6 ธันวาคม 2560

มิติที่ 6 | 10 สถานที่สุดหลอนทั่วโลก ที่ไม่ต้องมีตำนานมาเล่าก็ยังหลอนจนขนหัวลุก !!!



ทุกสถานที่บนโลกนี้ล้วนมีเรื่องเล่า ซึ่งถ้าเรื่องเล่าที่มาของมันแสนสดใส มันก็คืออะไรที่ทำให้จิตใจชุ่มชื่น แต่ในเมื่อมันมีด้านสว่างให้ได้เชยชม ก็อย่าลืมว่ายังมีอีกด้านที่ดำมืดจนไม่อยากมองเช่นกัน !

กดเพื่อดูคลิปที่นี่

มิติที่ 6 สัปดาห์นี้ เราจะพาคุณไปพบกับ 10 สถานที่สุดหลอนของจริง ความเป็นมาอันดำมืดพร้อมกับตำนาน ที่ถึงมันจะไม่มีก็น่ากลัวจนแทบไม่น่าเข้าไปเที่ยว ดังนั้นจงวางวิจารณญาณเอาไว้ แล้วมาดูกันว่า... มันคืออะไรกันแน่ !!!


ริดเดิลเฮาส์ (Riddle House)

ภาพจาก: Unknown Source


ริดเดิลเฮาส์ บ้านหลังนี้ตั้งอยู่ที่ปาล์มบีชเคาน์ตี้ รัฐฟลอริด้า ประเทศสหรัฐอเมริกา เดิมทีบ้านหลังนี้ไม่ได้ถูกสร้างเอาไว้เพื่อให้ใครมาอาศัย เพราะจริง ๆ แล้วมันถูกใช้เป็นสถานที่จัดพิธีศพ จนเมื่อเวลาผ่านไปบ้านทรงวิคตอเรียเพื่อใช้ในงานพิธี มันก็ถูกรื้อถอนจากจุดเดิม แล้วนำไปประกอบร่างสร้างขึ้นใหม่อีกครั้ง ที่ภายในหมู่บ้านเยสเตอร์เยียร์วิลเลจ และในช่วงปี ค.ศ. 1920 เป็นต้นมา บ้านหลังนี้จึงได้กลายมาเป็นสมบัติของนาย คาร์ล ริดเดิล ซึ่งเป็นที่มาของชื่อบ้านในปัจจุบันนี้นั่นเอง


ส่วนตำนานความน่ากลัวนั้น ก็คือเรื่องราววิญญาณหลอนของชายคนหนึ่ง ชายคนนี้ชื่อ โจเซฟ เขาเป็นหนึ่งในคนงานของบ้านริดเดิลหลังนี้ โจเซฟตัดสินใจคิดสั้นด้วยการแขวนคอภายในห้องใต้หลังคาเพื่อหนีปัญหาหนี้สิน และตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมาข้าวของในส่วนต่าง ๆ ของบ้าน ต่างสามารถขยับที่ไปมาได้เอง โดยไม่ต้องสงสัยกันเลยว่าอะไรคือสาเหตุของเรื่องที่เกิดขึ้น


อย่างไรก็ดีด้วยเหตุการณ์เหนือธรรมชาติที่เกิดขึ้น มันก็ได้ทำให้ตำนานของเรื่องนี้ จุดประกายให้เกิดธุรกิจท่องเที่ยวสำรวจความเฮี้ยน โดยผู้นำทางจะสวมชุดยุคโบราณ ทำหน้าที่คอยพาคุณไปชมยังจุดต่าง ๆ ของบ้าน พร้อมกับเล่าเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นให้เราได้ฟัง
ในเวลาต่อมาบ้านหลังนี้จึงได้ถูกรายการโทรทัศน์ชื่อ โกสต์แอดเวนเจอร์ (Ghost Adventures) ของช่องแทรเวลชาแนล นำมาโปรโมทให้คนทั่วไปทราบถึงความเฮี้ยนกันในปี ค.ศ. 2008 และตั้งแต่วันนั้นบ้านหลังนี้ก็ไม่เคยขาดผู้มาเยี่ยมเยือน หวังจะได้พบเห็นเหตุการณ์ที่ทำให้พวกเขาขนหัวลุกมาจนถึงทุกวันนี้ !

สี่หนุ่มรายการ "โกสต์แอดเวนเจอร์"


ซึ่งก็ถือเป็นธรรมเนียมกันไปแล้วสำหรับเรื่องแรก ที่มันจะไม่ค่อยมีอะไรน่าสนใจมากไปกว่าเรื่องเล่า ดังนั้นเรามาดูอะไรที่มันเข้มข้นขึ้นกว่าเดิมดีกว่า


---------

เฮลทาวน์ (Helltown)

ภาพจาก: Unknown
ทางตอนเหนือของซัมมิทเคาน์ตี้ในรัฐโอไฮโอนั้น เป็นที่รู้จักกันในชื่อเรียกภาษาอังกฤษว่า เฮลทาวน์ หรือ เมืองแห่งนรก ! ซึ่งเรื่องราวนั้นก็เริ่มต้นขึ้นมาตั้งแต่ยุคปี 70 ที่บอสตันทาวน์ชิพ เมืองแห่งนี้ถือเป็นเขตการปกครองที่ขึ้นตรงกับรัฐบาลสหรัฐอเมริกา ที่ในเวลาต่อมาชาวเมืองแห่งนี้ถูกสั่งให้อพยพออกจากพื้นที่


บ้านเรือนหลายหลังทยอยถูกรื้อถอน เพื่อปรับสภาพแวดล้อมให้กลับเข้าสู่ธรรมชาติอีกครั้ง โดยทางการเองก็ตั้งใจที่จะทำแบบนี้ เพื่อจะได้ทำให้ที่นี่กลายเป็นอุทยานแห่งชาติที่สมบูรณ์ เพียงแต่แผนการทุกอย่างมันก็ไม่ได้เป็นไปอย่างที่หวัง และนั่นจึงทำให้ในเวลาต่อมา จากโครงการที่สร้างขึ้นด้วยพื้นฐานความคิดอันสุดโต่ง ก็ได้เริ่มก้าวเดินเข้าสู่ความมืดมิด ภูมิประเทศที่แต่ก่อนจะเกิดการอพยพก็หนาวเย็นกันอยู่แล้ว ได้กลายมาเป็นสถานที่ ๆ เรียกได้ว่าเย็นยะเยือกกว่าเดิมด้วยความเงียบเหงาวังเวง ทั้ง ๆ ที่ภูมิประเทศอันเขียวขจีมันน่าจะผ่อนคลายถ้ายังมีผู้คนอาศัยอยู่


