"ผีดูดเลือด" หรือ "แวมไพร์" มันเป็นตำนานที่ถูกเล่าขานกันทั่วโลก ทุกประเทศที่มีเรื่องราวเกี่ยวกับมัน ต่างก็มีรายละเอียดระบุกันเอาไว้ว่า แวมไพร์ของพวกเขานั้นจะมีเอกลักษณ์ของตัวเองด้วยกันทั้งสิ้น !
มิติที่ 6 ศุกร์สยองขวัญ กับเรื่องราวเบา ๆ ในวันศุกร์สะดวกสัปดาห์นี้ เราจะพูดถึงตำนานผีดูดเลือดจากทั่วโลก แวมไพร์ท้องถิ่นของประเทศต่าง ๆ ว่าแต่ละอย่างที่ถูกเล่านั้น... มันคืออะไรกันแน่ !?
มันดุรุโก (Mandurugo)
ความสัมพันธ์ของคุณเคยจืดจางลงบ้างไหม ? ในประเทศฟิลิปปินส์จะมีกลุ่มหญิงสาวหน้าตาสะสวยมีปีก ที่ถูกเรียกชื่อในท้องถิ่นว่า "กินรี" พวกเธอมีลักษณะอ่อนหวานที่เหล่าชายหนุ่มไปจนถึงชายชราก็ล้วนอยากได้มาเป็นคนรัก แต่ถ้าพวกเขาได้พวกเธอมาร่วมเรียงเคียงหมอนเมื่อใด แล้วเกิดไปทำอะไรให้เธอรู้สึกว่าถูกหักอกขึ้นมาล่ะก็ จากสาวสวยอ่อนหวานที่เห็นอยู่ตรงหน้าจะกลายสภาพเป็น มันดุรุโก อันน่ากลัวขึ้นมาทันที !
โดยมันดุรุโกที่ว่านี้ ตอนกลางวันพวกเธอจะพยายามทำตัวอ่อนหวานเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่พอกลางคืนได้ย่างกรายเข้ามา เธอจะเริ่มแสดงความต้องการที่แท้จริง โดยเธอจะทำเป็นนอนกับชายหนุ่มจนแน่ใจว่าเขาหลับสนิทไปแล้ว จากนั้นก็จะใช้ลิ้นอันแหลมคมค่อย ๆ เจาะเข้าไปที่ลำคอจนลึก ตามด้วยใช้ลิ้นที่ทำหน้าที่เหมือนหลอดกาแฟ ค่อย ๆ ดูดกลืนเลือดของคนทรยศในความรักจนแห้งเหือด
โดยในตำนานนั้นเล่าว่า มันดุรุโกจะค่อย ๆ ดูดเลือดของสามีผู้โชคร้ายไปวันละนิด จนแม้แต่ตัวของชายหนุ่มเองก็ไม่รู้เลยว่า ทำไมอยู่ดี ๆ ตัวเองถึงค่อย ๆ ซุบผอมลงอย่างไร้สาเหตุ จนกระทั่งตัวเองตายไปก็ยังไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับร่างกายของตน โดยในหลาย ๆ เรื่องเล่าก็จะมีชายหนุ่มเพียงไม่กี่คน ที่มีความฉลาดมากพอที่จะสงสัยว่าภรรยาคนใหม่ของเขานั้นก็คือมันดุรุโก !
