ผมอยากจะเริ่มเรื่องด้วยการบอกว่า ปีเตอร์ เทอรี่ เขาติดยาอย่างหนัก... เราทั้งสองเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่ช่วงเรียนวิทยาลัย ซึ่งมันก็เป็นแบบนั้นมาจนผมเรียนจบ และที่ผมใช้คำว่าผมเรียนจบคนเดียว โดยไม่ได้ใช้คำว่าเราทั้งคู่เรียนจบนั้น ก็เพราะปีเตอร์ต้องหยุดเรียนไปก่อนเพื่อเลิกยา ผมเองก็เลยต้องย้ายออกจากหอเพื่อมาเช่าอพาร์ทเมนท์เล็ก ๆ อยู่แทน
ผมไม่ค่อยได้พบกับปีเตอร์เหมือนเมื่อก่อน แต่เราก็มักได้พูดคุยผ่านทางออนไลน์มาจนถึงทุกวันนี้ แต่มันก็จะมีอยู่ช่วงหนึ่งที่ปีเตอร์ไม่ได้ออนไลน์ยาวนานเกือบห้าสัปดาห์ ซึ่งผมก็ไม่ได้เป็นกังวลอะไรนัก สาเหตุมันก็คงเพราะเขาติดยากระมัง นั่นก็เลยทำให้ผมคิดว่าเขาหายไปเพราะอาจจะกำลังน็อกอยู่ก็ได้ แล้วคืนหนึ่งเขาก็กลับมาออนไลน์ ผมก็เลยคิดอยากจะส่งข้อความไปทักทายสักหน่อย แต่ยังไม่ทันที่ผมจะได้ทำอะไร เขาก็ส่งข้อความมาหาผมว่า...
“เดวิด... เราอยากคุยด้วย !!!”
กดเพื่อชมบนยูทูป |
มิติที่ 6 ศุกร์สยองขวัญ กับเรื่องราวเบา ๆ ในวันศุกร์สะดวกสัปดาห์นี้ เราจะเล่าเรื่องราวต้นฉบับของมัน บ้านปริศนาที่ไม่เคยมีใครรู้ว่าจุดสิ้นสุดมันอยู่ที่ตรงไหน ว่าเรื่องราวนี้... มันคืออะไรกันแน่ !?
และตอนนั้นเองที่เขาได้เล่าเรื่องราวของมัน NoEnd House (บ้านที่ไร้จุดจบ) ชื่อที่มันได้มาแบบนั้นก็เพราะไม่เคยมีใครสามารถรู้ได้ว่าจุดสิ้นสุดของบ้านมันอยู่ตรงไหน มันมีกฎง่าย ๆ ที่ได้ยินกันบ่อย ๆ ก็คือ หาห้องสุดท้ายให้เจอ แล้วก็เอาไปเลย 500 เหรียญ มันมีห้องทั้งหมด 9 ห้อง ตัวบ้านตั้งอยู่ที่บริเวณนอกตัวเมือง อยู่ห่างจากบ้านของผมไปประมาณ 4 ไมล์
ผมจึงบอกเขาว่าเดี๋ยวผมจะลองไปที่นั่นในคืนวันพรุ่งนี้ เพราะเรื่อง 500 เหรียญนั่นมันก็ถือเป็นอะไรที่น่าลองอยู่แล้ว ซึ่งคืนต่อมาผมก็เดินทางไปตามที่พูด
พอมาถึงผมก็รู้สึกได้ทันทีว่าตัวบ้านแห่งนี้มันมีอะไรแปลก ๆ เอาเป็นว่าคุณเคยเห็นหรืออ่านอะไรที่แบบ จริง ๆ เรื่องมันไม่มีอะไรน่ากลัว แต่มันกลับมีอะไรทำให้ตัวเองขนลุกกันบ้างไหม ? พอผมเดินตรงไปที่ตัวบ้าน มันก็ทำให้ผมรู้สึกแบบนั้นทันที นี่ขนาดแค่ได้เปิดประตูหน้าเท่านั้นเองนะ !
หัวใจของผมแทบจะหยุดเต้นจนต้องหายใจเข้าลึก ๆ ในขณะที่เริ่มเดินเข้าไป ตรงนี้มันดูเหมือนกับล็อบบี้ของโรงแรม ที่ตกแต่งบรรยากาศเอาไว้สำหรับวันฮาโลวีน มีป้ายแปะไว้ตรงจุดต้อนรับเขียนว่า...
“ห้องที่หนึ่ง... อยู่ทางนี้ ! ยังมีอีก 8 ห้องรออยู่ ! ไปให้ถึงห้องสุดท้ายแล้วคุณจะชนะ !”เห็นแบบนั้นผมก็หลุดขำออกมานิดหน่อย ก่อนที่จะเดินต่อเพื่อเข้าไปดูห้องแรกทันที
ห้องแรกนี่มันทำผมขำหนักมาก ของประดับในนี้มันมีแต่ชุดตกแต่งวันฮาโลวีนที่มันหาซื้อได้แถว ๆ โลตัสไม่ก็บิ๊กซี ทั้งผีีผ้าห่ม ทั้งหุ่นซอมบี้ ที่มันจะส่งเสียงคำรามยามเมื่อคุณเดินผ่าน แล้วที่ทางออกไกล ๆ นั่น มันก็คือประตูเพียงบ้านเดียวที่ผมเห็น นั่นจึงทำให้ผมเดินฝ่าใยแมงมุมปลอม เพื่อมุ่งหน้าเข้าสู่ห้องที่สองในทันที พอเปิดประตูเข้าไปผมก็ถูกทักทายด้วยไอหมอก
"ห้องที่สอง" นี้ดูเหมือนจะใช้เทคโนโลยีที่ดีกว่าห้องแรก เพราะไม่เพียงแต่จะมีเครื่องพ่นควัน ผมก็ยังเห็นค้างคาวตัวหนึ่งกำลังห้อยหัวลงมาจากเพดาน แถมยังสามารถบินไปมาเป็นวงกลมได้ซะด้วย
ชักจะเริ่มน่ากลัวแล้วสิ แถมยังได้ยินเสียงเพลงบรรยากาศแบบบ้านผีสิงที่สามารถหาซื้อได้จากร้านทุกอย่าง 20 บาท เปิดให้ได้ยินจากตรงไหนในห้องสักแห่ง คือผมหาเครื่องเสียงไม่เจอ แต่มันน่าจะดังมาจากลำโพงเครื่องเล่นนี่แหละ ผมเดินข้ามพวกหนูของเล่น ที่วิ่งวนไปมาในห้องอย่างลำพอง เพื่อก้าวเข้าสู่อาณาเขตของห้องต่อไปทันที
