14 มีนาคม 2561

มิติที่ 6 | รวม 10 เพื่อนในจินตนาการสุดแปลก ที่ไม่น่าจะมีจริงบนโลกใบนี้ !



"คบคนพาลพาลพาไปหาผิด คบบัณฑิตพาลพาไปหาผล" วลีประโยคนี้บอกเราว่า การคบเพื่อนนั้นมันสำคัญกับชีวิตขนาดไหน เรียกได้ว่าเพื่อนดีก็ดีไป แต่ถ้าได้เพื่อนไม่ดีก็มีหวังได้พากันลงเหวไปทั้งแก๊งแน่ ๆ แล้วยิ่งถ้าเพื่อนของเราบางคน ดันไม่มีตัวตนอยู่บนโลกจริง ๆ ด้วยแล้วล่ะก็ !!!

กดเพื่อชมบนยูทูป

มิติที่ 6 สัปดาห์นี้ เราจะเล่าเรื่องราว 10 เรื่อง ชีวิตของคนสิบคนกับเพื่อนของพวกเขา เพื่อนในจินตนาการที่ไม่มีอยู่จริง เพื่อนที่ส่งผลกระทบกับชีวิตได้ในรูปแบบที่แตกต่างกันไป ว่าเรื่องราวทั้งหมดนั้น... มันคืออะไรกันแน่ !?



เวิร์น (Vern)

เรามาเริ่มต้นกับคดีฆาตกรรมคดีนี้ วันนั้นอยู่ในช่วงเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 2013 เจ้าหน้าที่ตำรวจได้รับแจ้งเหตุฆาตกรรม เมื่อพวกเขามาถึงที่เกิดเหตุที่ถนนแห่งหนึ่งในรัฐนิวเจอร์ซี่ พวกเขาก็ได้พบกับร่างของ ริคกี้ โคล (Ricky Cole) อายุ 47 ปี นอนเสียชีวิตอยู่กลางถนนหน้าบ้านของตัวเอง

ต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจก็สามารถตามตัวฆาตกรที่สังหารริคกี้มาสอบสวนได้สำเร็จ เขาคือ เจสัน โคท (Jason Cote) อายุ 24 ปี เป็นคนท้องที่จากย่านพามีลา เจสันสารภาพว่าเขาคือผู้สังหารริคกี้จริง ๆ โดยอาวุธที่ใช้ก็คือท่อแป๊บน้ำที่เขาหามาได้จากแถวนั้น และสาเหตุที่ทำให้ต้องลงมือสังหารเหยื่อก็เพราะเขาได้ยินสิ่งที่ริคกี้กำลังจะทำ คำพูดที่ทำให้เขามั่นใจได้ว่า ถ้าปล่อยไว้แบบนี้ดีไม่ดีตัวของเจสันนี่แหละ จะต้องกลายเป็นเหยื่อเสียเอง

ตำรวจจับกุมตัว "เจสัน โคท"
(ภาพจาก: Morning Sentinel/Michael G. Seamans)

"ริคกี้ โคล" ผู้เสียชีวิต

ท่อเหล็กที่ใช้สังหาร

ในขั้นตอนการเบิกคดีความในชั้นศาล ทนายของเจสันได้อธิบายเรื่องนี้อย่างละเอียดว่า ลูกความของเขาเกิดไปได้ยินนายริกกี้ โคล กำลังพูดคุยอยู่กับเพื่อนที่มองไม่เห็น ผู้ตายเรียกชื่อเพื่อนคนนี้ว่า
"เวิร์น" และกำลังพูดคุยกันว่าวันนี้จะไปฆ่าใครดี !