ซึ่งในทุกเรื่องเล่าก็จะพูดเหมือน ๆ กันว่า เหล่าชายหนุ่มที่รู้ตัวพวกนี้จะแอบซ่อนมีดเอาไว้ในมือ จากนั้นก็แกล้งทำเป็นเข้านอน จนกระทั่งรู้สึกตัวว่าลิ้นของภรรยาสาวกำลังชอนไชเข้ามาที่ลำคอ ชายหนุ่มก็จะใช้มีดแทงเข้าไปที่หัวใจของปีศาจสาวทันที ซึ่งพอถึงตรงนี้ท่านผู้ชมก็ลองนึกภาพตามกันดูเอาเองจะดีกว่าว่า ถ้าพวกสาว ๆ ไม่ได้เป็นมันดุรุโกจริง ๆ ขึ้นมา แล้วชายหนุ่มเอามีดแทงเข้าไปจัง ๆ แบบนั้น งานนี้คงได้มีคนต้องติดคุกเพื่อสังเวยตำนานเรื่องนี้กันแน่ ๆ
ที่มา: Books.google.co.uk
---------
อิมพุนดูลู (Impundulu)
ในอัฟริกาใต้นั้นมีตำนานเกี่ยวกับนกชนิดหนึ่ง พวกเขาเรียกชื่อมันว่า อิมพุนดูลู มันเป็นนกสายฟ้าที่หิวกระหายโลหิต โดยนายของนกพวกนี้ก็คือเหล่าแม่มด ที่จะคอยส่งมันไปสังหารผู้คนที่เธอต้องการ ซึ่งถ้าพวกเธอไม่คิดจะทำแบบนั้น เหยื่อของอิมพุนดูลูก็จะกลายเป็นพวกเธอแทนนั่นเอง
โดยในตำนานก็ระบุเอาไว้ว่า เมื่อวันใดที่แม่มดเหล่านี้เริ่มแก่ชราลงจนดูแลไม่ไหว พวกเธอก็จะโอนกรรมสิทธิ์ในการดูแลเจ้านกชนิดนี้ให้กับลูกสาวต่อไปเป็นรุ่น ๆ ซึ่งก็ถือเป็นวิธีการอันชอบธรรมเหมือนกับการมอบมรดก ให้ตกทอดไปสู่ลูกหลานเหมือนกับคนทั่วไปเช่นนั้น
โดยในบางครั้งนกอิมพุนดูลูจะแปลงร่างของตัวเองให้อยู่ในรูปลักษณ์ของสาวสวยไม่ก็หนุ่มหล่อ และก็อย่าลืมว่านามเรียกขานอีกชื่อของมันนั้นก็คือ "นกสายฟ้า" ที่จะปรากฏให้เห็นกับตาก็เฉพาะยามที่มันอยู่ในร่างนก และยามใดที่มันกระพรือปีกแรง ๆ ขึ้นมา ก็จะเกิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหวเหมือนกับฟ้าผ่า และเมื่อยามที่มันทำให้เกิดสายฟ้าฟาดลงมา ก็จะส่งผลทำให้พื้นดินถูกขุดลงไปเป็นหลุ่มลึก
โดยมันจะทำแบบนี้ก็เพื่อที่จะวางไข่เท่านั้น ซึ่งแหล่งวางไข่ของนกสายฟ้าเหล่านี้ก็จะมีเพียงแต่พวกชาแมนหรือเหล่าพ่อมด ที่จะสามารถค้นหาได้ว่าไข่พวกนี้มันอยู่ที่ไหน ซึ่งพ่อมดจะคอยทำลายไข่ของอิมพุนดูลูก่อนที่มันจะเกิดขึ้นมา เพื่อให้โลกใบนี้ไม่ต้องถูกเหล่านกสายฟ้าคอยรุกรานในอนาคตนั่นเอง
ถึงแม้นกอิมพุนดูลูจะชอบดื่มเลือดของมนุษย์ ก็ยังมีบางแห่งบอกว่ามันยังชอบดื่มเลือดของวัวด้วยเช่นกัน ซึ่งถ้าวัวพวกนั้นมันยังมีลมหายใจอยู่ต่อ แล้วมีใครซักคนนำน้ำนมของวัวไปดื่มกินต่อ คน ๆ นั้นก็จะมีอันต้องป่วยเป็นวัณโรคไปเสียทุกราย และก็มีบางตำนานระบุเอาไว้เช่นกันว่า พวกนกอิมพุนดูลูเองก็ชอบดื่มน้ำนมวัวเหมือนกัน ซึ่งเราจะสามารถสังหารมันให้ตายได้ง่าย ๆ ด้วยการแอบวางยาพิษในน้ำนมที่มันจะดื่ม
ที่มา: Abookofcreatures
---------
ยารา-มา-ยฮา-ฮู (Yara-Ma-Yha-Who)
เป็นที่รู้กันดีว่าประเทศออสเตรเลียก็คือประเทศบ้านเกิดของเหล่าสัตว์ร้ายจำนวนมากมาย และหนึ่งในสิ่งที่ทำให้ชาวบ้านที่นั่นต้องวิ่งหนีทุกครั้งที่พบก็คือ ยารา-มา-ยฮา-ฮู !
