23 มิถุนายน 2560

มิติที่ 6 ศุกร์สยองขวัญ | 10 ตำนานลี้ลับของชาวอเมริกันพื้นเมือง !!!



ใครบอกว่าประเทศสหรัฐอเมริกาจะมีแต่ตำนานซอมบี้และแวมไพร์ ! เรื่องพวกนั้นมันเป็นแค่ตำนานยุคใหม่ของเหล่าชนเผ่าผู้อพยพมาจากแดนไกลเท่านั้น จะมีใครเคยรู้กันบ้างว่าแท้ที่จริงแล้ว ชนเผ่าพื้นเมืองของชาวอเมริกันนั้น ล้วนมีตำนานเล่าขานต่อกันมาจนถึงรุ่นลูกหลาน !
มิติที่ 6 ศุกร์สยองขวัญ กับเรื่องราวเบา ๆ ในวันศุกร์สะดวกสัปดาห์นี้ เราจะขอนำท่านไปรู้จักกับตำนานลี้ลับ เรื่องเล่าที่ยังคงถูกเล่าขานกันต่อมา ในหมู่ชนพื้นเมืองเจ้าของแผ่นดินของประเทศสหรัฐฯ ว่าเรื่องราวเหล่านี้... มันคืออะไรกันแน่ !?

บูควุส (Bookwus)



บูควุส (บาควุส, โบควุส หรือ บูควิส) คือชาวป่าลึกลับในตำนานของชนเผ่าควาคิอุท โดยบูควุสเป็นกลุ่มชนที่สามารถสื่อสารกับวิญญาณที่ตายในท้องน้ำ มันอาศัยอยู่บริเวณรอบป่าชายเลน สิ่งที่น่ากลัวสำหรับพวกเรานั้นก็คือหากใครพบกับบูควุสเข้า คนผู้นั้นจะถูกพวกเขาหลอกล่อด้วยวิธีการต่าง ๆ เพื่อให้เดินตามไปยังถิ่นของพวกเขา ซึ่งที่อยู่ที่ว่านั้นไม่เคยมีใครพบเห็นกันมาก่อน พอเราหลงเข้าไปพวกเขาจะนำผลแซลมอนเบอรี่ที่สุดแสนน่ากินมาให้ โดยเราจะไม่รู้เลยว่ามันเป็นผลไม้ต้องคำสาป ที่เมื่อเรากินเข้าไปมันจะทำให้เราต้องกลายเป็นบูควุสตามไปด้วย
บูควุสนั้นเป็นชนเผ่าที่ค่อนข้างเก็บตัว ปกติเขาจะไม่ค่อยออกมาพบเจอกับมนุษย์สักเท่าไหร่ ว่ากันว่าอาหารโปรดของพวกเขานั้นก็คือ "หอยแครง"
หน้ากากของชาวบูควุสนั้นจะถูกสร้างขึ้นมาอย่างปราณีต ลักษณะเด่นที่เห็นได้ชัดเจนก็คือดวงตากลม คิ้วหนา จมูกแหลมเหมือนเจ้าอุซบในวันพีซ มีท่าเต้นประจำเผ่าที่ผู้เต้นจะสวมหน้ากาก และนำกิ่งต้นซีด้ามาปักทั่วร่างกาย ซึ่งท่าเต้นนั้นจะสื่อให้เห็นถึงความขี้อายและการออกหากิน

แต่ถึงมันจะมีตำนานระบุไว้ขนาดนี้ กลับไม่เคยมีใครพบหลักฐานการมีอยู่ของพวกเขามาก่อน นั่นจึงทำให้มันกลายเป็นเรื่องเล่าประจำเผ่าที่เอาไว้กำหราบความซนของชนเผ่าวัยรุ่นหรือเปล่า ? มันก็ยากเกินกว่าที่จะคาดเดาได้


ผีกลิ้งหัว (The Rolling Head)
(ภาพจาก: Scary Stories to Tell in the Dark)