ซึ่งก็อยากให้ท่านผู้ชมลองนึกภาพตามดูว่า เรากำลังขับรถผ่านเข้าไปยังเมืองแห่งนี้เพียงคนเดียว เมื่อมองไปตามข้างทางก็จะเห็นแต่บ้านร้างและซากสุสาน ไปจนถึงยานพาหนะพัง ๆ ที่ยังคงถูกจอดทิ้งเอาไว้ ตามด้วยกลิ่นไอของซากอาคารที่ถูกเผาไหม้ เพราะมักจะมีหน่วยดับเพลิงแวะเข้ามา เพื่อฝึกหัดปฎิบัติงานดับไฟอยู่ในบางอาคารสถานที่


ส่วนความน่ากลัวของมันก็คือบรรยากาศของที่นี่ ทั้งสภาพแวดล้อมที่ทำให้จินตนาการของผู้แวะเข้าไปเยี่ยมเยียน ได้ทำให้เฮลทาวน์แห่งนี้กลายเป็นสถานที่สยองขวัญขึ้นมา ไม่ว่าจะเป็นเนินถนนสแตนฟอร์ดที่ถูกตัดขาด เส้นทางตันที่ถูกตั้งชื่อให้ดูน่ากลัวว่าเป็นจุดสิ้นสุดของโลก

ภาพจาก: Unknown
และถ้าคุณติดอยู่ที่ทางตันนี้นานเกินไป มันก็ยังมีตำนานน่ากลัวมาช่วยเพิ่มอรรถรสกันว่า เราจะได้พบกับกลุ่มอมนุษย์จำนวนมาก ออกมาเดินต่อกันเป็นแถวยาวตลอดแนวชายป่า ซึ่งพวกเขาเหล่านี้ก็ได้แก่ พวกลัทธิซาตาน สาวกลัทธิแปลก ๆ เหล่าคนไข้โรคจิตที่กำลังหลบหนี งูยักษ์ที่มีขนาดใหญ่กว่าปกติ ไปจนถึงมนุษย์กลายพันธุ์สุดอันตราย ที่ต่างก็ออกมาเดินต่อแถวเป็นขบวนให้พวกเราเห็น

และถ้าคุณหลงทางออกจากตัวถนนหลักไปล่ะก็ คุณอาจจะได้พบกับสุสานของเมืองบอสตันที่ถือเป็นบ้านพักหลังใหญ่ของเหล่าคนที่ตายจากไปแล้วถูกทิ้งไว้ที่นี่ ไม่ก็อาจจะได้พบกับพวกหัวขโมยสมบัติในสุสาน และที่ขาดไม่ได้ก็คือ เหล่าต้นไม้ที่สามารถเคลื่อนที่เอง ซึ่งมันจะทำให้เรายิ่งหลงทางเตลิดไปไกลจนอาจไม่ได้กลับมาอีกเลย


ก็ต้องขอบอกให้ชัด ๆ ตรงนี้ว่า เรื่องหลังนี้มันเป็นแค่ตำนาน ไม่ต้องไปคิดมากอะไร และมันก็คงจะดีถ้าได้มีโอกาสแวะเข้าไปเยี่ยมชม แล้วได้กลับบ้านมาอย่างสวัสดิภาพ ซึ่งใครอยากรู้ว่าตอนกลางคืนที่นี่มันน่ากลัวขนาดไหน ก็ลองเข้าไปหาชมกันในเว็บไซต์ยูทูป โดยพิมพ์คำค้นกันว่า "Helltown" ดูกันนะครับ

---------


สุสานหมู่บ้านสตัล (Stull Cemetery)

ภาพจาก: Herbedisdeadly
สตัลเป็นแหล่งชุมชนเล็ก ๆ ที่อยู่ในดักลาสเคาน์ตี้ รัฐแคนซัส ประเทศสหรัฐอเมริกา อยู่ห่างออกไปประมาณ 10 ไมล์ จากทางตะวันตกของลอวเรนส์เคาน์ตี้ และอยู่ทางตะวันออกของเมืองทอปิก้า ซึ่งถ้าจะสรุปให้เข้าใจกันง่าย ๆ เกี่ยวกับที่นี่ก็คือ มันอยู่ห่างจากแหล่งชุมชนเป็นระยะทางไกลพอสมควร !


นั่นจึงทำให้จำนวนประชากรของหมู่บ้านสตัลแห่งนี้ มีผู้คนอาศัยอยู่กันเพียง 20 คนเท่านั้น และด้วยเหตุนี้เราจึงขอเตือนว่า อย่าได้ทำให้ความแปลกประหลาดของที่แห่งนี้ มาทำให้เราต้องหลงประเด็นเกี่ยวกับเรื่องราวด้านมืด ที่ถูกซ่อนเอาไว้ภายใต้เงามืดของความน่ากลัว
เพราะที่แห่งนี้เคยมีเรื่องเล่ากันว่า ประมาณยุคปลายคริสต์ศตวรรษที่ 20 เคยมีโศกนาฏกรรมอันเลวร้ายเกิดขึ้นที่นี่ 2 ครั้ง ซึ่งเรื่องเล่าที่ว่านี้เราไม่ได้หมายถึงเรื่องราวตำนานที่ถูกเล่าขานกันมา แต่มันคือ "เหตุการณ์จริง" ที่เคยเกิดขึ้นในช่วงเวลานั้น
เรื่องแรก ก็คือมีหัวหน้าครอบครัวคนหนึ่ง ได้ทำการเผาไร่นาของเขา เพื่อเตรียมตัวในการทำเกษตรกรรมครั้งใหม่ ซึ่งพอการเผาที่ว่านี้จบลง เขาก็พบว่าลูกชายของตัวเองได้ถูกไฟที่ว่าคลอกเสียชีวิตเป็นเถ้าถ่านไปแล้ว

เรื่องที่สอง ก็คือมีชายคนหนึ่งหายตัวไปอย่างปริศนา แล้วต่อมาก็มีผู้พบว่าเขาหนีไปแขวนคอตายอยู่ที่ต้นไม้แห่งหนึ่ง
ภาพจาก: Unknown Source
ด้วยเวลาที่ผ่านไปนาน มันก็ได้ทำให้เหตุการณ์ทั้งสองกลายเป็นต้นตำนานเรื่องราวลี้ลับเหนือธรรมชาติสุสานหมู่บ้านสตัล ถูกนำไปบอกต่อในหนังสือเรื่องแปลกของสหรัฐอเมริกา จนกลายเป็นสถานที่โด่งดังในด้านผี ๆ กันมาจนถึงทุกวันนี้ โดยในหนังสือเล่มดังกล่าวได้บอกเล่าเรื่องราวเอาไว้ว่า...
“มีสุสานมากมายทั่วประเทศอเมริกา ที่เต็มไปด้วยความน่ากลัวและเกี่ยวข้องกับความเหี้ยมโหด ! พวกมันคือสถานที่สยองขวัญ ที่ต่างก็มีเรื่องเล่าพูดถึงจอมปีศาจกับเหล่าสาวกของมัน !
สุสานที่ตั้งอยู่บนเนินเขาเอ็มมานูเอลแห่งหมู่บ้านสตัลของแคนซัส ก็คือหนึ่งในสถานที่ ๆ เต็มไปด้วยเรื่องราวน่ากลัว !”

