเรียงและบรรยายโดย: นิวัฒน์ อ่ำแสง
ขอบคุณที่มา: Creepypasta และ Listal.com

แท็ก: ศุกร์สยองขวัญ, Tom's Basement, ทอมส์เบสเมนท์, ห้องใต้ดินของทอม, Tom and Jerry Lost Cartoon, ทอมแอนด์เจอรี่ลอสคาร์ทูน, ทอมกับเจอรี่ตอนที่หายไปทอมกับเจอรี่ทอมแอนด์เจอรี่, Tom & Jerry, Cartoon

28 มิถุนายน 2560

มิติที่ 6 EP.4 ภาพวิวาห์อาถรรพ์ | Hook Island Monster | หญิงสาวรัสเซียกับกองศพ | ภาพพรายน้ำตัวจริง !!!




สวัสดีครับ พบกับรายการมิติที่ 6 ตอบคำถามจากท่านผู้ชมกันอีกครั้งนะครับ เนื่องจากมีท่านผู้ชมสอบถามเรื่องราวปริศนาต่าง ๆ กันมาเยอะจนตอบไม่ทันจริงๆ ที่ไม่ทันก็เป็นเพราะบางส่วนทางมิติที่ 6 เองก็ไม่ทราบคำตอบเช่นกันครับ
ก่อนจะตอบคำถาม เราขอพูดถึงคดีหนึ่งที่ท่านผู้ชมสอบถามกันมามากมาย นั่นก็คือคดีแก๊งสาววัยรุ่นฆ่าหั่นศพเพื่อนหรือที่เรารู้จักก็คือ น.ส. ปรียานุช โนนวังชัย หรืออีเปรี้ยวตลาดแตกนั่นเอง


คดีเปรี้ยว "หั่นศพ!!"
ท่านผู้ชมถามกันมามากว่าเราจะทำคดีนี้กันหรือเปล่า ? มิติที่ 6 ก็ต้องขอตอบตรงนี้ว่าเราจะทำก็ต่อเมื่อคดีจบแล้ว ซึ่งก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าคดีนี้จะจบกันเมื่อไหร่ ? เพราะเท่าที่เห็นตอนนี้กลุ่มคนร้ายทุกคนถูกจับกุมได้หมดแล้ว ซึ่งก็ต้องรอว่าเขาจะสู้กันจนครบทั้ง 3 ศาลหรือเปล่า ?

แต่ที่เราอยากจะพูดถึงก็คือเรื่องของ "อาการเห็นอกเห็นใจคนร้าย" ที่เราเคยได้ยินว่ามีในต่างประเทศ ซึ่งไม่น่าเชื่อว่าในที่สุดก็มีคนไทยบางกลุ่มมีอาการนี้ขึ้นมาแล้ว และมันก็เกิดขึ้นกับคดีของ น.ส. เปรี้ยวนี้แหละครับ

ที่ต่างประเทศเองมีก็มีคดีฆาตกรรมที่คนร้ายมีบุคคลิกดีบางคน อย่างที่มิติที่ 6 เคยนำมาเล่าก็จะมีเท็ด บันดี้, ริชาร์ด รามิเรซ, อลิซ่า บุสตามันตี้, เบร็นด้า สเป็นเซอร์ และชาร์ล แมนสัน ซึ่งก็อาจมีคนอื่น ๆ อีก เพียงแต่เราไม่ค่อยได้ทราบข่าวสารแนวนี้กันมากสักเท่าไหร่

พวกเราก็คงต้องดูกันว่า คนไทยกลุ่มดังกล่าวจะสามารถแยกแยะระหว่างฆาตกรกับคนบุคคลิกดี แล้วกลับมามองที่ความเป็นจริงกันได้หรือเปล่า ? ซึ่งทางเราเองก็เชื่อว่าคนไทยไม่ได้เป็นคนที่แยกแยะเรื่องพวกนี้ไม่ออกแน่นอน เพียงแต่มันเป็นกระแสสังคมและการมองโลกต่างมุม ที่สักพักก็น่าจะผ่านไปได้เหมือนกับทุกเหตุการณ์อย่างแน่นอน
-----------

1. เจ้าบ่าวแต่งงานกับศพ !!!

เรื่องแรกเป็นภาพที่กำลังถูกพูดถึงกันในหลายเว็บไซต์ นั่นก็คือภาพนี้ครับ
(ภาพจาก: QUEACHMAD.COM) 

โดยภาพนี้มิติที่ 6 ได้รับการสอบถามมาจากคุณศุภกร ชวนศรีวิโรจน์ ว่าใช่เรื่องจริงหรือเปล่า ?


เป็นภาพที่ตอนนี้มีข่าวนำเสนอบนเว็บไซต์ SpokedarkTV แล้วทีนี้พอเราได้รับคำถามกันมา ผู้บรรยายเองก็ได้พูดคุยกับคุณศุภกรว่ามันแปลก ๆ หลายอย่าง ตั้งแต่เนื้อหาที่คลุมเครือไม่มีชื่อของเจ้าบ่าวเจ้าสาว หรือแม้แต่สถานที่เกิดเหตุ

ที่มาของข่าวมาจากไหนกันแน่ ? พอค่อย ๆ หาย้อนกลับไป เราก็พบว่าภาพนี้เคยถูกนำเสนอในประเทศไทยบนเว็บไซต์พันทิปในปี ค.ศ. 2010 ชื่อกระทู้ว่า ภาพเก่าเล่าเรื่อง.. เมื่ออาเหล่ากง อาเหล่าม่า แต่งงานกัน... ชุดวิวาห์คลาสสิคของชาวจีนสมัยก่อน โดยอยู่ในความเห็นที่ 4 และที่สำคัญก็คือในกระทู้ไม่ได้บอกว่าเป็นภาพการแต่งงานกับศพแต่อย่างใด

แล้วเราก็ได้พบกับข่าว ๆ หนึ่ง มันเป็นข่าวจากเว็บไซต์ Appledaily ที่ลงไว้เมื่อวันที่ 22 มิถุนายน ค.ศ. 2015 หรือเมื่อสองปีก่อน โดยเนื้อข่าวได้พูดถึงภาพถ่ายเจ้าบ่าวแต่งงานกับศพเช่นกัน เพียงแต่เขาบอกว่า...

