21 มิถุนายน 2560

มิติที่ 6 เปิดปมปริศนา พิธีไล่ผีเอ็กซอร์ซิสต์ "โรแลนด์ โดว์" มันคืออะไรกันแน่ ?


ปี ค.ศ. 1949 ที่ประเทศสหรัฐอเมริกามีนักบวชของโบสถ์โรมันคาธอลิค ได้จัดทำบันทึกเรื่องราวพิธีกรรมไล่ผีที่สิงสู่อยู่ในร่างของเด็กชายคนหนึ่ง โดยบันทึกชุดนั้นพวกเขาเรียกเด็กชายด้วยนามแฝงว่า โรแลนด์ โดว์ และ ร็อบบี้ แมนเฮม เด็กชายคนนี้อายุ 14 ปี เขาเกิดช่วงประมาณปี ค.ศ. 1935 และถูกกล่าวหาว่าถูกปีศาจเข้าครอบงำ !
มิติที่ 6 สัปดาห์นี้ เราจะนำคุณไปยังประเทศสหรัฐอเมริกา เพื่อไปพบกับเรื่องราวเหนือธรรมชาติที่ถูกอ้างว่ามันคือเรื่องจริง เด็กชายคนหนึ่งที่ต้องทนทุกข์กับวิญญาณชั่วร้าย กับข้อมูลที่คุณอาจไม่เคยรู้ ว่าทุกอย่างมันจะใช่อย่างที่เราคิดกันหรือไม่ !?

ในช่วงกลางปี ค.ศ. 1949 หนังสือพิมพ์หลายฉบับได้ลงพาดหัวข่าว รายงานเหตุการณ์แปลกประหลาด เกี่ยวกับการสิงสู่ของวิญญาณร้ายและพิธีขับไล่ผี แหล่งข่าวนั้นเดาว่าเหตุการณ์นี้มันน่าจะเกิดขึ้นกับครอบครัวของลูเธอร์ ไมล์ ชูลซ์ซึ่งเป็นอดีตปาสเตอร์ โดยเหตุการนี้มีผู้คนมากถึง 48 คน เป็นพยานในพิธีกรรม และมี 9 คนในนั้นเป็นเจซูอิท

จากข้อมูลในหนังสือของผู้เขียนชื่อ โธมัส บี อัลเลน ระบุว่านักบวชเจซูอิทชื่อคุณพ่อวอลเดอร์ เอช ฮอโลแรน เป็นหนึ่งในพยานจากเหตุการไล่ผีในครั้งนั้น โธมัสได้บันทึกอ้างถึงไดอารี่เล่มหนึ่งที่ถูกเก็บรักษาโดยคุณพ่อเรมอนด์ บิช็อป เกี่ยวกับรายละเอียดพิธีการไล่ผีให้กับเด็กชายผู้ใช้นามแฝงว่า โรแลนด์ โด หรือ ร็อบบี้ แมนเฮม
"โธมัส บี อัลเลน" เจ้าของบันทึกเหตุการณ์นี้
"คุณพ่อวอลเดอร์ เอช. ฮอโลแรน" หนึ่งในพยาน
โรแลนด์เกิดในครอบครัวชาวเยอรมันที่นับถือลัทธิลูเธอรัน โดยในช่วงปี ค.ศ.1940 จากข้อมูลในหนังสือของโธมัส บี อัลเลนได้ระบุเอาไว้ว่า ครอบครัวนี้พำนักอาศัยอยู่บ้านเลขที่ 3210 ถนนบังเกอร์ฮิลล์ เมาท์เรนเนอร์ รัฐแมรี่แลนด์ และได้กล่าวถึงเด็กชายเอาไว้ว่า
โรแลนด์เป็นเด็กเพียงคนเดียวในบ้าน ไม่มีพี่น้องที่อายุใกล้เคียงเป็นเพื่อน และนั่นจึงทำให้เขามีเพื่อนเล่นเป็นผู้ใหญ่แทน ซึ่งคนที่เล่นกับเขาเป็นหลักก็คือคุณป้าแฮเรียต เธอเป็นคนทรงและเป็นคนที่สอนให้โรแลนด์รู้จักกับ "กระดานอุยจา"หรือ "กระดานผีถ้วยแก้ว"