พอผมเดินมาจนถึงหน้าลูกบิดประตูห้องนี้ หัวใจของผมก็แทบจะร่วงหล่นไปที่ตาตุ่ม คือผมไม่อยากจะเปิดประตูห้องนี้เลย ความรู้สึกหวาดกลัวมันทำให้ผมคิดอะไรไม่ออกอยู่พักหนึ่ง แล้วสักพักสติของผมก็กลับมา นั่นจึงทำให้ผมตัดสินใจเดินฝ่าด่านเข้าห้องต่อไปทันที
ซึ่ง "ห้องที่สาม" นี้มันดูเหมือนกับมีอะไรบางอย่างเปลี่ยนไป ! ดูเผิน ๆ มันก็เหมือนกับห้องทั่วไป มีเก้าอี้ตัวหนึ่งวางอยู่กลางห้องพื้นไม้ มีตะเกียงดวงหนึ่งแขวนอยู่ที่มุมห้อง ทำให้แสงสลัว ๆ ของมันพาดผ่านวัตถุในห้องจนเกิดเป็นเงาไปทั่วพื้นและกำแพง
นอกจากเก้าอี้แล้วมันก็ยังมีของอีกหลายอย่าง มันทำให้ผมต้องค่อย ๆ เดินไปที่ประตูพร้อมกับความหวาดกลัวจนแทบจะทะลัก ตอนนั้นผมรู้สึกได้ว่ามันมีบางอย่างไม่ถูกต้อง นั่นจึงทำให้สัญชาตญาณของผม สั่งให้มือตัวเองเปิดประตูที่เพิ่งผ่านเข้ามาแบบไม่ตั้งใจ และมันก็ทำให้ผมได้พบว่าเจ้าประตูบานเมื่อกี้ ตอนนี้มันถูกล็อกจากอีกด้านไปตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้
ผมถึงกับสติหลุดวูบ มีใครบางคนไปล็อกประตูไม่ให้ผมหันหลังกลับ ๆ ใช่ไหม ? มันเป็นไปไม่ได้ ! ก็ผมไม่ได้ยินเสียงของใครเลยนี่นา หรือมันจะเป็นระบบล็อกแบบอัตโนมัติ ? ตอนนี้ผมกลัวมากจนทำอะไรไม่ถูก พอหันกลับไปมองทางข้างหน้า ผมก็พบว่าเงาในห้องมันหายไปหมด จะเหลือก็แต่เงาของเก้าอี้กลางห้องอย่างเดียว ผมค่อย ๆ เดินไปอย่างช้า ๆ
ขอบอกตรง ๆ ว่า ตอนเด็ก ๆ ผมเคยเห็นเงาอะไรแบบนี้อยู่บ้าง แต่ผมก็สามารถใช้จินตนาการลบเงามืดให้หายไปได้ พอคิดแบบนี้ผมจึงรู้สึกดีขึ้นมาทีละนิด จนกระทั่งสามารถพาตัวเองเดินผ่านมาได้ถึงกลางห้อง และตรงนี้ผมจึงลองก้มหน้ามองดูที่ปลายเท้า โดยคิดอยู่ว่าผมจะสามารถมองเห็นอะไรที่บนพื้นได้บ้าง
มันเป็นไปไม่ได้ ผมมองไม่เห็นเงาของตัวเอง และมันก็ไม่ใช่เวลาจะมาสำออยเสียด้วย นั่นจึงทำให้ผมรีบออกตัววิ่งไปข้างหน้า ทำยังไงก็ได้เพื่อพาตัวเองออกไปจากห้องนี้ให้เร็วที่สุด แล้วผมก็มาถึงห้องที่สี่
"ห้องที่สี่" นี้มันน่ากลัวมาก ๆ พอผมปิดประตู ไฟทุกตวงมันก็ดับลงจนดูไม่เหมือนกับห้องที่แล้ว ตอนนี้ผมยืนอยู่ท่ามกลางความมืด ขยับตัวไปไหนก็ไม่ได้ ผมไม่ได้กลัวความมืดและไม่เคยกลัว แต่ตอนนี้มันกำลังทำให้ผมหลอนจนขนหัวลุก ผมมองอะไรไม่เห็นอะไรเลย มันมืดขนาดเอามือตัวเองมาอยู่ตรงหน้า ผมก็ไม่รู้ว่าตอนนี้มันอยู่ตรงไหน นี่มันมืดจนผมไม่รู้จะบรรยายให้เข้าใจได้ยังไง แถมผมยังไม่ได้ยินเสียงใด ๆ นี่มันทั้งมืดทั้งเงียบแบบสุด ๆ ซึ่งคุณคงพอจะทราบใช่ไหม เวลาที่เราอยู่ในห้องเก็บเสียง สิ่งเดียวที่คุณจะได้ยินก็คือเสียงหายใจของตัวเอง ซึ่งนั่นก็ถือเป็นสิ่งเดียวที่ทำให้คุณรู้ว่า คุณยังคงมีชีวิตอยู่ในห้องเงียบ ๆ แบบนั้น แต่กับผมตอนนี้ ผมไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย !
สักพักผมก็เสียหลักสะดุดล้มไปข้างหน้า ตอนนั้นเสียงหัวใจเต้นแรงก็คือสิ่งเดียว ที่ผมสามารถรู้สึกได้ว่าตัวเองยังมีชีวิต ผมมองไม่เห็นประตู ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าในห้องนี้มันจะมีประตูอยู่ตรงไหน แล้วอยู่ดี ๆ ความเงียบก็ถูกทำลายลงด้วยเสียงโทนต่ำบางอย่าง
ผมรู้สึกได้ว่ามันมีอะไรบางอย่างอยู่ข้างหลังของผม ผมรีบหันหน้าไปมอง ทั้ง ๆ ที่มันมืดขนาดมองจมูกตัวเองไม่เห็น ผมรู้ว่ามันอยู่ตรงนั้นเพราะถึงมันจะมืดขนาดไหน ผมก็รู้ว่ามันมีอะไรอยู่ตรงนั้นแน่ ๆ เสียงนั่นมันค่อย ๆ ดังขึ้น มันใกล้เข้ามาทีละนิด มันกำลังเคลื่อนที่ไปรอบตัวผม ผมรู้สึกได้เพราะตอนนี้เสียงของมันมาอยู่ข้างหน้าแล้ว มันเข้ามาใกล้จนผมต้องก้าวเท้าถอยกลับ นี่มันเกินกว่าจะบรรยายได้ว่าผมกลัวขนาดไหน ตอนนี้ผมกลัวว่าตัวเองต้องตายแน่ ๆ เจ้าสิ่งนั้นมันกำลังจะเข้ามาฆ่าผม แต่แล้วมันก็มีแสงไฟกระพริบขึ้นมาชั่ววินาที และสิ่งที่ผมเห็นนั้นก็คือ !
