29 เมษายน 2559

มิติที่ 6 Smile.jpg ภาพหมายิ้มสยองขวัญคร่าวิญญาณ




ย้อนกลับไปช่วง ค.ศ. 2008  เวบไซต์ต่าง ๆ ได้โพสต์เรื่องราวลี้ลับน่ากลัวเรื่องหนึ่ง เรื่องราวของชายคนหนึ่งที่พยายามค้นหาความจริงของภาพจากกล้องโพลาลอยด์ภาพนั้น ภาพสุนัขที่กำลังยืนยิ้มให้กับกล้อง ซึ่งมันคือที่มาของเรื่องเล่าสยองขวัญ ที่เวบไซต์ทั้งต่างประเทศ และในไทย ได้นำมาเล่าต่อถึงอาถรรพ์ของภาพนี้ บ้างก็บอกว่าเป็นเรื่องแต่ง บ้างก็บอกว่าเป็นเรื่องจริง

มิติที่ 6 ศุกร์สยองขวัญ ในวันเบาๆ ศุกร์นี้  จึงขอนำเรื่องราวของภาพอาถรรพ์ดังกล่าว มาเล่าให้ท่านผู้ชมได้ฟัง และร่วมหาคำตอบของภาพนี้ไปพร้อม ๆ กัน ว่ามันจะทำให้เราตกอยู่ในอาถรรพ์นั้นด้วยหรือไม่


 เปิดชมบนยูทูป

เรื่องราวเริ่มต้นจากปี ค.ศ. 1992  เจมี่ นักศึกษาและนักเขียนสมัครเล่น ที่พยายามจะสืบความเป็นมาของแมรี่อี แฟนสาวของเพื่อนเก่า ที่เป็นแอดมินของเวบบอร์ดท้องถิ่นในชิคาโก้ เธอมีพฤติกรรมแปลกประหลาดที่วัน ๆ เอาแต่โพสต์ลิงค์ของภาพ ๆ หนึ่ง ตามหมวดสยองขวัญ โดยภาพนั้นใช้ชื่อว่า "Smile.jpg" ซึ่งกว่าจะติดต่อขอพูดคุยที่บ้านของเธอได้ เธอก็กลับเปลี่ยนใจไม่ให้ข้อมูลกับเขา ทำให้เจมี่ต้องเลิกล้มความตั้งใจไปชั่วคราว โดยพยายามลืม ๆ เรื่องนี้ แล้วหันไปหาข้อมูลเรื่องอื่นตามเวบแนวสยองขวัญแทน


แต่เมื่อเวลาผ่านมาจนถึงปี ค.ศ. 2005  เจมี่ ก็ยังคงพบว่า แมรี่อีนั้นยังคอยโพสต์ลิงค์ภาพดังกล่าวอยู่เสมอ ซึ่งมันทำให้เขาหันกลับมาสืบความเป็นไปของเรื่องนี้อีกครั้ง แล้วเขาก็ได้พบว่า มีสมาชิกหลายคน ที่เปิดลิงค์ภาพดังกล่าวขึ้นมาดู แล้วก็มีอันต้องเกิดอาการลมชักแบบเฉียบพลัน และยังสืบพบว่าสมาชิกอีกหลายคนทีเปิดภาพนี้ ก็ฆ่าตัวตายไปอย่างไร้สาเหตุอีกหลายคน

และเมื่อสืบย้อนไปในปี ค.ศ. 2002 เขายังพบอีกว่า ที่เวบไซต์ Usenet ผู้ให้บริการเน็ตเวิร์กขนาดใหญ่ของอเมริกา ที่มีเครือข่ายสังคมกว้างขวาง ก็ได้เคยถูกแฮ็กเกอร์ลักลอบเจาะเข้าระบบ แล้วโพสต์ภาพลึกลับนี้ลงในเวบบอร์ด ในหมวดเรื่องเบาสมอง จนมีสมาชิกบอร์ด เปิดภาพชมเป็นจำนวนมาก และมีหลายคนที่เกิดอาการลมชักเฉียบพลัน ไปจนถึงฆ่าตัวตายปริศนาเป็นจำนวนมาก

มาถึงตรงนี้ เจมี่ก็ได้สืบลึกเข้าไปจนรู้ว่า ภาพ Smile.jpg นั้น แท้ที่จริงเป็นภาพถ่ายโพลาลอยด์ใบนึง ที่ภายในนั้น จะมีภาพของสุนัขพันธ์ุไซบีเรียนฮัสกี้ กำลังนั่งหันมามองกล้อง ดวงตาของมันเปล่งแสงเป็นประกาย เหมือนกับเป็นแสงสะท้อนมาจากแฟลชกล้อง แต่ที่น่ากลัวจริง ๆ ก็คือ ปากของมันแสยะยิ้มให้กับกล้องจนน่ากลัวเป็นอย่างมาก และภายในฉากหลังที่มืดสลัวของภาพนี้ ก็จะเห็นว่ามีมือคน ทำท่าเหมือนกำลังทักทายเรา อยู่ทางด้านซ้ายของภาพ และมีตัวอักษรย่อปริศนา ที่มองไม่ชัดอยู่เหนือมือข้างนั้น

ภาพถ่ายโพลาลอยด์ของสุนัขดังกล่าว

โดยที่มาของมันนั้น มาจากการฟอร์เวิร์ดเมล์จากใครก็ไม่รู้ ส่งต่อกันมาเรื่อย ๆ ในหัวข้อจดหมายว่า “ยิ้มสิ !! พระเจ้ารักคุณ ! ” ซึ่งจากการสืบถามจากเหยื่อจดหมายนี้ ก็ได้ความว่า หลังจากเปิดภาพดูแล้ว ถ้าเราไม่สนใจปิดอีเมล์ฉบับนั้นไป ไม่ฟอร์เวิร์ดต่อให้คนอื่น ก็จะทำให้มีอาการลมชักเฉียบพลันอย่างไร้สาเหตุ และบางคนก็ถึงกับฆ่าตัวตายไปเลยก็มี ส่วนคนที่ยังรอดอยู่ ก็ต้องพยายามฟอร์เวิร์ดเมล์นี้กันต่อไป บางคนถึงกับไม่กล้านอนหลับ เพราะภาพมันติดตาเข้าไปถึงในความฝัน ต้องไปหาจิตแพทย์เพื่อขอยากล่อมประสาทมากิน ให้ตัวเองสามารถนอนหลับได้ไปเพียงวัน ๆ

แต่แล้วเมื่อเวลาผ่านมาจนถึงปี ค.ศ. 2008  เจมี่ก็ได้รับอีเมล์จากแมรี่อีฉบับหนึ่ง โดยใจความในจดหมายบอกว่า เธอเสียใจ ที่วันนั้นจากเมื่อปี ค.ศ. 1992 เธอไม่ได้เปิดโอกาสให้เขามาพูดคุย สาเหตุก็เป็นเพราะว่าเธอกลัวมาก เนื่องจากตลอดเวลาที่ผ่านมา เธอต้องเผชิญกับฝันร้าย หรือแม้เพียงแค่หลับตา ภาพของเจ้าสุนัขแสยะยิ้มรูปนั้น ก็จะมารังควาญเธออยู่เสมอ ซ้ำร้าย มือที่ทำท่าทักทายอยู่ในภาพด้านซ้ายนั้น ก็ทำท่ากวักมือเรียกเธอ เหมือนอยากให้ไปอยู่ด้วยกัน และในความฝันนั้น เจ้าหมาไซบีเรี่ยนที่กำลังแสยะยิ้มอย่างน่ากลัวก็พูดกับเธอว่า ถ้าไม่อยากตายก็จงส่งต่อภาพนี้ต่อไปเรื่อย ๆ

นั่นจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้เธอต้องทนทุกข์ทรมาน กับการโพสต์ลิงค์ภาพดังกล่าวตลอดเวลา 15 ปี ทั้ง ๆ ที่รู้อยู่แก่ใจว่า คนที่หลงเปิดลิงค์ภาพขึ้นดูจะต้องเกิดอาการลมชัก ไม่ก็ถึงกับฆ่าตัวตาย ซึ่งมาถึงวันนี้ แมรี่ ตัดสินใจเด็ดขาดที่จะเลิกแชร์ภาพดังกล่าวแล้ว และจะส่งแผ่นฟล็อบปี้ดิสก์ที่บันทึกเรื่องราวทั้งหมดให้กับเขาในภายหลัง และแมรี่ยังบอกอีกว่า ตอนนี้เธอไม่สนอะไรอีกแล้ว ไม่ว่าภาพนั้นจะจริงหรือหลอก เพราะเธอไม่อยากจะอยู่ตรงนี้อีกต่อไป