"บ้านเลขที่ 3210 ถนนบังเกอร์ฮิลล์ เมาท์เรนเนอร์ รัฐแมรี่แลนด์" ถูกอ้างว่าเป็นที่เกิดเหตุ
ต่อมาคุณป้าของเขาก็เสียชีวิต และตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาครอบครัวนี้ก็มักจะได้ยินเสียงแปลก ๆ หรือของในบ้านสามารถเคลื่อนที่ได้ด้วยตัวเอง และมักจะมีของในบ้านลอยไปมาเมื่อเด็กชายอยู่ในบริเวณนั้น นั่นจึงทำให้ทางครอบครัวต้องพึ่งปาสเตอร์ของลูเธอรันชื่อลูเธอร์ ไมล์ ชูลซ์ เพื่อให้เข้ามาช่วยเหลือในเรื่องนี้

และด้วยความสนใจด้านจิตวิทยาอาถรรพ์ของคุณพ่อลูเธอร์ ชูลซ์ เขาจึงนำตัวเด็กชายมาไว้ที่บ้านของเขาอยู่ทั้งคืน โดยอ้างกับพ่อและแม่ของเด็กว่าจะพาเด็กชายไปพบกับนักบวชคาธอลิค และในคืนนั้นเขาได้บันทึกเหตุการณ์อันน่าขนลุกเอาไว้ว่า ตลอดเวลาที่เด็กชายอยู่ในบ้านของเขา ข้าวของในบ้านสามารถเคลื่อนที่ได้เองอย่างน่าประหลาด เพียงแต่เรื่องนี้นักจิตวิทยาชื่อ เจ.บี. ไรน์ (Joseph Banks Rhine) ผู้ที่ศึกษาเกี่ยวกับเรื่องราวนี้บอกกับทางสื่อว่า บางทีคำบอกเล่านี้อาจเป็นเพียงสิ่งที่คุณพ่อลูเธอร์ ชูลซ์ พูดอวดอ้างไปเองก็เป็นได้

เจ.บี. ไรน์ กล่าวว่า "คุณพ่อลูเธอร์อวดอ้างเรื่องของเคลื่อนที่เอง"

ในเนื้อหาบันทึกต้นฉบับของคุณพ่อเรมอนด์ บิช็อป ที่โธมัส บี อัลเลนนำมาเป็นข้อมูลนั้นบอกว่า เด็กชายต้องพบกับหมอผีจำนวนหลายคน โดยหนึ่งในนั้นก็คือเอ็ดเวิร์ด ฮิวซ์ นักบวชโรมันคาธอลิค ที่จัดพิธีไล่ผีให้กับเด็กชายโรแลนด์ภายในโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง ที่อยู่ภายใต้การดูแลของสถาบันเจซูอิท

ในช่วงพิธีไล่ผีนั้นเด็กชายเกิดสะบัดมือข้างหนึ่งหลุดออกจากที่มัดบนเตียง ซึ่งการสะบัดครั้งนั้นทำให้เตียงถึงกับหักร่วงลงมาด้านล่าง และเด็กชายก็ได้ใช้ท่อนเหล็กที่หลุดออกเหวี่ยงไปมาจนถูกแขนของนักบวชฉีกเป็นแผลยาว ซึ่งสิ่งนี้มันก็ทำให้พิธีขับไล่ผีถึงกับต้องหยุดชะงักไปทันที

ส่วนทางครอบครัวของเด็กชายได้เดินทางไปยังมหาวิทยาลัยเซนต์หลุยส์ที่อยู่ในรัฐมิสซูรี่ เพื่อไปพบกับคุณพ่อเรมอนด์ เจ บิช็อปซึ่งเป็นอาจารย์สอนอยู่ที่นั่นจากการติดต่อผ่านญาติคนหนึ่ง ซึ่งคุณพ่อเรมอนด์เองก็ได้พูดคุยกับคุณพ่อวิลเลี่ยม เอส โบวเดิร์น ที่ร่วมงานกันอยู่ในวิทยาลัยของโบสถ์ว่า พวกเขาจะไปพบกับโรแลนด์ที่บ้านญาติคนหนึ่ง

"คุณพ่อวิลเลี่ยม เอส โบว์เดิร์น" ผู้ทำพิธีไล่ผี
ซึ่งพอไปถึงทั้งสองก็เล่าว่า พวกเขาเห็นที่นอนของเด็กชายสั่นอยู่ตลอดเวลา ข้าวของรอบ ๆ ลอยได้ ส่วนตัวเด็กชายก็พูดจาออกมาด้วยน้ำเสียงพึมพำอยู่ในลำคอเป็นภาษาลาติน ใจความบอกว่าตัวเองนั้นต่อต้านสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทุกอย่าง พอเห็นเป็นเช่นนี้ทางคุณพ่อโบว์เดิร์นจึงรีบขออนุญาติจากท่านอาร์คบิช็อบ เพื่อขอทำพิธีไล่ผีให้กับเด็กชายคนนี้ทันที