จริง ๆ มันไม่ใช่ภาพการแต่งงานกับศพ แต่เป็นภาพถ่ายงานแต่งงานของบรรพบุรุษตระกูลหลี่ ที่อยู่ในปิงตุงเขตไต้หวันของประเทศจีน ซึ่งเจ้าของภาพคนปัจจุบันนั้นก็คือ "คุณหลี่ ฮานถิง" ซึ่งเธอบอกว่าภาพนี้เป็นภาพของ "นายหลี่ จาง" ซึ่งเป็นคุณปู่ของเธอ และปู่ของเธอก็ไม่ได้แต่งงานกับศพอย่างที่เป็นข่าว

"หลี่ ฮานถิง" เจ้าของภาพ
(ภาพจาก: Appledaily)

โดยปัจจุบันภาพนี้ยังอยู่ที่บ้านของคุณหลี่ และเป็นภาพขาวดำ ซึ่งที่เราเห็นว่ามันเป็นงานแต่งงานของคนมีฐานะ ก็เพราะคุณปู่ของคุณหลี่นั้นเป็นคนมีอันจะกินในสมัยนั้น ไม่ได้เป็นชาวนาตามข่าวแต่อย่างใด และที่ทำให้เรารู้สึกว่าคุณหลี่เธอพูดเหมือนหญิงสาวคนนี้ไม่ใช่คุณย่าของเธอ ก็เพราะเป็นงานแต่งงานครั้งที่สองของคุณปู่เธอนั่นเอง

เรื่องแต่งงานกับศพมาจากไหน ?

คุณหลี่บอกว่าภาพนี้เคยถูกนำไปร่วมแสดงในนิทรรศการภาพถ่ายโบราณเมื่อปี ค.ศ. 2000 แล้วต่อมาภาพนี้ก็ถูกนำไปขึ้นปก "นิตยาสารเนชั่นแนลจีโอกราฟิก" ของประเทศจีน โดยทางหนังสือเขาได้นำภาพต้นฉบับที่จริง ๆ เป็นภาพขาวดำไปย้อมสีแล้วนำไปขึ้นปกกันเลยทีเดียว
ซึ่งคุณหลี่บอกว่าหลังจากนั้นไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ข่าวลือเรื่องภาพเจ้าบ่าวแต่งงานกับศพก็ถูกเผยแพร่ออกมาทางอินเตอร์เน็ตทันที และปรากฏการณ์นี้ทำให้ครอบครัวของเธอรู้สึกเสียใจกันมาก

หลังจากขึ้นปกนิตยาสารเนชั่นแนลจีโอกราฟิก ก็เกิดข่าวลือในอินเตอร์เน็ตอย่าง งงๆ

ซึ่งคุณหลี่ก็เน้นย้ำกับนักข่าวของเว็บไซต์แอบเปิ้ลเดลี่ด้วยว่า สมัยก่อนมีแต่ภาพขาวดำ ผู้คนน่าจะเฉลียวใจกันบ้างว่ามันเป็นเรื่องที่ถูกสร้างขึ้น

ก็นั่นสิครับ ! แต่อย่างน้อยพวกเราก็รู้ความจริงกันแล้วว่า มันเป็นครีบปี้พาสต้าของคนจีนที่ใช้ภาพถ่ายมาเป็นตัวเล่าเรื่องนั่นเอง
-----------
2. สัตว์ประหลาดเกาะฮุก (Hook Island Sea Monster)
(ภาพจาก: Goenkanscienceblog)

ภาพนี้เป็นภาพที่เราถูกถามกันมาตั้งแต่สมัยทำช่องใหม่ๆ มาจนถึงเมื่อสัปดาห์ก่อนก็ยังมีผู้ชมสอบถามกันอยู่เลย ชื่อของภาพนี้ก็คือ Hook Island Sea Monster ถ่ายไว้เมื่อปี ค.ศ. 1964 ถ่ายโดยคุณโรเบิร์ต เลอร์ เซอร์เร็ค
ที่อ้างว่าถ่ายได้ตอนที่เขาและครอบครัวกำลังล่องเรืออยู่แถบชายหาดสโตนเฮเวนที่เกาะฮุก เขาบอกว่าเจ้านี่มันมีความยาวประมาณ 30 ฟุต และว่ายไปมาอยู่ใต้น้ำตลอดเวลา โดยภาพนี้ถูกถ่ายได้ก่อนที่มันจะอ้าปากอันน่ากลัวของมันให้ทุกคนเห็นด้วย

ซึ่งภาพนี้เคยเป็นที่ถกเถียงกันมากเพราะว่าดูยังไง ๆ ก็ไม่ใช่ภาพตัดต่อ แถมสมัยนั้นเทคโนโลยีการตัดต่อภาพก็ยังไม่ได้เจริญเหมือนกับทุกวันนี้ เถียงไปเถียงมาก็มีบางคนมองว่า แม้จะไม่ใช่ภาพตัดต่อแต่มันน่าจะเป็นภาพที่ถูกทำขึ้น โดยการสร้างเจ้าสัตว์ประหลาดใต้น้ำขนาดใหญ่นี้ด้วยถูกพลาสติกสีดำ เอามาเย็บต่อกันแล้วถ่วงน้ำหนักด้วยทราย

พอมีคนตั้งสมมติฐานแย้งแบบนี้ขึ้นมา โรเบิร์ต เลอ เซอร์เรคก็เลยถูกนักข่าวสมัยนั้นตรวจสอบประวัติกันทันที นักข่าวพบว่าคุณโรเบิร์ตประสบปัญหาทางการเงินอย่างหนักตั้งแต่ปี ค.ศ. 1959 ซึ่งสิ่งนี้ก็น่าจะเป็นมูลเหตุที่ทำให้คุณโรเบิร์ตสร้างเจ้าสัตว์ปริศนาตัวนี้ขึ้นมา เพื่อถ่ายภาพไปขายหาเงินมากู้วิกฤติในกระเป๋าตัวเอง

พอโดนขุดประวัติกันแบบนี้ คุณโรเบิร์ตที่พอจะได้เงินค่าภาพถ่ายมาก็หนี เขาหายไปและไม่กลับมาให้ใครเห็นอีกเลย โดยมีข่าวลือในปี ค.ศ. 2003 ว่าเขายังมีชีวิตอยู่ โดยน่าจะอาศัยอยู่ที่ไหนสักแห่งแถวทวีปเอเชียซึ่งก็ยังไม่รู้ว่าประเทศไหนเช่นกัน

และก็มีอีกสายบอกว่าปัจจุบันชื่อของคุณโรเบิร์ต เลอ เซอร์เรค ถูกบรรจุอยู่ในรายชื่อผู้ต้องหาที่ทาง FBI ยังคงต้องการตัวอยู่ แต่พอมิติที่ 6 ไปลองค้นดูที่เว็บไซต์ FBI เราก็ไม่พบชื่อของเขาแต่อย่างใด ซึ่งถ้าเคยมีชื่ออยู่จริง ๆ ตอนนี้คดีเขาคงหมดอายุความ เลยถอดรายชื่อออกไปแล้วก็เป็นได้