ซึ่งมิติที่ 6 ก็อยากจะยกมาให้ทราบอย่างเช่น มันคือ 1 ใน 7 ประตูเปิดสู่นรก และโบสถ์เก่าที่ปัจจุบันได้ถูกรื้อถอนไปแล้วนั้น มีผู้คนบอกว่าในตอนกลางคืนจะมีบางสิ่งบางอย่างแอบซุ่มอยู่ และก็มีคำเตือนจากเจ้าหน้าที่ตำรวจ ให้ทุกคนต้องคอยระวังตัวกันเป็นพิเศษ โดยเฉพาะในช่วงวันฮาโลวีนและช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิ เพราะที่นี่ก็คือสถานที่ศูนย์รวมแห่งความเร้นลับ !
ซึ่งมีบางคนยืนยันว่าพระสันตะปาปาจอห์นพอลที่ 2 ถึงกับออกคำสั่งว่าให้เครื่องบินของท่านหลีกเลี่ยงเส้นทางที่จะต้องบินข้ามผ่านหมู่บ้านแห่งนี้ ในกรณีที่ท่านจำเป็นจะต้องบินผ่านรัฐแคนซัส เพื่อจะเดินทางไปยังโคโลราโด ซึ่งเรื่องนี้ก็เคยถึงกับกลายเป็นกรณีพิพาทว่า พระองค์ได้สั่งอะไรแบบนี้ออกมาจริงหรือไม่ ? ซึ่งผลปรากฏออกมาว่าไม่มีใครปฏิเสธว่าเรื่องนี้ไม่เคยเกิดขึ้นจริง ! และนั่นจึงทำให้สุสานในหมู่บ้านสตัลแห่งนี้ ได้กลายมาเป็นสถานที่สุดยอดสยองขวัญเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งแห่ง

"พระสันตะปาปาจอห์นพอลที่ 2" ก็แอบหลอน


ซึ่งใครมีโอกาสได้ไปเยี่ยมที่หมู่บ้านแห่งนี้ ก็อย่าลืมกลับมาเล่าให้เราฟังกันบ้างว่า บรรยากาศมันน่าไปเที่ยวกันสักนิดหรือไม่ !


---------


เดอะริดจิส (The Ridges)

เดอะริดจิส คือชื่อที่ถูกเรียกในอดีตของโรงพยาบาลเอเธนส์ลูเนติคอาซีลัม ที่มีเจ้าของเป็นรัฐโอไฮโอมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1874 และในปัจจุบันที่นี่ก็ไม่ได้ถูกใช้ในฐานะโรงพยาบาลอีกต่อไป แต่กลายมาเป็นพิพิธภัณฑ์ศิลปะชื่อ "เคนเนดี้มิวเซียมออฟอาร์ต" ที่อยู่ในมหาวิทยาลัยโอไฮโออีกทีหนึ่ง


ปัจจุบันเป็น "พิพิธภัณฑ์เคนเนดี้มิวเซียมออฟอาร์ต"
อดีตที่น่าสนใจของมันก็คือ โรงพยาบาลแห่งนี้เคยถูกใช้เป็นสถานที่รักษาทางสมอง ของผู้ป่วยโรคลมชักและวิกลจริตมาแล้วนับร้อย ซึ่งมันก็เลยเป็นที่มา ทำให้เกิดตำนานเรื่องเล่าอันน่ากลัวจำนวนหนึ่ง มาให้เราได้รับรู้กันตรงนี้
โรงพยาบาลแห่งนี้ตั้งอยู่ในเมืองเอเธนส์ รัฐโอไฮโอ มันถูกลิสต์ชื่อให้อยู่ในอันดับที่ 13 ของสถานที่สุดหลอนของโลก ซึ่งลิสต์ดังกล่าวก็ได้มาจากทางสมาคมวิจัยเรื่องจิตวิญญาณของประเทศอังกฤษ


ที่มันได้อยู่ในอันดับเลขสวยขนาดนี้ ก็เพราะผู้คนมากมายต่างก็บอกว่า มันไม่ใช่แค่โรงพยาบาลเฮี้ยน ! แต่จริง ๆ ต้องเรียกว่าโคตรจะเฮี้ยนแบบเกินบรรยาย และถ้าใครจำชายคนนี้ได้ บิลลี่ มิลลิแกน ชายผู้มีบุคลิกมากมายถึง 24 แบบ ที่ทางการสรุปว่าเขาป่วยเป็นโรคจิต ชอบใช้ลักษณะแปลก ๆ ออกไปล่อลวงหญิงสาวมาข่มขืน ซึ่งชายคนนี้ก็คือหนึ่งในผู้ป่วยที่เคยได้มารักษาที่โรงพยาบาลแห่งนี้อยู่เป็นปี


ส่วนเรื่องที่โด่งดังที่สุดนั้น ก็คือเรื่องของคนไข้หญิงชราวัย 54 ปี ได้หนีออกไปจากโรงพยาบาล 6 สัปดาห์ ต่อมาเธอก็ถูกพบกลายเป็นศพ นอนเสียชีวิตอยู่ในห้องผู้ป่วยที่ไม่ได้ใช้งานห้องหนึ่ง เสื้อผ้าของเธอถูกถอดออก และถูกพับวางไว้อย่างเรียบร้อยอยู่บนพื้น  และด้วยแสงแดดที่แผดเผา ร่วมกับร่างที่นอนเสียชีวิตมาแล้วหลายวัน มันก็ได้ทำให้ทุกวันนี้ร่องรอยจุดที่เธอเสียชีวิต ได้ถูกประทับเอาไว้ที่จุดดังกล่าว ชนิดที่ไม่มีเครื่องมือทำความสะอาดชิ้นไหนจะเอาออกไปได้ และนั่นจึงทำให้เกิดเรื่องเล่าลือต่อมาว่า วิญญาณของหญิงชราคนนั้น เธอยังอยู่ที่ห้องคนไข้ที่ว่านั้นตลอดมา !