มันไม่มีอะไรเลย ผมไม่เห็นว่ามันมีอะไรอย่างที่ตัวเองกลัว แล้วห้องมันก็มืดลงไปอีกครั้ง เจ้าเสียงนั่นมันก็เริ่มดังขึ้นอีก ผมจึงต้องตะโกนขึ้นมาบ้าง อย่างน้อยก็ขอให้เสียงบ้านั่นมันหายไปสักครู่ก็ยังดี และตอนนี้ผมก็เริ่มวิ่งถอยหลังออกจากเสียงนั่น พยายามคลำหาประตูบานต่อไปจนเจอ และนั่นจึงทำให้ผมได้เข้าไปสู่ห้องที่ห้าต่อไป
ก่อนที่จะบอกว่าห้องนี้มันเป็นยังไง ผมอยากให้คุณเข้าใจไว้ก่อนว่า ผมไม่ได้ใช่พวกติดยา ผมไม่เคยมีประวัติยาเสพติด หรือเคยเป็นโรคจิตประสาทหลอนในตอนเด็ก ๆ มาก่อน และสิ่งที่ผมเพิ่งจะรู้สึกนั่น มันอาจเป็นเพราะความเหนื่อยล้าไม่ก็แค่อาการตกใจ เพราะตอนที่ผมเข้ามาในบ้านหลังนี้ ผมไม่ได้คิดว่าจะต้องมาเจออะไรแบบนี้เลย หลังจากหลุดมาจากห้องที่สี่ ตอนนี้ร่างของผมก็ล้มลงพังพาบไปกองอยู่บนพื้นห้องที่ห้า
"ห้องที่ห้า" ตอนนี้มันไม่มีอะไรน่ากลัวเหมือนห้องที่แล้ว พอผมไล่มองขึ้นไปที่เพดาน มันก็มีอะไรที่ทำให้ผมรู้สึกแปลกใจมากกว่าความน่ากลัว ห้องนี้มันมีต้นไม้ปกคลุมไปทั่วอยู่ภายในห้อง เพดานห้องนี้มันดูสูงกว่าห้องอื่น ๆ จนผมเองก็คิดว่าตอนนี้ตัวเองน่าจะกำลังอยู่ใจกลางของตัวบ้านแล้ว ผมลุกขึ้นมาจากพื้น ปัดฝุ่นที่เลอะทั่วตัวออกไป จากนั้นก็ค่อย ๆ มองไปรอบ ๆ ห้องนี้มันดูใหญ่ที่สุด ผมมองไม่เห็นบานประตูของห้องก่อนหน้า แถมที่ข้างหน้ามันก็มีต้นไม้จำนวนมากงอกออกมาปิดบังวิสัยทัศน์ จนมองไม่เห็นว่าทางออกตรงหน้าของผมนั้นอยู่ที่ไหนเช่นกัน
และที่จุดนี้ผมก็เริ่มรู้สึกได้ว่า ห้องนี้มันเริ่มน่ากลัวขึ้นมาอีกนิด แต่ถึงมันจะน่ากลัวมันก็ยังดีกว่าห้องก่อนหน้าเป็นกอง ซึ่งผมก็หวังเหมือนกันนะว่า เจ้าอะไรสักอย่างในห้องที่สี่นั่น มันคงจะยังอยู่ห้องนั้นต่อไป ไม่แวะมาที่ห้องนี้อย่างแน่นอนล่ะมั้ง ?
ผมคลำทางเดินต่อไปแล้วก็เริ่มได้ยินเสียงแบบที่เราควรได้ยินเวลาอยู่ในป่า ไม่ว่าจะเสียงแมลง เสียงนกกระพรือปีก แต่ถึงจะได้ยินเสียงผมกลับหาที่มาของพวกมันไม่เจอแม้แต่ตัวเดียว ผมเริ่มสงสัยว่าบ้านหลังนี้มันใหญ่ขนาดไหนกันแน่ ? เพราะถ้ามองจากภายนอก ขนาดของมันก็ไม่ได้ต่างจากบ้านทั่วไป แต่พอเข้ามาข้างใน ทำไมขนาดมันถึงใหญ่โตจนสามารถมีป่ารกขนาดนี้อยู่กลางบ้านได้ ขนาดเพดานที่ผมควรจะมองเห็นมัน ตอนนี้มันก็ดูสูงจนไม่รู้ว่าบ้านหลังนี้มันสูงขนาดไหน ? กำแพงโดยรอบก็มองไม่เห็น สิ่งเดียวที่ยังทำให้ผมรูว่าตอนนี้ตัวเองยังอยู่ในห้องก็คือที่พื้น มันยังคงมีลักษณะเหมือนกับห้องที่ผมเพิ่งผ่านมา นั่นก็คือพื้นไม้สีดำนั่นเอง
แล้วทีนี้พอลองมองลงไปดูผมก็ถึงกับร้องเสียงหลง ! สาบานเลยว่าเมื่อกี้มันต้องมีแมลงเยอะแยะมาเกาะตามตัว แต่นี่ทำไมผมถึงไม่เห็นอะไรเลย ไม่มีแม้แต่แมลงสักตัว แล้วที่ผมรู้สึกอยู่ตอนนี้มันคืออะไร ? ผมได้ยินเสียงมันบินไปมาขนาดนี้ ทำไมผมถึงไม่เห็นอะไรเลย นั่นจึงทำให้ผมรีบหมอบตัวลงกลิ้งไปตามพื้น คือบอกตรง ๆ ว่าผมเกลียดแมลงมาก โดยเฉพาะแมลงที่ผมมองไม่เห็น แต่รู้สึกได้ว่ามันกำลังเกาะตัวผมอยู่แบบนี้
ผมพยายามคลานไปตามพื้น ตอนนี้ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะต้องคลานไปทางไหน ทางออกมันอยู่ตรงไหนก็ไม่รู้ คลานไปก็ยังรู้สึกได้ว่าพวกแมลงผีนั่นมันยังคงเกาะตามตัวผมอยู่ จนผ่านไปเกือบชั่วโมงผมจึงพบกับประตู นั่นจึงทำให้ผมรีบลุกขึ้นมา รีบเอามือตบไปที่แขนขาแบบไม่มีเหตุผล จากนั้นก็รีบออกตัววิ่ง แต่กลายเป็นว่าร่างกายของผมมันอ่อนล้าจากการคลานเมื่อสักครู่ นั่นจึงทำให้ผมค่อย ๆ พยายามเดินไปที่ประตูทีละนิดแทน โดยอาศัยการเกาะตามต้นไม้ที่ขึ้นอยู่ตามทางเป็นตัวช่วยพยุง
แต่พอเดินไปได้ไม่กี่ก้าวผมก็เริ่มได้ยินเสียงนั้นอีก เจ้าเสียงโทนต่ำจากห้องก่อนหน้า นี่มันคงออกมาจากห้องเมื่อกี้แล้วแน่ ๆ ผมรู้สึกได้ว่าเป็นมัน เพราะคลื่นเสียงโทนต่ำของมันมากระทบตามตัว ผมรู้สึกได้ว่า ตอนนี้พวกแมลงมันหายไปแทบจะเกือบหมด ตอนนี้เสียงของเจ้านั่นมันค่อย ๆ ดังขึ้น พอมือของผมจับที่ลูกบิดประตูได้ เจ้าพวกแมลงที่รู้สึกมาตลอดก็หายไป แต่ตอนนี้ผมไม่มีแรงแม้แต่จะบิดลูกบิดด้วยซ้ำ
จริง ๆ คือผมกลัวจนไม่กล้าจะบิดเปิดเข้าไปต่างหาก และผมก็รู้ดีว่าตอนนี้ถ้าปล่อยมือจากสิ่งนี้ไป เจ้าพวกแมลงนั่นมันจะต้องกลับมาแน่ ๆ ตอนนี้ผมทำได้แค่ยืนนิ่ง ๆ ที่หัวก็พิงอยู่ที่บานประตูหมายเลขหก ผมพยายามบิดลูกบิดจนมือสั่น แล้วเจ้าเสียงลึกลับนั่นมันก็ดังขึ้นมาอีกจนผมต้องเลิกลังเล ผมต้องไปข้างหน้าลูกเดียว