เมื่อเจสันได้ยินอะไรแบบนี้ ก็เลยคิดว่าตัวเองกำลังจะตกอยู่ในอันตราย ดังนั้นเพื่อไม่ให้ตัวของเขาต้องกลายเป็นเหยื่อ จึงมองหาท่อนเหล็กมาท่อนหนึ่ง จากนั้นก็กระหน่ำตีเจ้าฆาตกรจิตหลอนเพื่อตัดไฟเสียตั้งแต่ต้นลม


ทางทนายยังได้นำรายงานการชันสูตรศพ ที่ระบุว่าในร่างของริคกี้นั้นมีสารเสพติดเจือปนอยู่ในระบบของร่างกาย ทั้งแอลกอฮอล์ ยาสูบ และยังพบอาวุธปืนอีกด้วย และนั่นก็น่าจะเป็นสาเหตุที่ทำให้นายริคกี้เกิดประสาทหลอน สร้างเพื่อนในจินตนาการชื่อเวิร์นขึ้นมา และเขาก็น่าจะเคยฆาตกรรมคนมาแล้วจริง ๆ เพราะในช่วงนั้นเกิดคดีฆาตกรรมขึ้นสองครั้งในรัฐนิวแฮมเชียร์ ที่อยู่ห่างจากนิวเจอร์ซี่ไปไม่มากนัก ดังนั้นคดีที่นายเจสันก่อครั้งนี้ มันต้องเป็นการป้องกันตัวแน่ ๆ


พอทางอัยการฝ่ายฟ้องคดีได้ยินแบบนี้ ก็เลยบอกกับศาลว่ามันไม่น่าจะใช่แบบนั้น เพราะเอาเข้าจริง ๆ ถึงนายริคกี้จะพูดคุยกับเพื่อนในจินตนาการแบบนั้น มันก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะลงมือฆ่าเจสัน จากนั้นก็ได้เบิกตัวพยานคนหนึ่ง ที่ยืนยันว่าเธอกับสามีมักจะเคยเห็นนายเจสัน แอบมาซื้อยาเสพติดกับผู้ตายอยู่บ่อย ๆ และที่เธอรู้ก็เพราะเธอกับสามีเอง ก็เคยแวะไปซื้อยาเสพติดจากผู้ตายเช่นกัน
โดยทุกครั้งผู้ตายก็ไม่เคยพูดจาเลอะเทอะ หรือแม้แต่จะพูดไม่ดีกับฆาตกรเลย และที่เธอกล้าพูดความจริง ก็เพราะตอนนี้เธอกับสามีได้เลิกยาเรียบร้อยแล้ว พอพูดจบพยานรายนี้ก็ร้องไห้แล้วชำเลืองมองนายเจสันครู่หนึ่ง ก่อนที่จะเดินออกจากจุดเบิกความ


การพิจารณาคดีดำเนินมาจนถึงปี ค.ศ. 2016 ศาลสูงสุดของโซเมอร์เซ็ตเคาน์ตี้จึงได้ข้อสรุปออกมาว่า ไม่ว่าจะยังไงก็แล้วแต่ เจสันไม่มีหลักฐานว่าตัวเองถูกทำร้าย และถึงแม้ผู้ตายจะปรึกษากับเพื่อนในจินตนาการ ว่าจะลงมือฆ่าเจสันจริง ๆ เขาก็ยังไม่ได้ลงมือแม้แต่จะหยิบปืนออกมาด้วยซ้ำ ดังนั้นเจสัน โค้ต ก็เลยผิดจริงในข้อหาฆาตกรรม ได้รับโทษจำคุกไปเต็ม ๆ 25 ปี

ที่มา: Centralmaine

---------------
เพื่อนในตู้เสื้อผ้า (The Boy In The Closet)
ภาพประกอบเท่านั้น


ในวันหนึ่งหนูน้อยรีเบคก้าวัย 3 ปี ได้เริ่มพูดเรื่องราวที่ไม่ปกติให้พ่อกับแม่ฟังว่า เธอมีเพื่อนใหม่ และเพื่อนใหม่คนนี้ชื่อว่า "โจนาธาน"