มันคือแวมไพร์ที่มีรูปร่างหน้าตาเข้าใจยากไม่แพ้กับชื่อของมัน แถมยังสามารถออกล่าเหยื่อได้ในเวลากลางวันอีกต่างหาก ซึ่งถ้าใครอยากจะได้พบกับเจ้ายารา-มา-ยฮา-ฮู ล่ะก็ ว่ากันว่าเราจะต้องไปรอมันอยู่ที่ใต้ต้นมะเดื่อที่ออสเตรเลียนั่นเอง
โดยในบันทึกของชาวพื้นเมืองระบุว่า เจ้ายารา-มา-ยฮา-ฮู มันสูงประมาณ 120 เซ็นติเมตร ชอบแอบซุ่มอยู่ตามต้นไม้เพื่อรอคอยเหยื่อมนุษย์หลงเดินมาอยู่ข้างใต้ และเมื่อได้ระยะที่เหมาะสมมันก็จะทิ้งตัวลงมาจากทางด้านบนและเริ่มลงมือดูดเลือดเหยื่อทันที
ซึ่งสาเหตุที่เราใช้คำว่าลงมือนั้น ก็เพราะมันจะใช้มือที่มีฟันอันแหลมคมกัดเข้ามาไปที่ร่างของเหยื่อ เพื่อสูบอาหารอันโอชะมากินจนกว่าจะพอใจ ซึ่งในตำนานเองก็ไม่มีการระบุว่า เจ้า ยารา-มา-ยฮา-ฮู จะเคยจับเหยื่อกินทันทีเลยสักครั้ง เพราะสิ่งที่มันต้องการไม่ใช่การกินจนอิ่มท้องในทันที โดยมันจะสวาปามเหยื่อเหมือนกับอมเข้าไปก่อน จากนั้นมันก็จะคายร่างที่ยังคงมีชีวิตของเหยื่อออกมา แล้วค่อยจัดการจับเหยื่ออีกครั้งด้วยการกินเข้าไปอีกรอบอย่างเอร็ดอร่อยในครั้งที่สองนี้นั่นเอง
โดยผู้ที่อ้างว่าเคยต่อสู้กับเจ้ายารา-มา-ยฮา-ฮู ต่างก็บอกว่าในบางครั้งมันจะปรากฏตัวขึ้นมาในลักษณะเหมือนไม่มีพลังพอที่จะทำร้ายใครได้ และในชั่วพริบตามันก็จะเผยความน่ากลัวที่แท้จริงให้เห็น ผ่านร่างกายที่มีผิวหนังสีแดงระเรื่อของมัน และจากการต่อสู้มาแล้วหลายหน พวกเขาก็อ้างว่าเจ้ายารา-มา-ยฮา-ฮู จะสามารถเรียกพวกออกมารวมร่างกลายเป็นหนึ่งเดียวได้อีกด้วย
---------
กัปปะ (Kappa)
ถ้าใครพอจะจำได้ มิติที่ 6 เคยพูดถึงเจ้ากัปปะเอาไว้ในคลิป 10 เรื่องผีที่ไม่ค่อยจะน่ากลัวของประเทศญี่ปุ่น กันมาแล้วครั้งหนึ่ง กัปปะ นั้นเป็นอสุรกายที่ไม่เหมือนใคร เพราะไม่เพียงแต่มันจะดูดเลือดจากผู้คนแล้ว มันยังสามารถกระชากเอาวิญญาณของเหยื่อออกมาได้จากทางรูทวารด้วย
โดยเจ้าอสุรกายตัวนี้จะคอยดำผุดดำว่ายอยู่ในน้ำ มีรูปร่างคล้ายเต่า มีแขนขายาว ๆ งอกออกมาจากลำตัวที่มีิผิวหนังเหมือนเรปทิลเลี่ยน โดยหลังของมันจะมีกระดองสีดำที่ทำให้คนทั่วไปนึกว่ามันอาจจะเป็นแค่เต่า และเมื่อมันได้พบกับเหยื่อมนุษย์ในที่ ๆ เหมาะสม มันก็จะใช้แขนยาว ๆ ของมันกระชากร่างของเหยื่อให้เซถลาตกลงมาในท้องน้ำ จากนั้นมันก็จะสูบเลือดของเหยื่อออกมากินนั่นเอง