"ห้องที่หก" มันก็อยู่ตรงนี้แล้ว ผมหลับตาปี๋แล้วรีบเปิดประตูเข้ามา เสียงโทนต่ำของเจ้านั่นที่ได้ยินมาตลอด ตอนนี้มันก็หายไปหลังจากที่ผมปิดประตูเรียบร้อย พอผมลืมตาขึ้นมันก็ทำให้ผมแปลกใจขึ้นมาอีก ประตูห้องเมื่อกี้มันหายไปแล้ว มันเหลือแต่กำแพงเพียงอย่างเดียวได้ยังไง พอมองไปรอบ ๆ ห้อง ผมก็ต้องถึงกับช็อคขึ้นมาอีก ห้องนี้มันเป็นห้องที่สามไม่ใช่เหรอ เก้าอี้ตัวเดิม ตะเกียงก็แขวนอยู่ที่เดิม สิ่งเดียวที่ไม่เหมือนเดิมนั้นก็คือห้องนี้ไม่มีประตู มันไม่มีทั้งประตูทางเข้าและทางออก และก็อย่างที่บอกผมไม่เคยป่วยเป็นโรคทางจิต แต่ตอนนี้ผมกลับรู้สึกว่าตัวเองน่าจะกำลังเสียสติไปแล้วแน่ ๆ ตอนนี้ผมทำอะไรไม่ได้สักอย่าง แม้แต่คิดจะตะโกนร้องออกมาก็ยังทำไม่ได้
ผมค่อย ๆ กวาดมือไปที่กำแพงเบา ๆ กำแพงมันแข็งแรงก็จริง แต่ผมก็รู้ว่าประตูมันต้องอยู่ที่ไหนสักแห่ง ผมค่อย ๆ กวาดมือหาลูกบิดประตูไปเรื่อย ๆ จนเวลาผ่านไปสักพักผมก็สัมผัสได้ว่ามันต้องมีประตูอยู่จริง ๆ มันมีประตูอยู่ตรงไหนสักแห่งแน่ ๆ แล้วผมก็ได้ยินเสียงเด็กผู้หญิงพูดถามขึ้นว่า
“เป็นยังไงบ้าง ?”ผมถึงกับกระโดดตัวลอยถอยหลัง ตอนนี้ผมมองเห็นเจ้าของเสียงนั้น เธอเป็นเด็กผู้หญิงตัวเล็ก ๆ สวมชุดกระโปรงสีขาวยาวถึงข้อเท้า เธอมีผมสีบลอนด์ยาวถึงกลางหลัง ผีวสีขาว ดวงตาสีฟ้า ผมรู้สึกได้ว่า เด็กคนนี้ต้องน่ากลัวมากที่สุดแน่ ๆ พอผมมองไปให้ดี ๆ ก็พบว่า ตรงจุดที่เธอยืนอยู่นั้น ผมเห็นผู้ชายอีกคนยืนซ้อนอยู่ด้วย เขาตัวใหญ่กว่าคนทั่วไป มีเส้นขนปกคลุมไปทั่วทั้งร่าง มันไม่สวมเสื้อผ้า ที่ศีรษะก็ไม่ใช่ของมนุษย์ ที่เท้าก็มีลักษณะเป็นกีบ ที่ศีรษะของมันเป็นหัวของแพะ แต่ที่ปากของมันคือปากของหมาป่า ผมไม่อยากคิดเลยว่ามันจะเป็นอะไรไปได้ ถ้าไม่ใช่ปีศาจ
แล้วความน่ากลัวมันก็เข้ามาครอบงำทั้งตัวของผม ตอนนี้เด็กผู้หญิงคนนั้นได้เปลี่ยนร่างไปเป็นเหมือนผู้ชายคนนั้น คือผมอาจจะอธิบายไม่ถูกก็ได้ ผมเห็นทั้งคู่ในเวลาเดียวกันกำลังยืนอยู่ในจุดเดียวกัน มันเหมือนกับทั้งคู่อยู่กันคนละมิติ ยามที่ผมมองไปที่เด็กหญิง ผมก็จะต้องมองเห็นร่างของมันพร้อม ๆ กันไปด้วย ก่อนหน้านี้ผมเคยรู้สึกหวาดกลัวมากที่สุดตอนอยู่ในห้องที่สี่ แต่นั่นมันก็เทียบไม่ได้กับห้องที่หกตอนนี้ผมทำได้แค่ยืนมองสิ่งที่เห็นอยู่ตรงหน้า คอยตั้งใจฟังต่อไปว่ามันจะพูดอะไรอีก
“เดวิด นายต้องฟังฉัน !”เสียงที่ผมได้ยินมันเป็นเสียงของเด็กผู้หญิงก็จริง แต่มันเป็นเสียงที่ดังเข้ามาในสมองของผมตรง ๆ มันไม่ได้ดังออกมาจากปากของใคร แม้แต่จะออกมาจากปากของผม เสียงนั้นมันดังซ้ำไปมาอยู่ในหัว ซึ่งผมก็ไม่สามารถตอบโต้อะไรได้เลย ทำไม่ได้แม้แต่จะหลบสายตาไปจากสิ่งที่เห็นตรงหน้าด้วยซ้ำ
ผมล้มตัวลงไปบนพื้น ตอนนี้ผมคิดว่าตัวเองคงสลบไปแล้วแน่ ๆ แต่เจ้าห้องนี้มันก็ไม่ยอมให้ผมสลบ ผมแค่อยากจะหนีไปให้พ้น แต่สติของผมกลับไม่ยอมวูบไปสักที ดวงตาของผมยังคงมองเห็น ร่างของเจ้าปีศาจนั่นมองจ้องมาต่อไป และบนพื้นตอนนี้ผมก็มองเห็นหนูปลอมจากห้องที่สอง กำลังวิ่งไปมาอย่างร่าเริงตัวหนึ่ง
บ้านหลังนี้มันกำลังเล่นสนุกกับผม ผมเห็นเจ้าหนูปลอมนั่นค่อย ๆ คลานไปมารอบ ๆ ตัว ตอนนี้สติของผมกลับมาแล้ว ผมค่อย ๆ หันไปมองรอบ ๆ ห้อง ผมต้องออกไปจากที่นี่ให้ได้ ผมพยายามมองไปตามกำแพงห้อง มันจะต้องมีตรงไหนสักแห่งที่เป็นประตู เจ้าปีศาจนั่นก็ยังคงคุกคามผมอยู่ เสียงคำรามของมันทำให้ผมรู้ว่ามันยังไม่ไปไหน ตอนนี้ผมพยายามใช้มือดันตัวเองให้ลุกขึ้นไป จากนั้นก็รีบเดินไปที่กำแพง เพื่อหาทางให้เจอก่อนที่จะมีอะไรมาทำร้ายผมจริง ๆ
แล้วผมก็ได้เห็นบางอย่างที่ไม่น่าเชื่ออีก ตอนนี้เจ้าปีศาจนั่นมาอยู่ที่ข้างหลังของผมแล้ว ผมรู้สึกได้ว่าลมหายใจของมันกำลังรดต้นคอผมอยู่ แต่ผมก็พยายามไม่หันกลับไปมอง แล้วผมก็เห็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าปรากฏขึ้นที่บนกำแพง มีรอยแหว่งเล็ก ๆ อยู่ตรงกลางสี่เหลี่ยมนั้น พอผมมองไปดี ๆ ก็พบว่า นั่นมันเป็นเลขเจ็ดตัวใหญ่แน่ ๆ มันต้องใช่แน่ ๆ นี่แหละคือประตูสู่ห้องที่ 7 มันอยู่ตำแหน่งเดียวกันกับห้องที่ห้าเลย !