พ่อแม่ของเด็กหญิงได้ยินแบบนั้นก็มองหน้ากัน แล้วถามลูกกลับไปว่าโจนาธานไหน ? รีเบคก้าจึงอธิบายแบบใส ๆ ว่า โจนาธานคนนี้เขาอาศัยอยู่ในตู้เสื้อผ้านั่นไง พอเล่าจบพ่อกับแม่ของเธอก็เลยไม่ได้ใส่ใจอะไร เพราะพวกเขาเข้าใจว่า มันก็เป็นแค่เพื่อนในจินตนาการของเด็ก เดี๋ยวโตขึ้นเธอก็น่าจะลืมไปเอง
ในเวลาต่อมาคุณแม่ของหนูน้อยก็ตั้งครรภ์ครั้งใหม่ นั่นก็เลยทำให้ทั้งครอบครัวต้องตัดสินใจย้ายบ้านไปอยู่ในที่ ๆ กว้างขวางกว่านี้ นั่นจึงทำให้รีเบคก้าต้องลาจากกับเพื่อนในจินตนาการไปโดยปริยาย จนเวลาผ่านไปทั้งเธอและครอบครัวก็ไม่มีใครนึกถึงโจนาธานกันอีก


แต่ก็นั่นแหละเรื่องมันคงจบไปแบบนี้แน่ ๆ ถ้าไม่เป็นเพราะสี่เดือนต่อมาคนที่ซื้อบ้านหลังเก่าของครอบครัวไป ได้ติดต่อกับคุณพ่อของรีเบ็คก้า พวกเขาเล่าว่าได้เจอกับช่องลับ ซ่อนอยู่ทางด้านหลังตู้เสื้อผ้าในห้องนอนห้องหนึ่ง ซึ่งมันก็คืออดีตห้องนอนของรีเบคก้านั่นเอง และในช่องเล็ก ๆ นั้น พวกเขาพบกับกล่องใบหนึ่ง ในกล่องนั้นมีภาพถ่ายและเสื้อผ้าของเด็กถูกบรรจุไว้ และที่ฝากล่องใบนั้นมันเขียนชื่อเจ้าของเอาไว้ว่า “ของโจนาธาน”


นั่นก็เลยทำให้ทุกคนที่ทราบเรื่องนี้ ต่างก็แปลกใจกันไปต่าง ๆ นา ๆ บางคนคิดว่าบางที โจนาธานอาจจะมีอยู่จริง เขาอาจจะเป็นพลังงานบางอย่างก็ได้ แต่บางคนก็มองแง่ดีกว่านั้น พวกเขาคิดว่าบางทีคนที่ทำกล่องใบนั้นขึ้นมา อาจจะเป็นตัวของรีเบคก้าเองหรือเปล่า ? เพราะมันก็เป็นไปได้ว่าเธอต้องการทิ้งของใช้เอาไว้ให้โจนาธานใช้ยามจำเป็นก็ได้เช่นกัน แต่ที่มันอธิบายไม่ได้ก็คือ ทำไมมันถึงมีช่องลับอยู่ตรงนั้น แล้วเด็กอย่างรีเบคก้าจะไปรู้ได้ยังไงว่าหลังตูมีช่องลับ !?


ซึ่งเรื่องนี้มิติที่ 6 ได้พยายามตามไปหาข้อมูลที่ต้นทาง แล้วก็พบว่าที่เว็บไซต์ www.nowtolove.com บอกว่าเรื่องนี้ได้คัดลอกมาจากเว็บไซต์เรดดิตอีกที แถมยังอยู่ในหมวดเรื่องเล่าโนสลีป ที่ในนั้นมีแต่เรื่องแต่งเสียเป็นส่วนใหญ่ นั่นก็เลยทำให้เราต้องลาจากเรื่องนี้ไป เพื่อไปดูเรื่องจริงของเพื่อนในจินตนาการ ที่สร้างคณูปการให้กับคู่หูของเขากันดีกว่า