หน้าตาของมันก็ดูเหมือนกับลิง มีแอ่งเหมือนกะลาครอบอยู่ด้านบนของศีรษะ ที่ว่ากันว่าภายในนั้นจะมีลักษณะกลวงเพื่อกักเก็บของเหลวที่เป็นดังแหล่งพลังงานของมัน
โดยวิธีปราบเจ้ากัปปะนี้สามารถทำได้ง่าย ๆ เพียงแค่เราทำท่าโค้งคำนับให้กับมันก่อน ซึ่งพอเจ้ากัปปะเห็นแบบนั้นมันก็จะโค้งคำนับเรากลับตามธรรมเนียมของชาวญี่ปุ่น แล้วทีนี้ของเหลวที่อยู่บนศีรษะของมันก็จะไหลร่วงออกมาทันที และเมื่อถึงตอนนี้เจ้ากัปปะก็จะค่อย ๆ ตายไปง่าย ๆ อย่างไม่น่าเชื่อ
ซึ่งเราก็ควรจะจำวิธีการปราบเจ้ากัปปะนี้กันเอาไว้ เพราะถ้าเราไม่ทำแบบนี้ เราก็จะถูกเจ้ากัปปะลากลงไปในน้ำ จากนั้นมันก็จะสังหารเราด้วยการควักเครื่องในพร้อมกับวิญญาณของเราออกมาทางก้น ซึ่งสิ่งหนึ่งที่จะต้องรู้เอาไว้ก็คือ อย่าลืมโค้งคำนับมันให้ได้มากที่สุดนั่นเอง
---------
เจียงฉี (Jiangshi)
เจียงฉี หรือ เจียงซือ ก็คือแวมไพร์อสูรร้ายจากตำนานของประเทศจีน ที่รู้จักกันดีในฉายาว่า ผีกระโดดกองกอย มันก็คือชีวิตหลังความตายของมนุษย์ธรรมดา ที่กลายเป็นศพแบบที่บ้านเราเรียกกันว่าผีดิบ พวกมันล้วนเคยถูกใครสักคนสังหารไปด้วยความเหี้ยมโหด ซึ่งในบางรายก็ฆ่าตัวตายด้วยสาเหตุที่ยอมรับไม่ได้ แล้วพอตายไปวิญญาณของพวกมันกลับไม่ยอมออกจากร่าง กลับฟื้นขึ้นมากลายเป็นเจียงฉีอย่างที่เราเคยเห็นในหนังจีนสมัยก่อน
มีบางคนเชื่อกันว่าการทำพิธีศพแบบไม่กลบหลุมฝังร่าง ก็คือการทำให้คนตายกลับฟื้นขึ้นมาเป็นเจียงฉี และในบางกรณีเจียงฉีก็สามารถเกิดขึ้นมาได้ เพราะมีแมวดำกระโดดข้ามศพของคนตายจนเกิดอาถรรพ์ฟื้นขึ้นมา
โดยสิ่งที่ทำให้เจียงฉีดูคล้ายกับแวมไพร์ของชาวตะวันตกนั้นก็คือ พวกมันเป็นร่างของคนตาย และส่วนที่ไม่เหมือนกันนั้นก็คือเจียงฉีจะเดินทางด้วยวิธีการไม่ปกติ เพราะมันคือศพคนที่ตายไปแล้วจนตัวแข็งทื่อ นั่นจึงทำให้เวลาเดินแต่ละก้าวมันจะใช้การกระโดดดึ๋ง ๆ แทนการเดิน ซึ่งจะกระโดดไปหาเหยื่อได้อย่างรวดเร็วและตามหาเหยื่อด้วยการดมกลิ่น
ส่วนวิธีการปราบเจียงฉีเราไม่สามารถทำได้ด้วยตัวเอง เพราะผู้ที่จะปราบมันได้นั้นล้วนเป็นหมอผี ที่จะมีกระจกส่องมารพร้อมกิ่งต้นพีชสำหรับพรมน้ำมนต์ โดยน้ำมนต์ที่ว่านี้ก็ไม่ใช่น้ำมนต์แบบที่เราเข้าใจ เพราะพวกหมอผีจีนจะนำปัสสาวะของเด็กชายบริสุทธิ์มาใช้ปลุกเสกปราบผี พร้อมกับทำเสียงเรียกผีเหมือนกับเรียกไก่ ที่อย่างไรแล้วก็ลองไปไล่หาข้อมูลได้จากหนังผีจีนสมัยก่อนกันดูนะครับ