พิธีไล่ผีครั้งนี้ถูกจัดตั้งขึ้นที่โรงพยาบาลอาเล็กเซียนบราเธอร์ ที่อยู่ในเซาธ์เซนต์หลุยส์รัฐมิสซูรี่ โดยปัจจุบันสถานที่แห่งนี้ได้ถูกรื้อถอนไปแล้ว

โรงพยาบาลอาเล็กเซียนบราเธอร์ (ปัจจุบันไม่มีแล้ว)

ช่วงก่อนพิธีจะเริ่มนั้น คุณพ่อวอลเทอร์ ฮอโลแรนได้แจ้งกับทางแผนกจิตเวชของโรงพยาบาลเพื่อขอให้คุณพ่อวิลเลี่ยม แวน รู ซึ่งถือเป็นนักบวชรูปที่สาม ให้มาช่วยทางคุณพ่อโบวเดิร์นอีกแรง ซึ่งทางคุณพ่อวิลเลี่ยมเองได้ยืนยันสิ่งที่เขาเห็นกับตาว่า เขาเห็นตัวอักษรเขียนว่า EVIL และ HELL ปรากฏขึ้นบนหน้าอกของเด็กชายคนนั้น นอกจากนี้เด็กชายยังอาละวาดจนทำให้จมูกของคุณพ่อฮอลโรแรนบาดเจ็บ ในช่วงขณะที่พิธีกรรมยังดำเนินอยู่อีกด้วย  

จนเมื่อพิธีกรรมไล่ผีผ่านพ้นไป วิญญาณอันชั่วร้ายที่สิงสู่ในตัวเด็กชายผู้นี้ก็ถูกขับไล่ออกไปสำเร็จ ทุกอย่างกลับเข้าสู่สภาวะปกติและเด็กชายก็ได้กลับไปใช้ชีวิตเหมือนคนปกติทั่วไป โดยว่ากันว่าหลังจากเวลาผ่านไประยะหนึ่ง เด็กชายที่เติบโตขึ้นก็เสียชีวิตและทิ้งเรื่องราวทั้งหมดเอาไว้เบื้องหลังให้คนสงสัยมาจนถึงปัจจุบัน

ซึ่งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดนี้ มันได้ถูกบอกเล่าผ่านหนังสือของ โธมัส บี อัลเลน ที่ออกตีพิมพ์จำหน่ายในปี ค.ศ. 1993 ชื่อ The True Story of an Exorcism โดยเนื้อหาที่ถูกนำเสนอนั้น มีข้อสรุปอย่างเป็นเอกฉันท์จากผู้เชี่ยวชาญในยุคปัจจุบันลงความเห็นกันว่า

“ตัวของเด็กชายชื่อร็อบบี้นั้น เขาเพียงประสบกับภาวะสับสนทางจิตใต้สำนึก และไม่มีสิ่งใดบอกว่ามันเป็นเรื่องเหนือธรรมชาติเลย”

มีนักเขียนชื่อ มาร์ค อ็อพซาสนิค ได้นำเสนอว่า จากประวัติที่เด็กคนนี้เป็นเด็กเพียงคนเดียวในบ้าน ก็น่าจะเป็นเหตุทำให้เขาถูกเลี้ยงดูอย่างตามใจมากเกินไป ส่งผลให้เขากลายเป็นเด็กดื้อรั้นและใช้ความรุนแรงเพื่อเรียกร้องความสนใจ ไม่ก็หาเรื่องทำทุกอย่างเพื่อเกโรงเรียน และยังมองว่าช่วงที่ทำพิธีไล่ผีในโรงพยาบาลนั้น ทางคุณพ่อฮอโลแรนไม่เคยได้ยินเสียงของเด็กชายมาก่อนเลย แล้วท่านจะมาบอกว่าเด็กเสียงเปลี่ยนไปได้อย่างไร ?