---------


ฮัมเบอร์สโตน และลาโนเรีย (Humberstone and La Noria)



"เหมืองฮัมเบอร์สโตน" และ "สุสานลาโนเรีย"
ฮัมเบอร์สโตน และลาโนเรีย สถานที่ทั้งสองแห่งนี้ เป็นเมืองเล็ก ๆ ที่อยู่ในประเทศชิลี มันเคยถูก "รายการ Destination Truth" ของ "ช่อง Syfy" นำเสนอเป็นสารคดีในด้านความหลอนแบบจัดเต็ม เมืองทั้งสองถูกก่อตั้งขึ้นเพื่อดำเนินกิจการในด้านเหมืองเกลือที่กำลังนิยมในปี ค.ศ. 1872

หลังจากที่ทุกอย่างกำลังไปได้สวย ในปี ค.ศ. 1958 ก็เกิดวิกฤตเศรษฐกิจจนต้องล้มลายและเลิกทำไป ซึ่งมันก็ได้ทำให้ฮัมเบอร์สโตนแห่งนี้ รวมไปถึงเมืองต่าง ๆ ที่อยู่โดยรอบ ต้องถูกทิ้งร้างอย่างสิ้นเชิงในปี ค.ศ. 1960 ผู้คนที่เคยทำงานต่างก็ออกไปจากเมือง เหลือทิ้งไว้แต่ซากที่พักอาศัยอย่างที่เราเห็นกันในทุกวันนี้
ส่วนความสยองขวัญของมันก็คือ มีข่าวลือบอกต่อกันมาว่าในตอนกลางคืนจะมีวิญญาณของคนตายออกมาจากสุสานของเมืองลาโนเรีย และก็มีภาพถ่ายติดวิญญาณจำนวนมาก ถูกถ่ายได้จากเมืองฮัมเบอร์สโตนด้วย นั่นจึงทำให้เมืองทั้งสองถูกยกให้เป็นเมืองสยองขวัญแบบสุด ๆ กันไปอีกสองแห่ง ชาวบ้านที่อาศัยอยู่โดยรอบต่างก็ไม่คิดที่จะย่างกรายเข้ามา
พวกเขาให้เหตุผลว่าอดีตชาวเมืองทั้งสองแห่งนี้ไม่เคยได้จากออกไปไหนกันเลย พวกเขายังคงเดินไปมาเหมือนในอดีต เสียงเด็ก ๆ วิ่งเล่นในเมืองก็ยังคงมีคนได้ยิน และโดยเฉพาะกับสุสานของเมืองลาโนเรียด้วยแล้ว นอกจากจะมีคนเคยเห็นวิญญาณเดินไปมา ก็ยังพบว่าหลุมศพของชาวเมืองที่นั่นถูกขุดแล้วเปิดฝาโลงไว้ ภายในก็ยังมีร่างของพวกเขานอนกันอยู่

ซึ่งก็ไม่ทราบเช่นกันว่าพวกเขาเปิดฝาโลงกันเอง หรือว่าจะเป็นฝีมือของพวกหัวขโมยขุดศพกันแน่ ซึ่งเราเองก็ไม่อยากจะวิเคราะห์ให้ท่านผู้ชมหายข้องใจจะดีกว่า เพราะอย่างน้อยใครที่สนใจอยากไปเยี่ยมชม จะได้แวะไปหาคำตอบด้วยตัวเองแล้วกลับมาเล่าให้เราฟังกันบ้างก็ดี


ซึ่งก็ถือเป็นประวัติดี ๆ แบบสั้น ๆ ที่บอกให้รู้กันแบบชัดเจนกันเลยว่า เขาไม่ได้ส่งเสริมให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวกันเลยแม้แต่น้อย ดังนั้นเรามาดูสถานที่ต่อไปกันดีกว่า


---------


บายเบอรี่เมนทัลฮอสพิตัล (Byberry Mental Asylum)
ภาพจาก: Theduke81
โรงพยาบาลรัฐฟิลาเดเฟียแห่งบายเบอรี่ หรือที่เรารู้จักกันในชื่อเรียกง่าย ๆ ว่าบายเบอรี่นั้น ถือเป็นสถานรักษาพยาบาลผู้ป่วยที่มีภาพลักษณ์ปกติแค่ในโปสเตอร์ โดยโรงพยาบาลแห่งนี้ถูกก่อตั้งขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1907 ในชื่อเรียกสมัยนั้นสั้น ๆ ว่า บายเบอรี่เมนทัลฮอสพิตัล หรือที่แปลเป็นไทยแบบง่าย ๆ ก็คือ โรงพยาบาลผู้ป่วยทางจิตบายเบอรี่ ที่พอเริ่มเปิดตัวกันไปได้ไม่นาน ก็มีคนไข้ถูกส่งตัวเข้ามารักษากันจนท่วมท้น ซึ่งท่วมท้นที่ว่านั้นก็คือมีจำนวนมากกว่า 7,000 ราย ในปี ค.ศ. 1960 กันเลยทีเดียว

คนไข้ทางจิตจำนวนมาก รวมไปถึงเหล่าอาชญากรโรคจิตหลายราย ต่างก็เคยได้เข้ามารักษาอาการที่นี่ แต่ด้วยเพราะจำนวนคนไข้ที่มากเกินไป มันก็ได้ทำให้การรักษาทุกอย่างไม่ได้มาตรฐาน คนไข้หลายรายถูกปฎิบัติอย่างสิ้นความเป็นคน และนั่นจึงทำให้ตัวโรงพยาบาลต้องถูกปิดไป และถูกปล่อยให้กลายเป็นโรงพยาบาลร้างในปี ค.ศ. 1990

เป็นโรงพยาบาลร้างในที่สุด
ตั้งแต่วันที่มันถูกปิดไป ชาวบ้านชาวเมืองที่อาศัยอยู่โดยรอบต่างก็ต้องได้รับความไม่สบายใจจากที่นี่ตลอดมา เพราะไม่ว่าจะเหล่านักวางเพลิง พวกลัทธิซาตาน ไปจนถึงนักสำรวจเรื่องราวลี้ลับ ต่างก็แวะเข้ามาทำกิจกรรมอันเลวร้ายที่นี่กันอยู่เสมอ จนมาถึงปี ค.ศ. 2006 อดีตโรงพยาบาลแห่งนี้ก็ถูกทุบทำลาย เหลือทิ้งไว้แต่ความน่ากลัวที่ถูกบันทึกสืบต่อกันมา
ซึ่งนอกจากความน่ากลัวจากผู้คนแปลก ๆ กันแล้ว ที่นี่ก็ยังมีตำนานน่ากลัวที่เรียกได้ว่า ไม่ค่อยจะมากกันนักสักเท่าไหร่ นั่นก็เป็นเพราะตำนานความน่ากลัวของมัน ต่างก็ล้วนมาจากเรื่องจริงในช่วงที่โรงพยาบาลแห่งนี้ยังคงถูกใช้งานอยู่ ไม่ว่าจะเป็นสิ่งปฏิกูลจากคนไข้ที่ปล่อยออกมากองไว้ทั่วทางเดิน สถานที่ ๆ คนไข้พักผ่อนหลับนอน เหล่าเจ้าหน้าที่ทำงานผู้น่ารังเกียจ ที่มักเอาเปรียบและคุกคามคนไข้กันอยู่เสมอ มีคนไข้รายหนึ่งถูกถอนฟันโดยไม่ได้ฉีดยาชา บางรายที่เป็นผู้ป่วยหญิงก็ถูกเจ้าหน้าที่ฆ่าและแยกชิ้นส่วน