ต่อมาก็มีรายการของทางญี่ปุ่น นำเจ้าสัตว์ประหลาดแห่งเกาะฮุกตัวนี้มาล้อเลียนให้คนขำกันเล่นด้วย และปัจจุบันก็มีคนเก่ง ๆ นำภาพของมันมาทำเป็นภาพเคลื่อนไหวแบบนี้


คลิปตัดต่อสุดน่ารัก "สัตว์ประหลาดเกาะฮุก"
อย่างไรแล้วก็อย่าลืมใช้วิจารณญาณในการรับข่าวสารด้วย เพราะถ้ามันมีตัวตนจริงเวลาผ่านมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1964 มาจนถึงปี ค.ศ. 2017 ก็ 53 ปีเข้าไปแล้ว ทำไมยังไม่เคยมีใครพบมันอีกเลย ถ้าไม่ใช่เพราะว่ามันไม่มีตัวตนจริงนั่นเอง
-----------
3. หญิงสาวรัสเซียกับกองศพ

หลังจากที่เราไลฟ์สดไปเมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม 2560 ที่ผ่านมา ก็มีท่านผู้ชมชื่อ Rapins On Sea ได้โพสต์ถามภาพนี้ไว้


จากภาพที่เห็นถ้าเราดูเฉย ๆ เราจะเห็นเพียงแค่หญิงสาวคนหนึ่งนั่งยิ้มอยู่ในตู้รถไฟ แต่ถ้าเราสังเกตรายละเอียดดี ๆ จะเห็นว่าฉากหลังมีแต่ศพนอนเสียชีวิตเกลื่อนเลย

ภาพนี้เป็นภาพที่ถูกพูดถึงกันในต่างประเทศเยอะมาก เพราะเมื่อมิติที่ 6 ลองนำภาพนี้ไปค้นในระบบค้นหารูปภาพแล้ว ผลก็ออกมาคือภาพที่ชื่อว่า A young Russian woman poses happily and calmly in front of a pile of dead bodies หรือภาพสาวน้อยชาวรัสเซียโพสท่ามีความสุขอยู่หน้ากองศพ

(ภาพจาก: Imgur)
โดยรายละเอียดเพิ่มเติมนั้นหลาย ๆ แห่งบอกว่าเป็นภาพจากเหตุการณ์จริงของ 2010 Moscow metro bombing หรือการระเบิดในรถไฟมอสโควเมโทร แต่ถึงจะบอกว่าคือภาพจากเหตุการณ์นั้นจริง ๆ ก็แปลกที่หญิงสาวในภาพเธอไม่มีรอยเลือดหรือบาดแผลอะไรอยู่บนร่างกายใช่ไหม ?
พอเราค้นหารายละเอียดของเหตุการณ์นี้เพื่อจะได้รู้ว่าทำไมเธอถึงมานั่งยิ้มได้ เราก็พบว่าเหตุการณ์ระเบิดนี้เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 29 มีนาคม ค.ศ. 2010 โดยในวันนั้นมีหญิงสาวสองคน เป็นผู้นำระเบิดติดตัวเข้าไปในขบวนรถไฟใต้ดินที่สถานีลูเบียนก้าและปาร์กคูลตุรี่

พอถึงช่วงเวลาประมาณ 7.56น. และ 8.37น. พวกเธอก็จุดชนวนระเบิดขึ้นในเวลาใกล้เคียงกัน ส่งผลให้มีประชาชนที่อยู่ในตู้โดยสารเสียชีวิตไปอย่างน้อย 40 ราย และบาดเจ็บมากกว่า 100 ราย ซึ่งกลุ่มที่ก่อเหตุนี้ขึ้นทางการรัสเซียยืนยันว่าน่าจะมาจากผู้ก่อการร้าย ที่เราต้องขอสงวนชื่อกลุ่ม โดยคนที่วางแผนนั้นน่าจะเป็นสามีของผู้ตายทั้งสองนั่นเอง

ทีนี้เราก็ค้นกันต่อไปจนพบว่า ทั้งต่างประเทศและเมืองไทยที่พูดถึงภาพนี้ สรุปว่าเป็นภาพของนักแสดงช่วงก่อนหรือหลังการถ่ายทำภาพยนตร์เรื่องหนึ่งโดยสมาชิก เว็บไซต์พันทิป

ส่วน เว็บไซต์เรดดิท ก็เข้าใจว่าน่าจะมาจากภาพยนตร์เรื่อง The Midnight Meat Train ที่ออกฉายในปี ค.ศ. 2008 แต่ถ้าเราดูที่เสื้อผ้าของหญิงในภาพ จะพบว่ากระโปรงลายของเธอเป็นกระโปรงแบบเดียวกันกับที่นิยมสวมใส่ในแถบประเทศรัสเซียและยุโรปตะวันออก แสดงว่าภาพนี้ไม่น่าจะมาจากภาพยนตร์เรื่องนี้แน่ๆ

แล้วสมาชิกในเว็บไซต์เรดดิทก็สังเกตเห็นแผนที่ทางด้านหลังของหญิงสาว เขาก็สามารถหาพบว่าเป็นแผนที่บนรถไฟใต้ดินของรถไฟขบวนปาร์กคูลตุรี่ นั่นแปลว่าภาพนี้น่าจะเกี่ยวข้องกับเหตุระเบิดพลีชีพแน่นอน แต่ถ้ามาจากภาพยนตร์จริง ๆ มันจะเป็นภาพยนตร์เรื่องอะไร ?

ในที่สุดก็มีผู้สามารถค้นหาชื่อภาพยนตร์มาจนได้ นั่นก็คือเรื่อง Metro เป็นหนังรัสเซียที่ออกฉายในปี ค.ศ. 2013 ซึ่งถ้าเราสังเกตจากบางฉากในตัวอย่างหนัง จะพบว่ามีฉากหนึ่งที่ตัวเอกเดินผ่านป้ายแผนที่บอกเส้นทาง เป็นเส้นทางเดียวกันกับที่เห็นในภาพปริศนาภาพนี้

ภาพแผนที่จากในภาพยนตร์ Metro ที่บังเอิญไปตรงกับภาพปริศนา

แต่ก็มีหลายคนออกมาแย้งเหมือนกันว่าไม่น่าจะใช่อีก แบบนี้เราก็เลยต้องถามท่านผู้ชมว่า ท่านคิดว่ามันเป็นภาพจากเหตุการณ์จริง หรือจากฉากในหนัง ? โดยสามารถกดที่เครื่องหมาย ( i ) ตรงบริเวณมุมบนขวาของหน้าจอของคลิปนี้ได้เลย

-----------
4. ภาพพรายน้ำตัวจริง (Homo Algus)

ก่อนจะจากกันไปมิติที่ 6 มีภาพแปลก ๆ มาให้ชมกัน ซึ่งผู้ที่ส่งภาพนี้มาให้เราก็คือคุณผู้ชมที่ใช้ชื่อว่า “มือสังหาร อันดับ หนึ่ง” โดยถามเราว่าคืออะไร ?