ซึ่งหลังจากวันที่อีเมล์ฉบับนี้ส่งมาไม่กี่เดือน เจมี่ก็ได้รับข่าวจากสามีของเธอว่า แมรี่ได้ฆ่าตัวตายไปแล้ว….  และสามีของแมรี่ก็ได้ทำตามคำสั่งเสียของเธอ ที่ขอให้เขานำแผ่นฟลอปปี้ดิสก์แผ่นหนึ่งมาให้กับเจมี่ เพียงแต่ว่าตอนนี้มันอยู่ในสภาพเหมือนผ่านการถูกเผาจนละลายไปบางส่วน

นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ? เจมี่ได้พยายามสืบข่าวการตายของเธอจากหนังสือพิมพ์ชิคาโก้พบว่า มีข่าวการตายของเธอจริง ๆ ซึ่งในข่าวนั้นไม่ได้ระบุสาเหตุการตายของแมรี่แต่อย่างใด นี่มันไม่ใช่เรื่องตลกเสียแล้ว

จู่ ๆ เจมีก็นึกขึ้นมาได้ว่า หลังจากที่เขาพลาดจากการขอสัมภาษณ์แมรี่ไปเกือบปีในช่วงนั้น เขาเคยได้รับอีเมล์จากเธอมาฉบับหนึ่ง ซึ่งเขาไม่เคยได้เปิดอ่านมาก่อน คิดได้ดังนั้นเจมี่จึงเปิดอ่านอีเมล์ ซึ่งในจดหมายมีหัวข้อว่า Smile โดยเนื้อความในอีเมล์เขียนว่า...

"สวัสดีค่ะ ฉันพบที่อยู่อีเมล์ของคุณ จากเมลลิ่งลิสของฉัน เห็นโปรไฟล์ของคุณบอกว่า คุณสนใจในภาพหมายิ้มอยู่ใช้ไหมคะ ? ฉันน่ะ เห็นภาพนี้แล้วล่ะค่ะ คิดว่ามันคงไม่เป็นไร ถ้าฉันจะส่งไฟล์นี้ให้คุณดู เพราะมันก็เป็นแค่ การส่งต่อ ๆ กันไปเท่านั้นแหละนะคะ"

หลังจากอ่านจบ เจมี่ถึงกับหลอนเข้ากระดูกเลยทีเดียว พอเจมี่ตรวจสอบที่อีเมล์ดี ๆ ก็พบว่ามีการแนบไฟล์มาไฟล์หนึ่ง ชื่อไฟล์ของมันก็คือ smile.jpg นั่นเอง เจมีกะว่าจะดาวน์โหลดไฟล์นี้มาดูทีหลังจะดีกว่า เพราะเรื่องราวของมัน ฟังแล้วก็ไม่ค่อยจะน่าเชื่อถือซักเท่าไหร่ เพราะจริง ๆ แล้ว สิ่งที่ทำให้เขาหลอนนั่น มันมาจากชื่อผู้ส่งก็คือแมรี่ อี ที่ตายไปเสียมากกว่า กะไอ้แค่รูปภาพไฟล์เดียว มันจะไปมีพลังอำนาจลึกลับบ้าบอ ถึงกับทำให้คนมีอาการประหลาดแบบนั้นได้อย่างไร ?

เจมี่ก็ไตร่ตรองอีกว่า ถ้าเขาดาวน์โหลดไฟล์ภาพนี้มา ถ้าเขาได้ดูแล้วสิ่งที่แมรี่เล่าไว้ในจดหมายฉบับสุดท้ายนั้นเป็นเรื่องจริง ถ้าภาพหมายิ้มมันสามารถเล่นงานเขาได้ในฝัน เพื่อมาบอกให้เขาต้องส่งต่อไฟล์นี้ต่อไปล่ะ ? เจมี่จะต้องมีชีวิตอยู่เหมือนกับแมรี่ไหม ? ต้องคอยส่งต่อมันไปเรื่อย ๆ จนกว่าเขาจะตายหรือเปล่า ? แล้วถ้าต้องส่งต่อไปเรื่อย ๆ คนที่ได้รับไฟล์นี้ไปดูต่อ ๆ ไป จะตายกันหมดไหม ? แล้วถ้าเป็นแบบนั้น เขาจะต้องส่งให้ใครดีกันล่ะเนี่ย ?

"แล้วถ้าผมตัดสินใจเขียนเรื่องราวนี้ลงบนเวบไหนซักแห่ง โดยแนบภาพนี้เอาไว้ เกิดมีใครซักคนหลงเข้ามาดูล่ะ ? ยังไงมันก็ดีกว่าการแนบไฟล์ส่งไปทางอีเมล์แหละนะ เพราะอย่างน้อย ผมก็ยังรักษาภาพพจน์ตัวเองไม่ให้ใครรู้ว่า ผมเป็นคนส่งต่อเรื่องนี้ ว่ายังไงล่ะ ? ผมบอกต่อได้ใช่ไหม ? ได้สิ !! ผมทำแบบนี้ได้นี่นา"

ซึ่งหลังจากเรื่องราวทั้งหมดจบลง มิติที่ 6 จึงได้พยายามนำภาพนี้มาให้พวกเราได้ชมกัน เพื่อจะได้โดนวิญญาณหมายิ้ม มาเข้าฝันกันโดยถ้วนทั่วนะครับ

ไม่สิ ถ้ามันเป็นเช่นนั้นจริง มันก็ไม่ใช่มิติที่ 6 แน่นอน เพราะหลังจากที่มิติที่ 6 อ่านเรื่องนี้จบ ก็ลองหลับตาบ้าง นอนหลับบ้างอยู่หลายรอบ ก็ไม่พบว่าจะฝันเห็นสุนัขอะไรมายิ้มให้เลย เราจึงพยายามเสาะหาที่มา เพื่อจะได้ให้ทุกท่าน ได้รับทราบความเป็นมาที่แท้จริงของเรื่องราวนี้กันครับ

แม้จะมีผู้คนในอินเตอร์เน็ต พยายามจะถอดรหัสภาพเจ้าไซบีเรียนฮัสกี้ตัวนี้ ถึงขั้นทำคลิปบอกต่อ ๆ กันว่า พวกเขาได้พบภาพซ้อนของปีศาจ หรือซาตาน ทับอยู่กับภาพเจ้าสุนัขที่กำลังแสยะยิ้มอย่างน่ากลัวตัวนี้ แต่ถ้าเรามองไปที่ภาพให้ดี ๆ จะพบว่า ภาพนี้เป็นภาพที่ถูกตัดต่อขึ้นมาจากโปรแกรมตัดต่อภาพทั่วไป โดยถ้าเราสังเกตที่ความชัดเจนของภาพจะพบว่า บริเวณทั่วไปทั้งภาพนั้นจะมีนอยซ์ หรือจุดรบกวนที่เกิดจากการถ่ายภาพที่มีแสงน้อย ด้วยกล้องราคาถูก

การตัดต่อภาพซ้อนของปีศาจหมา

โดยภาพเต็มที่แสดงให้เห็นว่า มันเป็นภาพที่ถ่ายจากกล้องโพลาลอยด์นั้น จะเห็นเงาตกกระทบที่ขอบภาพไม่ถูกต้อง เหมือนพยายามจะซ้อนให้เกิดมิติของภาพ ซึ่งภาพโพลาลอยด์ของจริงนั้น ควรจะเป็นเงาลึกเข้าไป และภาพจะต้องอยู่หลังกรอบโพลาลอยด์ แต่ในภาพหมายิ้มลึกลับนี้ ตัวเงาตกกระทบของภาพ กลับดูเหมือนลอยขึ้นมาจากกรอบมากกว่า แถมเงาตกกระทบก็ค่อนข้างคมชัดเป็นอย่างมาก

และเมื่อสังเกตที่รอยนิ้วมือเปื้อนเลือด ที่อยู่ในบริเวณส่วนกรอบของภาพ มันก็เกิดคำถามว่า น่าจะมีใครซักกี่คน ที่จับแผ่นกระดาษด้วยการใช้นิ้วหัวแม่มือกับนิ้วไหนซักนิ้ว แปะที่ด้านเดียวกัน แล้วใช้นิ้วที่เหลือหนีบด้านหลังภาพ ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะทำแบบนั้น และต่อให้เป็นการใช้สองมือ ถือภาพเอาไว้ จะมีสักกี่คน ที่จะใช้มือซ้ายจับภาพแล้วเอานิ้วอะไรซักนิ้วที่มือขวา แตะที่กรอบอีกข้างแบบนั้น