ซึ่งเจ้าหน้าที่ตัวร้ายที่ว่าคนนั้นก็คือ ชาร์ลส์ กาเบิล ไม่เคยมีใครจับตัวเขาได้ ร่างของเหยื่อนั้นถูกโยนทิ้งเรี่ยราดที่บริเวณใกล้ ๆ ตัวอาคาร ฟันของเธอถูกพบว่ามีคนไข้อีกคนเอาไปทำเป็นของเล่น และในช่วงที่โรงพยาบาลอยู่ในระหว่างการปิด ก็มีศพคนไข้สองรายถูกพบอยู่ในแม่น้ำเดลาแวร์ เพียงสองวันหลังจากที่พวกเขาถูกปล่อยตัวออกมา ซึ่งเรื่องราวทุกอย่างนั้นก็มีบางคนคาดการณ์กันไปว่า ป่าช้าของหมู่บ้านสตัลของที่เราเพิ่งเล่าไป ก็ถูกเปิดขึ้นมาเพื่อรองรับศพจากที่นี่ก็ด้วย
ซึ่งมันก็ถือว่าเป็นเรื่องดีอย่างมากที่โรงพยาบาลแห่งนี้ถูกรื้อถอนไปหมดแล้ว ไม่อย่างนั้นคงได้มีตำนานอะไรเพิ่มขึ้นมากันอีกแน่ ๆ และสถานที่ต่อไปที่เราจะเล่าต่อนั้น มันก็มีความน่ากลัวไม่แพ้กัน !

---------


ลีพคาสเซิล (Leap Castle)

ภาพจาก: Unknown Source
ลีพคาสเซิล ปราสาทของประเทศไอร์แลนด์แห่งนี้ ถือเป็นสถานที่โด่งดังมากจนได้รับการโปรโมท ซึ่งความเก่าแก่ของมันก็คงไม่ทำให้เราแปลกใจถ้าจะมีเรื่องเล่าน่ากลัวมาร่วมแจมด้วย ที่นี่ถูกสร้างโดย "ตระกูลโอแบนนอน" ตั้งแต่ช่วงยุคคริสต์ศตวรรษที่ 15 จากนั้นมันก็ถูกโอนต่อมาให้กับ "ตระกูลโอแครอล"

พอเจ้าของชื่อ มุลรูนีย์ โอแครอล เสียชีวิต การแก่งแย่งสถานที่แห่งนี้ก็เริ่มระเบิดขึ้นตามมา สองพี่น้องต่างพยายามยึดการปกครองภายในปราสาท หนึ่งในนั้นเขาเป็นนักบวชก็ถูกฆาตกรรมเสียชีวิตภายในโบสถ์ของตัวเอง ซึ่งคนที่สังหารเขาก็ไม่ใช่ใคร เขาคือพี่น้องอีกคนที่ลงมือสังหารโหดกันต่อหน้าคนในครอบครัว

และนั่นจึงทำให้โบสถ์ดังกล่าวได้รับสมญานามใหม่ว่า บลัดดี้แชเพล หรือ โบสถ์สีเลือด ซึ่งก็แน่นอนว่า ในเมื่อหลักฐานวัตถุพยานมันชัดเจนกันขนาดนี้ ชาวบ้านชาวเมืองจึงจับตัวคนร้ายไปแขวนคอให้ตายตกตามกันที่ปราสาทลีพคาสเซิลนั่นเอง

ขนาดประวัติของมันก็น่ากลัวมากพออยู่แล้ว ก็ยังมีข่าวลือเป็นตำนานสุดหลอนเล่าขานกันว่ามีวิญญาณจำนวนมากมาย และความดุร้ายจากสัตว์เดรัชฉานที่เรียกว่า "อิลิเมนทัล" ที่สามารถสัมผัสได้ว่ามีมันอยู่จากกลิ่นเหม็นเน่าผสมกับกำมะถันจนฉุนไปทั่ว และในช่วงการซ่อมแซมปราสาทแห่งนี้ ก็มีคนงานได้พบกับทางเดินลับลงไปยังชั้นใต้ดินจนพบกับห้องขังที่นั่น ซึ่งที่แห่งนี้เหล่านักโทษจะถูกจับตัวมาขังเอาไว้ จากนั้นก็จะถูกทิ้งให้ตายไปอย่างช้า ๆ

ซึ่งที่พวกเขารู้ว่าเป็นแบบนั้นกัน ก็เพราะคนงานได้พบกับซากไร้วิญญาณอยู่ตรงนี้ถึง 3 ศพ ในสภาพติดอยู่กับเครื่องพันธนาการ ที่ในปัจจุบันทางสถานที่ได้จัดทำหุ่นจำลองกันเอาไว้ให้ดู แต่ก็นั่นแหละ มันน่ากลัวเกินกว่าจะนำเสนอให้เห็นกันบนยูทูปได้ เราจึงต้องขอให้ท่านผู้ชมติดตามต่อกันในเว็บไซต์แห่งนี้

---------


ถนนสีสันแห่งความตาย (Shades of Death Road)
(ภาพจาก: Nydailynews)
ถนนนิวเจอร์ซี่แห่งนี้ทอดตัวพาดผ่านพื้นที่ชนบทเป็นความยาวกว่า 7 ไมล์ และด้วยระยะทางที่ว่านี้ก็เลยทำให้เราไม่รู้ว่าอะไรกันแน่ ที่ทำให้ชาวบ้านตั้งชื่อให้อีกชื่อหนึ่งว่า ถนนสีสันแห่งความตาย ! ซึ่งถึงจะไม่มีชาวบ้านที่ไหนบอกเราได้ แต่ก็มีคนบางกลุ่มสันนิษฐานกันไว้ว่า ตลอดเส้นทางของถนนสายนี้ อาจจะเคยมีคดีฆาตกรรมจากพวกมิจฉาชีพเกิดขึ้นอยู่เสมอก็เป็นไปได้

บางคนก็คาดกันว่าเหตุฆาตกรรมทุกคดีที่เกิดขึ้นนั้น อาจจะมาจากฆาตกรคนเดียวกันทั้งหมด ซึ่งสาเหตุที่พวกเขาตั้งทฤษฎีกันไปแบบนั้น ก็เพราะตลอดถนนสายนี้เคยมีการพบศพผู้เสียชีวิตเพราะถูกฆาตกรรมหลายราย ที่อย่างน้อยก็เคยมีการบันทึกเอาไว้จำนวน 3 ศพ ตั้งแต่ยุคปี ค.ศ. 1920 จนถึงปี ค.ศ. 1930  