ผมไม่รู้ว่าผมทำได้ยังไง บางทีมันอาจเป็นแค่สัญชาติญาณที่สั่งให้ผมทำก็ได้ ผมรู้ว่าประตูนี้มันคือสิ่งที่ผมสร้างขึ้นมา และด้วยความขาดสติผมจึงใช้มือกวาดไปที่กำแพงตรงนั้นอย่างบ้าคลั่ง มันคือประตูที่ผมกำลังตามหา
ผมหลับตาปี๋แล้วร้องเสียงหลง เจ้าปีศาจมันไปแล้ว ตอนนี้ผมถูกทิ้งให้อยู่ในความเงียบ พอลืมตาขึ้นก็มองไปรอบ ๆ ตอนนี้ผมอยู่ในห้องที่เหมือนกับตอนที่เดินเข้ามา ห้องที่มีแต่เก้าอี้กับตะเกียง ผมไม่อยากจะเชื่อแต่ก็ไม่มีเวลาจะคิดมากอะไรอีก ผมรีบหันกลับไปยังเลขเจ็ด แล้วก็ต้องผงะถอยหลังกลับ ตอนนี้ตรงหน้ามันไม่ใช่รอยสี่เหลี่ยมเหมือนเมื่อสักครู่แล้ว สิ่งที่ผมเห็นคือประตูธรรมดา ประตูที่มีเลขเจ็ดตัวใหญ่ประทับอยู่ ตอนนี้ผมสั่นไปทั้งตัว ผมกลัวที่จะต้องบิดลูกบิดประตู ผมยืนค้างอยู่แบบนั้นพักใหญ่ ผมมั่นใจว่าตอนนี้ ตัวผมเองไม่อยากอยู่ในห้องที่หกต่อไปแน่ ๆ แต่ถ้านี่เป็นแค่ห้องที่หก ผมก็ไม่อยากจะคิดเลยว่าห้องที่เจ็ดตรงหน้า มันจะมีอะไรอยู่ในห้องนั้นบ้าง จนเวลาผ่านไปเป็นชั่วโมงผมก็หายใจเข้าลึก ๆ จากนั้นก็บิดลูกบิด เปิดประตูเข้าไปในห้องที่เจ็ดทันที
พอผมลากร่างที่เหนื่อยล้าผ่านเข้าไปทางประตูเสร็จ ผมก็พบว่าตัวเองกำลังยืนอยู่ข้างนอก ผมไม่ได้หมายถึงออกมาจากห้องเมื่อกี้ แต่นี่มันคือข้างนอกจริง ๆ ผมแทบอยากจะร้องไห้ ตอนนี้ผมออกมาจากนรกได้แล้ว ผมไม่สนรางวัลอะไรนั่นแล้วให้ตายสิ ผมรีบเดินกลับไปที่รถแล้วขับมันกลับบ้าน ในหัวก็คิดไปว่าเดียวจะอาบน้ำให้ฉ่ำใจไปเลย
ในช่วงที่ผมจะเดินเข้าบ้าน ผมก็รู้สึกไม่ค่อยสบายใจขึ้นมาเพราะอะไรบางอย่าง ความสุขในการได้ออกจากบ้านที่ไม่มีจุดสิ้นสุดมันค่อย ๆ หายไป ซึ่งผมก็พยายามสะบัดความรู้สึกนั้นทิ้ง จากนั้นก็เดินไปที่ประตูบ้าน ผมรีบเปิดประตูขึ้นไปที่ห้องทันที บนที่นอนก็มีเจ้าแมวของผมนอนอยู่ มันเป็นสิ่งมีชีวิตสิ่งแรกที่ผมเพิ่งพบมาตลอดคืนนี้ พอผมจะลูบตัวมัน มันก็ข่วนที่มือผมจนผมตกใจ มันไม่เคยทำกับผมแบบนี้ แต่ผมก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรนัก ว่าแล้วก็กระโดดเข้าไปอาบน้ำ เพื่อจะได้เตรียมตัวเข้านอนให้สบายใจต่อไป
พออาบน้ำเสร็จผมก็ลงไปในครัวหาอะไรกิน พอไปถึงห้องครัวผมก็ต้องเห็นภาพที่ทำให้หัวผมแทบจะลุกเป็นไฟ พ่อกับแม่ของผมกำลังนอนจมกองเลือดอยู่บนพื้น พวกเขาไม่ได้สวมเสื้อผ้า แขนขาก็ถูกหั่นแยกออกจากกัน เครื่องในถูกควักออกมาวางอยู่ข้างร่างของพวกเขา ศีรษะถูกวางไว้บนหน้าอก และในขณะที่ผมกำลังตกตะลึงอยู่นั้น ใบหน้าของพวกเขาก็ยิ้มและจ้องมองมาที่ผม ผมถึงกับอาเจียรออกมา นี่มันเกิดอะไรขึ้น !? แล้วผมก็มองเห็นประตูบานหนึ่ง ประตูที่ผมไม่เคยเห็นในบ้านนี้มาก่อน มันคือประตูที่มีเลขแปดตัวใหญ่ ที่ตั้งอยู่บนกองซากศพอันโชกเลือดของพ่อแม่
นี่ผมยังอยู่ในบ้านหลังนั้น และตอนนี้ผมยังอยู่ในห้องหมายเลขเจ็ด พอมองไปที่ศีรษะของพ่อแม่ ตอนนี้พวกเขาก็ยิ้มกว้างขึ้นราวกับว่าดีใจที่ผมรู้ตัวเสียที พวกเขาไม่ใช่พ่อแม่ของผมแน่ ๆ เจ้าประตูหมายเลขแปดนั่นอยู่ฝั่งตรงข้ามกับห้องนี้ ผมจะต้องเดินผ่านกองศพพวกนี้จริง ๆ ใช่ไหม ? พอผมคิดแบบนี้ใบหน้าที่กำลังฉีกยิ้มก็ทำให้ผมอาเจียรไปอีกรอบ จากนั้นเสียงทุ้มโทนต่ำก็ดังขึ้นมาอีก มันดังมากกว่าที่เคยได้ยินจนกำแพงบ้านสั้่น และเสียงนั้นมันก็เหมือนกับเป็นแรงผลักดันอันยิ่งใหญ่ ที่จะทำให้ผมก้าวเดินต่อไปถึงจุดหมายให้ได้
ผมก้าวเดินไปช้า ๆ อย่างยากลำบาก พยายามทำยังไงก็ได้ให้เข้าไปใกล้ประตูมากที่สุด แต่ยิ่งเดินเข้าไป มันก็ทำให้ผมเข้าใกล้ร่างของพ่อและแม่ขึ้นเรื่อย ๆ เช่นกัน ที่กำแพงบ้านก็เริ่มสั่นหนักขึ้น ในขณะเดียวกันร่างของพวกเขาก็ค่อย ๆ แตกสลาย แต่ที่มันยังไม่หายไปก็คือรอยยิ้มของพวกเขานี่แหละ ยิ่งเดินเข้าไปใกล้ สายตาของพวกเขาก็ยิ่งมองมาที่ผม ความหวาดกลัวรอบนี้มันยิ่งทำให้ผมพยายามเดินให้เร็วขึ้น