และถ้ามองเข้าไปดูในภาพก็จะยิ่งเห็นชัดว่า ภาพมือที่กำลังทักทายอยู่ด้านซ้ายของภาพนั้น เป็นภาพที่ถูกตัดต่อเพิ่มขึ้นมา เพราะลักษณะของจุดนอยซ์ในภาพตรงส่วนนี้ กลับมีลักษณะสะอาดกว่าจุดอื่นมาก แถมยังเหมือนจงใจตกแต่งให้มันชัดกว่าปกติด้วยการทาสีแดงไปที่ภาพ

ส่วนอาการยิ้มของเจ้าหมาไซบีเรียนฮัสกี้นั้น ถึงจะเป็นการยิ้มจริง ๆ จากมัน ก็ไม่แปลก เพราะปกติสุนัขพันธ์ุนี้ หน้าตาจะดูเหมือนมันโกรธใครมาอยู่ตลอดเวลาอยู่แล้ว แต่ถ้าดูดี ๆ ก็จะพบว่า มันเป็นการตัดต่อเอาภาพฟันของคน มาทับซ้อนกับปากของมันนั่นเอง

มาถึงตรงนี้เราสามารถสรุปได้เบื้องต้นว่า ภาพนี้ คือภาพปลอมที่ถูกตัดต่อด้วยซอฟท์แวร์ตกแต่งภาพนั่นเอง

ส่วนเรื่องราวที่ถูกเล่าต่อ ๆ กัน จากเวบบอร์ดหลาย ๆ แห่งนั้น ถ้าเราอ่านจนจบก็จะพบว่ามีการระบุชัดเจนว่า มันคือเรื่องที่ถูกแต่งขึ้นมาเล่ากันบนเวบสยองขวัญทั่วไป

สรุปก็คือ ภาพสุนัขยิ้มนี้ เป็นเพียงภาพประกอบนิยายออนไลน์บนเวบบอร์ดสาธารณะเท่านั้นเอง แต่ที่เราไม่สามารถค้นหาได้ว่าใครเป็นผู้เขียนเรื่องขึ้นมานั้น ก็เพราะว่าในช่วงปี ค.ศ. 2008  เรื่องราวนี้ได้ถูกโพสต์ครั้งแรกที่เวบบอร์ด "4chan" ในหมวด "/x/ - paranormal" ซึ่งระบบของเวบแห่งนี้ ในยุคสมัยนั้นผู้โพสต์จะมีเพียงหมายเลขรหัส ID ที่เป็นตัวเลขเท่านั้น โดยโพสต์ต้นฉบับได้ถูกเขียนไว้ที่นี่ เพื่อความบันเทิง แต่กลับมีผู้คนนำเอาเรื่องราวนี้ไปโพสต์ต่อ ๆ กัน โดยไม่มีการตรวจสอบ จนเลยเถิดไปจนเกิดมีฟอร์เวิร์ดเมล์จริง ๆ ขึ้นมา และปัจจุบันโพสต์ดังกล่าวก็ได้ถูกลบอัตโนมัติไปจากเวบไซต์ 4chan แล้ว

ส่วนเรื่องที่บอกว่ามีเหยื่อบางคนที่ดูภาพแล้วเกิดอาการลมชักนั้น… ไม่พบว่ามีจริงแต่อย่างใด เพราะมันเป็นเรื่องที่แต่งขึ้นมานั่นเอง

ดังนั้น หากมีใครนำเรื่องราวนี้มาโพสต์แล้วบอกเราว่าเป็นเรื่องจริง เราก็ควรจะเงียบเอาไว้ แล้วปล่อยให้เรื่องเล่านี้ เป็นที่กล่าวขวัญกันต่อไป อย่างสนุกสนานจะดีที่สุด ไม่จำเป็นต้องเฉลยให้ผู้โพสต์หรือผู้เล่า ต้องเสียหน้าแต่อย่างใดนะครับ เพราะความกลัว กับมนุษย์นั้น เป็นของคู่กันเสมอมา นั่นเอง


หลังจากอ่านเรื่องราวจบแล้ว อย่าลืมกดไลค์ กดแชร์ หรือทิ้งคอมเม้นท์พูดคุยกันนะครับ

เรียบเรียงโดย นิวัฒน์ อ่ำแสง
ที่มา
http://www.bustle.com/articles/135749-is-smile-dog-real-heres-the-truth-about-the-classic-creepypasta-its-terrifying-image-file
http://creepypasta.wikia.com/wiki/Smile_Dog
http://boards.4chan.org/x/

15 เมษายน 2559

มิติที่ 6 ศุกร์สยองขวัญ ตอน ปริศนาลึกลับที่ไขกระจ่างแล้ว แต่ไม่มีใครเชื่อ !!!




ขึ้นชื่อว่าปริศนาลึกลับ นั้นย่อมหมายความว่า มันคือเรื่องแปลกประหลาดที่เกิดขึ้นมาโดยที่ไม่มีใครสามารถอธิบายได้ เมื่อเวลาผ่านไปนานเข้า มันจึงกลายเป็นสเน่ห์ดึงดูดให้ผู้คนพยายามค้นหาคำตอบ มิติที่ 6 ศุกร์สยองขวัญ วันเบา ๆ กับเราทุกศุกร์สะดวกวันนี้ จะขอพาท่านไปพบกับปริศนาที่ถูกไขกระจ่างแล้ว แต่เรื่องราวของมัน ก็ยังคงถูกเล่าขานว่าเป็นปริศนาอยู่ดี !!




ลูกอมปริศนา เคลิกซ์ดอร์พ


ในช่วงสองสามปีที่ผ่านมานี้ ข่าวการพบลูกหินประหลาดอายุสามพันล้านปี ทรงกลมขนาดเล็ก ผิวเรียบ มีลายเส้นรอบวง จากพื้นที่เหมืองฟีโลฟิไลท์ ในประเทศอาฟริกาใต้ ได้ถูกเปิดเผยครั้งแรกในช่วงปี 1970s โดยคาดกันว่ามันถูกสร้างขึ้นมาจากสิ่งมีชีวิตที่มีอารยธรรมสูง ผู้คนบางกลุ่มเชื่อว่ามันถูกสร้างจากอารยธรรมต่างดาว และมีความแข็งแกร่งกว่าเหล็ก โดยถึงกับอ้างรายงานจากนาซ่ากันเลยว่า มันเป็นวัสดุที่แข็งแกร่ง ไม่สามารถทุบทำลายได้ง่าย ๆ


ซึ่งความจริงได้ถูกเปิดเผยขึ้นเมื่อวัตถุเหล่านี้ได้ถูกนำมาวิเคราะห์จริงจัง นักวิทยาศาสตร์พบว่า แท้ที่จริงแล้ว รูปร่างของเจ้าเคลิกซ์ดอร์พนี้ มันก็ไม่ได้มีลักษณะเป็นทรงกลมสมบูรณ์แต่อย่างใด มันเป็นเพียงสิ่งที่เกิดขึ้นมาตามธรรมชาติ จากตะกอนของแร่ในเหมืองนั่นเอง ส่วนร่องรอยสามขีดรอบวัตถุนี้ ก็เป็นเพียงเรื่องบังเอิญที่เกิดจากการกรัดเซาะของน้ำในช่วงเวลานานเท่านั้น และมันเองก็ไม่ได้มีความแข็งแกร่งเหมือนอย่างที่ข่าวลืออ้างมา ที่แน่ ๆ นาซ่าเองก็ไม่เคยรายงานถึงเจ้าหินทรงกลมนี้เลย แสดงว่าเรื่องราวแปลก ๆ ของมัน ถูกชาวอินเตอร์เน็ตสร้างขึ้นมาเพื่อความบันเทิงเท่านั้นเอง



ซากวัวปริศนา


ในประเทศสหรฐอเมริกาและหลาย ๆ ประเทศทางแถบทวีปอเมริกา ได้มีรายงานเรื่องราวการตายอย่างปริศนาของฝูงวัวหลายแห่ง ซึ่งในแต่ละท้องที่ ล้วนบอกเล่าเรื่องราวอันลึกลับว่า วัวพวกนี้ได้ถูกอะไรบางอย่างทำให้เสียชีวิต ลักษณะการตายที่แปลกประหลาด รอยแผลที่ดูราวกับว่า พวกมันถูกใครบางคนทำการผ่าตัด ร่างของมันถูกบางอย่างผ่าออก เครื่องในของพวกมันล้วนถูกควักออกไป ทั้งดวงตา ลิ้น และทวารหนักของพวกมันก็ถูกตัดหายไป


แต่สิ่งหนึ่งที่ทำให้ชาวบ้านที่อยู่ในเหตุการณ์ถึงกับต้องขวัญผวา ก็น่าจะอยู่ที่ซากศพของวัวเหล่านั้น เหมือนถูกบางสิ่งบางอย่าง ดูดเอาเลือดของพวกมันไปจนหมด !!