โดยตำนานผีเจียงฉีน่าจะเกิดจากกรณีการเคลื่อนย้ายศพ ที่สัปเหร่อจะใช้ไม้ไผ่ยาวเสียบผ่านเข้าไปที่บริเวณแขนเสื้อของร่างผู้เสียชีวิต เรียงต่อกันยาวออกไปจนเหมือนกับต่อแถว โดยการเคลื่อนย้ายจะมีลักษณะเหมือนกับศพกำลังกระโดดต่อเป็นแถวเรียงกัน และนั่นก็อาจทำให้ชาวบ้านนำมาพัฒนาต่อให้กลายเป็นเรื่องเล่า เพื่อไม่ให้พวกเด็ก ๆ วัยอยากรู้อยากเห็นแอบหนีออกไปเที่ยวนอกบ้านในยามวิกาลก็เป็นได้
ที่มา: Ancient Origins
---------
อาซานโบซัม และซาซาโบซัม (Asanbosam และ Sasabonsam)
อาซานโบซัม และซาซาโบซัม
อาซานโบซัม คือแวมไพร์ที่สามารถพบได้บนต้นไม้แถวประเทศโทโก้และกาน่า มันจะเฝ้าคอยเหยื่ออยู่เงียบ ๆ ตามกิ่งไม้ ห้อยเกี่ยวร่างกายเอาไว้ด้วยขาอันบิดงอ และเมื่อมีใครหลงเดินผ่านเข้ามาแถวใต้ต้นไม้ ก็จะได้พบพวกมันห้อยตัวลงมาทำร้าย โดยอาซานโบซัมจะมีใบหน้าที่น่ากลัวสมเป็นอสุรกาย มีฟันเหล็กอันแข็งแกร่งแหลมคมที่สามารถกัดเข้าไปที่คอของเหยื่อเพื่อดูดเลือดอย่างง่ายดาย
รูปร่างของมันดูคล้ายมนุษย์เกือบทุกอย่าง ยกเว้นก็แต่ช่วงขาที่บิดโค้ง ซึ่งอาซานโบซัมจะมีสายพันธุ์ใกล้เคียงกันอีกชนิดที่เรียกว่า ซาซาโบซัม โดยอย่างหลังนี้จะคอยหลบซ่อนตัวอยู่ตามต้นไม้เพื่อดักจับเหยื่อเช่นกัน เพียงแต่รูปร่างของมันจะดูห่างไกลจากมนุษย์มากกว่าอาซานโบซัมเล็กน้อย
ซาซาโบนซัม จะมีลักษณะคล้ายกับค้างคาวมากกว่า ใบหน้าของมันอาจดูคล้ายกับมนุษย์อยู่บ้าง มีเขี้ยวเป็นเหล็กเหมือนกัน เพียงแต่แขนของซาซาโบนซัมจะมีขนาดเล็กเมื่อเทียบกับขนาดของปีก และอาหารของมันก็คือเลือดของมนุษย์เพียงอย่างเดียว
---------
อาเซม่า (Asema)
|
Unknown Source |
“อย่าไว้ใจพวกคนชราโดยเด็ดขาด !” ภาษิตประโยคนี้ก็คือบทเรียนสำคัญที่เจ้า อาเซม่า จะสอนเราให้จำจนวันตาย เพราะในตอนกลางวันอาเซม่าแห่งประเทศสุรินามจะทำตัวเหมือนกับชายแกที่ไม่มีพิษภัย แต่พอตอนกลางคืนอาเซม่าจะสลัดผิวกายอันเหี่ยวย่นออกไป แล้วแปลงร่างมาเป็นผีดูดเลือดทันที
