15 เมษายน 2559

มิติที่ 6 ศุกร์สยองขวัญ ตอน ปริศนาลึกลับที่ไขกระจ่างแล้ว แต่ไม่มีใครเชื่อ !!!




ขึ้นชื่อว่าปริศนาลึกลับ นั้นย่อมหมายความว่า มันคือเรื่องแปลกประหลาดที่เกิดขึ้นมาโดยที่ไม่มีใครสามารถอธิบายได้ เมื่อเวลาผ่านไปนานเข้า มันจึงกลายเป็นสเน่ห์ดึงดูดให้ผู้คนพยายามค้นหาคำตอบ มิติที่ 6 ศุกร์สยองขวัญ วันเบา ๆ กับเราทุกศุกร์สะดวกวันนี้ จะขอพาท่านไปพบกับปริศนาที่ถูกไขกระจ่างแล้ว แต่เรื่องราวของมัน ก็ยังคงถูกเล่าขานว่าเป็นปริศนาอยู่ดี !!




ลูกอมปริศนา เคลิกซ์ดอร์พ


ในช่วงสองสามปีที่ผ่านมานี้ ข่าวการพบลูกหินประหลาดอายุสามพันล้านปี ทรงกลมขนาดเล็ก ผิวเรียบ มีลายเส้นรอบวง จากพื้นที่เหมืองฟีโลฟิไลท์ ในประเทศอาฟริกาใต้ ได้ถูกเปิดเผยครั้งแรกในช่วงปี 1970s โดยคาดกันว่ามันถูกสร้างขึ้นมาจากสิ่งมีชีวิตที่มีอารยธรรมสูง ผู้คนบางกลุ่มเชื่อว่ามันถูกสร้างจากอารยธรรมต่างดาว และมีความแข็งแกร่งกว่าเหล็ก โดยถึงกับอ้างรายงานจากนาซ่ากันเลยว่า มันเป็นวัสดุที่แข็งแกร่ง ไม่สามารถทุบทำลายได้ง่าย ๆ


ซึ่งความจริงได้ถูกเปิดเผยขึ้นเมื่อวัตถุเหล่านี้ได้ถูกนำมาวิเคราะห์จริงจัง นักวิทยาศาสตร์พบว่า แท้ที่จริงแล้ว รูปร่างของเจ้าเคลิกซ์ดอร์พนี้ มันก็ไม่ได้มีลักษณะเป็นทรงกลมสมบูรณ์แต่อย่างใด มันเป็นเพียงสิ่งที่เกิดขึ้นมาตามธรรมชาติ จากตะกอนของแร่ในเหมืองนั่นเอง ส่วนร่องรอยสามขีดรอบวัตถุนี้ ก็เป็นเพียงเรื่องบังเอิญที่เกิดจากการกรัดเซาะของน้ำในช่วงเวลานานเท่านั้น และมันเองก็ไม่ได้มีความแข็งแกร่งเหมือนอย่างที่ข่าวลืออ้างมา ที่แน่ ๆ นาซ่าเองก็ไม่เคยรายงานถึงเจ้าหินทรงกลมนี้เลย แสดงว่าเรื่องราวแปลก ๆ ของมัน ถูกชาวอินเตอร์เน็ตสร้างขึ้นมาเพื่อความบันเทิงเท่านั้นเอง



ซากวัวปริศนา


ในประเทศสหรฐอเมริกาและหลาย ๆ ประเทศทางแถบทวีปอเมริกา ได้มีรายงานเรื่องราวการตายอย่างปริศนาของฝูงวัวหลายแห่ง ซึ่งในแต่ละท้องที่ ล้วนบอกเล่าเรื่องราวอันลึกลับว่า วัวพวกนี้ได้ถูกอะไรบางอย่างทำให้เสียชีวิต ลักษณะการตายที่แปลกประหลาด รอยแผลที่ดูราวกับว่า พวกมันถูกใครบางคนทำการผ่าตัด ร่างของมันถูกบางอย่างผ่าออก เครื่องในของพวกมันล้วนถูกควักออกไป ทั้งดวงตา ลิ้น และทวารหนักของพวกมันก็ถูกตัดหายไป


แต่สิ่งหนึ่งที่ทำให้ชาวบ้านที่อยู่ในเหตุการณ์ถึงกับต้องขวัญผวา ก็น่าจะอยู่ที่ซากศพของวัวเหล่านั้น เหมือนถูกบางสิ่งบางอย่าง ดูดเอาเลือดของพวกมันไปจนหมด !!