ที่มา: Nowtolove และ Reddit

---------------
คาร์ลิโต้ (Karlito)
คาร์ล แอนโธนี ทาวนส์
(ภาพจาก: Startribune)
คาร์ล แอนโธนี ทาวนส์ (Karl-Anthony Towns) วัย 21 ปี เขาเป็นนักบาสเก็ตบอลรุ่นเยาว์คนที่สาม ที่สามารถทำแต้มได้มากกว่า 45 แต้ม และทำรีบาวน์ได้ถึง 15 ครั้ง ให้กับทีมมินนิโซตาทิมเบอร์วูล์ฟส์ ในเกมการแข่งขันเพียงนัดเดียว โดยในปี ค.ศ. 2015 หนังสือพิมพ์ชื่อสปอร์ตติ้งนิวส์ ได้เขียนบทความเกี่ยวกับชายคนนี้ว่า เหล่าแฟน ๆ ของคาร์ล-แอนโธนี ต้องถึงกับเป็นงง เมื่อได้เห็นกิริยาอาการของนักบาสหนุ่ม กำลังพูดจาอยู่กับใครก็ไม่รู้ ในขณะที่เขากำลังทำเกมอยู่ในสนาม

และด้วยเหตุนี้ทางนักข่าวจึงไปสอบถามกับเจ้าตัวว่ามันคืออะไร ? ซึ่งคาร์ล-แอนโธนีก็ตอบไปแบบนิ่ง ๆ ว่า ใช่แล้ว ! ในช่วงการแข่งทุกนัด เขาจะต้องปรึกษาพูดคุยกับเพื่อนของเขา

เพื่อนคนนี้ชื่อว่า "คาร์ลิโต้" จะนั่งอยู่บนบ่าคอยพูดจาแนะนำการเล่นที่ถูกต้องกับเขา พอนักข่าวถามว่าเสียงของคาร์ลิโต้เป็นยังไง เขาก็ตอบว่าเป็นเสียงเล็ก ๆ
ซึ่งคู่หูของเขาที่ชื่อไทเลอร์ ยูลิส ก็ได้พูดสนับสนุนด้วยว่า คำแนะนำของคาร์ลิโต้มีประโยชน์มาก และเขาเองก็สังเกตเห็นมาตลอดว่า ในช่วงการแข่งขัน คาร์ล-แอนโธนี่มักจะพูดคุยกับใครก็ไม่รู้ โดยเขาจะก้มหน้ามองลงไปที่พื้น ซึ่งนั่นก็น่าจะเป็นการปรึกษากับคาร์ลิโต้จริง ๆ

และยังบอกอีกว่าเพื่อนในจินตนาการคนนี้ก็เหมือนกับอาวุธสำคัญ ที่จะช่วยให้คาร์ลแอนโธนี่สามารถควบคุมความเครียดในช่วงการแข่งขันอันดุเดือด  แม้แต่โค้ชของธีมเองก็ไม่ได้มองว่าคาร์ลิโต้ จะไปขัดจังหวะการเล่นของใคร และเขาก็จะไม่ทำอะไรกับเรื่องนี้ ตราบใดที่คาร์ลิโต้จะไม่ไปทำให้งานของคาร์ลแอนโธนี่เสียหาย

ที่มา: Sportingnews

---------------


เพื่อนของหนูน้อยแจนยูอารี่ สโคฟิลด์
ภาพประกอบเท่านั้น
โดยเรื่องนี้เป็นเรื่องราวของ แจนยูอารี่ สโคฟิลด์ (January Schofield) เธออายุ 4 ปี แถมยังมีเพื่อนในจินตนาการหลายตัวอีกต่างหาก ซึ่งพ่อแม่ของเธอเองก็พอจะเข้าใจ แต่พวกเขาก็ไม่สามารถจะยอมรับเพื่อนพวกนี้ได้ เพราะเพื่อนที่มองไม่เห็นเหล่านี้ มีบางคนชอบไปสั่งให้หนูน้อยทำเรื่องน่ากลัว อย่างเช่น สั่งให้แจนยูอารี่ไปตีสุนัข บางครั้งก็สั่งให้ไปตีน้องชายวัยแบเบาะด้วย
โดยครั้งนั้นเธอได้พยายามทำร้ายน้องชายคนดังกล่าว แล้วคุณพ่อก็รีบไปอุ้มออกมาแทบจะไม่ทัน ซึ่งนั่นก็ไม่ใช่ครั้งสุดท้าย เพราะหนูน้อยก็หาเรื่องทำร้ายคนอื่น ๆ ในบ้านกันต่อ เธอใช้ปากกัดคุณพ่อทันทีที่มีโอกาส พอเธอไปอยู่ในโรงเรียน เธอก็มักจะโผตัวไปทางหน้าต่างและประตูอยู่บ่อยครั้ง
ซึ่งอาการเกรี้ยวกราดที่เกิดขึ้น มันก็มักจะเป็นขึ้นมายามที่แจนยูอารี่โกรธถึงขั้นสุด แต่สำหรับพ่อแม่แล้ว แจนยูอารี่ก็ยังคงเป็นสิ่งที่สวยงามสำหรับพวกเขา เธอเป็นเด็กหัวไว และสามารถพูดจาได้อย่างถูกต้องตามหลักภาษาตั้งแต่อายุเพียง 2 ปี และกับตอนอายุ 4 ปี เธอก็มีความคิดอ่านได้เทียบเท่ากับเด็ก 11 ปีไปแล้ว