นอกจากจะมีลักษณะแบบเดียวกับแวมไพร์แล้ว ร่างกายของอาเซม่าจะเป็นลูกไฟสีน้ำเงิน โดยลูกไฟสีน้ำเงินที่ว่านี้ จะคอยล่องลอยไปในอากาศเพื่อค้นหาเหยื่อไปเรื่อย ๆ ซึ่งสิ่งที่มากกว่าความเป็นแค่ลูกไฟนั้นก็คือ มันสามารถแทรกตัวเองเข้าไปในบ้านของใครก็ได้ จนเมื่อมันได้พบกับเหยื่อที่กำลังหลับไหล อาเซม่าก็จะค่อย ๆ ละเลียดดูดเลือดเหยื่อไปทีละนิด และจะดูดไปเรื่อย ๆ จนกว่าเลือดจะแห้งเหือดหมดตัว และถ้าเลือดของเหยื่อมีรสชาติหอมหวานล่ะก็ มันก็จะดูดเลือดของเหยื่อไปทีละนิด จากนั้นก็จะจากไปเพื่อทิ้งระยะให้เหยื่อกลับฟื้นคืนพลังมาอีกครั้ง มันถึงจะค่อยกลับมาดูดเลือดใหม่
วิธีป้องกันไม่ให้ถูกอาเซม่าทำร้ายนั้น เราสามารถทำได้ที่บ้านด้วยวิธีเดิม ๆ เพราะเป็นที่รู้กันว่าแวมไพร์นั้นกลัวกระเทียมเป็นปกติ ซึ่งถ้าเราอยากจะป้องกันให้ให้ดีกว่านั้น ก็เพียงนำกระเทียมมารับประทานเข้าไปในมื้ออาหาร เพื่อจะได้ทำให้เลือดของเราอยู่ในสภาวะไม่น่ากินสำหรับอาเซม่า เพียงเท่านี้มันก็จะไม่มายุ่งกับเลือดของเราอย่างแน่นอน
อีกอย่างหนึ่งที่เราควรจะรู้ก็คือ อาเซม่านั้นไร้สมรรถนะในการนับสิ่งของ ดังนั้นเราจะต้องนำเมล็ดพันธ์ุพืชมาผสมกับกงเล็บของนกอฮูกก่อน จากนั้นก็นำสิ่งที่ได้นี้มาโรยไว้ให้รอบตัวบ้าน เพราะการทำแบบนี้จะทำให้เจ้าอาเซม่าเกิดอาการสับสน ราวกับถูกบังคับให้ตัวเองต้องมานั่งนับเมล็ดพันธุ์ดังกล่าว และเมื่อมันสับสนจนไม่สามารถนับจำนวนสิ่งนี้ได้ มันก็จะพยายามกลับไปนับกันใหม่ครั้งแล้วครั้งเล่า และด้วยเหตุนี้มันก็จะทำให้ค่ำคืนอันยาวนานของคุณปลอดภัยขึ้นมาได้อย่าง งง ๆ
---------
สุคุยองท์ (Soucouyant)
สุคุยองท์ มันก็คือแวมไพร์แห่งแคริเบียนที่มีลักษณะใกล้เคียงกันกับอาเซม่า จะแตกต่างกันก็ตรงที่สุคุยองท์จะเป็นหญิงชรา ผู้สามารถแปลงร่างด้วยการถอดร่าง เพื่อกลายเป็นลูกไฟลอยได้ในยามวิกาล โดยลูกไฟปีศาจดวงนี้จะสามารถแทรกตัวเองเข้าไปตามร่องตามรู ไม่ก็ช่องเสียบกุญแจห้องของเหยื่อได้ไม่ยาก และเมื่อเธอได้พบกับเหยื่อสักราย ก็แน่นอนว่าพวกเขาจะต้องถูกดูดเลือดแบบไม่ได้รับการยกเว้นแม้แต่รายเดียว
เมื่อเธออิ่มหนำสำราญเรียบร้อย สุคุยองท์ก็จะลอยกลับบ้านเพื่อจะได้คืนสู่ร่างเดิมกันอีกครั้ง ซึ่งตอนนี้ก็จะเป็นโอกาสทองของเหล่าผู้ที่ตามล่าหาตัวเธอเช่นกัน ซึ่งถ้าเราได้พบกับร่างเนื้อของสุคุยองท์ในช่วงเวลานี้ ก็จงรีบนำเกลือมาโรยลงไปให้ทั่วร่าง จนกระทั่งสุคุยองท์ลอยกลับเข้ามาในร่าง เธอก็จะได้รับความแสบซ่านจากฤทธิ์ของเกลือที่ถูกโรยรอเอาไว้นั่นเอง