ชนเผ่าทางตะวันออกกลางของประเทศสหรัฐอเมริกานั้น พวกเขามีความกลัวสิ่งลึกลับอย่างหนึ่งที่มีลักษณะคล้ายกับผีกระสือในบ้านเรา เพียงแต่เจ้าผีที่ว่านั้นมันจะกลิ้งหัวของตัวเองเพื่อเดินทางออกตามล่ามนุษย์ และจะกินทุกคนที่มันจับตัวได้ แถมที่มาของมันก็ไม่ชัดเจนเพราะแต่ละแห่งก็เล่ากันไปไม่เหมือนกัน
โดยเรื่องแรกนั้นเล่าว่า ผีกลิ้งหัวจะแปลงตัวเป็นคนธรรมดา จากนั้นก็จะมองหาว่ามีใครบ้างที่เป็นแผลบาดเจ็บดูน่ากิน พอเจอเป้าหมายมันจะรอให้เหยื่อหลับแล้วเข้าไปเลียแผลของคน ๆ นั้นทันที พอมันได้เลียและกินจนพอใจมันก็จะดูสดชื่นเบิกบานขึ้นมาทันที คนพื้นเมืองนั้นเชื่อกันว่าเจ้าผีชนิดนี้มันน่าจะชอบรสชาติของมนุษย์ ซึ่งคนที่ถูกมันจับกินนั้นจะค่อย ๆ ถูกมันแทะร่างกายไปเรื่อย ๆ จนสุดท้ายเหลือแต่เพียงศีรษะไว้ และเมื่อทุกอย่างจบลงมันก็จะจากไปและมองหาเหยื่อรายใหม่มาเป็นอาหารแบบนี้ไปเรื่อย ๆ
บางตำนานก็เล่ากันว่า เจ้าผีกลิ้งชนิดนี้มันเกิดมาจากฆาตกรที่ฆ่าคนรักของตัวเอง บางแห่งก็เล่าว่ามีสามีคนหนึ่งทำการฆาตกรรมภรรยาจนเสียชีวิต จากนั้นก็นำเนื้อของเธอมาทำอาหารให้ลูก ๆ กิน บางแห่งก็เล่าว่าคนที่เป็นสามีใช้เลือดของภรรยามาป้อนให้เธอกินก่อนที่จะฆ่าเธอทิ้งอย่างโหดเหี้ยม และอีกเรื่องก็เล่าว่ามันคือผีที่ฟื้นคืนชีพขึ้นมาเป็นผีหัวหมุนเพื่อออกตามหาคนที่ฆ่ามัน จนมันสามารถแก้แค้นได้เป็นผลสำเร็จ หัวของมันก็จะยังคงเที่ยวออกทำร้ายผู้คนต่อไป จนกว่าวิญญาณของมันจะอ่อนแรงไม่สามารถกลิ้งหัวได้ต่อไป สุดท้ายวิญญาณก็สลายไปทิ้งไว้แต่ซากหัวอันเน่าเฟะ


เบย์ค็อก (Baykok)

(ภาพจาก: Scott Murphy Illustration)

มีตำนานสยองขวัญอีกเรื่องหนึ่งที่ถูกเล่าขานกันในกลุ่มชนเผ่าชิพพิวา นั่นก็คือเรื่องราวของเบย์ค็อก โครงกระดูกร่างยักษ์ผิวหนังโปร่งแสง นัยน์ตาสีดำ และจะกลายเป็นสีแดงยามที่มันแอบติดตามเหยื่อ