จนตอนนี้ผมมาอยู่ตรงกลางระหว่างร่างของพวกเขาทั้งสองแล้ว เหลืออีกแค่สองฟุตผมก็จะไปถึงประตู แต่ผมก็มองเห็นมือที่ถูกหั่นของพวกเขา ค่อย ๆ คลานเข้ามาหาผมอย่างช้า ๆ บนพื้น ศีรษะของพวกเขากำลังพูดอะไรบางอย่าง ซึ่งผมก็พยายามไม่สนใจว่าเขาพูดอะไร ผมไม่อยากได้ยินเสียงอะไรทั้งนั้น ตอนนี้สิ่งที่ผมจะต้องทำคือการเดินไปที่ประตู เปิดมันออกแล้วพาตัวเองเดินเข้าไปยัง "ห้องที่แปด" ทันที
ผมทำได้เพราะหลังจากที่ต้องไปเจออะไรมาเยอะแยะ ผมก็รู้ว่ามันคงไม่มีอะไรในบ้านหลังนี้ สามารถทำให้ผมต้องมีอันเป็นไปได้ง่าย ๆ แต่บางทีผมอาจคิดผิดที่นึกว่าห้องที่แปดมันคงไม่มีอะไรน่ากลัวกว่านี้อีกแล้ว
“ได้โปรด... อย่าทำอย่างนั้น !ได้โปรด... อย่าทำร้ายฉัน !”
“อะไรนะ ? นี่นายเป็นใคร ฉันไม่ได้ทำร้ายนายสักหน่อย !”
“นายนั่นแหละ นายกำลังทำร้ายฉัน !ฉันไม่ต้องการแบบนั้น !!!”เขาพูดจบก็ยกขาแกว่งไปมาเหมือนเด็ก คือว่า.. ถ้ามันเป็นสถานการณ์ปกติมันก็คงดูน่ารักดี แต่นี่เขาคือตัวผม มันก็เลยทำให้ผมขำไม่ออก ตอนนี้ผมยืนอยู่ห่างจากคู่แฝดของผมแค่นิดเดียว ผมจึงถามเขาว่า...
“นายเป็นใคร ?” แต่ยังไม่ทันจะถามคำถามต่อไป เขาก็พูดสวนคำของผมขึ้นมาว่า
“นายกำลังจะทำร้ายฉัน ถ้านายจะออกจากที่นี่ นายจะต้องทำร้ายฉัน !”ผมจึงบอกให้เขาสงบสติลงก่อน จากนั้นก็พยายามพิจารณาเสื้อผ้าที่เขาสวมใส่ เขาสวมชุดเดียวกับผม ยกเว้นตัวอักษรสีแดงบนเสื้อเชิ้ตนั่น มันเขียนว่า เลขเก้า !
แล้วเขาก็พูดประโยคนั้นซ้ำขึ้นมาอีก “มันคืออะไร ?” ถ้าผมจะออกจากที่นี่ให้ได้ผมต้องทำร้ายเขาก่อนอย่างนั้นหรือ ? แล้วผมก็นึกย้อนเหตุการณ์ทุกอย่างไปที่จุดเริ่มต้น ตั้งแต่ห้องแรกมันเป็นประตูธรรมดา ห้องต่อมามันก็มันก็เริ่มจะดูยากขึ้นเรื่อย ๆ ยิ่งห้องที่ 7 ประตูก็ต้องใช้มือกวาดหา แล้วห้องที่แปดมันก็ตั้งอยู่บนร่างของพ่อแม่ผม
"ห้องที่เก้า" มันมาอยู่บนตัวคนเป็น ๆ แถมคน ๆ นั่นมันก็ดูเหมือนตัวผมเองขนาดนี้ ผมจึงเรียกชื่อเขา ซึ่งนั่นก็คือชื่อของผมเอง เพื่อให้แน่ใจว่าสิ่งที่ผมเห็นนั้นไม่ใช่การเข้าใจผิด แล้วเขาก็ยืนยันประโยคเดิมกลับมา ในขณะที่นั่งแกว่งขาทำท่าเหมือนเด็กงอแง
คำตอบของเขามันทำให้ผมคิดเป็นอื่นไม่ได้ เขาคือตัวผม เสียงนั่นก็เป็นเสียงของผม แต่เลขเก้านั่น ทำให้ผมต้องพยายามหันมองไปให้รอบห้อง ห้องนี้ไม่มีประตู มันแค่ดูคล้ายห้องที่หก ประตูที่ผมเข้ามาก็หายไปแล้ว นั่นจึงทำให้ผมเริ่มใช้มือกวาดหาไปทั่วทุกบริเวณ ตั้งแต่กำแพงไปจนรอบ ๆ เก้าอี้ที่เขานั่ง พยายามเอาศีรษะแนบพื้นเพื่อมองดูใต้เก้าอี้ แล้วผมก็พบว่า ใต้เก้าอี้นั้นมีมีดอยู่หนึ่งเล่ม มีป้ายสีแดงติดไว้เขียนว่า
“ให้... เดวิด จาก... ผู้จัดการ”พออ่านจบความรู้สึกกระอักกระอ่วนก็พรั่งพรูออกมา ผมอยากหยิบมีดนี้ออกมาจากใต้เก้าอี้นั่น ผมอยากโยนมันทิ้งไปให้ไกล ๆ ตอนนี้ผมถึงกับหัวหมุนไปหมด ใครกันที่เอาสิ่งนี้มาวางไว้ ? เขารู้ชื่อผมได้ยังไง ? ผมสับสนไปหมด บ้านหลังนี้กับคนดูแลกำลังเล่นสนุกกับผมตลอดเวลา พอนึกถึงปีเตอร์เพื่อนผม เขาก็คงเจออะไรบางอย่างจนไม่สามารถจบเกมนี้ได้ เพราะถ้าเขาทำได้ก็จะต้องเจอตัวเองกำลังนั่งอยู่ที่เก้าอี้เหมือนผม แต่ตอนนี้ผมต้องหยุดคิดฟุ้งซ่านได้แล้ว สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือผมต้องหยิบมีดนั่นขึ้นมา คิดได้ดังนั้นผมจึงหยิบมีดขึ้นมาทันที ในขณะเดียวกันเดวิดอีกคนก็หยุดการเคลื่อนไหวแล้วถามผมว่า...