จะพูดให้ชัด ๆ ก็คือ ชาวบ้านต่างเชื่อว่าเหตุการณ์นี้ ถ้าไม่ใช่ฝีมือของแวมไพร์ ก็ต้องเป็นฝีมือของมนุษย์ต่างดาว หรือไม่ก็เป็นฝีมือของพวกคลั่งลัทธิซาตาน ที่จับพวกวัวเหล่านี้ไปทำพิธีบูชายัญ บางคนถึงกับนึกไปถึงสัตว์ประหลาดลึกลับอย่าง เอล ชูพาคาบรา ที่ถูกเล่าขานกันในประเทศสเปนกันเลยทีเดียว

ใช่แล้ว มันมีอะไรบางอย่างเกิดขึ้นแน่ ๆ แต่ว่า เรื่องจริงมันคืออะไร ?

แม้เรื่องราวปริศนานี้จะถูกเล่าขานต่อเนื่องกันมาจนถึงทุกวันนี้ แต่จริง ๆ เรื่องนี้ได้ถูกเปิดเผยสาเหตุที่แท้จริงมาตั้งแต่ช่วงปี 1970s แล้วว่า ในตอนนั้นมีทั้งหน่วยงานสรรพสามิต และหน่วยพิเศษเอฟบีไอ ได้ทำการสืบสวนสาเหตุถึงที่มาการตายของฝูงวัวเหล่านี้ ซึ่งผลการสืบสวนของพวกเขาได้ระบุว่า แท้ที่จริงแล้วฝูงวัวเหล่านี้ไม่ได้ถูกแวมไพร์ดูดเลือด ไม่ได้ถูกมนุษย์ต่างดาว หรือสัตว์ประหลาดมาทำให้กลายเป็นแบบนี้ทั้งสิ้น


แต่ที่สภาพศพของพวกมันกลายเป็นแบบนั้นไป สภาพที่ดูเหมือนกับว่าถูกอะไรบางอย่าง ผ่าตัดคว้านเอาเครื่องในออกไป ที่ชาวบ้านสงสัยว่ามันเกิดขึ้นมาได้อย่างไรนั้น แท้ที่จริงแล้ววัวเกือบทั้งหมด ที่เสียชีวิตในสภาพนั้น ล้วนแล้วแต่ถูกล่าโดยฝูงหมาป่าในท้องที่ เพราะนักล่าพวกนี้ล้วนมีพฤติกรรมชอบล่าสัตว์ใหญ่ที่ไร้ทางสู้อย่างวัวอยู่แล้ว และเมื่อพวกมันล่าวัวได้สำเร็จ สิ่งที่พวกมันจะจัดการต่อไปก็คือการกินวัวพวกนี้ ซึ่งแน่นอนว่า ส่วนที่พวกหมาป่าเหล่านี้ชอบมากที่สุดก็คือบริเวณท้อง พวกมันจะกัดกินส่วนท้องของวัวก่อนเป็นอันดับแรก ซึ่งนั่นก็เลยเป็นที่มาที่ทำให้เครื่องในของพวกมันล้วนหายไปโดยไร้ร่องรอย

แล้วส่วนอื่น ๆ อย่างลูกนัยตา เนื้อบริเวณปากอย่างเช่นลิ้น เหงือกของพวกวัวล่ะ มันหายไปไหน ? คำตอบจากเจ้าหน้าที่เอฟบีไอนั้น อธิบายว่า หลังจากที่พวกวัวเหล่านี้ถูกหมาป่าแทะเอาพุงไปกินจนอิ่มหนำแล้ว ซากวัวเหล่านี้ก็จะถูกเหล่าแมลงเช่น แมลงวัน หรือแมลงกินศพอื่น ๆ ที่ชอบกินอวัยวะจุดที่นิ่ม ๆ อย่างลูกนัยตา และเนื้อลิ้น เหงือ และกระพุ้งแก้มในปาก ก็จะเริ่มมาแทะเล็มทีละนิด ๆ จนอิ่ม ซึ่งแน่นอนว่า จำนวนของพวกแมลงพวกนี้โดยปกติมันก็มีมากมายอยู่แล้ว แถมแมลงเหล่านี้ ก็นิยมจะวางไข่ในซากศพวัวด้วย จึงทำให้พวกมันมีจำนวนมากพอที่จะแทะศพจนแหว่งได้เช่นกัน

ซึ่งแน่นอนว่า ทั้งฝูงหมาป่า และแมลงเหล่านี้นี่เอง ที่ทำให้เลือดของวัวหายไป เพราะพวกมันก็แค่ดูดกินเลือดไปด้วยระหว่างที่แทะร่างวัวนั่นเอง แต่ก็นั่นแหละ ชาวบ้านที่เชื่อเรื่องลึกลับไปตั้งแต่แรก ใครจะไปเชื่อเรื่องจริงกัน ?