 

พอเราค้นไปตอนแรก กูเกิลก็บอกว่ามันคือ "ภาพพรายน้ำตัวจริง" เราจึงค้นหาย้อนหลังไปเรื่อย ๆ แล้วก็พบว่า ที่จริงมันคือผลงานศิลปะกลางแจ้งของคุณโซฟี เพรสติจิอาโคโม (Sophie Prestigiacomo) ชื่อ "โอโมอาลุกุสแห่งบึงซีนี่" อยู่ในมณฑลเบรอตาญประเทศฝรั่งเศส

ซึ่งที่บึงแห่งนี้ก็มีเจ้าโอโมอาลุกุสวางไว้หลายตัวในท่าทางที่ต่าง ๆ กัน พอมีคนถ่ายภาพมันทีละตัวเอามาเรียงกัน ก็ทำให้ดูเหมือนกับมีชีวิตเลย ซึ่งจริง ๆ แล้วมันเป็นเพียงรูปปั้นขยับตัวไม่ได้แต่อย่างใด เราจึงนำภาพของมันมาฝากให้ดูกันก่อนที่จะจากกันไปในวันนี้

(ภาพจาก: Pinoyfavs)


สามารถเข้าไปแวะชมเฟซบุ๊กแฟนเพจได้ที่ >> Homo algus
หลังจากจบรายการแล้ว อย่าลืมกดสับสไครป์ กดไลก์ กดแชร์ หรือทิ้งคอมเมนต์กันไว้ด้วยนะครับ ยังมีเรื่องราวต่าง ๆ อีกมากมายรอคุณอยู่ สำหรับวันนี้... สวัสดี

แท็ก: คดีเปรี้ยวหั่นศพ, ภาพวิวาห์อาถรรพ์!!, เจ้าบ่าวแต่งงานกับศพ, สัตว์ประหลาดเกาะฮุก, Hook Island, Sea Monster, หญิงสาวรัสเซียกับกองศพ, A young Russian woman, poses happily and calmly in front of a pile of dead bodies, 2010 Moscow metro bombing, ภาพพรายน้ำตัวจริง, Homo Algus, ตอบคำถาม

23 มิถุนายน 2560

มิติที่ 6 ศุกร์สยองขวัญ | 10 ตำนานลี้ลับของชาวอเมริกันพื้นเมือง !!!



ใครบอกว่าประเทศสหรัฐอเมริกาจะมีแต่ตำนานซอมบี้และแวมไพร์ ! เรื่องพวกนั้นมันเป็นแค่ตำนานยุคใหม่ของเหล่าชนเผ่าผู้อพยพมาจากแดนไกลเท่านั้น จะมีใครเคยรู้กันบ้างว่าแท้ที่จริงแล้ว ชนเผ่าพื้นเมืองของชาวอเมริกันนั้น ล้วนมีตำนานเล่าขานต่อกันมาจนถึงรุ่นลูกหลาน !
มิติที่ 6 ศุกร์สยองขวัญ กับเรื่องราวเบา ๆ ในวันศุกร์สะดวกสัปดาห์นี้ เราจะขอนำท่านไปรู้จักกับตำนานลี้ลับ เรื่องเล่าที่ยังคงถูกเล่าขานกันต่อมา ในหมู่ชนพื้นเมืองเจ้าของแผ่นดินของประเทศสหรัฐฯ ว่าเรื่องราวเหล่านี้... มันคืออะไรกันแน่ !?

บูควุส (Bookwus)



บูควุส (บาควุส, โบควุส หรือ บูควิส) คือชาวป่าลึกลับในตำนานของชนเผ่าควาคิอุท โดยบูควุสเป็นกลุ่มชนที่สามารถสื่อสารกับวิญญาณที่ตายในท้องน้ำ มันอาศัยอยู่บริเวณรอบป่าชายเลน สิ่งที่น่ากลัวสำหรับพวกเรานั้นก็คือหากใครพบกับบูควุสเข้า คนผู้นั้นจะถูกพวกเขาหลอกล่อด้วยวิธีการต่าง ๆ เพื่อให้เดินตามไปยังถิ่นของพวกเขา ซึ่งที่อยู่ที่ว่านั้นไม่เคยมีใครพบเห็นกันมาก่อน พอเราหลงเข้าไปพวกเขาจะนำผลแซลมอนเบอรี่ที่สุดแสนน่ากินมาให้ โดยเราจะไม่รู้เลยว่ามันเป็นผลไม้ต้องคำสาป ที่เมื่อเรากินเข้าไปมันจะทำให้เราต้องกลายเป็นบูควุสตามไปด้วย
บูควุสนั้นเป็นชนเผ่าที่ค่อนข้างเก็บตัว ปกติเขาจะไม่ค่อยออกมาพบเจอกับมนุษย์สักเท่าไหร่ ว่ากันว่าอาหารโปรดของพวกเขานั้นก็คือ "หอยแครง"
หน้ากากของชาวบูควุสนั้นจะถูกสร้างขึ้นมาอย่างปราณีต ลักษณะเด่นที่เห็นได้ชัดเจนก็คือดวงตากลม คิ้วหนา จมูกแหลมเหมือนเจ้าอุซบในวันพีซ มีท่าเต้นประจำเผ่าที่ผู้เต้นจะสวมหน้ากาก และนำกิ่งต้นซีด้ามาปักทั่วร่างกาย ซึ่งท่าเต้นนั้นจะสื่อให้เห็นถึงความขี้อายและการออกหากิน

แต่ถึงมันจะมีตำนานระบุไว้ขนาดนี้ กลับไม่เคยมีใครพบหลักฐานการมีอยู่ของพวกเขามาก่อน นั่นจึงทำให้มันกลายเป็นเรื่องเล่าประจำเผ่าที่เอาไว้กำหราบความซนของชนเผ่าวัยรุ่นหรือเปล่า ? มันก็ยากเกินกว่าที่จะคาดเดาได้


ผีกลิ้งหัว (The Rolling Head)
(ภาพจาก: Scary Stories to Tell in the Dark)