มีความเชื่อกันว่าเบย์ค็อกนั้นก็คือวิญญาณของนายพรานที่ต้องตายไป หลังจากที่ตัวเองพลาดท่าเสียที ถูกกับดักของนายพรานคนอื่นทำร้าย และด้วยความอาฆาตจึงทำให้วิญญาณของเขากลับมาในสภาพของโครงกระดูกขนาดใหญ่ ตามที่ชาวชิพพิวาได้เล่าขานกัน
วิธีที่จะทำให้เราสามารถรู้ได้ว่าเบย์ค็อกอยู่ใกล้ ๆ เราหรือเปล่า นั่นก็คือการใช้หูของเราค่อย ๆ ฟังเสียงกระเทาะที่ดังมาจากกระดูก และเสียงผิวหนังของมันเสียดสีกัน โดยการโจมตีของมันนั้นจะสามารถหายตัวเพื่อหลบซ่อนคอยจังหวะที่เหยื่อหลับไปแล้ว จากนั้นมันจะใช้ธนูอาบยาพิษยิงใส่จนกระทั่งเหยื่อหมดสติไป แล้วใช้ลิ่มก้อนหินอันแหลมคมค่อย ๆ เฉือนเอาตับของเหยื่อออกมากิน และด้วยวิธีการนี้จะทำให้เหยื่อไม่สามารถรู้ได้เลยว่า ตัวเองนั้นกำลังถูกอะไรทำร้าย และค่อย ๆ ตายไปเพราะตับถูกกินไปเมื่อไหร่ก็ไม่รู้

เรียกได้ว่ามาถึงตรงนี้มีแต่ตำนานสุดโหด ถ้ามันมีจริงคนสมัยก่อนคงใช้ชีวิตกันตื่นเต้นน่าดู แต่อย่างไรก็ดี เรามาดูกันอีกตำนานที่น่าจะเป็นสัตว์ในหลายตำนานทั่วโลกเข่นกัน


อันเชกิล่า (Unhcegila)

(ภาพจาก: Final Fantasy)
อันเชกิลา (อังเซกุลา หรือ อังเทฮี) คือตำนานสัตว์ประหลาดของชาวลาโกต้า ที่ฟังดูไปก็คล้ายกับมังกรตัวใหญ่ โดยเล่ากันว่ามีข่าวลือการพบเห็นเงาประหลาดบริเวณหุบเขาในทะเลที่ชื่อว่าแบล็กฮิลส์
ในตอนแรกยังไม่มีใครสามารถระบุรูปร่างของมันได้ เพราะว่ากันว่าร่างของมันถูกหมอกหนาทึบบดบังอยู่ และต่อมาก็มีการระบุเอาไว้ว่า ร่างของอันเชกิล่านั้นมีลักษณะลำตัวยาวดูราวกับเป็นหอกหรือลูกธนูขนาดยักษ์ แต่ถึงมันจะยิ่งใหญ่ขนาดนั้นเจ้าอันเชกิลาก็ต้องพ่ายแพ้แก่ชาวลาโกต้า และต่อมาเรื่องราวการพบกับมันก็ถูกนำมาเล่าขานออกไปมากมายหลายรูปแบบ
มีหนึ่งตำนานนั้นเล่าว่า เจ้าอันเชกิลานั้นเคยอาศัยอยู่ร่วมกับชาวเผ่ามาก่อน แล้วต่อมาลูกหลานของเจ้ามังกรตัวนี้เกิดติดใจรสชาติของเนื้อมนุษย์ นั่นจึงทำให้ชาวเผ่าต้องลุกขึ้นต่อสู้กับมัน โดยบางแห่งก็บอกว่านักรบที่สามารถฆ่ามันได้ครั้งนั้น ก็คือศิษย์เอกของอาจารย์ที่เป็นวิญญาณพังพอน ผู้ต้องตายไปเพราะถูกเจ้าอันเชกิลาจับกินนั่นเอง
ส่วนอีกเรื่องก็เล่าว่า มีวัยรุ่นแฝดสองคนใช้คันศรและวิชาอาคมอันแข็งกล้า บุกเข้าโจมตีเจ้าอันเชกิล่าที่จุดอ่อนอย่างต่อเนื่อง จนในที่สุดก็สามารถฆ่ามันได้สำเร็จ ซึ่งก็เรียกได้ว่าทุกเรื่องที่เล่ากันไปนั้นล้วนสามารถฆ่ามันได้อย่างง่ายดาย ราวกับว่ามันเป็นเพียงนิทานก่อนนอนเท่านั้นเอง