ปริศนาลายเส้นแห่งนาซก้า


ลายเส้นแห่งนาซก้า แห่งประเทศเปรูนั้น ได้ถูกค้นพบครั้งแรกเมื่อช่วงปี ค.ศ. 1930 จากนักบินท้องที่ ที่บินด้วยความสูงบริเวณนั้น สังเกตเห็นลายเส้นปริศนานี้เข้าโดยบังเอิญ

ด้วยลักษณะลายเส้นที่ถูกวาดลงบนพื้นดินอันกว้างใหญ่อันพิศวง รูปร่างภาพวาดที่ดูคล้ายสิ่งมีชีวิต เช่นนก แมงมุม หรือแม้กระทั่งรูปร่างมนุษย์ ที่จะสามารถมองออกได้ก็ต่อเมื่อเราอยู่บนเครื่องบินสูง ๆ นั้น ทำให้ทุกคนเกิดความสงสัยว่า ชาวเมืองนาซก้าในสมัยก่อน สามารถสร้างภาพเหล่านี้ขึ้นมาได้อย่างไร เพราะการที่จะขุดพื้นดินเป็นทางยาวจนเกิดเป็นรูปร่างใหญ่โต หรือแม้แต่การใช้ก้อนหินเรียงกันให้ได้สัดส่วนแบบนั้น มันไม่น่าจะเป็นไปได้เลย


สุดท้ายทุกคนก็ลงความเห็นว่า ลายเส้นปริศนาที่นาซก้านั้น ต้องเกิดจากการถ่ายทอดอารยธรรมจากมนุษย์ต่างดาวแน่ ๆ และสาเหตุที่มนุษย์ต่างดาวต้องสร้างภาพบนพื้นดินใหญ่โตขนาดนี้ ก็เพราะว่าต้องการสัญลักษณ์ทางภาคพื้น ที่สามารถใช้ในการร่อนลงของยานอวกาศได้อย่างเที่ยงตรง และถูกต้องนั่นเอง

นี่แสดงว่า ที่นาซก้าแห่งนี้ เคยมีมนุษย์ต่างดาวบินมาเยี่ยมเยียนบ่อย ๆ แน่นอนใช่ไหม ?

ความเป็นจริงแล้ว ลายเส้นนาซก้านั้น ไม่ได้ถูกมนุษย์ต่างดาวสร้าง และก็ไม่ได้สั่งให้ใครสร้างเลย แต่ลายเส้นเหล่านี้ ล้วนถูกสร้างด้วยน้ำมือของชาวพื้นเมืองที่นั่นเป็นผู้สร้างมันขึ้นมาเท่านั้นเอง


แล้วพวกเขาจะสามารถสร้างลายเส้นขนาดใหญ่นี้ขึ้นมาได้อย่างไร ?

โดยกรรมวิธีการสร้างลายเส้นปริศนานั้น ก็ไม่ได้ยากอะไร ชาวพื้นเมืองเพียงแค่ใช้เชือก ค่อย ๆ ร่างภาพของลายเส้นทีละนิด ไม่ก็ใช้เพียงผงถ่านโรยไปบนพื้น โดย ดร. โจ นิคเคล แห่งมหาวิทยาลัยเคนตักกี้ ได้ทดลองวาดภาพลายเส้นปริศนาแบบนาซก้าได้ด้วยแรงงานผู้ชาย 3 คน และเด็กอีกคน

ดร. โจ นิคเคล

แล้วขนาดใหญ่ขนาดนั้น จะทำให้มันสวยงามมีสัดส่วนถูกต้องได้อย่างไร ?

สำหรับเรื่องนี้ เป็นไปได้ว่าชาวพื้นเมืองที่สร้างมันขึ้นมาในยุคนั้น ไม่ได้สนใจว่ารูปร่างมันจะมีสัดส่วนสมจริงอะไรเลย พวกเขาก็แค่วาดลงไป ให้มันเป็นรูปร่างขึ้นมาเท่านั้นเอง


แล้วทำไว้ให้ใครดูกันล่ะ ?