จะพูดให้ชัด ๆ ก็คือ ชาวบ้านต่างเชื่อว่าเหตุการณ์นี้ ถ้าไม่ใช่ฝีมือของแวมไพร์ ก็ต้องเป็นฝีมือของมนุษย์ต่างดาว หรือไม่ก็เป็นฝีมือของพวกคลั่งลัทธิซาตาน ที่จับพวกวัวเหล่านี้ไปทำพิธีบูชายัญ บางคนถึงกับนึกไปถึงสัตว์ประหลาดลึกลับอย่าง เอล ชูพาคาบรา ที่ถูกเล่าขานกันในประเทศสเปนกันเลยทีเดียว

ใช่แล้ว มันมีอะไรบางอย่างเกิดขึ้นแน่ ๆ แต่ว่า เรื่องจริงมันคืออะไร ?

แม้เรื่องราวปริศนานี้จะถูกเล่าขานต่อเนื่องกันมาจนถึงทุกวันนี้ แต่จริง ๆ เรื่องนี้ได้ถูกเปิดเผยสาเหตุที่แท้จริงมาตั้งแต่ช่วงปี 1970s แล้วว่า ในตอนนั้นมีทั้งหน่วยงานสรรพสามิต และหน่วยพิเศษเอฟบีไอ ได้ทำการสืบสวนสาเหตุถึงที่มาการตายของฝูงวัวเหล่านี้ ซึ่งผลการสืบสวนของพวกเขาได้ระบุว่า แท้ที่จริงแล้วฝูงวัวเหล่านี้ไม่ได้ถูกแวมไพร์ดูดเลือด ไม่ได้ถูกมนุษย์ต่างดาว หรือสัตว์ประหลาดมาทำให้กลายเป็นแบบนี้ทั้งสิ้น


แต่ที่สภาพศพของพวกมันกลายเป็นแบบนั้นไป สภาพที่ดูเหมือนกับว่าถูกอะไรบางอย่าง ผ่าตัดคว้านเอาเครื่องในออกไป ที่ชาวบ้านสงสัยว่ามันเกิดขึ้นมาได้อย่างไรนั้น แท้ที่จริงแล้ววัวเกือบทั้งหมด ที่เสียชีวิตในสภาพนั้น ล้วนแล้วแต่ถูกล่าโดยฝูงหมาป่าในท้องที่ เพราะนักล่าพวกนี้ล้วนมีพฤติกรรมชอบล่าสัตว์ใหญ่ที่ไร้ทางสู้อย่างวัวอยู่แล้ว และเมื่อพวกมันล่าวัวได้สำเร็จ สิ่งที่พวกมันจะจัดการต่อไปก็คือการกินวัวพวกนี้ ซึ่งแน่นอนว่า ส่วนที่พวกหมาป่าเหล่านี้ชอบมากที่สุดก็คือบริเวณท้อง พวกมันจะกัดกินส่วนท้องของวัวก่อนเป็นอันดับแรก ซึ่งนั่นก็เลยเป็นที่มาที่ทำให้เครื่องในของพวกมันล้วนหายไปโดยไร้ร่องรอย

แล้วส่วนอื่น ๆ อย่างลูกนัยตา เนื้อบริเวณปากอย่างเช่นลิ้น เหงือกของพวกวัวล่ะ มันหายไปไหน ? คำตอบจากเจ้าหน้าที่เอฟบีไอนั้น อธิบายว่า หลังจากที่พวกวัวเหล่านี้ถูกหมาป่าแทะเอาพุงไปกินจนอิ่มหนำแล้ว ซากวัวเหล่านี้ก็จะถูกเหล่าแมลงเช่น แมลงวัน หรือแมลงกินศพอื่น ๆ ที่ชอบกินอวัยวะจุดที่นิ่ม ๆ อย่างลูกนัยตา และเนื้อลิ้น เหงือ และกระพุ้งแก้มในปาก ก็จะเริ่มมาแทะเล็มทีละนิด ๆ จนอิ่ม ซึ่งแน่นอนว่า จำนวนของพวกแมลงพวกนี้โดยปกติมันก็มีมากมายอยู่แล้ว แถมแมลงเหล่านี้ ก็นิยมจะวางไข่ในซากศพวัวด้วย จึงทำให้พวกมันมีจำนวนมากพอที่จะแทะศพจนแหว่งได้เช่นกัน

ซึ่งแน่นอนว่า ทั้งฝูงหมาป่า และแมลงเหล่านี้นี่เอง ที่ทำให้เลือดของวัวหายไป เพราะพวกมันก็แค่ดูดกินเลือดไปด้วยระหว่างที่แทะร่างวัวนั่นเอง แต่ก็นั่นแหละ ชาวบ้านที่เชื่อเรื่องลึกลับไปตั้งแต่แรก ใครจะไปเชื่อเรื่องจริงกัน ?



ปริศนาลายเส้นแห่งนาซก้า


ลายเส้นแห่งนาซก้า แห่งประเทศเปรูนั้น ได้ถูกค้นพบครั้งแรกเมื่อช่วงปี ค.ศ. 1930 จากนักบินท้องที่ ที่บินด้วยความสูงบริเวณนั้น สังเกตเห็นลายเส้นปริศนานี้เข้าโดยบังเอิญ

ด้วยลักษณะลายเส้นที่ถูกวาดลงบนพื้นดินอันกว้างใหญ่อันพิศวง รูปร่างภาพวาดที่ดูคล้ายสิ่งมีชีวิต เช่นนก แมงมุม หรือแม้กระทั่งรูปร่างมนุษย์ ที่จะสามารถมองออกได้ก็ต่อเมื่อเราอยู่บนเครื่องบินสูง ๆ นั้น ทำให้ทุกคนเกิดความสงสัยว่า ชาวเมืองนาซก้าในสมัยก่อน สามารถสร้างภาพเหล่านี้ขึ้นมาได้อย่างไร เพราะการที่จะขุดพื้นดินเป็นทางยาวจนเกิดเป็นรูปร่างใหญ่โต หรือแม้แต่การใช้ก้อนหินเรียงกันให้ได้สัดส่วนแบบนั้น มันไม่น่าจะเป็นไปได้เลย


สุดท้ายทุกคนก็ลงความเห็นว่า ลายเส้นปริศนาที่นาซก้านั้น ต้องเกิดจากการถ่ายทอดอารยธรรมจากมนุษย์ต่างดาวแน่ ๆ และสาเหตุที่มนุษย์ต่างดาวต้องสร้างภาพบนพื้นดินใหญ่โตขนาดนี้ ก็เพราะว่าต้องการสัญลักษณ์ทางภาคพื้น ที่สามารถใช้ในการร่อนลงของยานอวกาศได้อย่างเที่ยงตรง และถูกต้องนั่นเอง

นี่แสดงว่า ที่นาซก้าแห่งนี้ เคยมีมนุษย์ต่างดาวบินมาเยี่ยมเยียนบ่อย ๆ แน่นอนใช่ไหม ?

ความเป็นจริงแล้ว ลายเส้นนาซก้านั้น ไม่ได้ถูกมนุษย์ต่างดาวสร้าง และก็ไม่ได้สั่งให้ใครสร้างเลย แต่ลายเส้นเหล่านี้ ล้วนถูกสร้างด้วยน้ำมือของชาวพื้นเมืองที่นั่นเป็นผู้สร้างมันขึ้นมาเท่านั้นเอง


แล้วพวกเขาจะสามารถสร้างลายเส้นขนาดใหญ่นี้ขึ้นมาได้อย่างไร ?

โดยกรรมวิธีการสร้างลายเส้นปริศนานั้น ก็ไม่ได้ยากอะไร ชาวพื้นเมืองเพียงแค่ใช้เชือก ค่อย ๆ ร่างภาพของลายเส้นทีละนิด ไม่ก็ใช้เพียงผงถ่านโรยไปบนพื้น โดย ดร. โจ นิคเคล แห่งมหาวิทยาลัยเคนตักกี้ ได้ทดลองวาดภาพลายเส้นปริศนาแบบนาซก้าได้ด้วยแรงงานผู้ชาย 3 คน และเด็กอีกคน

ดร. โจ นิคเคล

แล้วขนาดใหญ่ขนาดนั้น จะทำให้มันสวยงามมีสัดส่วนถูกต้องได้อย่างไร ?

สำหรับเรื่องนี้ เป็นไปได้ว่าชาวพื้นเมืองที่สร้างมันขึ้นมาในยุคนั้น ไม่ได้สนใจว่ารูปร่างมันจะมีสัดส่วนสมจริงอะไรเลย พวกเขาก็แค่วาดลงไป ให้มันเป็นรูปร่างขึ้นมาเท่านั้นเอง


แล้วทำไว้ให้ใครดูกันล่ะ ?