อะโพทัมกิน (Apotamkin)
(ภาพจาก: Exshinka)

ในยุคสมัยใหม่เจ้าอะโพทัมกินได้ถูกนำมาเสนอไว้ในฉากหนึ่งของภาพยนตร์เรื่องทไวไลท์ อ้างถึงตำนานของเดอะโคลด์วัน ที่น่าจะสรุปได้ว่าอะโพทัมกินนั้นก็คือแวมไพร์ของชาวอเมริกันพื้นเมืองนั่นเอง
สิ่งหนึ่งที่ทำให้เราแน่ใจว่าอะโพทัมกินก็คือแวมไพร์นั่นก็คือ มันมีพลังพิเศษอันยิ่งใหญ่ที่สามารถเพิ่มพูนขึ้นหลังจากได้ดื่มเลือดของมนุษย์ ต่างกับแวมไพร์ยุคใหม่ที่อะโพทัมกินจะสามารถเลี้ยงดูสัตว์ต่าง ๆ และสร้างผีดิบไว้ประดับบารมี ได้มากเท่าที่ตัวเองจะต้องการ
แต่ก็มีบางตำนานบอกว่าอะโพทัมกินนั้นไม่ใช่แวมไพร์คืองูทะเลที่อาศัยอยู่แถบอ่าวพาสซามาโควดดี้ และเมื่อมีคนเดินผ่านมาใกล้บริเวณฝั่งน้ำถิ่นของมัน เจ้าอะโพทัมกินจะโผล่ขึ้นมาฉกและลากเหยื่อกลับลงไปในทะเล บางแห่งก็บอกว่าอะโพทัมกินนั้นก็คือหญิงสาวผู้ต้องกลายมาเป็นงู ที่มีเส้นผมยาวเป็นสีแดง
โดยที่มาทุกแบบของตำนานอะโพทัมกินนั้น ถูกใช้เล่าเพื่อให้เหล่าเด็ก ๆ พึงระวังในอันตรายจากความประมาท ในช่วงที่พวกเขาออกไปเที่ยวเล่นข้างนอก ซึ่งไม่ว่าจะเป็นแวมไพร์หรืออะไรก็ตาม เรื่องราวของมันก็ทำให้เด็ก ๆ มีชีวิตรอดปลอดภัยมาจนโตได้เพราะตำนานลึกลับแบบนี้นั่นเอง

จะว่าไปอะโพทัมกิ้นกับยุคสมัยนี้ มันทำให้สาว ๆ คลั่งไคล้ในความหล่อขาวมากกว่าจะกลัว งั้นเราก็ควรลืม ๆ มันไปก่อน เดี๋ยวเรามาดูตำนานต่อไปกันดีกว่า


คีวากว์ (Kee-Wakw)



คีวากว์ หรือที่รู้จักกันในชื่ออื่นว่า เชนู (คีวากวา หรือ จีวากวา) มันก็คือยักษ์ในตำนานของชนเผ่าวาบานาคี ที่เล่าสืบต่อกันมาว่าการเผชิญหน้ากับเจ้าคีวากว์นั้นไม่ใช่เรื่องดี เพราะเจ้าสิ่งนี้มันสามารถขยายร่างตัวเองให้สูงกว่าต้นไม้ใหญ่ ๆ ได้ คีวากว์มันมีเขี้ยวขนาดใหญ่แถมยังชอบกินเนื้อมนุษย์ มีทางเดียวที่จะรอดจากมันได้ก็คือ ตอนที่มันยังไม่หิวเท่านั้นเอง ว่ากันว่าจริง ๆ แล้วไม่ว่าจะเป็นตอนไหน เจ้าคีวากว์มันก็จะหิวอยู่เสมอนั่นแหละ
ที่มาของเจ้าคีวากว์นั้นก็ไม่ค่อยจะเหมือนกัน บางตำนานเล่าว่ามันคือร่างของพ่อมดผู้ทรงอำนาจ ที่กลับมาจากโลกความตายด้วยร่างแปลงของตัวเอง บางแห่งเล่าว่ามันเป็นวิญญาณของปีศาจร้าย ที่เกิดจากผู้คนที่ล้มตายด้วยความอดอยากจากการกระทำของใครบางคน และนั่นจึงทำให้พวกเขากลับมาเป็นคีวากว์ผู้มีหัวใจเป็นน้ำแข็งเพื่อแก้แค้น