แต่ถึงเธอจะฉลาดขนาดนั้น หนูน้อยกลับสร้างเพื่อนในจินตนาการขึ้นมา ไม่ว่าจะเพื่อนเด็กหญิงตัวเล็ก ๆ สัตว์ตัวเล็ก ๆ ที่อาศัยอยู่ในบ้าน สุนัขที่เธอเคยตีเธอก็คุยกับมัน เรื่อยไปจนไม่เว้นแม้แต่หนูตัวเล็ก ๆ เธอก็ยังบอกว่านั่นคือเพื่อนของเธอ  และนอกจากนี้แจนยูอารี่ก็ไม่ชอบให้ใครมาเรียกชื่อตัวเองด้วย
จนกระทั่งเธออายุ 6 ปี แจนยูอารี่ก็ได้พยายามฆ่าตัวตาย โดยการกระโดดออกไปทางหน้าต่างห้องนอน พอรอดมาได้เธอยังพยายามใช้เสื้อเชิ้ต รัดไปที่คอของตัวเองอีกด้วย และถ้าหากท่านผู้ชมท่านใดที่เป็นเยาวชน ที่ได้ฟังเรื่องนี้แล้วคิดว่ามันดีน่าเอาอย่าง ก็ควรจะรีบเดินออกไปปรึกษากับผู้ปกครองโดยเร็ว เพื่อให้พ่อแม่พาไปหาหมอจะดีกว่านะครับ
เพราะทางพ่อแม่ของแจนยูอารี่ ก็ได้พาเธอไปพบกับจิตแพทย์เช่นกัน โดยคุณหมอได้ทำการตรวจอย่างละเอียด ก็ระบุได้ว่าแจนยูอารี่น่าจะป่วยเป็นโรคจิตเภทในเด็ก ที่นอกจากเธอแล้วก็ยังมีเด็กเล็กอีกมากมายในอเมริกา ที่ป่วยเป็นโรคทางจิตชนิดนี้ มันไม่ใช่อาการป่วยแบบทั่วไป ที่คุณหมอก็เน้นว่ามันคืออาการป่วยอย่างรุนแรง ซึ่งนอกจากตัวของแจนยูอารี่แล้ว ในปัจจุบันน้องชายของเธอก็ยังป่วยเป็นโรคออทิสติก ที่ตรวจพบเมื่อตอนที่เขาอายุได้ 5 ปี และเขาเองก็มีความเป็นไปได้สูงว่า ในอนาคตเขาอาจจะได้ป่วยเป็นโรคเดียวกับพี่สาวเช่นกัน

ที่มา: Telegraph

---------------
เจส (Jess)
ภาพประกอบเท่านั้น


ในหนังสือของ ลีน กาลาเกอร์ (Lynne Gallagher) ที่ชื่อว่า ไซชิกคิดส์ (Psychic) เธอได้เล่าเหตุการณ์ที่ไม่สามารถอธิบายได้เรื่องหนึ่ง มันเป็นเรื่องที่มักจะเกิดขึ้นในบางเวลากับเด็ก ๆ เธอเรียกสิ่งที่เกิดขึ้นนี้ว่า "เพื่อนในจินตนาการ" โดยเล่าเรื่องราวที่เคยเกิดกับคู่รักคู่หนึ่ง กับลูกสาวของพวกเขา