สำหรับคำถามนี้ คำตอบนั้นง่ายมาก ชาวพื้นเมืองแห่งนาซก้านั้น สร้างลายเส้นเหล่านี้ไว้ดูกันเองนี่แหละ พวกเขามีวิธีดูลายเส้นพวกนั้นจากทางอากาศด้วยวิธีง่าย ๆ

เพราะจากหลักฐานอารยะธรรมโบราณของชาวพื้นเมืองนาซก้านั้น พบว่าพวกเขาสามารถคิดค้นบอลลูนที่มีลักษณะเฉพาะของตัวเองขึ้นมาได้ตั้งแต่สมัยโบราณ โดยพบอีกว่า บนบอลลูนของพวกเขาเอง ก็ได้มีการวาดภาพลายเส้นลักษณะเดียวกันกับลายเส้นบนพื้นที่ปริศนานั้นด้วย ซึ่งบอลลูนพวกนี้ ถูกใช้ในพิธีฉลองวันเกิดของชาวบ้านนั่นเอง


แล้วใครสอนเขาทำบอลลูนกันล่ะ ในสมัยนั้น ไม่น่าจะมีเทคโนโลยีอะไรที่จะใช้สร้างมันขึ้นมาได้เลย ?
คำตอบนี้ ได้ถูกสรุปเอาไว้เป็นคำถามกลับมาว่า ทำไมเราถึงได้ดูถูกสติปัญญาคนโบราณกันจังเลย... ? เพราะในหลายประเทศบนโลกนี้ ล้วนสามารถสร้างบอลลูนในแบบฉบับของตัวเองได้มาตั้งหลายร้อยหลายพันปีมาแล้ว ซึ่งเรื่องนี้ก็น่าจะจริง เพราะอย่างประเทศไทยเรานั้น ก็มีประเพณีลอยโคมกันทุกปี แม้แต่บุญบั้งไฟ ก็คล้ายกับการยิงจรวดขึ้นฟ้า บางทีพวกเราอาจดูถูกสติปัญญาของคนโบราณกันอยู่ก็ได้


แต่ถึงแม้ปริศนาลายเส้นนาซก้าจะถูกอธิบายแล้ว คนไม่เชื่อก็คือไม่เชื่ออยู่ดี !!



เส้นสัมพันธ์ปริศนาเลย์ไลน์


ในปัจจุบัน ได้มีกลุ่มคนผู้ชื่นชอบเรื่องราวปริศนาบางกลุ่ม ได้ออกมาเปิดเผยถึงทฤษฎีใหม่ ทฤษฎีที่ว่าด้วยความสัมพันธ์ของสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ และสถานที่ลึกลับบนโลกใบนี้ ว่าทุกแห่งนั้น ล้วนมีอะไรบางอย่างที่ทำให้เรารู้ว่า พวกมันถูกสร้างขึ้นมาด้วยความจงใจ
พิกัดของแต่ละสถานที่นั้นล้วนถูกคิดคำนวนมาแล้วตั้งแต่ต้น เพราะถ้าหากเรากางแผนที่โลก แล้วกำหนดจุดสถานที่เหล่านั้นไว้ จากนั้นเราจะสามารถลากเส้นต่อเนื่องทุก ๆ สถานที่ให้ถึงกันได้ โดยเส้นที่ได้นั้น ก็ล้วนแล้วแต่มีรูปทรงเรขาคณิตอย่างสมบูรณ์ ไม่ว่าจะเป็นสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า สโตนเฮนจ์ ปีระมิดแห่งกีซ่า และอีกหลาย ๆ แห่ง ก็มีคนพยายามลากเส้นให้สัมพันธ์กันจนได้รูปร่างสวยงาม


หรือว่าเรื่องนี้จะเป็นความจริง สถานที่โบราณทุกแห่ง ล้วนถูกอะไรบางอย่าง กำหนดจุดที่ใช้ก่อสร้างมาตั้งแต่ต้นจริง ๆ หรือ ? หรือว่ามันเป็นการคำนวนที่แม่นยำของสถาปนิกโบราณที่ล่วงรู้ความลับของจักรวาลอันไกลโพ้น ที่ได้รับข่าวสารจากนอกโลกหรือไม่ ?


ความเป็นจริงนั้น เรื่องราวของลายเส้นสัมพันธ์ปริศนานี้ ถูกค้นพบครั้งแรกโดยนักโบราณคดีชื่อว่า อัลเฟรด วัตกินส์ เนื่องจากวันหนึ่ง ในช่วงปี 1921s เขาได้พบว่าสถานที่โบราณหลายแห่งในประเทศอังกฤษ ล้วนแล้วแต่ถูกปลูกสร้างเรียงกันจนสามารถลากเส้นต่อเนื่องกันเป็นเส้นตรงได้ด้วยเส้นเพียงเส้นเดียว ซึ่งสิ่งนี้เอง ที่เป็นจุดเริ่มต้นในการวิจัยเส้นเลย์ ไลน์นี้อย่างจริงจังและได้เผยแพร่ทฤษฎีนี้ขึ้นมาจนคนทั่วโลกเริ่มหันมาสนใจด้วย

ดร. อัลเฟรด วัตกินส์

ทีนี้ปริศนามันก็เลยมีทั้งคำถามและคำตอบง่าย ๆ เกิดขึ้น ก็คือ เส้นเลย์ไลน์ ไม่เคยมีมาก่อนเลย และมันเกิดขึ้นมาเพราะ ดร.อัลเฟร็ต วัตกิ้นส์ ที่สร้างมันขึ้นมาใช่หรือไม่ ?

แต่จะบอกแบบนั้นเสียทีเดียวก็ไม่ได้ เพราะจริง ๆ แล้ว ดร.วัตกินส์นั้น ค่อนข้างจะจริงจังการทำงานมาก เขาไม่ใช่คนที่จะสร้างความเชื่ออะไรขึ้นมาง่าย ๆ หากไม่ได้พิสูจน์ เพราะทฤษฎีเส้นเลย์ไลน์ของเขานั้น เขาสร้างมันขึ้นมาจากสิ่งที่เขาพบในอังกฤษเพียงแห่งเดียว ส่วนเลย์ไลน์แห่งอื่น ๆ นั้น ล้วนแล้วแต่เกิดขึ้นมาจากเหล่าบรรดากลุ่มคนที่อยากจะสร้างเรื่องราวที่ตัวเองคิดเข้าใจอยู่คนเดียว ให้คนทั่วไปได้รับรู้ ได้ตื่นเต้นเหมือนกับที่พวกเขารู้สึก แล้วก็พาลเลยเถิดกันไปถึงเจตจำนงของมนุษย์ต่างดาวที่มีส่วนในการกำหนดพื้นที่ตั้งของโบราณสถานหลายแห่ง โดยอาศัยรูปแบบสถาปนิกเรขาคณิตเป็นเครื่องมือเท่านั้นเอง


ซึ่งแน่นอนว่า เทคนิคการสร้างโบราณสถานต่าง ๆ ของชาวพื้นเมืองในโลกนี้ ล้วนมาจากสิ่งที่เขาคิดค้นขึ้นมา ซึ่งเราก็ไม่ควรดูถูกดูแคลนสติปัญญาของบรรพบุรุษของเราว่า พวกเขานั้นไม่น่าจะสามารถคิดคำนวนสร้างสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมาได้กันแบบนั้น

มนุษย์เรานั้น ฉลาดกันมานานแล้ว หรือว่าไม่จริง ?



และนี่ก็เป็นเพียงบางส่วน ที่มิติที่ 6 ศุกร์สยองขวัญได้หยิบยกขึ้นมาเพื่ออธิบายให้กับพวกเราได้ทราบถึงความจริงว่า เรื่องลึกลับปริศนาบางเรื่องนั้น ถึงแม้จะถูกเปิดเผยมาแล้วกี่ครั้งกี่หนก็ตาม ก็จะถูกบางคนต่อต้านความจริงเหล่านั้นว่า มันไม่จริง และพยายามตั้งขอสงสัยเพิ่มขึ้นไปเรื่อย ๆ โดยไม่พยายามหาคำตอบให้กับคำถามของตัวเองกันสักเท่าไหร่ ซึ่งสุดท้าย ไม่ว่าการกระทำเหล่านี้ จะมีเจตนาอย่างไร มันก็ได้ทำให้เรื่องราวปริศนาพวกนี้ ได้กลายเป็นสเนห์อันน่าหลงไหล และน่าค้นหา ทั้ง ๆ ที่มันก็ไม่ได้ลึกลับกันมาตั้งนานแล้ว !!