ในบางตำนานก็เล่าว่ามันไม่ใชร่างแปลงของมนุษย์ แต่มันเป็นสัตว์ประหลาดแบบนี้มาตั้งแต่เกิด มีผลึกน้ำแข็งเป็นแหล่งพลังวิเศษของมัน การที่จะเอาชนะมันได้นั้น เราจะต้องทำให้มันอาเจียรเอาก้อนน้ำแข็งนั้นออกมา ซึ่งสิ่งที่จะทำให้มันอาเจียรได้ก็คือเกลือ บางตำนานก็เล่าว่าถ้าใครสามารถทำให้มันอาเจียรเอาน้ำแข็งออกมาได้ เจ้าคีวากว์ก็จะสามารถกลับมาเป็นมนุษย์ได้เหมือนเดิม

พุกควุดจี้ (Puckwudgie)
(ภาพจาก: Autumn Haynes)

พุกควุดจี้ เป็นตำนานของชนเผ่าวามปาน็อก สูงประมาณ 60 ถึง 90 เซ็นติเมตร เที่ยวออกอาละวาดอยู่ในแถบชายป่า รูปร่างของมันดูคล้ายกับมนุษย์ แต่มีจมูก นิ้วมือ และหูที่ใหญ่กว่าคนปกติมาก ตามเรื่องเล่านั้นมันจะมีพลังพิเศษหลายแบบ หนึ่งในความสามารถนั้นก็คือการหายตัว ใช้เวทย์มนต์ มีธนูอาบยาพิษ สามารถเสกไฟ และแปลงร่างเป็นตัวเม่นได้
ส่วนที่มาของมันนั้นมันอยู่ในเรื่องเล่าของยักษ์ตัวหนึ่งชื่อ "เมาช็อพ" ซึ่งเป็นอีกตำนานของชนเผ่าวามปาน็อกเช่นกัน โดยเล่ากันว่าเจ้าพุกควุดจี้เริ่มอิจฉาที่ชาวเผ่าให้ความสำคัญกับเจ้าเมาช็อพมากไป นั่นจึงทำให้พวกมันตัดสินใจที่จะออกมาช่วยเหลือชาวเผ่าด้วยอีกแรง เผื่ออย่างน้อยชาวเผ่าจะได้เห็นคุณค่า และคอยส่งเสียเลี้ยงดู ให้อาหารบรรณาการพวกมันเหมือนกับเมาช็อฟบ้าง

เพียงแต่สิ่งที่มันคิดนั้นกลับไม่ได้ให้ผลออกมาตามที่พวกมันหวังเอาไว้ นั่นจึงทำให้พวกมันเปลี่ยนใจผันตัวเองมาเป็นตัวแทนแห่งความชั่วร้ายแทน และนั่นจึงทำให้ชาวเผ่าต้องเรียกเมาช็อพออกมา เพื่อกวาดต้อนพวกพุกควุดจี้ให้ออกไปจากที่แห่งนั้น จนสุดท้ายพวกมันก็ต้องบาดเจ็บล้มตายไปเป็นจำนวนมาก
ต่อมาเจ้าเมาช็อพขวัญใจของชาวเผ่าก็หายตัวไปจากเผ่าไปทำธุระส่วนตัวเป็นเวลานาน เจ้าพวกพุกควุดจี้รู้เข้ก็ยกพวกกลับมาแก้แค้น เผาบ้านเผาเมืองรวมทั้งลักพาตัวเด็ก ๆ ไป นั่นจึงทำให้เจ้าเมาช็อพที่อยู่ห่างไก ส่งลูกชายทั้ง 5 ตนของมันให้รีบตามไปช่วยชาวเผ่า แต่ฝีมือพวกเขาก็ยังอ่อนหัดถูกพวกพุกควุดฆ่าทิ้งไปทั้งหมดอย่างง่ายดาย