โดยฆาตกรรายแรกได้ปล้นและฆ่าเหยื่อของเขา ด้วยการตีที่ศีรษะด้วยประแจขันล้อรถ ฆาตกรรายที่สองก็เป็นหญิงสาวที่สังหารสามี แล้วเผาทำลายร่างกับศีรษะไปคนละฝั่งของถนน ส่วนเหตุการณ์ที่สามนั้น เหยื่อชื่อว่า บิลล์ คัมมินส์ ถูกคนร้ายยิงจนเสียชีวิต จากนั้นก็นำร่างไปฝังเอาไว้ในปลักโคลน และนอกจากเหตุฆาตกรรม ก็ยังมีอุบัติเหตุร้ายแรงเกิดขึ้นที่ถนนแห่งนี้อีกหลายครั้ง ที่คาดกันว่าสาเหตุมาจากคราบสกปรกจากแมวป่า ที่ลงไปคลุกปลักโคลนแล้วขึ้นมาเดินข้ามผ่านบนถนน จนทำให้รถวิ่งทับคราบที่ยังเปียกจนเกิดเสียหลัก แล้วลื่นไหลตกขอบถนนไปจนเกิดอุบัติเหตุ
ด้วยประวัติพร้อมชื่ออันน่ากลัวของมัน ก็มากพอแล้วที่จะทำให้เราต้องขนหัวลุก เมื่อได้ขับรถผ่านมายังถนนสายนี้ แถมทางใต้เองก็มีทางข้ามชื่อ I-80 วิ่งข้ามผ่านทะเลสาบที่ไม่มีชื่อแห่งหนึ่ง ซึ่งถึงแม้ทางการจะบอกว่ายังไม่ได้ตั้งชื่อ แต่กับชาวบ้านนั้นเรียกทะเลสาบแห่งนี้กันไปแล้วว่า โกสท์เลค หรือ ทะเลสาปผีสิง !

ทะเลสาปผีสิง (Ghost Lake)

ซึ่งที่นี่จะมีไอน้ำหมอกควันลอยขึ้นมาดูแล้วเหมือนผี ส่วนท้องฟ้าแถวนี้ก็ไม่เคยให้บรรยากาศสดใสกับเรา พอถึงเวลากลางคืนก็ไม่ต้องพูดถึงว่าจะน่ากลัวขนาดไหน ส่วนสุดปลายทางก็มีชื่อเรียกว่า "Lenape Lane (เลนาปี้เลน)" ที่มีหมอกจาง ๆ ราวกับมีผีล่องลอยอยู่ ซึ่งคุณจะต้องเปิดไฟสูงเพื่อที่จะทำให้วิสัยทัศน์ดูดีขึ้น และในวิกิพีเดียเองก็ได้ให้ข้อมูลอันน่าขนลุกบอกกับเราเกี่ยวกับถนนแห่งนี้ว่า
“วันหนึ่งในช่วงปี ค.ศ. 1990 มีนักท่องเที่ยวได้พบกับภาพถ่ายจากกล้องโพราลอยด์นับร้อยใบ ถูกทิ้งกระจัดกระจายอยู่ในป่าข้างทางของถนนแห่งนี้ ภาพเหล่านั้นถูกส่งให้กับหนังสือแนวลี้ลับชื่อ Weird NJ นำออกตีพิมพ์แจกจ่ายให้คนทั่วไปได้ซื้อหามาดู หลาย ๆ ภาพที่ถ่ายเอาไว้นั้นเป็นภาพของโทรทัศน์ช่วงกำลังเปลี่ยนช่อง... 
บางภาพจะเห็นผู้หญิงจำนวนหนึ่ง ถูกถ่ายเอาไว้ในสภาพที่มองเห็นไม่ชัดเจน กำลังนอนอยู่บนวัสดุที่ทำจากเหล็ก ที่น่าจะยังมีสติแต่ไม่แสดงอาการยิ้มออกมาให้เห็น เจ้าหน้าที่ตำรวจได้เริ่มทำการสืบสวน หลังจากที่นิตยสารดังกล่าวนำภาพเหล่านี้ออกวาจำหน่าย พวกเขาพยายามตามหาสถานที่และสิ่งของที่เห็นจากภาพเหล่านั้น แต่สุดท้ายเรื่องราวทุกอย่างก็เงียบหายไป”

เหมือนวันเดอร์วูแม่นมากๆ


---------


คุกโตงสเลง (Tuol Sleng Genocide Museum)
ภาพจาก: Dirafum
ยินดีต้อนรับสู่กรุงพนมเปญประเทศกัมพูชา บ้านของพิพิธภัณฑ์การทำลายชาติพันธ์ุที่ชื่อว่า คุกโตงสเลง ในอดีตมันเป็นโรงเรียนไฮสกูลและถูกดัดแปลงมาเป็นสถานกักกันหมายเลข 21 โดยกองทัพเขมรแดงในปี ค.ศ. 1975 ที่นี่ถูกใช้เป็นสถานกักขังทรมาน ไปจนถึงที่ประหารชีวิตพวกฆาตกรคดีร้ายแรง นักโทษส่วนใหญ่คืออดีตทหาร และนักโทษการเมืองจากรัฐบาลของนายลองนอล ที่ขึ้นครองตำแหน่งด้วยการทำรัฐประหารจากเจ้านโรดมสีหนุ

ซึ่งรายละเอียดตรงนี้เราขอไม่พูดถึง แต่ขอสรุปมาที่ตรงผู้นำเขมรแดงท่านนี้ เกิดความหวาดระแวงเหล่านักโทษการเมืองของเขาอย่างมาก นั่นจึงทำให้เหล่านักโทษที่ว่า ถูกทารุณกรรมอย่างโหดร้ายจนต้องเสียชีวิตไปเป็นจำนวนมาก ซึ่งก็ต้องเรียกได้ว่าเป็นที่ ๆ ไม่ต้องมีตำนานผีสางอะไรก็น่ากลัวกันสุด ๆ อยู่แล้ว


แต่ทีนี้ไหน ๆ เราก็จะเน้นกันไปที่เรื่องเล่าก็ต้องขอเล่าให้ฟังกันสักนิดว่า วิญญาณของเหยื่อคุกโตงสเลงแห่งนี้กว่า 17,000 ราย ยังคงสิงสู่อยู่ทั่วทุกจุดของคุกแห่งนี้ มีเหตุการณ์แปลก ๆ มากมายเกิดขึ้นอยู่เสมอ ซึ่งสาเหตุที่เป็นแบบนั้นมันก็อธิบายได้ไม่ยาก เพราะในอดีตมีผู้คนมากมายต้องถูกต้องโทษ ทั้ง ๆ ที่พวกเขาไม่ได้ทำความผิดอะไรเลย