ชนเผ่าทางตะวันออกกลางของประเทศสหรัฐอเมริกานั้น พวกเขามีความกลัวสิ่งลึกลับอย่างหนึ่งที่มีลักษณะคล้ายกับผีกระสือในบ้านเรา เพียงแต่เจ้าผีที่ว่านั้นมันจะกลิ้งหัวของตัวเองเพื่อเดินทางออกตามล่ามนุษย์ และจะกินทุกคนที่มันจับตัวได้ แถมที่มาของมันก็ไม่ชัดเจนเพราะแต่ละแห่งก็เล่ากันไปไม่เหมือนกัน
โดยเรื่องแรกนั้นเล่าว่า ผีกลิ้งหัวจะแปลงตัวเป็นคนธรรมดา จากนั้นก็จะมองหาว่ามีใครบ้างที่เป็นแผลบาดเจ็บดูน่ากิน พอเจอเป้าหมายมันจะรอให้เหยื่อหลับแล้วเข้าไปเลียแผลของคน ๆ นั้นทันที พอมันได้เลียและกินจนพอใจมันก็จะดูสดชื่นเบิกบานขึ้นมาทันที คนพื้นเมืองนั้นเชื่อกันว่าเจ้าผีชนิดนี้มันน่าจะชอบรสชาติของมนุษย์ ซึ่งคนที่ถูกมันจับกินนั้นจะค่อย ๆ ถูกมันแทะร่างกายไปเรื่อย ๆ จนสุดท้ายเหลือแต่เพียงศีรษะไว้ และเมื่อทุกอย่างจบลงมันก็จะจากไปและมองหาเหยื่อรายใหม่มาเป็นอาหารแบบนี้ไปเรื่อย ๆ
บางตำนานก็เล่ากันว่า เจ้าผีกลิ้งชนิดนี้มันเกิดมาจากฆาตกรที่ฆ่าคนรักของตัวเอง บางแห่งก็เล่าว่ามีสามีคนหนึ่งทำการฆาตกรรมภรรยาจนเสียชีวิต จากนั้นก็นำเนื้อของเธอมาทำอาหารให้ลูก ๆ กิน บางแห่งก็เล่าว่าคนที่เป็นสามีใช้เลือดของภรรยามาป้อนให้เธอกินก่อนที่จะฆ่าเธอทิ้งอย่างโหดเหี้ยม และอีกเรื่องก็เล่าว่ามันคือผีที่ฟื้นคืนชีพขึ้นมาเป็นผีหัวหมุนเพื่อออกตามหาคนที่ฆ่ามัน จนมันสามารถแก้แค้นได้เป็นผลสำเร็จ หัวของมันก็จะยังคงเที่ยวออกทำร้ายผู้คนต่อไป จนกว่าวิญญาณของมันจะอ่อนแรงไม่สามารถกลิ้งหัวได้ต่อไป สุดท้ายวิญญาณก็สลายไปทิ้งไว้แต่ซากหัวอันเน่าเฟะ


เบย์ค็อก (Baykok)

(ภาพจาก: Scott Murphy Illustration)

มีตำนานสยองขวัญอีกเรื่องหนึ่งที่ถูกเล่าขานกันในกลุ่มชนเผ่าชิพพิวา นั่นก็คือเรื่องราวของเบย์ค็อก โครงกระดูกร่างยักษ์ผิวหนังโปร่งแสง นัยน์ตาสีดำ และจะกลายเป็นสีแดงยามที่มันแอบติดตามเหยื่อ

มีความเชื่อกันว่าเบย์ค็อกนั้นก็คือวิญญาณของนายพรานที่ต้องตายไป หลังจากที่ตัวเองพลาดท่าเสียที ถูกกับดักของนายพรานคนอื่นทำร้าย และด้วยความอาฆาตจึงทำให้วิญญาณของเขากลับมาในสภาพของโครงกระดูกขนาดใหญ่ ตามที่ชาวชิพพิวาได้เล่าขานกัน
วิธีที่จะทำให้เราสามารถรู้ได้ว่าเบย์ค็อกอยู่ใกล้ ๆ เราหรือเปล่า นั่นก็คือการใช้หูของเราค่อย ๆ ฟังเสียงกระเทาะที่ดังมาจากกระดูก และเสียงผิวหนังของมันเสียดสีกัน โดยการโจมตีของมันนั้นจะสามารถหายตัวเพื่อหลบซ่อนคอยจังหวะที่เหยื่อหลับไปแล้ว จากนั้นมันจะใช้ธนูอาบยาพิษยิงใส่จนกระทั่งเหยื่อหมดสติไป แล้วใช้ลิ่มก้อนหินอันแหลมคมค่อย ๆ เฉือนเอาตับของเหยื่อออกมากิน และด้วยวิธีการนี้จะทำให้เหยื่อไม่สามารถรู้ได้เลยว่า ตัวเองนั้นกำลังถูกอะไรทำร้าย และค่อย ๆ ตายไปเพราะตับถูกกินไปเมื่อไหร่ก็ไม่รู้

เรียกได้ว่ามาถึงตรงนี้มีแต่ตำนานสุดโหด ถ้ามันมีจริงคนสมัยก่อนคงใช้ชีวิตกันตื่นเต้นน่าดู แต่อย่างไรก็ดี เรามาดูกันอีกตำนานที่น่าจะเป็นสัตว์ในหลายตำนานทั่วโลกเข่นกัน


อันเชกิล่า (Unhcegila)

(ภาพจาก: Final Fantasy)
อันเชกิลา (อังเซกุลา หรือ อังเทฮี) คือตำนานสัตว์ประหลาดของชาวลาโกต้า ที่ฟังดูไปก็คล้ายกับมังกรตัวใหญ่ โดยเล่ากันว่ามีข่าวลือการพบเห็นเงาประหลาดบริเวณหุบเขาในทะเลที่ชื่อว่าแบล็กฮิลส์
ในตอนแรกยังไม่มีใครสามารถระบุรูปร่างของมันได้ เพราะว่ากันว่าร่างของมันถูกหมอกหนาทึบบดบังอยู่ และต่อมาก็มีการระบุเอาไว้ว่า ร่างของอันเชกิล่านั้นมีลักษณะลำตัวยาวดูราวกับเป็นหอกหรือลูกธนูขนาดยักษ์ แต่ถึงมันจะยิ่งใหญ่ขนาดนั้นเจ้าอันเชกิลาก็ต้องพ่ายแพ้แก่ชาวลาโกต้า และต่อมาเรื่องราวการพบกับมันก็ถูกนำมาเล่าขานออกไปมากมายหลายรูปแบบ
มีหนึ่งตำนานนั้นเล่าว่า เจ้าอันเชกิลานั้นเคยอาศัยอยู่ร่วมกับชาวเผ่ามาก่อน แล้วต่อมาลูกหลานของเจ้ามังกรตัวนี้เกิดติดใจรสชาติของเนื้อมนุษย์ นั่นจึงทำให้ชาวเผ่าต้องลุกขึ้นต่อสู้กับมัน โดยบางแห่งก็บอกว่านักรบที่สามารถฆ่ามันได้ครั้งนั้น ก็คือศิษย์เอกของอาจารย์ที่เป็นวิญญาณพังพอน ผู้ต้องตายไปเพราะถูกเจ้าอันเชกิลาจับกินนั่นเอง
ส่วนอีกเรื่องก็เล่าว่า มีวัยรุ่นแฝดสองคนใช้คันศรและวิชาอาคมอันแข็งกล้า บุกเข้าโจมตีเจ้าอันเชกิล่าที่จุดอ่อนอย่างต่อเนื่อง จนในที่สุดก็สามารถฆ่ามันได้สำเร็จ ซึ่งก็เรียกได้ว่าทุกเรื่องที่เล่ากันไปนั้นล้วนสามารถฆ่ามันได้อย่างง่ายดาย ราวกับว่ามันเป็นเพียงนิทานก่อนนอนเท่านั้นเอง