พอเมาช็อพรู้เข้ามันก็โกรธแค้น แต่ตัวเองก็ทำอะไรไม่ได้มากเพราะมันก็เพิ่งจะพลังพลาดเสียมือทั้งสองข้างให้กับเจ้าที่ในช่วงเดินทางอีก และตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาชาวเผ่าวามปาน็อกก็ต้องเดือดร้อนเพราะการแก้แค้นของพวกพุกควุดจี้มาตลอด จนกลายเป็นตำนานเล่าขานประจำท้องถิ่นมาให้เราได้รับรู้กันในวันนี้


ยักษีแบกตะกร้า (Basket Ogress)
มาถึงตรงนี้เราก็ยังมีตำนานระดับแฟรี่เทลของชนเผ่าพื้นเมืองอีกเรื่อง ที่นึกว่ามาจากยุโรปกันเลยทีเดียว นั่นก็คือ บาสเก็ตออเกรส หรือ ตำนานนางยักษีแบกตะกร้า
ที่เรียกง่าย ๆ ให้เข้าใจตรงกันก็คือยักษ์เพศหญิงแบกตะกร้า โดยตำนานนี้ไม่ได้ถูกระบุว่ามาจากชนเผ่าไหน ซึ่งหลาย ๆ เผ่านั้นจะมีเรื่องเล่าพูดถึงยักษ์แบกตะกร้าตัวหนึ่ง มันอยู่แถวๆ ชายหาดทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ถือเป็นตำนานที่ถูกเล่าขานไปทั่วชนเผ่าพื้นเมืองของอเมริกา มากกว่าตำนานของตัวใด ๆ ที่กล่าวมาทั้งหมด
ยักษ์แบกตะกร้านั้นมีที่มาคล้าย ๆ กับนิทานหรือเทพนิยาย เธอชอบการลักพาตัวผู้คนโดยเฉพาะอย่างยิ่งก็พวกเด็กเกเร เธอจะจับเด็ก ๆ มาโยนใส่ไว้ในตะกร้าใบโตที่เธอแบกมันติดตัวอยู่เสมอ จนกระทั่งมันได้จำนวนคนมากพอก็จะนำเด็กเหล่านั้นไปทำอาหารกินต่อไป
แต่ไม่ว่าจะแข็งแกร่งขนาดไหนบาสเกตออเกรสก็มีจุดอ่อน เพราะบ่อเกิดของความพินาศของเธอเองนั้น มันก็มาจากความแข็งแกร่งที่ส่งผลทำให้เธอไม่ค่อยจะฉลาด และมักจะถูกหลอกได้ง่าย ๆ อยู่เสมอ โดยมีเรื่องเล่าเรื่องหนึ่งบอกว่า หลังจากที่เธอจับเด็ก ๆ ได้จำนวนหนึ่งแล้ว เธอก็ถูกเด็ก ๆ บอกให้ไปหาหินลาวามาใช้สำหรับปิ้งย่างพวกเขา และหลอกให้เธอร้องรำทำเพลงก่อนจะลงมือ จนเมื่อเธอเต้นจนติดลม พวกเด็ก ๆ ก็รีบช่วยกันผลักเธอให้ตกลงไปในหินลาวาแทน


อัคลุท (Akhlut)

(ภาพจาก: Owlapin)