"มาร์ค อ็อพซาสนิค" นักเขียนและนักวิเคราะห์

และที่เขาคิดว่าเด็กชายพึมพำเป็นภาษาลาติน มันก็น่าจะเป็นเพราะเขาได้ยินเสียงที่เด็กพูดออกมาไปพ้องเสียงกับภาษาลาตินหรือเปล่า ? ส่วนที่คุณพ่อฮอโลแรนนั้นบอกว่า เขาเห็นตัวอักษรปรากฎขึ้นบนหน้าอกของเด็กนั้น เขาก็ไม่ได้ตรวจสอบที่นิ้วมือของเด็กเลย ว่าเด็กอาจจะใช้นิ้วมือนั้นกรีดเป็นตัวอักษรไว้เองหรือไม่ ?

และทางมาร์ค อ็อพซาสนิคยังได้ตั้งคำถามเกี่ยวกับเรื่องที่คุณพ่อเอ็ดเวิร์ด ฮิวส์ ได้รับบาดเจ็บเพราะเด็กชายจนทำพิธีไล่ผีต่อไม่ได้นั้น ตัวของมาร์คเองไม่สามารถหาหลักฐานได้ว่ามันเคยมีเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นจริง ช่วงที่มาร์คสืบหาความจริงของเรื่องนี้ เขาก็พบข้อเท็จจริงหลายอย่างว่า

  • การทำพิธีไล่ผีไม่ได้เกิดขึ้นในบ้านเลขที่ 3210 ถนนบังเกอร์ฮิลล์ ในเมาท์เรนเนอร์ รัฐแมรี่แลนด์
  • เด็กชายคนนี้ไม่เคยอาศัยอยู่ในเมาท์เรนเนอร์มาก่อน
  • จริง ๆ แล้วบ้านของเด็กชายคนนี้อยู่ที่เมืองค็อทเทจ รัฐแมรี่แลนด์
  • เหตุการไล่ผีครั้งนั้นมันเป็นเพียงเรื่องเล่า ไม่เคยมีการบันทึกอย่างเป็นทางการ และไม่เคยมีการตรวจสอบข้อเท็จจริงมาก่อน
  • แถมยังไม่มีหลักฐานว่าคุณพ่อเอ็ดเวิร์ด อัลเบิร์ต ฮิวส์ เคยไปที่บ้านของเด็กชายเลย เพราะตอนนั้นเด็กชายพักรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลจอร์จทาวน์ ซึ่งก็ไม่รู้ว่าเขาถูกนำตัวส่งไปยังโรงพยาบาลตอนนั้นเพื่อจะทำพิธีไล่ผีหรือเปล่า ? หรือเพียงแค่นำตัวเด็กชายมารักษาอาการบาดเจ็บจากพิธีไล่ผีก็ยังไม่สามารถระบุได้ชัด
  • แต่ที่แน่ ๆ มาร์ค ออพซาสนิคมีหลักฐานว่าคุณพ่อฮิวส์นั้นเคยป่วยเป็นโรคภาวะทางอารมณ์แหลกสลาย และเคยหายตัวไปจากชุมชนเมืองค็อทเทจมาก่อนด้วย

บ้านที่เกิดเหตุจริง (ค็อทเทจซิตี้ รัฐแมรี่แลนด์)
 ทางอ็อพซาสนิคจึงได้ติดต่อกับผู้เชี่ยวชาญส่วนตัวของเขา เพื่อพูดคุยจนสุดท้ายก็ได้ผลสรุปออกมาว่า
“จิตแพทย์บอกว่าร็อบ โดว์ นั้นมีอาการป่วยทางจิต ส่วนนักบวชบอกว่าเขาถูกผีเข้าสิง แต่พวกนักเขียนและพวกสร้างหนังนั้นมองว่า เรื่องนี้มันทำกำไรงามได้แน่ ๆ ซึ่งมันก็เป็นมุมมองที่แต่ละฝ่ายได้รับการฝึกฝนกันมา โดยแต่ละคนก็ล้วนมองไปยังสิ่งที่เห็นตรงหน้า แต่ไม่ได้คำนึงกันเลยว่าสิ่งที่เขามองกันนั้น มันตรงข้ามกับความเป็นจริงอะไรบางอย่างหรือไม่ ?— พวกเขาควรจะจัดการสิ่งที่เห็น และให้ความสำคัญกับข้อมูล เท่าที่ตัวเองเห็นควรจะทำกันอยู่หรือเปล่า ?”
อ็อพซาสนิคยังได้บันทึกไว้อีกว่า หลังจากที่เขาได้พูดคุยกับเพื่อนสมัยปัจจุบันและเพื่อนสมัยเด็กของเด็กชายคนนี้ เขาก็สรุปว่า
“เด็กชายคนนี้เป็นเด็กฉลาดแกมโกงมาก่อน เขาชอบแกล้งให้แม่ของเขาตกใจกลัว และชอบหลอกเด็ก ๆ แถวบ้านอยู่เสมอ”