อะโพทัมกิน (Apotamkin)
(ภาพจาก: Exshinka)

ในยุคสมัยใหม่เจ้าอะโพทัมกินได้ถูกนำมาเสนอไว้ในฉากหนึ่งของภาพยนตร์เรื่องทไวไลท์ อ้างถึงตำนานของเดอะโคลด์วัน ที่น่าจะสรุปได้ว่าอะโพทัมกินนั้นก็คือแวมไพร์ของชาวอเมริกันพื้นเมืองนั่นเอง
สิ่งหนึ่งที่ทำให้เราแน่ใจว่าอะโพทัมกินก็คือแวมไพร์นั่นก็คือ มันมีพลังพิเศษอันยิ่งใหญ่ที่สามารถเพิ่มพูนขึ้นหลังจากได้ดื่มเลือดของมนุษย์ ต่างกับแวมไพร์ยุคใหม่ที่อะโพทัมกินจะสามารถเลี้ยงดูสัตว์ต่าง ๆ และสร้างผีดิบไว้ประดับบารมี ได้มากเท่าที่ตัวเองจะต้องการ
แต่ก็มีบางตำนานบอกว่าอะโพทัมกินนั้นไม่ใช่แวมไพร์คืองูทะเลที่อาศัยอยู่แถบอ่าวพาสซามาโควดดี้ และเมื่อมีคนเดินผ่านมาใกล้บริเวณฝั่งน้ำถิ่นของมัน เจ้าอะโพทัมกินจะโผล่ขึ้นมาฉกและลากเหยื่อกลับลงไปในทะเล บางแห่งก็บอกว่าอะโพทัมกินนั้นก็คือหญิงสาวผู้ต้องกลายมาเป็นงู ที่มีเส้นผมยาวเป็นสีแดง
โดยที่มาทุกแบบของตำนานอะโพทัมกินนั้น ถูกใช้เล่าเพื่อให้เหล่าเด็ก ๆ พึงระวังในอันตรายจากความประมาท ในช่วงที่พวกเขาออกไปเที่ยวเล่นข้างนอก ซึ่งไม่ว่าจะเป็นแวมไพร์หรืออะไรก็ตาม เรื่องราวของมันก็ทำให้เด็ก ๆ มีชีวิตรอดปลอดภัยมาจนโตได้เพราะตำนานลึกลับแบบนี้นั่นเอง

จะว่าไปอะโพทัมกิ้นกับยุคสมัยนี้ มันทำให้สาว ๆ คลั่งไคล้ในความหล่อขาวมากกว่าจะกลัว งั้นเราก็ควรลืม ๆ มันไปก่อน เดี๋ยวเรามาดูตำนานต่อไปกันดีกว่า


คีวากว์ (Kee-Wakw)



คีวากว์ หรือที่รู้จักกันในชื่ออื่นว่า เชนู (คีวากวา หรือ จีวากวา) มันก็คือยักษ์ในตำนานของชนเผ่าวาบานาคี ที่เล่าสืบต่อกันมาว่าการเผชิญหน้ากับเจ้าคีวากว์นั้นไม่ใช่เรื่องดี เพราะเจ้าสิ่งนี้มันสามารถขยายร่างตัวเองให้สูงกว่าต้นไม้ใหญ่ ๆ ได้ คีวากว์มันมีเขี้ยวขนาดใหญ่แถมยังชอบกินเนื้อมนุษย์ มีทางเดียวที่จะรอดจากมันได้ก็คือ ตอนที่มันยังไม่หิวเท่านั้นเอง ว่ากันว่าจริง ๆ แล้วไม่ว่าจะเป็นตอนไหน เจ้าคีวากว์มันก็จะหิวอยู่เสมอนั่นแหละ
ที่มาของเจ้าคีวากว์นั้นก็ไม่ค่อยจะเหมือนกัน บางตำนานเล่าว่ามันคือร่างของพ่อมดผู้ทรงอำนาจ ที่กลับมาจากโลกความตายด้วยร่างแปลงของตัวเอง บางแห่งเล่าว่ามันเป็นวิญญาณของปีศาจร้าย ที่เกิดจากผู้คนที่ล้มตายด้วยความอดอยากจากการกระทำของใครบางคน และนั่นจึงทำให้พวกเขากลับมาเป็นคีวากว์ผู้มีหัวใจเป็นน้ำแข็งเพื่อแก้แค้น

ในบางตำนานก็เล่าว่ามันไม่ใชร่างแปลงของมนุษย์ แต่มันเป็นสัตว์ประหลาดแบบนี้มาตั้งแต่เกิด มีผลึกน้ำแข็งเป็นแหล่งพลังวิเศษของมัน การที่จะเอาชนะมันได้นั้น เราจะต้องทำให้มันอาเจียรเอาก้อนน้ำแข็งนั้นออกมา ซึ่งสิ่งที่จะทำให้มันอาเจียรได้ก็คือเกลือ บางตำนานก็เล่าว่าถ้าใครสามารถทำให้มันอาเจียรเอาน้ำแข็งออกมาได้ เจ้าคีวากว์ก็จะสามารถกลับมาเป็นมนุษย์ได้เหมือนเดิม

พุกควุดจี้ (Puckwudgie)
(ภาพจาก: Autumn Haynes)