บนโลกนี้ก็ยังมีเรื่องราวปริศนาแบบนี้อยู่อีกมากมาย ซึ่งมิติที่ 6 เราจะค้นหาและนำมาเสนอกันอีกต่อไป สวัสดีครับ....



เรียบเรียงและบรรยายโดย นิวัฒน์ อ่ำแสง
ขอบคุณที่มา
http://www.cracked.com/article_19205_10-famous-unsolved-mysteries-easily-explained-by-science.html

8 เมษายน 2559

มิติที่ 6 ไขปริศนาไดอารี่สยองขวัญของลิซ่า

ศุกร์สยองขวัญ วันเบา ๆ สัปดาห์นี้ มิติที่ 6 เราจะขอพาท่านไปไขปริศนาที่มาของไดอารี่สยองขวัญ ว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร ซึ่งภาพจากไดอารี่เล่มนั้น มันช่างสร้างความสยองขวัญน่ากลัวให้กับผู้ที่ได้พบเห็นเป็นอย่างมาก !!!


ในเดือนธันวาคม ปี ค.ศ. 2013 นั้น เวบไซต์แนวสยองขวัญหลายแห่ง ได้พูดถึงเรื่องราวสยองขวัญเรื่องหนึ่ง เวบไซต์เหล่านั้น ต่างพูดถึงสมุดภาพไดอารี่ของเด็กน้อยนิรนาม ที่ถูกสแกนแล้วอัพโหลดขึ้นเวบไซต์ "โฟร์ชาแนล(4chan)" ซึ่งภาพจากไดอารี่เล่มนั้น มันช่างสร้างความสยองขวัญน่ากลัว และเป็นที่สนใจของชาวอินเตอร์เน็ตเป็นอย่างมาก



นี่คือลิซ่า เธอเป็นเพื่อนของฉัน
คุณพ่อคุณแม่ต่างไม่เห็นเธอหรอก
ดังนั้นพวกเขาเลยบอกว่า
ลิซ่านั้น ก็คือเพื่อนในจินตนาการของฉันนั่นเอง
ลิซ่าเป็นเพื่อนที่ดีมากเลย

วันนี้ ฉันพยายามที่จะปลูกต้นไม้ ที่ลานหน้าบ้าน
ฉันว่าจะลองปลูกมันลงในกระบะทราย
แต่ลิซ่าบอกว่า ที่ตรงนั้นเป็นที่ ๆ คุณพ่อของเธอนอนหลับอยู่
ฉันเลยต้องไปปลูกต้นไม้ในกระถางแทน

ลิซ่าอยู่ที่โรงเรียนกับฉันด้วยล่ะ
วันนี้ ฉันพาเธอไปคุยกับคุณมอนโร
แต่คุณมอนโรเธอกลับโกรธมาก
เพราะว่าคุณมอนโรเธอมองไม่เห็นลิซ่า
ลิซ่าเลยเสียใจ ดังนั้น ลิซ่าเลยเอาแปรงลบกระดานไปซ่อนซะเลย

เมื่อวานนี้ มันคือวันฉลองวันเกิดของฉัน
คุณแม่ซื้อพิซซ่ามาให้ แต่ว่าไม่มีใครมาหาเลย
ลิซ่าบอกว่า มีคนมาที่ระเบียงแล้วกลับไปแล้วล่ะ
แต่พวกเขาได้ทิ้งของขวัญเอาไว้ด้วยนะ
ฉันได้ตุ๊กตาบาร์บี้ตั้งสามตัว แล้วก็รองเท้า กับเงินตั้ง 5$
ฉันกับลิซ่า เลยได้เล่นตุ๊กตาบาร์บี้ด้วยกัน

วันนี้ คุณมอนโรเธอไม่มา มีคนมาแทน
เธอชื่อว่าคุณดิ๊กแมน คุณดิ๊กแมนทั้งน่ารักแล้วก็นิสัยดี
แถมยังให้พวกเราได้พักกินขนมหลังจากการเขียนไดอารี่ด้วย
ฉันอยากให้คุณดิ๊กแมนได้มาเป็นคุณครูของเราจังเลย

วันนี้ โจนนาธิน ปาร์เกอร์ ขโมยกระเป๋าใส่ดินสอของฉันไป
คุณดิ๊กแมนช่วยหามันจนเจอ
เธอเลยบอกให้โจนนาธินให้ดินสอของเขากับฉันด้วย
ลิซ่ามาที่โรงเรียนด้วยล่ะ แต่คุณดิ๊กแมนเธอมองไม่เห็น
แต่ว่าคุณดิ๊กแมนบอกว่า เธอเชื่อว่าลิซ่ามีจริงนะ

เมื่อวานนี้ ลิซ่ากับฉันออกไปเดินเที่ยวด้วยกัน
จนพระจันทร์ขึ้นเลยล่ะ คุณพ่อน่าจะโกรธจริง ๆ
พ่อบอกว่า ลิซ่าบ้าบออะไร ไม่มีจริงหรอก
ลิซ่าเลยเสียใจ แล้วเธอก็หายไป
วันนี้เธอไม่ได้มาโรงเรียนด้วย แต่คุณดิ๊กแมนบอกว่า
คุณมอนโรจะไม่กลับมาอีกแล้วล่ะ

คุณพ่อไปทำงานทั้งวันตั้งแต่เมื่อวาน
เขาไม่ได้กลับบ้านมากินอาหารค่ำด้วย 
วันนี้พ่อก็ยังคงอยู่ที่ทำงานอยู่เลย
คุณแม่จัดขนมพุดดิ้งไว้กับอาหารกลางวันวันนี้ล่ะ 
พุดดิ้งเนี่ย ของโปรดของฉันเลย

ฉันคิดถึงลิซ่าจัง คุณพ่อก็ยุ่งอยู่ที่ทำงาน
เขาไม่กลับมาบ้านตอนวันหยุด 
คุณแม่เลยโกรธคุณพ่อมาก
ฉันเลยเขียนจดหมายหาลิซ่า

สวัสดีลิซ่า ฉันคิดถึงเธอมากเลย
ได้โปรดกลับมาเถอะนะ 
ฉันขอโทษเรื่องที่คุณพ่อบอกวันนั้น 
เธอคือเพื่อนที่ดีที่สุดของฉัน

เมื่อวานลิซ่ากลับมาแล้วล่ะ เธอบอกว่าเธอขอโทษที่ทิ้งฉันไป
แล้วฉันก็เลยบอกเธอเรื่องคุณพ่อ ที่ไม่ได้กลับมาบ้านเลย
ลิซ่าบอกว่า... คุณมอนโรกับคุณพ่อนั้น
พวกเขากำลังนอนอยู่ เหมือนกับคุณพ่อของลิซ่าเลย
ฉันก็หวังว่าพวกเขาจะตื่นขึ้นมาเร็ว ๆ นี้


หลังจากที่มิติที่ 6 ได้อ่านเรื่องราวจากไดอารี่น่ากลัวชุดนี้จบ ก็ได้พยายามค้นหาแหล่งที่มาแท้จริงของเรื่องราวสุดน่ากลัวนี้ เพราะถ้ามันเป็นเรื่องจริง นั่นก็หมายความว่า เด็กคนนี้ไม่ได้รู้เลยว่าคุณพ่อกับคุณมอนโรคุณครูที่โรงเรียนของเธอ ได้เสียชีวิตไปแล้ว โดยวิญญาณที่ชื่อ "ลิซ่า" เป็นตัวการ

เรื่องราวดังกล่าว จะเป็นเรื่องจริงตามในไดอารี่หรือไม่ มันผ่านมากี่ปีแล้วกันแน่ และตอนนี้เด็กคนนี้จะเป็นอย่างไรบ้าง ? เราจะขอพาท่านไปพบกับความจริงของเรื่องราวนี้ไปด้วยกัน


เรื่องของลิซ่า เป็นผลงานการวาดภาพของศิลปินนามปากกา "เลวีวีรีเด" หรือ "ซันนี่ ชไรเนอร์" ซึ่งแนวการวาดภาพของเธอนั้น อยู่ในสไตล์สยองขวัญผสมความน่ารัก โดยใช้ลายเส้นง่าย ๆ แต่สามารถสร้างบรรยากาศน่ากลัวให้กับผู้ที่แวะมาชมผลงานของเธอ

สำหรับเรื่องราวของลิซ่านั้น ได้ถูกเวบไซต์แนวสยองขวัญมากมายนำไปโพสต์ เนื่องจากตัวของซันนี่ ชไรเนอร์ ได้นำภาพชุดนี้โพสต์ลงในเวบไซต์ "เดเวี่ยนอาร์ต" เมื่อช่วงเดือนธันวาคม ค.ศ. 2013 โดยเธอได้เล่าให้กับเวบไซต์ "ป็อบคอร์นเฮอเร่อ" เกี่ยวกับเรื่องราวนี้ว่า