ซึ่งสุคุยองท์สำหรับประเทศไฮตินั้น ชาวบ้านจะเรียกชื่อของเธอว่า ลูการู ที่ต่างจากสุคุยองท์อยู่นิดหน่อยตรงที่ ลูการูจะไม่ได้ดื่มเลือดของเหยื่อเอง แต่เธอจะนำเลือดที่ได้มาส่งต่อไปให้กับเจ้านายที่บังคับเธออยู่ ซึ่งนายของเธอนั้นก็ไม่ใช่มนุษย์ธรรมดาทั่วไป เพราะในตำนานนั้นระบุว่านายของลูการูก็คือพวกปีศาจนั่นเอง
ที่มา: Gothic.stir.ac.uk
---------
สตริโกย (Strigoi)
มันคือเสียงแซ่ซ้องจากประเทศโรมาเนียที่ยืนยันว่า สตริโกย ก็คือ "ต้นฉบับที่แท้จริงของแดร็กคิวล่า" รวมไปถึงเหล่าผีดูดเลือดทั้งหมดทั้งมวลในดินแดนโลกตะวันตก
เพราะสตริโกยนั้นเกิดขึ้นมาก่อนใคร ๆ มันก็คือร่างของผู้ตายที่ไม่อยากไปโลกหน้า พวกมันจึงต้องคืนชีพขึ้นมาจากหลุมฝังศพ ซึ่งสาเหตุที่ทำให้พวกมันกลายมาเป็นสตริโกยนั้น ก็คือวันดีคืนดีเกิดมีแมวเหมียวสักตัวมากระโดดข้ามศพคนตาย บางรายก็ถือกำเนิดขึ้นมาพร้อมกับเส้นผมต้องสาป และในบางรายก็แค่โชคร้ายที่ได้เกิดมาเป็นลูกคนที่ 7 ของครอบครัวเพียงเท่านั้น
โดยในช่วง 40 วันแรกหลังจากเสียชีวิตไปนั้น สตริโกยจะเริ่มออกจากหลุมศพเพื่อหาเลือดมาดื่มกิน ซึ่งพวกมันจะกลับมาในร่างที่ยังดูเหมือนกับมนุษย์ปกติ โดยจะย้อนกลับไปหาครอบครัวที่เคยจากมา เพื่อที่จะได้ทำร้ายพวกเขาก่อนเป็นสิ่งแรก และในบางรายเองก็จะปรากฏตัวขึ้นมาในลักษณะเหมือนผีที่น่ากลัว จนเมื่อ 40 วันแรกผ่านไป สตริโกยก็จะเริ่มกลายสภาพเป็น โมโรย ที่อธิบายเป็นภาษาง่าย ๆ ก็คือ "ร่างไร้วิญญาณที่เหมือนซอมบี้" คอยเดินออกทำร้ายสิ่งมีชีวิตทุกสิ่งอย่าง
ในปี ค.ศ. 2003 มีชายชาวโรมาเนียคนหนึ่งได้เสียชีวิตไป เขามีชื่อว่า ปีเดอร์ โทมา โดยหลานสาวของเขาก็เกิดป่วยขึ้นมาหลังจากที่ได้ฝันเห็นคุณลุงกลับมาเยี่ยมเธอแทบทุกคืน ซึ่งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นดังกล่าวถือเป็นลักษณะเฉพาะในการโจมตีของสตริโกย
โดยน้องชายของปีเตอร์ซึ่งก็หมายถึงพ่อของเด็กหญิงก็ได้รวมกำลังกับเพื่อนอีก 5 คน เพื่อไปช่วยกันขุดศพของพี่ชายกลับขึ้นมา จากนั้นก็ควักหัวใจของเจ้าผีร้าย ตบท้ายด้วยการนำไฟมาเผาร่างให้มอดไหม้จนสิ้น เศษขี้เถ้าที่เหลือจากการเผาก็จะถูกนำไปให้หลานสาวรับประทานจนหมด เพราะการทำแบบนี้ก็เพื่อจะได้รักษาอาการป่วยที่เกิดขึ้นกับเด็กหญิงนั่นเอง
ที่มา: Ancient Origins
---------
ปีนังกาลัน (Penanggalan)