นักไขปริศนาชื่อ โจ นิเคล ได้เขียนบทความเอาไว้ว่า...
“มันไม่มีหลักฐานมากพอที่จะยืนยันได้ว่าเด็กชายคนนี้ถูกวิญญาณของปีศาจหรือถูกผีร้ายเข้าสิง”
"โจ นิเคล (Joe Nickell)" นักไขปริศนา

และมองสิ่งที่นักบวชเข้าใจว่าเป็นการถูกผีเข้านั้น คือการแหกตาที่เด็กชายคนนี้ก่อเรื่องขึ้น และอธิบายเกี่ยวกับตัวอักษรที่ปรากฏขึ้นบนหน้าอกของเด็กชายว่า...
“ของแบบนี้มันไม่ใช่เรื่องยากที่เด็กคนหนึ่งจะทำมันขึ้นมาด้วยตัวเอง และต่อให้มันเป็นเรื่องเหนือธรรมชาติจริง ตัวอักษรมันก็ควรจะไปปรากฏในส่วนอื่น ๆ ของร่างกายในส่วนที่ไม่สามารถเขียนได้ใช่หรือไม่ ? ไม่ใช่เห็นแค่ที่หน้าอกกันแบบนี้”
“ไม่มีรายงานไหนระบุเลยว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้น มันจะเกินความสามารถของเด็กวัยรุ่นคนหนึ่งที่จะทำขึ้นมาเองได้ ไม่ว่าจะอาการอาละวาด มึนงง เคลื่อนย้ายข้าวของ ขว้างปาวัตถุ เขียนข้อความลึกลับ สร้างรอยขีดข่วนตามผิวหนัง และปรากฎการณ์อื่น ๆ ที่เด็กวัยรุ่นคนนึงจะคิดได้ทั้งก่อนหน้าและหลังเกิดเหตุ ซึ่งทุก ๆ อย่างที่เกิดขึ้นมันเป็นเพียงเกมที่ถูกคิดขึ้นมาจากเด็กคนนี้เท่านั้น”

โจ นิคเคลได้ปิดท้ายว่า
“ไม่มีอะไรมากไปกว่าการเรียกร้องความสนใจอย่างแรงกล้าของเด็กวัยรุ่น”
และวิพากษ์พิธีกรรมไล่ผีว่า
“มันคือการจินตนาการจากหนังสือที่พวกนักบวชศึกษามาเท่านั้น”
ในมุมมองความเชื่อทางศาสนาของคนบางกลุ่มนั้น มีนักวิชาการคริสเตียนสองท่านชื่อ เทอรรี่ ดี คูเปอร์ ศาสตราจารย์ภาคจิตวิทยา และ ซินดี้ เค เอ็พเพอร์สัน ศาสตราจารย์ด้านสังคมศาสตร์ ได้เขียนสนับสนุนเรื่องผีเข้าเรื่องนี้เอาไว้ว่า...

“มันไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาจะเจอกันบ่อย ๆ การไล่ผีมันก็คือการขับไล่วิญญาณร้าย”

 
“กรณีคนถูกผีเข้าจริง ๆ นั้น มันไม่สามารถอธิบายได้ด้วยหลักจิตวิทยาใด ๆ”

และทั้งคู่ยังได้จัดทำหนังสือชื่อ Evil: Satan, Sin and Psychology เพื่ออุทิศให้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และสนับสนุนว่ามันคือเหตุการณ์เหนือธรรมชาติที่เกิดจากความชั่วร้ายแน่ ๆ
หนังสือ "Evil: Satan, Sin and Psychology"

ท่ามกลางการถกเถียงของทั้งสองฝ่าย ก็ได้มีการให้สัมภาษณ์จาก โธมัส บี อัลเลน เจ้าของหนังสือที่บันทึกเหตุการณ์ในครั้งนั้นเมื่อปี ค.ศ. 2013 ว่า เขารู้เพียงแค่เด็กชายคนนี้ที่ชื่อร็อบบี้ถูกสิงสู่โดยวิญญาณชั่วร้าย โดยบอกว่าบางทีเด็กชายคนนี้อาจเป็นผู้ป่วยทางจิต หรือไม่ก็ถูกล่วงละเมิดทางเพศมาก่อน หรือถ้ามันไม่ใช่เหตุการณ์ทั้งหมดก็อาจเป็นเพียงเรื่องราวที่ถูกสร้างขึ้นมา และอัลเลนยังบอกอีกว่า คุณพ่อฮอโลแรนเองก็เคยแสดงความสงสัยเกี่ยวกับเหตุการณ์นี้ในช่วงก่อนที่เด็กชายจะเสียชีวิตด้วย