พุกควุดจี้ เป็นตำนานของชนเผ่าวามปาน็อก สูงประมาณ 60 ถึง 90 เซ็นติเมตร เที่ยวออกอาละวาดอยู่ในแถบชายป่า รูปร่างของมันดูคล้ายกับมนุษย์ แต่มีจมูก นิ้วมือ และหูที่ใหญ่กว่าคนปกติมาก ตามเรื่องเล่านั้นมันจะมีพลังพิเศษหลายแบบ หนึ่งในความสามารถนั้นก็คือการหายตัว ใช้เวทย์มนต์ มีธนูอาบยาพิษ สามารถเสกไฟ และแปลงร่างเป็นตัวเม่นได้
ส่วนที่มาของมันนั้นมันอยู่ในเรื่องเล่าของยักษ์ตัวหนึ่งชื่อ "เมาช็อพ" ซึ่งเป็นอีกตำนานของชนเผ่าวามปาน็อกเช่นกัน โดยเล่ากันว่าเจ้าพุกควุดจี้เริ่มอิจฉาที่ชาวเผ่าให้ความสำคัญกับเจ้าเมาช็อพมากไป นั่นจึงทำให้พวกมันตัดสินใจที่จะออกมาช่วยเหลือชาวเผ่าด้วยอีกแรง เผื่ออย่างน้อยชาวเผ่าจะได้เห็นคุณค่า และคอยส่งเสียเลี้ยงดู ให้อาหารบรรณาการพวกมันเหมือนกับเมาช็อฟบ้าง

เพียงแต่สิ่งที่มันคิดนั้นกลับไม่ได้ให้ผลออกมาตามที่พวกมันหวังเอาไว้ นั่นจึงทำให้พวกมันเปลี่ยนใจผันตัวเองมาเป็นตัวแทนแห่งความชั่วร้ายแทน และนั่นจึงทำให้ชาวเผ่าต้องเรียกเมาช็อพออกมา เพื่อกวาดต้อนพวกพุกควุดจี้ให้ออกไปจากที่แห่งนั้น จนสุดท้ายพวกมันก็ต้องบาดเจ็บล้มตายไปเป็นจำนวนมาก
ต่อมาเจ้าเมาช็อพขวัญใจของชาวเผ่าก็หายตัวไปจากเผ่าไปทำธุระส่วนตัวเป็นเวลานาน เจ้าพวกพุกควุดจี้รู้เข้ก็ยกพวกกลับมาแก้แค้น เผาบ้านเผาเมืองรวมทั้งลักพาตัวเด็ก ๆ ไป นั่นจึงทำให้เจ้าเมาช็อพที่อยู่ห่างไก ส่งลูกชายทั้ง 5 ตนของมันให้รีบตามไปช่วยชาวเผ่า แต่ฝีมือพวกเขาก็ยังอ่อนหัดถูกพวกพุกควุดฆ่าทิ้งไปทั้งหมดอย่างง่ายดาย

พอเมาช็อพรู้เข้ามันก็โกรธแค้น แต่ตัวเองก็ทำอะไรไม่ได้มากเพราะมันก็เพิ่งจะพลังพลาดเสียมือทั้งสองข้างให้กับเจ้าที่ในช่วงเดินทางอีก และตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาชาวเผ่าวามปาน็อกก็ต้องเดือดร้อนเพราะการแก้แค้นของพวกพุกควุดจี้มาตลอด จนกลายเป็นตำนานเล่าขานประจำท้องถิ่นมาให้เราได้รับรู้กันในวันนี้


ยักษีแบกตะกร้า (Basket Ogress)
มาถึงตรงนี้เราก็ยังมีตำนานระดับแฟรี่เทลของชนเผ่าพื้นเมืองอีกเรื่อง ที่นึกว่ามาจากยุโรปกันเลยทีเดียว นั่นก็คือ บาสเก็ตออเกรส หรือ ตำนานนางยักษีแบกตะกร้า
ที่เรียกง่าย ๆ ให้เข้าใจตรงกันก็คือยักษ์เพศหญิงแบกตะกร้า โดยตำนานนี้ไม่ได้ถูกระบุว่ามาจากชนเผ่าไหน ซึ่งหลาย ๆ เผ่านั้นจะมีเรื่องเล่าพูดถึงยักษ์แบกตะกร้าตัวหนึ่ง มันอยู่แถวๆ ชายหาดทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ถือเป็นตำนานที่ถูกเล่าขานไปทั่วชนเผ่าพื้นเมืองของอเมริกา มากกว่าตำนานของตัวใด ๆ ที่กล่าวมาทั้งหมด
ยักษ์แบกตะกร้านั้นมีที่มาคล้าย ๆ กับนิทานหรือเทพนิยาย เธอชอบการลักพาตัวผู้คนโดยเฉพาะอย่างยิ่งก็พวกเด็กเกเร เธอจะจับเด็ก ๆ มาโยนใส่ไว้ในตะกร้าใบโตที่เธอแบกมันติดตัวอยู่เสมอ จนกระทั่งมันได้จำนวนคนมากพอก็จะนำเด็กเหล่านั้นไปทำอาหารกินต่อไป
แต่ไม่ว่าจะแข็งแกร่งขนาดไหนบาสเกตออเกรสก็มีจุดอ่อน เพราะบ่อเกิดของความพินาศของเธอเองนั้น มันก็มาจากความแข็งแกร่งที่ส่งผลทำให้เธอไม่ค่อยจะฉลาด และมักจะถูกหลอกได้ง่าย ๆ อยู่เสมอ โดยมีเรื่องเล่าเรื่องหนึ่งบอกว่า หลังจากที่เธอจับเด็ก ๆ ได้จำนวนหนึ่งแล้ว เธอก็ถูกเด็ก ๆ บอกให้ไปหาหินลาวามาใช้สำหรับปิ้งย่างพวกเขา และหลอกให้เธอร้องรำทำเพลงก่อนจะลงมือ จนเมื่อเธอเต้นจนติดลม พวกเด็ก ๆ ก็รีบช่วยกันผลักเธอให้ตกลงไปในหินลาวาแทน


อัคลุท (Akhlut)

(ภาพจาก: Owlapin)

ตำนานของอัคลุทนั้นมาจากชนเผ่าอินุอิท ที่เล่าถึงชายผู้ลุ่มหลงในทะเลจนอยากจะใช้ชีวิตอยู่ใต้ท้องน้ำอันกว้างใหญ่ โดยวันหนึ่งหลังจากที่เขากลับมาถึงหมู่บ้านก็ตัดสินใจที่จะลงไปอยู่ใต้น้ำ และเรื่องนี้มันก็ได้ทำให้ร่างกายของเขาเปลี่ยนไป จนคนในหมู่บ้านจำไม่ได้ขับไล่ออกไปจากหมู่บ้าน และนั่นจึงเป็นที่มาของการออกเดินทางไปยังดินแดนต่าง ๆ เพื่อแก้แค้น
ในขณะที่กำลังเดินทางอยู่นั้น เขาต้องเดินผ่านฝูงหมาป่าและเห็นว่าลักษณะของพวกมันนั้นเหมาะกับการแก้แค้นเป็นอย่างมาก นั่นจึงทำให้เขากลายร่างเป็นหมาป่าทันที พอเขารู้ว่าตัวเองสามารถแปลงร่างเป็นสัตว์ที่ต้องการได้แบบนี้ เขาก็ใช้ความสามารถนี้อีกครั้ง