สำหรับคำถามนี้ คำตอบนั้นง่ายมาก ชาวพื้นเมืองแห่งนาซก้านั้น สร้างลายเส้นเหล่านี้ไว้ดูกันเองนี่แหละ พวกเขามีวิธีดูลายเส้นพวกนั้นจากทางอากาศด้วยวิธีง่าย ๆ

เพราะจากหลักฐานอารยะธรรมโบราณของชาวพื้นเมืองนาซก้านั้น พบว่าพวกเขาสามารถคิดค้นบอลลูนที่มีลักษณะเฉพาะของตัวเองขึ้นมาได้ตั้งแต่สมัยโบราณ โดยพบอีกว่า บนบอลลูนของพวกเขาเอง ก็ได้มีการวาดภาพลายเส้นลักษณะเดียวกันกับลายเส้นบนพื้นที่ปริศนานั้นด้วย ซึ่งบอลลูนพวกนี้ ถูกใช้ในพิธีฉลองวันเกิดของชาวบ้านนั่นเอง


แล้วใครสอนเขาทำบอลลูนกันล่ะ ในสมัยนั้น ไม่น่าจะมีเทคโนโลยีอะไรที่จะใช้สร้างมันขึ้นมาได้เลย ?
คำตอบนี้ ได้ถูกสรุปเอาไว้เป็นคำถามกลับมาว่า ทำไมเราถึงได้ดูถูกสติปัญญาคนโบราณกันจังเลย... ? เพราะในหลายประเทศบนโลกนี้ ล้วนสามารถสร้างบอลลูนในแบบฉบับของตัวเองได้มาตั้งหลายร้อยหลายพันปีมาแล้ว ซึ่งเรื่องนี้ก็น่าจะจริง เพราะอย่างประเทศไทยเรานั้น ก็มีประเพณีลอยโคมกันทุกปี แม้แต่บุญบั้งไฟ ก็คล้ายกับการยิงจรวดขึ้นฟ้า บางทีพวกเราอาจดูถูกสติปัญญาของคนโบราณกันอยู่ก็ได้


แต่ถึงแม้ปริศนาลายเส้นนาซก้าจะถูกอธิบายแล้ว คนไม่เชื่อก็คือไม่เชื่ออยู่ดี !!



เส้นสัมพันธ์ปริศนาเลย์ไลน์


ในปัจจุบัน ได้มีกลุ่มคนผู้ชื่นชอบเรื่องราวปริศนาบางกลุ่ม ได้ออกมาเปิดเผยถึงทฤษฎีใหม่ ทฤษฎีที่ว่าด้วยความสัมพันธ์ของสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ และสถานที่ลึกลับบนโลกใบนี้ ว่าทุกแห่งนั้น ล้วนมีอะไรบางอย่างที่ทำให้เรารู้ว่า พวกมันถูกสร้างขึ้นมาด้วยความจงใจ
พิกัดของแต่ละสถานที่นั้นล้วนถูกคิดคำนวนมาแล้วตั้งแต่ต้น เพราะถ้าหากเรากางแผนที่โลก แล้วกำหนดจุดสถานที่เหล่านั้นไว้ จากนั้นเราจะสามารถลากเส้นต่อเนื่องทุก ๆ สถานที่ให้ถึงกันได้ โดยเส้นที่ได้นั้น ก็ล้วนแล้วแต่มีรูปทรงเรขาคณิตอย่างสมบูรณ์ ไม่ว่าจะเป็นสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า สโตนเฮนจ์ ปีระมิดแห่งกีซ่า และอีกหลาย ๆ แห่ง ก็มีคนพยายามลากเส้นให้สัมพันธ์กันจนได้รูปร่างสวยงาม


หรือว่าเรื่องนี้จะเป็นความจริง สถานที่โบราณทุกแห่ง ล้วนถูกอะไรบางอย่าง กำหนดจุดที่ใช้ก่อสร้างมาตั้งแต่ต้นจริง ๆ หรือ ? หรือว่ามันเป็นการคำนวนที่แม่นยำของสถาปนิกโบราณที่ล่วงรู้ความลับของจักรวาลอันไกลโพ้น ที่ได้รับข่าวสารจากนอกโลกหรือไม่ ?


ความเป็นจริงนั้น เรื่องราวของลายเส้นสัมพันธ์ปริศนานี้ ถูกค้นพบครั้งแรกโดยนักโบราณคดีชื่อว่า อัลเฟรด วัตกินส์ เนื่องจากวันหนึ่ง ในช่วงปี 1921s เขาได้พบว่าสถานที่โบราณหลายแห่งในประเทศอังกฤษ ล้วนแล้วแต่ถูกปลูกสร้างเรียงกันจนสามารถลากเส้นต่อเนื่องกันเป็นเส้นตรงได้ด้วยเส้นเพียงเส้นเดียว ซึ่งสิ่งนี้เอง ที่เป็นจุดเริ่มต้นในการวิจัยเส้นเลย์ ไลน์นี้อย่างจริงจังและได้เผยแพร่ทฤษฎีนี้ขึ้นมาจนคนทั่วโลกเริ่มหันมาสนใจด้วย