“เดวิด นายคิดจะทำอะไร ?” ผมจึงตอบเขาไปว่า
“ฉันกำลังจะออกไปจากที่นี่”ตอนนี้เดวิดที่กำลังนั่งก็อยู่ในท่าสงบนิ่ง เขามองมาที่ผมแล้วยิ้มเล็กน้อย เขาค่อย ๆ ลุกขึ้นมาจากเก้าอี้ จากนั้นก็หันหน้ามาทางผมตรง ๆ ความสูงเขาเท่ากับผมพอดี ตอนนี้มิอของผมก็กำมีดจนแน่น ผมต้องทำอะไรสักอย่าง แต่ก็ไม่รู้ว่าจะทำอะไรต่อดีเหมือนกัน แล้วตัวผมอีกคนก็เริ่มพูดขึ้นมาว่า...
“เอาล่ะ ! เดี๋ยวฉันจะต้องทำร้ายนาย แล้วนายจะต้องมานั่งอยู่ที่นี่แทนฉัน”พอได้ยินแบบนั้นผมจึงรีบจัดการล็อกตัวเขาแล้วกดลงกับพื้น มีดของผมพร้อมใช้งานแล้ว พอเขาหันหน้าขึ้นมามองมันก็ทำให้ผมรู้สึกขนลุกไปทั้งตัว ความรู้สึกมันเหมือนกำลังมองเงาตัวเองในกระจก แล้วเสียงของสิ่งนั้นก็ดังขึ้นมาอีก เจ้าเสียงฮัมโทนต่ำที่ได้ยินมาตั้งแต่ห้องก่อนหน้า นั่นจึงทำให้ผมตัดสินใจใช้มีด ปักลงไปที่หน้าอกของตัวผมคนนั้นทันที พอดึงมีดออกทุกอย่างในห้องก็ดับมืดลง
ตอนนี้ทุกอย่างมืดสนิท ห้องที่สี่ว่ามืดแล้วแต่มันก็ไม่ได้รู้สึกเหมือนกำลังถูกกลืนกินเช่นเดียวกับตอนนี้ ผมรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังตกลงไปในอะไรที่ลึกมาก ๆ
จู่ ๆ ความรู้สึกของผมก็กลายเป็นความเศร้า ผมท้อแท้ ไร้ความหวัง อยากฆ่าตัวตาย ภาพของพ่อแม่ปรากฏขึ้นมา ผมรู้ว่าทุกอย่างไม่ใช่ของจริง แต่การที่ได้เห็นอะไรแบบนี้ก็ทำให้ผมรู้สึกสับสนกับทุกอย่างอยู่ดี ผมรู้สึกซึมเศร้าหนักขึ้น แล้วผมก็รู้ว่าตอนนี้ตัวเองกำลังอยู่ในห้องที่เก้าแล้ว ผมรู้สึกราวกับตัวเองอยู่ที่นี่มาตลอด มันคือห้องสุดท้ายของบ้านที่ไร้จุดสิ้นสุด แต่แทนที่ผมจะคิดจบเกมนี้ ผมกลับคิดยอมแพ้ไปดื้อ ๆ ผมรู้ดีว่าผมจะต้องติดอยู่ที่นี่ตลอดไป เพราะห้องนี้มันไม่มีอะไรนอกจากความมืด และตอนนี้เสียงโทนต่ำที่ทำให้ผมรู้สึกหวาดกลัวก็หายไปหมด
ประสาทสัมผัสของผมหายไปสิ้น ไม่มีความรู้สึกอะไรเหลืออยู่ ไม่ได้ยินเสียงใด ๆ การมองเห็นนี่ลืมไปได้เลย ผมลองเช็คที่สัมผัสรสชาติในปากก็ไม่มี ทุกอย่างมันหายไปหมดแล้ว ผมรู้แค่ผมอยู่ที่ไหน ที่นี่คือนรก ห้องที่เก้ามันคือนรก แล้วทันใดนั้นผมก็มองเห็นแสงสว่างขึ้นมา มันเหมือนแสงสว่างจากปลายอุโมงค์ ที่เท้าก็เริ่มรู้สึกได้ว่ามีพื้นอยู่ นั่นจึงทำให้ผมรวบรวมสติทุกอย่างกลับมา จากนั้นก็ค่อย ๆ เดินเข้าไปหาแสงไฟตรงนั้น
ทุกอย่างที่เพิ่งจบไป มันยังคงทำให้ผมไม่แน่ใจว่าตัวเองอยู่ตรงนี้แล้ว พอผมมองไปที่บนโต๊ะก็เห็นซองจดหมายสีขาว มันเขียนชื่อของผมด้วยลายมือวางอยู่ตรงนั้น ผมอยากรู้ว่าข้างในมีอะไรก็จริง แต่ผมก็ต้องระมัดระวังไม่หยิบมีนขึ้นมาง่าย ๆ และแล้ว ผมก็รวบรวมความกล้าหยิบซองนั้นขึ้นมา ข้างในมันมีจดหมายฉบับหนึ่ง มันเขียนด้วยลายมือเอาไว้ว่า...