ปีนังกาลัน ก็คือตัวแทนแวมไพร์จากแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เธอมีลักษณะไม่เหมือนกับตัวไหน ๆ เพราะในตอนกลางวันมันเป็นหญิงมีทุกสิ่งธรรมด๊าธรรมดา ยิ้มแย้มช่างเจรจา ดูสง่าน่าชิดเชยชม ตกกลางคืนมีหัวกับไส้ ทิ้งร่างไปเที่ยวดูดกินเลือดของเหยื่อ
ซึ่งท่านผู้ชมก็อย่าเพิ่งสงสัยกับสิ่งที่เราเพิ่งเล่าไป ว่ามันฟังคุ้นหูเหมือนเคยได้ยินที่ไหนมาก่อน เพราะเรากำลังจะบอกว่า ปีนังกาลันที่แปลกไม่เหมือนใครนั้น มันก็คือผีที่คนไทยเรียกขานกันว่า กระสือ นั่นเอง ซึ่งความเหมือนนั้นก็มีเพียงแค่รูปร่างลักษณะ แต่กับรายละเอียดหลาย ๆ อย่างนั้น จะดูต่างออกไปบ้างพอสมควร
ร่างที่มีแต่หัวกับไส้ของเธอจะเที่ยวออกหาเหยื่อแบบเฉพาะทาง ตั้งแต่เหยื่อหญิงสาวที่กำลังตั้งครรภ์ ไปจนถึงเด็ก ๆ ทารกที่พึ่งได้ลืมตาดูโลก
โดยปีนังกาลันจะลอยขึ้นไปบนหลังคาบ้านที่มีเด็กกำลังจะเกิด จากนั้นก็จะใช้ลิ้นอันยาวเหยียดที่มองไม่เห็น ค่อย ๆ ละเลียดเลียลงไปบนกองเลือด ที่กำลังไหลออกมาจากครรภ์พร้อมกับทารก จนเมื่อเด็กน้อยออกมาลืมตาดูโลกปีนังกาลันก็จะกรีดร้องออกมาอย่างสะใจ ส่วนเหยื่อที่ถูกดูดเลือดออกไปนั้น ก็จะได้ล้มป่วยลงไปเรื่อย ๆ จนเสียชีวิต ซึ่งปีนังกาลันที่อิ่มหนำสำราญก็จะค่อย ๆ ลอยกลับไปที่บ้านเพื่อเข้าร่าง แล้วฟื้นขึ้นมาเพื่อใช้ชีวิตเหมือนคนปกติกันต่อไป
วิธีการป้องกันไม่ให้เหล่าคุณแม่ต้องถูกปีนังกาลันลักลอบเข้ามาทำร้ายนั้น ก็คือการใช้กิ่งต้นตะบองเพชร หรือใบไม้ที่มีหนามแหลมโรยเอาไว้ให้ทั่วพื้น ซึ่งสิ่งนี้จะสามารถทำให้ลิ้นของปีนังกาลันได้รับบาดเจ็บ
ส่วนการปราบผีดูดเลือดชนิดนี้สามารถทำได้โดยการตามหาร่างของมันให้พบในช่วงก่อนที่มันจะกลับมาเข้าร่าง จากนั้นก็ใช้เศษแก้วโรยลงไปที่บริเวณคอให้มากที่สุด ซึ่งพอหัวของมันลอยกลับมาเข้าร่าง แก้วที่โรยเอาไว้ก็จะบาดไปตามเครื่องในของมันทันที และสิ่งนี้ก็จะทำให้เลือดของปีนังกาลันไหลทะลักออกมาจนสามารถทำให้มันตายลงไปในเวลาไม่นาน
----------
แล้วอย่าลืมติดตามรายการมิติที่ 6 ศุกร์สยองขวัญ กับเรื่องราวเบา ๆ พร้อมกับที่มาของมันกันได้ทุกวันศุกร์สะดวก และหลังจากจบรายการแล้ว อย่าลืมกดสับสไครป์ กดไลก์ กดแชร์ และอย่าลืมทิ้งคอมเมนต์กันไว้ด้วยนะครับ ยังมีเรื่องราวต่าง ๆ อีกมากมายรอคุณอยู่ สำหรับวันนี้... สวัสดี !
แปลและเรียบเรียงโดย นิวัฒน์ อ่ำแสง
ขอบคุณที่มา: Listverse
แท็ก: ผีดูดเลือด