ดร. อัลเฟรด วัตกินส์

ทีนี้ปริศนามันก็เลยมีทั้งคำถามและคำตอบง่าย ๆ เกิดขึ้น ก็คือ เส้นเลย์ไลน์ ไม่เคยมีมาก่อนเลย และมันเกิดขึ้นมาเพราะ ดร.อัลเฟร็ต วัตกิ้นส์ ที่สร้างมันขึ้นมาใช่หรือไม่ ?

แต่จะบอกแบบนั้นเสียทีเดียวก็ไม่ได้ เพราะจริง ๆ แล้ว ดร.วัตกินส์นั้น ค่อนข้างจะจริงจังการทำงานมาก เขาไม่ใช่คนที่จะสร้างความเชื่ออะไรขึ้นมาง่าย ๆ หากไม่ได้พิสูจน์ เพราะทฤษฎีเส้นเลย์ไลน์ของเขานั้น เขาสร้างมันขึ้นมาจากสิ่งที่เขาพบในอังกฤษเพียงแห่งเดียว ส่วนเลย์ไลน์แห่งอื่น ๆ นั้น ล้วนแล้วแต่เกิดขึ้นมาจากเหล่าบรรดากลุ่มคนที่อยากจะสร้างเรื่องราวที่ตัวเองคิดเข้าใจอยู่คนเดียว ให้คนทั่วไปได้รับรู้ ได้ตื่นเต้นเหมือนกับที่พวกเขารู้สึก แล้วก็พาลเลยเถิดกันไปถึงเจตจำนงของมนุษย์ต่างดาวที่มีส่วนในการกำหนดพื้นที่ตั้งของโบราณสถานหลายแห่ง โดยอาศัยรูปแบบสถาปนิกเรขาคณิตเป็นเครื่องมือเท่านั้นเอง


ซึ่งแน่นอนว่า เทคนิคการสร้างโบราณสถานต่าง ๆ ของชาวพื้นเมืองในโลกนี้ ล้วนมาจากสิ่งที่เขาคิดค้นขึ้นมา ซึ่งเราก็ไม่ควรดูถูกดูแคลนสติปัญญาของบรรพบุรุษของเราว่า พวกเขานั้นไม่น่าจะสามารถคิดคำนวนสร้างสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมาได้กันแบบนั้น

มนุษย์เรานั้น ฉลาดกันมานานแล้ว หรือว่าไม่จริง ?



และนี่ก็เป็นเพียงบางส่วน ที่มิติที่ 6 ศุกร์สยองขวัญได้หยิบยกขึ้นมาเพื่ออธิบายให้กับพวกเราได้ทราบถึงความจริงว่า เรื่องลึกลับปริศนาบางเรื่องนั้น ถึงแม้จะถูกเปิดเผยมาแล้วกี่ครั้งกี่หนก็ตาม ก็จะถูกบางคนต่อต้านความจริงเหล่านั้นว่า มันไม่จริง และพยายามตั้งขอสงสัยเพิ่มขึ้นไปเรื่อย ๆ โดยไม่พยายามหาคำตอบให้กับคำถามของตัวเองกันสักเท่าไหร่ ซึ่งสุดท้าย ไม่ว่าการกระทำเหล่านี้ จะมีเจตนาอย่างไร มันก็ได้ทำให้เรื่องราวปริศนาพวกนี้ ได้กลายเป็นสเนห์อันน่าหลงไหล และน่าค้นหา ทั้ง ๆ ที่มันก็ไม่ได้ลึกลับกันมาตั้งนานแล้ว !!

บนโลกนี้ก็ยังมีเรื่องราวปริศนาแบบนี้อยู่อีกมากมาย ซึ่งมิติที่ 6 เราจะค้นหาและนำมาเสนอกันอีกต่อไป สวัสดีครับ....



เรียบเรียงและบรรยายโดย นิวัฒน์ อ่ำแสง
ขอบคุณที่มา
http://www.cracked.com/article_19205_10-famous-unsolved-mysteries-easily-explained-by-science.html

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

ประกาศ

เพื่อเป็นกำลังใจเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้กับเรา ขอความร่วมมือจากผู้ที่นำเรื่องราวจากมิติที่ 6 ไปใช้ในที่ของท่าน กรุณาลงเครดิตกลับมาที่เราจะเป็นพระคุณอย่างสูงครับ