"เดวิด วิลเลียมส์,
ยินดีด้วย ! คุณสามารถไปถึงจุดสุดท้ายของบ้านไร้จุดจบแล้ว โปรดรับรางวัลนี้เพื่อเป็นสัญลักษณ์แห่งความสำเร็จ
มันเป็นของคุณตลอดไป
ลงชื่อ... ผู้จัดการ"และนอกจากจดหมาย มันก็มีแบงก์ร้อยดอลลาร์อีกห้าใบอยู่ในนั้น
ผมหัวเราะออกมาเป็นชั่วโมงเลยล่ะ หัวเราะจนเดินไปถึงรถ จนขับรถออกมาผมก็ยังหัวเราะตลอดทาง หัวเราะมาจนเปิดประตูหน้าบ้าน จนขนาดเห็นรอยแกะสลักเป็นเลขสิบที่หน้าประตู ผมก็ยังหัวเราะต่อไปไม่หยุด
ที่มา: Creepypasta Wiki
- จบ -
No End House หรือ หลอนซ่อนตายในบ้านที่ไร้จุดจบ คือเรื่องเล่าสยองขวัญออนไลน์ที่เรารู้จักกันดีว่าเป็นครีบปี้พาสต้า เล่าถึงเรื่องราวของชายคนหนึ่งที่รับคำท้าเดินเข้าไปในบ้านแปลกๆ บ้านที่ได้ชื่อว่าไร้จุดจบ จนตัวเองต้องไปพบกับเหตุการณ์สุดหลอนมากมาย ที่เขาจะต้องผ่านห้องสุดน่ากลัวทั้งเก้าห้องไปให้ได้ โดยเรื่องนี้เป็นผลงานการประพันธ์ของ ไบรอัน รัสเซล (Brian Russell) ที่ได้โพสต์เรื่องนี้เอาไว้บนเว็บไซต์ 4Chan ตั้งแต่ช่วงปี ค.ศ. 2010
ทวิตเตอร์ของ "ไบรอัน รัสเซล" ผู้แต่งเรื่อง NoEnd House |
ต่อมาในวันที่ 30 มิถุนายน ค.ศ. 2011 เรื่องนี้ได้ถูกนำมาโพสต์เอาไว้ที่ Creepypasta Wiki โดยสมาชิกที่ใช้ชื่อว่า RetardoTheMagnificent
ต้นฉบับในครีบปี้พาสต้า |
จนวันที่ 4 เมษายนปีต่อมา เว็บไซต์ FunnyJunk ก็ได้มีสมาชิกชื่อ sekshun นำเรื่องนี้มาโพสต์ให้ทุกคนบนเว็บได้อ่านกัน
กดเพื่อดูใน FunnyJunk |
จนมาถึงช่วงเดือนกันยายนปี 2012 เฟซบุ๊กแฟนเพจ เรื่อง NoEnd House ก็ได้ถูกสร้างขึ้น (ปัจจุบันถูกลบไปแล้ว)
ในปี 2013 ตอนเดือนตุลาคมวันที่ 28 เว็บไซต์ Mashable ก็ได้ยกให้เรื่องนีี้เป็นเรื่องเด่นของพวกเขา
"Mashable" ยกให้ NoEnd House เป็นเรื่องเด่นยอดฮิต |
มาถึงเดือนพฤษภาคมปี 2014 ช่องยูทูป MrCreepyPasta จึงนำเรื่องนี้มาอ่านให้ผู้ชมของเขาได้ฟัง โดยภายในสองปีคลิปดังกล่าวก็สามารถทำยอดผู้เข้าฟังได้มากกว่าสามแสนสามหมื่นวิว มีผู้แสดงความคิดเห็นไปมากกว่าสองพันความเห็น จนปัจจุบันก็สามารถทำยอดเข้าชมไปได้ถึงสี่แสนสี่หมื่นวิว
ช่องยูทูป MrCreepyPasta
จนมาถึงวันที่ 16 มีนาคม ค.ศ. 2015 เรื่อง NoEnd House 2 ก็ได้ถูกโพสต์เอาไว้บนครีบปี้พาสต้าวิกิอีกเรื่อง
"NoEnd House 2" ก็ตามมา |
ในวันที่ 6 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2016 เรื่องนี้จึงได้ถูกพูดถึงบนเว็บไซต์ Bustle ซึ่งถือเป็นเว็บไซต์ชื่อดังที่ทำให้เรื่องนี้เป็นที่รู้จักเพิ่มขึ้นไปอีก
"Bustle" ทำให้เรื่องนี้ดังขึ้นมาอีกครั้ง |
โดยในเดือนกุมภาพันธ์ปี 2016 ทางช่องโทรทัศน์ชื่อ Syfy ก็ได้ประกาศจะนำพล็อตของเรื่องนี้มาทำเป็นภาพยนตร์ซีรีย์ออกอากาศในช่อง Channel Zero ติดต่อกันถึง 2 ซีซัน ซีซันละ 6 ตอน โดยในวันที่ 26 กันยายน ค.ศ. 2016 นี้ ที่ช่องยูทูปของ Syfy (ไทยเข้าชมไม่ได้) ก็ได้อัพโหลดเทรลเลอร์ซีรีย์ของเรื่องนี้ โดยประกาศว่าจะออกฉายรอบพรีเมียร์ในวันที่ 11 ตุลาคมปีเดียวกัน โดยอ้างอิงเนื้อหาจากเรื่องแคนเดิลโคฟ และซีซันที่สองเองก็ได้ประกาศว่าจะออกอากาศใน ค.ศ. 2017 โดยใช้เนื้อหาจากเรื่อง NoEnd House ตรง ๆ
กดเพื่อเข้าดูตัวอย่างหนังใน Syfy |
สำหรับมิติที่ 6 เอง หลังจากมีท่านผู้ชมจำนวนหนึ่งขอให้เราลองทำ เราก็มองว่านิยายเรื่อง NoEnd House เรื่องนี้ สามารถทำให้เรารู้สึกได้ถึงการแต่งเรื่องอย่างมีระบบ สร้างความน่ากลัวให้กับผู้อ่านได้แบบจริงจัง นั่นจึงทำให้เรานำเรื่องนี้มาเล่าให้ท่านผู้ชมฟังกัน โดยปรับสำนวนให้เข้ากับคนไทย หากผิดพลาดประการใด ทางรายการน้อมรับและขออภัยไว้ ณ ที่นี่้
แล้วอย่าลืมติดตามรายการมิติที่ 6 ศุกร์สยองขวัญ กับเรื่องราวเบา ๆ พร้อมกับที่มาของมันกันได้ทุกวันศุกร์สะดวก และหลังจากจบรายการแล้ว อย่าลืมกดสับสไครป์ กดไลก์ กดแชร์ และอย่าลืมทิ้งคอมเมนต์กันไว้ด้วยนะครับ ยังมีเรื่องราวต่าง ๆ อีกมากมายรอคุณอยู่ สำหรับวันนี้... สวัสดี !
แปลและเรียบเรียงโดย นิวัฒน์ อ่ำแสง
ที่มา:
Creepypasta Wiki - NoEnd House & NoEnd House2
Bustle
FunnyJunk
Mashable