เหยื่อส่วนใหญ่ก็ล้วนเป็นชาวกัมพูชาและชาวต่างชาติที่ต้องสังเวยชีวิตอยู่ที่นี่ ทั้งชาวอเมริกัน ฝรั่งเศส นิวซีแลนด์ และชาวอังกฤษอย่างละ 1 ราย ออสเตรเลีย อาหรับ อินเดีย ปากีสถาน และเวียดนามอีกหลายราย ซึ่งก็มีผู้ที่สามารถรอดชีวิตกลับออกมาจากที่นี่เพียง 12 รายเท่านั้น  


และก่อนที่จะจบประเด็นของประวัติคุกแห่งนี้ เรามาลองดูกฏความปลอดภัย 10 ประการ ที่ถูกแปลเป็นภาษาอังกฤษมาแล้วโดยทางการ ซึ่งก็น่าจะมีข้อความส่วนใหญ่ถูกแปลแบบไม่ถูกต้องอยู่บ้าง ดังนั้นขอให้ท่านผู้ชมใช้ความระมัดระวังในการตีความกันให้ดี มันอาจจะไม่ได้เป็นอย่างที่เรานำเสนอให้ทราบอย่างถูกต้อง โดยกฏทั้งหมดคือ


  1. คุณต้องตอบคำถามให้ถูกต้อง อย่าบิดพริ้วเป็นอันขาด
  2. อย่าพยายามซ่อนความจริง โดยการหาข้ออ้างพูดไปเรื่อย คุณจะต้องทำตามอย่างโดยดี ไม่ต่อต้านพวกเรา
  3. อย่าทำอะไรที่ไม่ฉลาดให้ตัวเองต้องเจ็บตัว ด้วยการพยายามก่อเรื่องขัดขืน
  4. คุณจะต้องรีบตอบคำถามของเราโดยไม่ใช้เวลาคิดไตร่ตรอง
  5. อย่าบอกเราเกี่ยวกับสิ่งที่คุณทำผิด หรือความจำเป็นในการก่อกบฎของคุณ
  6. ขณะที่คุณถูกเฆี่ยนตีหรือถูกจับช็อตไฟฟ้า ห้ามร้องไห้ออกมาโดยเด็ดขาด
  7. ไม่ต้องทำอะไร จงนั่งรอคำสั่งของเรา ถ้าหากเราไม่สั่งก็ให้นั่งเงียบ ๆ เอาไว้ และเมื่อเราถามหรือทำอะไรกับคุณ คุณต้องปล่อยให้ทำต่อไปโดยไม่ขัดขืน
  8. อย่าได้ใช้มารยาหาข้ออ้าง เพื่อเก็บงำความลับและพวกทรยศกับเรา
  9. ถ้าคุณไม่ทำตามกฏที่ระบุเอาไว้ คุณจะต้องถูกโบยด้วยสายไฟอย่างไม่ต้องนับ
  10. ถ้าคุณฝ่าฝืนกฏไม่ว่าจะข้อไหนก็ตาม คุณจะถูกโบยเป็นจำนวน 10 ครั้ง หรือไม่ก็ถูกช็อตด้วยไฟฟ้าจำนวน 5 รอบ
ซึ่งเราเองก็ต้องขออนุญาตจบการรีวิวกันเพียงเท่านี้ แล้วมาดูสถานที่สุดท้ายว่าจะสู้กับที่นี่กันได้หรือเปล่า

---------

คาตาคอมส์แห่งปารีส (The Mines of Paris)

ภาพจาก: KoS
ดูเหมือนว่าใต้ถนนหลายสายของกรุงปารีสประเทศฝรั่งเศส จะมีอุโมงต์มากมายหลายสายซ่อนตัวอยู่ใต้ดินเต็มไปหมด และถึงมันจะมีเยอะขนาดไหน เราก็ไม่ควรจะลืมว่ามันมีอุโมงค์แห่งหนึ่งที่มีชื่อเสียงเลื่องลือในความน่าสะพรึงกลัวแบบสุด ๆ


นั่นก็คือ คาตาคอมส์แห่งปารีส มันคือโกฐิเก็บกระดูกอันรโหฐาน การลักลอบสำรวจที่นี่ถือเป็นสิ่งผิดกฏหมาย ซึ่งถ้าใครไม่เชื่อคิดว่าทำได้ก็อย่าลืมเตรียมเงินค่าปรับกันเอาไว้ให้ดีด้วย เพราะจริง ๆ เขาก็มีช่องทางให้เราสามารถเข้าชมกันได้แบบดี ๆ ในราคาดี ๆ เพียง 8 ยูโร ซึ่งก็ไม่รู้จะแอบลักลอบเข้าไปทำไมนะครับ
เดิมทีถ้ำอุโมงค์แห่งนี้ถูกขุดเอาไว้เพื่อกิจการเหมืองแร่ของปารีสในยุคก่อน เพราะสภาพภูมิประเทศแบบก้นกระทะเหมือนกรุงเทพ จึงทำให้เมืองแห่งนี้เคยถูกน้ำทะเลหนุนท่วมติดต่อกันเป็นเวลาหลายล้านปี นั่นจึงทำให้เกิดการทับถมของชั้นตะกอน จนได้เกิดเป็นสินแร่อันมีค่าหลายประเภท

จนมาถึงช่วงมนุษย์ยุคพัฒนา ก็ได้เริ่มเกิดการขุดเหมืองแร่กันอย่างแพร่หลายที่นี่ ทำให้ต่อมาความเจริญก็เพิ่มพูนเป็นเงาตามตัว ซึ่งนั่นก็ทำให้บนพื้นดินกลายเป็นเมืองที่ใช้ชีวิตกันตามปกติ ส่วนใต้พื้นดินก็ขุดอุโมงค์ทำเหมืองกันต่อไปเรื่อย ๆ โดยสิ่งที่สามารถทำรายได้สูงที่สุดของที่นี่ก็คือแร่ยิปซัม จนเคยได้รับฉายาให้เป็นพลาสเตอร์แห่งปารีส

ภาพจาก: Unknown

กิจการเหมืองที่เคยรุ่งโรจน์กันมาหลายร้อยปี ก็ต้องถึงคราวสะดุดลงในช่วงยุคคริสต์ศตวรรษที่ 18 เพราะตอนนี้ใคร ๆ ต่างก็ลงทุนมาทำเหมือง จนในที่สุดก็เกิดวิกฤตทางด้านธรณีวิทยา บ้านเรือนที่อยู่บนพื้นดินเริ่มเกิดการทรุดตัว ซึ่งนั่นก็รวมไปถึงสถานที่สำคัญอย่างเช่นพระราชวังหลาย ๆ แห่งด้วย และด้วยเหตุนี้ทางการจึงพยายามผลักดันให้การทำเหมืองแร่หันไปขุดกันต่อที่อื่น ก่อนที่เมืองทั้งเมืองจะถูกธรณีสูบหายไปจะดีกว่า

ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1777 เป็นต้นมา การทำเหมืองใต้กรุงปารีสก็ทยอยเลิกไป จนสุดท้ายมันก็ถูกทิ้งร้าง กลายเป็นเส้นทางอุโมงค์ใต้ดินจำนวนมากที่ต้องมีวิธีบริหารจัดการให้ดี

ในช่วงปลายยุคคริสต์ศตวรรษที่ 18 จำนวนประชากรของที่นี่ก็เพิ่มขึ้นมากกว่าที่เคยเป็น นั่นจึงทำให้เกิดปัญหาเกี่ยวกับสถานที่ฝังศพขึ้นมาเป็นเงาตามตัว

จนเมื่อเริ่มเข้าสู่คริสต์ศตวรรษที่ 19 ชาวบ้านจึงได้นำเสนอแนวทาง ในการนำเส้นทางและพื้นที่ทำเหมืองในอดีต มาใช้เป็นสถานที่เก็บกระดูกและฝังศพขึ้นมา นั่นจึงทำให้มีการขนย้ายซากศพของชาวเมืองที่ตายไปทั้งหมด ลงมาบรรจุเก็บกันไว้ยังบริเวณที่ปัจจุบันเรียกชื่อกันว่า คาตาคอมส์แห่งปารีส !
ซึ่งก็แน่นอนว่าลองมีซากกระดูกมนุษย์เยอะแยะขนาดนี้ ย่อมต้องมีตำนานสยองขวัญตามมา ทั้งที่จริง ๆไม่ต้องมีมันก็น่ากลัวมากพออยู่แล้ว โดยตำนานที่ว่านั้นก็พูดถึงกลุ่มลัทธิในยุคโบราณ รวมไปถึงสัตว์ลี้ลับที่อาศัยอยู่ภายในสถานที่แห่งนี้

อีกทั้งยังมีเรื่องราวของวิญญาณที่สิงสู่อยู่ในเงามืดของสุสาน ที่เมื่อคุณเดินเข้าไปลึกมากพอ และสามารถรอดกลับมาเล่าได้ล่ะก็ คุณก็อาจจะพบกับ "เฮดีส" เทพเจ้าแห่งเมืองบาดาลผู้ปกปักรักษาโลกของคนตาย และถ้าเอาแบบโลกจริง ๆ ในกรณีที่คุณอยากลองเดินไปให้ไกลมากที่สุดเพื่อเจอของจริงล่ะก็ อุโมงค์ใต้พื้นดินแห่งนี้ก็มีความยาวมากกว่า 600 กิโลเมตร ผ่านชุมชนใต้ดินที่เคยอยู่กันในยุคโบราณ ที่ทางการยังไม่เคยได้สำรวจทำแผนที่กันมาก่อน

ซึ่งก็มีความเป็นไปได้สูงที่เราจะหลงทาง แถมหลาย ๆ ส่วนของสุสานคาตาคอมส์เองก็อยู่ลึกลงไปเป็นร้อยฟุต พื้นที่ทางเดินบางแห่งก็ถูกน้ำท่วมขัง และบางแห่งก็คับแคบจนต้องผ่านด้วยวิธีคลานกันไป ทั้งยังมีหลุมและรูอยู่ตามทางที่ลึกเป็นร้อยฟุต แถมยังไม่เคยมีใครเคยตรวจสอบว่าใต้นั้นมันมีอะไรอาศัยอยู่หรือเปล่า ? เส้นทางเดินใต้ดินก็ซับซ้อนเป็นเขาวงกต ผนังอุโมงค์ก็มีคุณสมบัติดูดซับเสียงทุกอย่างได้ดี นั่นจึงทำให้จะไม่มีใครสามารถได้ยินเสียงร้องขอความช่วยเหลือของคุณแน่ ๆ ในกรณีที่คุณเกิดหลงทางจริง ๆ ขึ้นมา

ภาพจาก: Urban Exploration

โดยกระดูกมนุษย์จำนวนมากเกินจะนับ ที่อยู่ภายใต้อุโมงค์สุสานคาตาคอมส์แห่งนี้ ก็มากจนทำให้มีเจ้าหน้าที่ในยุคโบราณนำมาใช้ประดับตามกำแพงจนเกิดเป็นงานศิลปะแนวสยองขวัญ จนไม่รู้ว่าชิ้นไหนเป็นของเก่า ชิ้นไหนเป็นของใหม่ ซึ่งถ้าคุณเป็นโรคกลัวสถานที่คับแคบล่ะก็ อย่าได้คิดจะเสียเงินเพื่อลงไปเยี่ยมชมจะดีเป็นที่สุด ถ้าคุณไม่ได้เป็นโรคอะไรแบบนั้น คุณก็อาจจะได้อาการโรคกลัวที่แคบกลับบ้านมาเป็นของแถม ถ้าหากไม่เตรียมตัวให้ดี !
ดังนั้นก่อนที่จะกำเงินไปเสียค่าผ่านประตู โปรดตรวจสอบตัวเองให้ดีก่อนว่าได้เตรียมอุปกรณ์อย่างเช่นไฟฉาย แบตเตอรี่สำรอง น้ำดื่มสะอาด เพื่อนดี ๆ ที่พร้อมจะไปไหนไปกัน และสิ่งสำคัญที่จะลืมไม่ได้ก็คือ อย่าลืมสวดมนต์ให้ใจสงบ แผ่ส่วนกุศลให้กับเหล่ากระดูกผู้วายชนม์จำนวนมาก ก่อนที่จะเดินลงไปกันด้วยนะครับ !


หลังจากจบรายการมิติที่ 6 แล้ว อย่าลืมกดสับสไครป์ กดไลก์ กดแชร์ และอย่าลืมทิ้งคอมเมนต์กันไว้ด้วยนะครับ ยังมีเรื่องราวต่าง ๆ อีกมากมายรอคุณอยู่ สำหรับวันนี้... สวัสดี !

แปลและเรียบเรียงโดย นิวัฒน์ อ่ำแสง
ขอบคุณที่มา: wikipedia และ Listverse

แท็ก: terrifying, places

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

ประกาศ

เพื่อเป็นกำลังใจเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้กับเรา ขอความร่วมมือจากผู้ที่นำเรื่องราวจากมิติที่ 6 ไปใช้ในที่ของท่าน กรุณาลงเครดิตกลับมาที่เราจะเป็นพระคุณอย่างสูงครับ