หนังสือไซชิกคิดส์ ของลีน กาลาเกอร์

ลอเรนด้า และเบ็น คือคู่รักที่ถูกกล่าวถึงในหนังสือเล่มนั้น ทั้งสองอาศัยอยู่ในบ้านกับแอนนา ลูกสาววัย 6 ปี โดยบ้านที่พวกเขาย้ายเข้ามานี้ ก็มักจะคอยเอนเตอร์เทนแขกของบ้าน ที่จะได้เข้าไปนอนในห้องนอนสำรอง ด้วยความน่าสะพรึ่งกลัวอยู่เสมอ และในเวลาต่อมาแอนนาที่เป็นลูกสาวก็เริ่มพูดคุยกับเด็กคนหนึ่ง เธอเรียกเด็กคนนี้ว่า "เจส"
แอนนาบอกว่าเจสมีตุ๊กตาอยู่ตัวหนึ่ง ซึ่งเธอจะถูกเจสดุทุกครั้งที่พยายามจะนำตุ๊กตาที่ว่ามาเล่นด้วย


แอนนาเริ่มไม่ยอมให้สุนัขของครอบครัวเข้าห้อง เพราะกลัวว่าเจสจะออกมาอาละวาด ลอเรนด้าจึงเล่าเรื่องนี้ให้สามีฟัง แต่เบ็นกลับไม่สนใจอะไรกับเรื่องนี้ โดยบอกว่าเดี๋ยวแอนนาโตขึ้นเพื่อนที่ว่าคนนี้ก็จะหายไปเองนั่นแหละ  ซึ่งลอเรนด้าก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน นั่นจึงทำให้ต่อมาเวลาแอนนาพูดถึงเจสครั้งใด ลอเรนด้าก็จะทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ เพื่อให้เรื่องที่เกิดขึ้นมันจบไปเร็ว ๆ นั่นเอง
จนมาคืนหนึ่งอยู่ดี ๆ ไฟในบ้านก็ดับลง ลอเรนด้าจึงรีบเดินเข้าไปในห้องนั่งเล่น เพราะเธอรู้ว่าตอนนั้นแอนนาน่าจะกำลังนอนหลับอยู่ เธอจุดเทียนเพื่อให้แสงสว่าง แล้วก็พบว่ามีเด็กแปลกหน้าคนหนึ่ง กำลังนั่งอยู่บนพื้นข้าง ๆ แอนนา เด็กคนนั้นกำลังลูบเส้นผมตัวเอง ที่ปากก็กำลังร้องเพลงกล่อมเด็ก
พอเห็นแบบนั้นลอเรนด้าก็ถึงกับร้องเสียงหลง แต่เด็กคนนั้นกลับยังคงร้องเพลงต่อไป ราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นในห้องแม้แต่น้อย จนเจ้าสุนัขที่ชื่อลูลู่เห่าขึ้นมา เด็กหญิงคนนั้นจึงกระโดดขึ้นมายืน จากนั้นก็รีบวิ่งออกไปทางประตู กรีดร้องด้วยเสียงอันดังบาดหู พอลอเรนด้าตั้งสติได้ก็รีบวิ่งตามเด็กคนนั้นไป จนออกมาถึงสระน้ำหน้าบ้าน เธอก็พบว่าเด็กคนนั้นหายตัวไปแล้ว เหลือทิ้งไว้ก็เพียงกองเลือดกองหนึ่งที่ลอยอยู่ในสระน้ำเท่านั้น

ที่มา: Books.google.co.za

---------------

บลีดเดอร์ (Bleeder)
หนูน้อยรีแลน
(ภาพจาก: รายการ Dr. Phil)