เธอได้วาดภาพชุดนี้เก็บเอาไว้เมื่ออายุประมาณ 13 ปี และ 6 ปี ต่อมา เธอได้นำมันมาให้เพื่อน ๆ ดู ปรากฏว่าเพื่อน ๆ ทุกคนที่ได้อ่าน ต่างก็ชื่นชอบ และแนะนำให้เธอสแกนเรื่องราวนี้อัพโหลดลงแกลเลอรี่ของเธอบนเวบไซต์ "เดเวี่ยนอาร์ต" และเวบไซต์สังคมชื่อว่า "โฟร์ชาแนล(4chan)" ซึ่งผลตอบรับนั้นค่อนข้างจะทำให้เธอประหลาดใจมาก

เพราะหลังจากที่เธอได้อัพลงเวบไซต์ไม่นาน เรื่องราวของเธอก็ได้ถูกนำไปโพสต์ต่อ โดยแฟน ๆ ที่นำไปโพสต์ดังกล่าว ได้ตั้งชื่อเรื่องราวของเธอว่า "เดอะ พิงค์ แบ็คแพ็ค" โดยหลังจากที่ชื่อเรื่องได้ถูกตั้งขึ้น มันก็ยิ่งสร้างความหลอนให้กับเรื่องราวเพิ่มขึ้นไปอีก

ลิซ่าได้เล่าถึงแรงบันดาลใจของเรื่องนี้ว่า ในตอนแรกเธอไม่ได้คิดอะไรมาก วันหนึ่งเธอเดินไปหาซื้อของด้วยอารมณ์เบื่อ ๆ ตอนนั้นเธอก็ไปเห็นสมุดไดอารี่ธรรมดา ๆ เล่มนึง ซันนี่ก็นึกขึ้นมาว่า ไดอารี่แบบนี้ เธอเคยใช้สมัยเด็ก ๆ และด้วยความที่ซันนี่เองก็เป็นคนที่ชอบเรื่องราวน่ากลัวอยู่แล้ว เธอจึงเริ่มคิดว่า เธอจะสร้างงานน่ากลัวสยองขวัญจากสมุดไดอารี่เล่มนี้ได้อย่างไรบ้าง

จากนั้นเธอก็จึงตัดสินใจซื้อสมุดเล่มนี้กลับมาพร้อมกับสีเทียน แล้วก็ได้เริ่มสร้างงานขึ้นมา ซึ่งจริง ๆ ในตอนแรกนั้น เธอกะว่าจะวาดการ์ตูนซีรี่สยองขวัญชื่อว่า "แฟมิลี่เอาท์ติ้ง" หรือ "การออกไปนอกบ้านของครอบครัว" ด้วยสไตล์วาดภาพแบบคนป่วยทางจิตที่วาดรูปไม่ได้เรื่อง ประมาณเรื่องการพักผ่อนของครอบครัว ที่มีภาพการเผาบ้าน โดยที่ทิ้งเด็ก ๆ เอาไว้ ส่วนพ่อแม่ก็ขับรถไปเที่ยวนอกบ้าน แต่แล้วซันนี่ก็เปลี่ยนใจมาเขียนเรื่องราวอีกทาง โดยใช้เด็กที่มีเพื่อนในจินตนาการเป็นตัวเล่าเรื่อง

ถึงเราจะทราบกันแล้วว่า เรื่องราวของลิซ่า นั้นไม่ได้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริง แต่ด้วยความน่ากลัวของการเล่าเรื่อง ทำให้เรื่องนี้ได้ถูกผู้กำกับหนังสั้น ได้นำไปทำเป็นภาพยนต์แนวสยองขวัญ ในชื่อเรื่องว่า "ลิซ่า" โดยดัดแปลงให้ตัวเอกเป็นเด็กผู้ชาย และในตอนจบ ก็ได้ใช้ภาพวาดแนวเดียวกับของซันนี่ด้วย

ภาพยนต์ เรื่อง "LISA"

มิติที่ 6 คิดว่า หลังจากจบเรื่องนี้แล้ว ถ้าพวกเราลองไปค้นดูสมุดวาดภาพไดอารี่ที่เคยวาดเล่นไว้ตอนเด็ก ๆ กลับมาดูสักหน่อย ว่าเรานั้นเคยมีเพื่อนที่ใคร ๆ ก็มองไม่เห็น เหมือนกับเรื่องของลิซ่า ซักคนไหม ?


แปลและเรียบเรียงโดย นิวัฒน์ อ่ำแสง
ขอบคุณที่มา
http://popcornhorror.com/story-lisa/

1 เมษายน 2559

มิติที่ 6 แบล็คไนท์ แซทเทิลไลท์ อัศวินสีดำจากห้วงอวกาศ




มีเรื่องเล่าขานกันว่า มันคือดาวเทียมที่มนุษย์ต่างดาวส่งมายังโลกเมื่อ 13000 ปีก่อน บ้างก็อ้างว่าในปี ค.ศ. 1899 นั้น นิโคลา เทสล่า ได้พบสัญญาณวิทยุส่งมาจากตัวมัน ทั้งดาวเทียม ทั้งมนุษย์อวกาศ ต่างก็เห็นมันด้วยตาเปล่าข้างบนนั้น ทั้งภาพถ่ายจากอวกาศที่จับภาพมันไว้ได้อย่างชัดเจน ถูกเผยแพร่สู่สาธารณะชนแล้ว แต่ทำไมรัฐบาลสหรัฐอเมริกากลับพยายามเบี่ยงประเด็น แสดงออกว่ามันไม่มีตัวตน และไม่ได้มีอะไรน่าสนใจ หรือว่าจริงๆ แล้วพวกเขาซ่อนความลับอะไรบางอย่างเอาไว้ ?


ปี ค.ศ. 1940 สื่อมวลชนสายเรื่องราวลึกลับของประเทศสหรัฐอเมริกา ได้ตีพิมพ์เรื่องของวัตถุแปลกปลอมชิ้นหนึ่ง ที่ล่องลอยโคจรอยู่รอบโลกมาเป็นเวลานานแล้ว เมื่อข่าวนี้ได้เผยแพร่ออกไป ทางเพ็นตาก้อน หน่วยงานด้านความปลอดภัยของอเมริกา กลับทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ มิติที่ 6 วันนี้ เราจะพาท่านออกไปยังสุดชั้นบรรยากาศของโลก เพื่อพบกับมัน !!!
ภาพถ่ายจริงของวัตถุลึกลับ
หลังจากที่เรื่องราวของวัตถุลึกลับได้ถูกเผยแพร่ออกไป ท่ามกลางความสงสัยของเหล่านักสืบปริศนาดาราศาสตร์ของอเมริกา ต่างก็พากันตั้งข้อสงสัยถึงวัตถุแปลกประหลาดชิ้นหนึ่ง วัตถุที่ไม่สามารถระบุแหล่งที่มาได้ วัตถุที่ไม่ใช่จานดาวเทียมของอเมริกา จนถึงวันที่ 14 พฤษภาคม ค.ศ. 1954 เรื่องราวของวัตถุลึกลับนี้ก็ได้ถูกพูดถึงอีกครั้งโดยหนังสือพิมพ์เซนต์หลุยส์โพสต์ ดิสแพทช์ ที่พาดหัวข่าวใหญ่ว่า

"เจ้าดาวเทียมลึกลับนั้น มันโคจรรอบโลก และมันมีถึง 2 ชิ้น เลยทีเดียว"

โดยเนื้อหาข่าวบอกว่า เมื่อ 3 สัปดาห์ก่อนนั้น ทางผู้นำของกองทัพอเมริกัน ได้ตรวจพบดาวเทียมสีดำอันลึกลับ มันโคจรอยู่รอบโลก ซึ่งมีความเป็นไปได้ว่ามันเป็นดาวเทียมจากฝ่ายศัตรูอย่างรัสเซีย ซึ่งเรื่องนี้ทำให้กองทัพรู้สึกว่า มันจะต้องได้รับการเปิดเผยว่า มีอะไรบางอย่างกำลังแอบมองชาวอเมริกันอยู่ และเมื่อกองทัพได้ส่งเครื่องบินไปตรวจสอบใกล้ ๆ ก็กลับพบว่ามันได้หายไป
ภาพถ่ายวัตถุลึกลับบริเวณขั้วโลก
และในวันที่ 23 สิงหาคม ค.ศ. 1954 นิตยาสารเทคโนโลยี แมกกาซีน เอเวียชั่น วีค แอนด์สเปซ เทคโนโลยี ได้ตีพิมพ์บทความ โดยอ้างว่า เพนตาก้อน ได้พยายามปิดบังข้อมูลของมัน !!