ตำนานของอัคลุทนั้นมาจากชนเผ่าอินุอิท ที่เล่าถึงชายผู้ลุ่มหลงในทะเลจนอยากจะใช้ชีวิตอยู่ใต้ท้องน้ำอันกว้างใหญ่ โดยวันหนึ่งหลังจากที่เขากลับมาถึงหมู่บ้านก็ตัดสินใจที่จะลงไปอยู่ใต้น้ำ และเรื่องนี้มันก็ได้ทำให้ร่างกายของเขาเปลี่ยนไป จนคนในหมู่บ้านจำไม่ได้ขับไล่ออกไปจากหมู่บ้าน และนั่นจึงเป็นที่มาของการออกเดินทางไปยังดินแดนต่าง ๆ เพื่อแก้แค้น
ในขณะที่กำลังเดินทางอยู่นั้น เขาต้องเดินผ่านฝูงหมาป่าและเห็นว่าลักษณะของพวกมันนั้นเหมาะกับการแก้แค้นเป็นอย่างมาก นั่นจึงทำให้เขากลายร่างเป็นหมาป่าทันที พอเขารู้ว่าตัวเองสามารถแปลงร่างเป็นสัตว์ที่ต้องการได้แบบนี้ เขาก็ใช้ความสามารถนี้อีกครั้ง

เมื่อเดินทางไปจนถึงมหาสมุทร เขาก็กระโดดลงไปในน้ำทะเลแล้วแปลงร่างเป็นปลาวาฬเพชรฆาตทันที จากนั้นก็ว่ายวนไปมาในทะเล จนในที่สุดก็ตัดสินใจที่จะแก้แค้นพวกมนุษย์ที่ไล่เขาออกมา นั่นจึงทำให้เขากระโดดขึ้นมาบนแผ่นดินอีกครั้ง จากนั้นก็แปลงร่างไปเป็นหมาป่าเพื่อไล่ล่าชาวเผ่าให้หายแค้น
ซึ่งก็มีเรื่องเล่ากันว่าถ้าเราอยู่ในดินแดนของชาวอินุอิท แล้วเดินผ่านเส้นทางที่มีหมาป่ามุ่งหน้าสู่ชายทะเล มันก็ถือเป็นโอกาสอันดีที่คุณอาจจะได้พบกับเจ้าอัคลุทก็เป็นได้ แต่จะให้ดีกว่านั้นขอเดินทางไกลแบบไม่เจออะไรเลยก็น่าจะดีกว่าใช่ไหม ?


แอดเลท (Adlet)

(ภาพจาก: World of Warcraft Game)
นั่นก็คือตำนานของเจ้า แอดเลท ตำนานสัตว์ประหลาดอีกเรื่องของชนเผ่าอินุอิท ที่มีเรื่องเล่าของมันต่างกันไปหลายแบบ โดยตัวของเจ้าแอดเลทนั้นเป็นผลลัพท์ที่เกิดมาจากมนุษย์ชาวอินุอิทกับสุนัขสีแดง จนมีลูกด้วยกันทีเดียวถึง 10 คน โดยทุกคนนั้นจะมีลักษณะเป็นลูกครึ่งคนกับสุนัข บางตำนานเล่าว่าแอดเลทนั้นจะมีช่วงล่างเป็นสุนัขช่วงบนเป็นคน แต่ก็มีบางตำนานบอกว่าพวกมันจะมีรูปร่างเป็นสุนัข แต่มีมันสมองอันฉลาดปราดเปรื่องแบบมนุษย์
โดยหลังจากที่เด็ก ๆ แอดเลทถือกำเนิดขึ้นมา ครอบครัวฝ่ายหมาของพวกเขาก็ถูกขับไล่ออกจากเผ่าไปอยู่บนเกาะแห่งหนึ่ง ทุก ๆ วันจะมีแอดเลทตัวน้อยหนึ่งคนว่ายน้ำกลับมายังแผ่นดิน เพื่อนำรองเท้าและเนื้อสัตว์จากฝั่งทางพ่อกลับมาให้ครอบครัวบนเกาะได้ประทังชีวิต
จนมาวันหนึ่งพ่อของเขากลับนำหินมาใส่ไว้ในรองเท้าแทนเนื้อสัตว์ นั่นจึงทำให้แอดเลทลูกชายของเขาต้องจมน้ำตายไปหนึ่งคน พอครอบครัวบนเกาะรู้ก็ทำให้เจ้าสุนัขแดงฝ่ายหญิงโกรธมาก ถึงกับบอกให้ลูก ๆ ทั้งหมดของเธอว่ายน้ำกลับมายังแผ่นดินใหญ่ เพื่อฆ่าพ่อของตัวเองให้หายแค้น เท่านั้นไม่พอชาวบ้านทุกคนที่พวกเขาพบระหว่างทางก็ถูกพวกเขาสังหารตายไปจนหมดสิ้น
แต่ก็มีอีกตำนานเล่าเอาไว้ว่า เจ้าหมาแดงตัวเมียนั่นไม่ได้ออกจากเกาะไปไหน เธอแค่ส่งลูก ๆ เพียง 5 คน ว่ายน้ำกลับมายังแผ่นดินใหญ่เพื่อแก้แค้น ส่วนที่เหลือก็อยู่บนเกาะต่อไปเพราะแค่นั้นมันก็มากพอที่จะดื่มเลือดของชาวเผ่าได้ทั้งหมด เพื่อสังเวยให้กับความแค้นอันยิ่งใหญ่ในครั้งนี้