พอมีผู้สื่อข่าวไปซักถามกับคุณพ่อฮอโลแรนเกี่ยวกับเหตุการณ์ในครั้งนั้น ว่าเด็กชายคนดังกล่าวถูกผีสิงจริงหรือไม่ ? คุณพ่อก็ตอบว่า "ไม่ !" เขาเคยบันทึกอะไรไว้แบบนั้นและเขาก็ไม่เคยสรุปอะไรเอาไว้เลย เพราะตัวเองก็ไม่รู้ว่าจะยืนยันเรื่องนี้ยังไงดีเช่นกัน

แต่ไม่ว่าเหตุการณ์สยองขวัญครั้งนั้นจะเป็นเรื่องจริงหรือไม่ เหตุการณ์นี้ก็ได้ถูกใช้เป็นแรงบันดาลใจให้กับวิลเลี่ยม ปีเตอร์ แบล็ทตี้ เขียนนิยายเรื่อง The Exorcist ขึ้นมาในปี ค.ศ. 1971 จนกลายเป็นนิยายคลาสสิคตลอดกาลมาจนถึงทุกวันนี้ และต่อมาในปี ค.ศ. 1973 ก็มีภาพยนตร์สยองขวัญถูกสร้างขึ้นมาในชื่อเดียวกัน

นิยายและภาพยนตร์ "The Exorcist" (1971/1973)
ต่อมาในปี ค.ศ. 2000 เรื่องราวนี้ก็ถูกนำมาใช้เป็นแรงบันดาลใจในภาพยนตร์เรื่อง Possessed ที่มีเนื้อหาใกล้เคียงกับเรื่องราวในหนังสือของโธมัส บี อัลเลน ในส่วนของภาพยนตร์สารคดีเรื่องราวนี้ได้ถูกจัดทำไว้ในชื่อ In the Grip of Evil ในปี ค.ศ. 1997


โปสเตอร์ภาพยนตร์เรื่อง "Possessed" (2000) และ  "In the Grip of Evil" (1997)
และถูกนำมาทำเป็นสารคดีอีกครั้งในปี ค.ศ. 2010 ชื่อ The Haunted Boy: The Secret Diary of the Exorcist ดำเนินเรื่องโดยกลุ่มนักสืบไขปริศนาออกหาข้อมูลตามสถานที่ต่าง ๆ และวิเคราะห์เรื่องราวในส่วนบันทึกของคุณพ่อวิลเลี่ยม เอส โบว์เดิร์น

ภาพยนตร์สารคดี "The Haunted Boy" (2010)
ทั้งหมดนี้ก็คือข้อมูลทุกอย่างที่มิติที่ 6 พอจะสรุปมาให้ท่านผู้ชมได้ทราบ โดยเราจะไม่ขอสรุปว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในปี ค.ศ. 1949 ครั้งนั้นมันเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงหรือเปล่า ? เพราะมิติที่ 6 นั้นอยากจะทราบมากกว่าว่า ท่านผู้ชมคิดว่าเรื่องนี้มันเป็นเรื่องจริงหรือไม่ ? ผ่านช่องทางการโหวตของยูทูป โดยการกดที่เครื่องหมายนี้ ( i ) นะครับ

หลังจากจบรายการมิติที่ 6 แล้ว อย่าลืมกดสับสไครป์ กดไลก์ กดแชร์ หรือทิ้งคอมเมนต์กันไว้ด้วยนะครับ ยังมีเรื่องราวต่าง ๆ อีกมากมายรอคุณอยู่ สำหรับวันนี้... สวัสดี

เรียบเรียงและบรรยายโดย นิวัฒน์ อ่ำแสง
ที่มา: Wikipedia - Exorcism of Roland Doe

แท็ก: Exorcism , Roland Doe, พิธีไล่ผีThe Exorcist

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

ประกาศ

เพื่อเป็นกำลังใจเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้กับเรา ขอความร่วมมือจากผู้ที่นำเรื่องราวจากมิติที่ 6 ไปใช้ในที่ของท่าน กรุณาลงเครดิตกลับมาที่เราจะเป็นพระคุณอย่างสูงครับ