ซึ่งภายหลัง "ดร. ลินคอล์น ลาปาซ" ผู้เชี่ยวชาญเรื่องสิ่งมีชีวิตนอกโลกของมหาวิทยาลัยนิวเม็กซิโก ได้เป็นผู้ก่อตั้งโครงการระบุตัวตนของมัน และในที่สุดก็พบว่า ดาวเทียมประหลาดนี้ มีอยู่ทั้งสิ้น 2 ชิ้น ชิ้นแรกโคจรอยู่เหนือพื้นโลกบริเวณขั้วโลกประมาณ 400 ไมล์ และอีกชิ้น โคจรอยู่ในระยะ 600 ไมล์ ซึ่งทางเพนตาก้อนคิดว่า มันเป็นเพียงซากของยานอวกาศของกองทัพอเมริกา ที่ถูกรัสเซียทำลายไว้เท่านั้น
ดร. ลินคอล์น ลาปาซ
ความสนใจต่อดาวเทียมลึกลับนี้ ได้เริ่มเป็นที่สนใจเป็นวงกว้างมากขึ้น เมื่อปี ค.ศ. 1957 นั้น ดาวเทียมดวงแรกของโลก ชื่อว่า "สปุ๊ตนิก 1"  ได้รายงานว่าพบวัตถุที่ไม่สามารถระบุที่มาได้ชิ้นหนึ่งอย่างเป็นทางการ โดยวิเคราะห์แล้วก็พบว่า มันน่าจะโคจรอยู่ทางขั้วโลกอย่างโดดเดี่ยวมานานมากแล้ว ซึ่งในสมัยนั้นยังไม่มีประเทศไหน สามารถคิดค้นอะไรให้มาโคจรรอบโลกที่บริเวณขั้วโลกใต้มาก่อน และกว่าจะมีการส่งดาวเทียมไปโคจรที่บริเวณนี้จริง ๆ โลกก็อยู่ในยุคปี ค.ศ. 1960 แล้ว

ซึ่งเมื่อถึงปี ค.ศ. 1960 จริง ๆ เรื่องของมันก็สร้างความมหัศจรรย์ให้กับเหล่านักอวกาศนิยมกันมาก มีนักวิทยาศาสตร์ได้คำนวนน้ำหนักของมันว่า น่าจะหนักได้มากกว่า 10 ตันเลยทีเดียว

ต่อมาในปี ค.ศ. 1963 เมื่อ "กอร์ดอน คูเปอร์" ได้ขึ้นสู่อวกาศ ในการโคจรรอบโลกครั้งสุดท้าย เขาได้รายงานถึงการพบวัตถุสีเขียว ลอยผ่านด้านหน้าของยานอวกาศ แต่เมื่อเขาได้กลับมายังพื้นโลก นักข่าวของสำนักข่าว NBC กลับไม่ได้รับอนุญาตให้สัมภาษณ์คูเปอร์ถึงเรื่องนี้เลย และมีการกลบเกลื่อนสิ่งที่เขาเห็นว่าจริง ๆ มันเป็นเพียงก้อนคาร์บอนไดออกไซด์หนาแน่น ที่ทำให้คูเปอร์เห็นภาพหลอนเท่านั้น
กอร์ดอน คูเปอร์
ปี ค.ศ. 1973 "ดันแคน ลูแนน" นักเขียนชาวสก็อตแลนด์ ได้ตั้งสมมติฐานระบุอายุของมันว่า มันอยู่คู่โลกมากว่า 13000 ปีแล้ว และแท้ที่จริง เจ้าอัศวินดำนี้ กำลังทำหน้าที่สอดส่องดูความเป็นไปของโลกเรา และส่งข้อมูลกลับไปยังดาวที่มันจากมา ซึ่งถึงแม้เรื่องนี้จะดูคลุมเครื่อ แต่มันก็สามารถสร้างสีสันให้กับเรื่องของมันได้มากเลยทีเดียว
ดันแคน ลูแนน นักเขียนชาวสก๊อต
แต่อย่างไรก็ดี เจ้าวัตถุลึกลับดังกล่าวนี้ มันได้ล่องลอยโคจรอยู่บริเวณขั้วโลกของเราอย่างเหงา ๆ ลำพังมานานก็จริง แต่ปัจจุบันนี้ มนุษย์เรานั้นก็พัฒนาตัวเองจนสามารถจะบินขึ้นไปอยู่เป็นเพื่อนกับมันได้แล้ว
นักทฤษฎีสมคบคิดล้วนลงความเห็นที่จะเรียกมันว่า "แบล็คไนท์ แซทเทิลไลท์" ด้วยลักษณะของมันที่ดูคล้ายมนุษย์ และมีสีดำ ยิ่งทำให้มันดูน่าหลงไหล น่าค้นหาเพิ่มเข้าไปอีก

โดยภาพถ่ายทางอวกาศของมัน ได้ถูกทางองค์การนาซ่า ถ่ายไว้มากมาย และได้นำออกมาเผยแพร่ให้สาธารณชนได้ชมกัน

แต่อีกด้านของนักมโนยูเอฟโอที่ได้ให้ความสนใจเกี่ยวกับเจ้าอัศวินดำก้อนนี้ ต่างพยายามค้นหาข้อมูลลึก ๆ ของมันไปในรูปแบบต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นความพยายามในการจินตนาการรูปร่างที่แท้จริงภายใต้เงามืดของมัน ว่าจริง ๆ แล้วมันคือยานอวกาศรูปร่างคน
และก็มีบางคน พยายามบอกว่า แท้ที่จริง เจ้าอัศวินดำนี้ ไม่น่าจะมาจากไหนลึกลับ เพราะรูปร่างของมันหลาย ๆ ส่วน คล้ายคลึงกับชิ้นส่วนของยานอวกาศที่ถูกสลัดออกมาช่วงที่กำลังบินขึ้นไป

และบางคนก็บอกว่า มันเป็นเพียงชิ้นส่วนที่หลุดจากการซ่อมแซมดาวเทียมเท่านั้นเอง โดยได้นำภาพของมัน มาเทียบเชิงซ้อนกับชิ้นส่วนดังกล่าวด้วย

และสาเหตุที่ทำให้ช่วงนี้ มีผู้คนในโลกอินเตอร์เน็ต ได้พูดถึงมันกันเป็นอย่างมากนั้น ก็มาจากภาพยนต์ส่งเสริมการขายของบริษัทเปบซี่ เรื่อง "แบล็คไนท์ ดีโค้ดเด็ด" โดยเรื่องราวพูดถึงความพยายามของมนุษย์ที่จะส่งข้อความออกไปยังอวกาศภายนอก โดยสร้างสัญลักษณ์แห่งความเป็นมิตรทางพื้นดิน ให้เจ้าอัศวินสีดำบนอวกาศได้ถ่ายทอดออกไปยังดาวอันไกลโพ้น ซึ่งภาพยนต์ชุดนี้ ท่านสามารถแวะไปชมกันได้ในยูทูป ตามในลิงค์ด้านล่างนี้

ภาพยนต์จาก PEPSI
BLACK KNIGHT DECODED


ซึ่งไม่ว่าความจริงจะเป็นเช่นไร มันเป็นดาวเทียมของมนุษย์ต่างดาว หรือมันจะเป็นเพียงขยะอวกาศ แต่มันก็ทำให้เรารู้ว่า ภายนอกของโลกใบนี้ ถึงมันจะยังมีเรื่องราวอีกมากมายให้เราได้ค้นหา แต่เพียงแค่อยู่ใกล้ ๆ สายตา เรากลับไม่สามารถที่จะรู้จักตัวตนที่แท้จริงของมันได้เลย

"เจ้าอัศวินดำ แบล็คไนท์ แซเทิลไลท์"


พบกับเรื่องราวเบา ๆ ทุกวันศุกร์สะดวก กับมิติที่ 6 ศุกร์สยองขวัญกันได้นะครับ หลังจากอ่านจบแล้ว อย่าลืมสับสไครป์ กดไลค์ กดแชร์ และทิ้งคอมเม้นท์กันไว้นะครับ แล้วพบกันใหม่ สวัสดี...


แปล/เรียบเรียง/บรรยายโดย นิวัฒน์ อ่ำแสง
http://www.ancient-code.com/the-black-knight-a-13000-year-old-alien-satellite/
https://en.wikipedia.org/wiki/Black_Knight_satellite

ประกาศ

เพื่อเป็นกำลังใจเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้กับเรา ขอความร่วมมือจากผู้ที่นำเรื่องราวจากมิติที่ 6 ไปใช้ในที่ของท่าน กรุณาลงเครดิตกลับมาที่เราจะเป็นพระคุณอย่างสูงครับ