ซึ่งถ้าเรามองกันให้ลึกลงไป ตำนานทุกตำนานล้วนถูกสร้างขึ้นมาเพื่อให้คนในชนเผ่ารู้จักระแวดระวังภัย ยามที่ต้องออกเดินทางไกลหรือไม่ก็เล่าไว้ให้รู้จักความรอบคอบ เพราะไม่ว่ายุคสมัยจะผ่านมากี่ยุค การพูดจาด้วยเหตุผลมักจะไม่มีใครเชื่อถือ เพราะของแบบนี้หากไม่พบเจอด้วยตัวเองก็ไม่มีทางใส่ใจ ก็ต้องใช้เรื่องเล่าตำนานน่ากลัวมาขู่กันไว้ก่อน เพราะถึงจะดูเกินความจริงแค่ไหน อย่างน้อยมันก็ทำให้เรารู้จักกลัวกันบ้าง ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้มาก็ถือว่าประสบผลให้พวกเขาเติบโตมาได้โดยไม่ต้องเจอกับความสูญเสียอันยิ่งใหญ่

แล้วอย่าลืมติดตามรายการมิติที่ 6 ศุกร์สยองขวัญ กับเรื่องราวเบา ๆ พร้อมที่มาของมันกันได้ทุกวันศุกร์สะดวก หลังจากจบรายการแล้วอย่าลืมกดสับสไครป์ กดไลก์ กดแชร์ หรือทิ้งคอมเมนต์กันไว้ด้วยนะครับ ยังมีเรื่องราวต่าง ๆ อีกมากมายรอคุณอยู่ สำหรับวันนี้... สวัสดี

เรียบเรียงและบรรยายโดย นิวัฒน์ อ่ำแสง

แท็ก: ตำนานลี้ลับ, บุควุส, Bookwus, ผีกลิ้งหัว, The Rolling Head, เบย์ค็อก, Baykok, อันเชกิล่า, Unhcegila, อะโพทัมกิน, Apotamkin, คีวากว์, Kee-Wakw, พุกควุดจี้, Puckwudgie, ยักษีแบกตะกร้า, Basket Ogress, อัคลุท, Akhlut, แอดเลท, Adlet, wicked, creatures, native, american folklore

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

ประกาศ

เพื่อเป็นกำลังใจเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้กับเรา ขอความร่วมมือจากผู้ที่นำเรื่องราวจากมิติที่ 6 ไปใช้ในที่ของท่าน กรุณาลงเครดิตกลับมาที่เราจะเป็นพระคุณอย่างสูงครับ