เมื่อเดินทางไปจนถึงมหาสมุทร เขาก็กระโดดลงไปในน้ำทะเลแล้วแปลงร่างเป็นปลาวาฬเพชรฆาตทันที จากนั้นก็ว่ายวนไปมาในทะเล จนในที่สุดก็ตัดสินใจที่จะแก้แค้นพวกมนุษย์ที่ไล่เขาออกมา นั่นจึงทำให้เขากระโดดขึ้นมาบนแผ่นดินอีกครั้ง จากนั้นก็แปลงร่างไปเป็นหมาป่าเพื่อไล่ล่าชาวเผ่าให้หายแค้น
ซึ่งก็มีเรื่องเล่ากันว่าถ้าเราอยู่ในดินแดนของชาวอินุอิท แล้วเดินผ่านเส้นทางที่มีหมาป่ามุ่งหน้าสู่ชายทะเล มันก็ถือเป็นโอกาสอันดีที่คุณอาจจะได้พบกับเจ้าอัคลุทก็เป็นได้ แต่จะให้ดีกว่านั้นขอเดินทางไกลแบบไม่เจออะไรเลยก็น่าจะดีกว่าใช่ไหม ?


แอดเลท (Adlet)

(ภาพจาก: World of Warcraft Game)
นั่นก็คือตำนานของเจ้า แอดเลท ตำนานสัตว์ประหลาดอีกเรื่องของชนเผ่าอินุอิท ที่มีเรื่องเล่าของมันต่างกันไปหลายแบบ โดยตัวของเจ้าแอดเลทนั้นเป็นผลลัพท์ที่เกิดมาจากมนุษย์ชาวอินุอิทกับสุนัขสีแดง จนมีลูกด้วยกันทีเดียวถึง 10 คน โดยทุกคนนั้นจะมีลักษณะเป็นลูกครึ่งคนกับสุนัข บางตำนานเล่าว่าแอดเลทนั้นจะมีช่วงล่างเป็นสุนัขช่วงบนเป็นคน แต่ก็มีบางตำนานบอกว่าพวกมันจะมีรูปร่างเป็นสุนัข แต่มีมันสมองอันฉลาดปราดเปรื่องแบบมนุษย์
โดยหลังจากที่เด็ก ๆ แอดเลทถือกำเนิดขึ้นมา ครอบครัวฝ่ายหมาของพวกเขาก็ถูกขับไล่ออกจากเผ่าไปอยู่บนเกาะแห่งหนึ่ง ทุก ๆ วันจะมีแอดเลทตัวน้อยหนึ่งคนว่ายน้ำกลับมายังแผ่นดิน เพื่อนำรองเท้าและเนื้อสัตว์จากฝั่งทางพ่อกลับมาให้ครอบครัวบนเกาะได้ประทังชีวิต
จนมาวันหนึ่งพ่อของเขากลับนำหินมาใส่ไว้ในรองเท้าแทนเนื้อสัตว์ นั่นจึงทำให้แอดเลทลูกชายของเขาต้องจมน้ำตายไปหนึ่งคน พอครอบครัวบนเกาะรู้ก็ทำให้เจ้าสุนัขแดงฝ่ายหญิงโกรธมาก ถึงกับบอกให้ลูก ๆ ทั้งหมดของเธอว่ายน้ำกลับมายังแผ่นดินใหญ่ เพื่อฆ่าพ่อของตัวเองให้หายแค้น เท่านั้นไม่พอชาวบ้านทุกคนที่พวกเขาพบระหว่างทางก็ถูกพวกเขาสังหารตายไปจนหมดสิ้น
แต่ก็มีอีกตำนานเล่าเอาไว้ว่า เจ้าหมาแดงตัวเมียนั่นไม่ได้ออกจากเกาะไปไหน เธอแค่ส่งลูก ๆ เพียง 5 คน ว่ายน้ำกลับมายังแผ่นดินใหญ่เพื่อแก้แค้น ส่วนที่เหลือก็อยู่บนเกาะต่อไปเพราะแค่นั้นมันก็มากพอที่จะดื่มเลือดของชาวเผ่าได้ทั้งหมด เพื่อสังเวยให้กับความแค้นอันยิ่งใหญ่ในครั้งนี้

ซึ่งถ้าเรามองกันให้ลึกลงไป ตำนานทุกตำนานล้วนถูกสร้างขึ้นมาเพื่อให้คนในชนเผ่ารู้จักระแวดระวังภัย ยามที่ต้องออกเดินทางไกลหรือไม่ก็เล่าไว้ให้รู้จักความรอบคอบ เพราะไม่ว่ายุคสมัยจะผ่านมากี่ยุค การพูดจาด้วยเหตุผลมักจะไม่มีใครเชื่อถือ เพราะของแบบนี้หากไม่พบเจอด้วยตัวเองก็ไม่มีทางใส่ใจ ก็ต้องใช้เรื่องเล่าตำนานน่ากลัวมาขู่กันไว้ก่อน เพราะถึงจะดูเกินความจริงแค่ไหน อย่างน้อยมันก็ทำให้เรารู้จักกลัวกันบ้าง ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้มาก็ถือว่าประสบผลให้พวกเขาเติบโตมาได้โดยไม่ต้องเจอกับความสูญเสียอันยิ่งใหญ่

แล้วอย่าลืมติดตามรายการมิติที่ 6 ศุกร์สยองขวัญ กับเรื่องราวเบา ๆ พร้อมที่มาของมันกันได้ทุกวันศุกร์สะดวก หลังจากจบรายการแล้วอย่าลืมกดสับสไครป์ กดไลก์ กดแชร์ หรือทิ้งคอมเมนต์กันไว้ด้วยนะครับ ยังมีเรื่องราวต่าง ๆ อีกมากมายรอคุณอยู่ สำหรับวันนี้... สวัสดี

เรียบเรียงและบรรยายโดย นิวัฒน์ อ่ำแสง

แท็ก: ตำนานลี้ลับ, บุควุส, Bookwus, ผีกลิ้งหัว, The Rolling Head, เบย์ค็อก, Baykok, อันเชกิล่า, Unhcegila, อะโพทัมกิน, Apotamkin, คีวากว์, Kee-Wakw, พุกควุดจี้, Puckwudgie, ยักษีแบกตะกร้า, Basket Ogress, อัคลุท, Akhlut, แอดเลท, Adlet, wicked, creatures, native, american folklore

ประกาศ

เพื่อเป็นกำลังใจเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้กับเรา ขอความร่วมมือจากผู้ที่นำเรื่องราวจากมิติที่ 6 ไปใช้ในที่ของท่าน กรุณาลงเครดิตกลับมาที่เราจะเป็นพระคุณอย่างสูงครับ