รีแลน (Rylan) เขาเกิดมาพร้อมกับอาการป่วยบางอย่าง ที่ได้มาจากคุณแม่ของเขาผ่านทางพันธุกรรม คุณแม่ของเขาป่วยเป็นไบโพลาร์ โรคที่ว่าเวลาดีก็ดีใจหาย เวลาร้ายก็ร้ายสุด ๆ ซึ่งผลของสิ่งที่เกิดขึ้น มันก็ทำให้รีแลนต้องได้พ่อแม่คนใหม่ที่เข้ามารับเขาไปเลี้ยงดูกันต่อ พวกเขาคือคิมและไรอัน คู่รักที่อยากจะให้ชีวิตใหม่กับเด็กคนนี้ ซึ่งสิ่งที่พวกเขาพอรู้ก็คือ เด็กน้อยวัย 7 ปีคนนี้ ชอบตะโกนเสียงดังเหมือนทหารเรือ และจะมีอาการแปลก ๆ ออกมา ยามที่เขาได้เห็นมีดอยู่ใกล้ ๆ ไปเสียทุกครั้ง
นั่นจึงทำให้พ่อแม่อุปถัมป์คู่นี้รีบพารีแลนไปพบกับด็อกเตอร์ฟิล โดยหวังให้เขาช่วยรักษาอาการแปลก ๆ เหล่านี้ให้ ซึ่งคุณหมอก็ให้คำแนะนำกับพวกเขาว่า ในอนาคตข้างหน้า เด็กคนนี้สามารถก่อเหตุฆาตกรรมหมู่ ไม่ก็สามารถเป็นฆาตกรต่อเนื่องได้แน่ ๆ
และที่คุณหมอกล้าพูดแบบนี้ ก็เพราะทั้งคิมและไรอันได้นำเทปบันทึกกิริยาแปลก ๆ ของลูกชาย ตอนช่วงกำลังส่งเสียงกรีดร้อง พร้อมกับพูดจาขู่ว่าจะฆ่าคุณแม่กับเพื่อนของเธอ ทั้ง ๆ ที่ตอนนั้นทุกคนกำลังพยายามปลอบให้เด็กน้อยสงบลงแท้ ๆ และนอกจากนี้พวกเขาก็ยังได้นำเทปวิดีโออีกม้วนมาเปิด ในนั้นมีภาพของเด็กน้อยกำลังพูดกับพ่อแม่ว่า ถ้าพ่อแม่เอามีดอีโต้ของเขาไปซ่อน เขาจะไปหามีดอันใหม่ เพื่อมาใช้แทงพวกเขาให้ตายไปแน่นอน
ซึ่งรีแลนนั้นมีปัญหามาตั้งแต่เกิด และมันก็รุนแรงขึ้นเสมอมา มีครั้งหนึ่งไรอันอายุยังไม่ทันจะครบสองปี เขาเคยกลั้นหายใจจนตัวเองสลบ พออายุสามปีเขาก็เริ่มนำเอามีดจริง ๆ มาทำเป็นของเล่น มาจนถึงอายุ 6 ปี เขาก็คว้าเอามีดโกนมาตัดปลายนิ้วอีก โดยไรอันได้บอกถึงสาเหตุที่เขาทำแบบนี้ว่า เพื่อนในจินตนาการของเขานี่แหละ ที่เป็นคนสั่งให้เขาทำทุกอย่าง
นั่นก็เลยทำให้พ่อแม่ของเขาถามว่า เพื่อนคนนี้เป็นใครกันแน่ ? รีแลนก็ตอบว่า เพื่อนของเขาเป็นหุ่นยนต์ มันชื่อว่าบลีดเดอร์ เจ้าเพื่อนตัวนี้มักจะพูดบอกเขาเสมอว่า จงฆ่าทุกคนในบ้านเสียให้หมด ซึ่งทาง ดร.ฟิล ก็ได้ให้คำปรึกษากับพ่อแม่เด็กไปแล้ว และตั้งแต่วันนั้นก็ไม่มีข่าวคราวอะไรเกี่ยวกับเด็กคนนี้อีกเลย

ที่มา: NY Dailynews

---------------
อีริค (Eric)
ภาพจาก: Porter County Sheriff’s Department


เรื่องเกิดที่เซาธ์เฮเว่น รัฐมิชิแกนของประเทศสหรัฐอเมริกา ตอนนั้นคือช่วงเดือนมกราคม ค.ศ. 2013 โลแกน ฟิชเชอร์ (Logan Fischer) อายุ 19 ปี ได้จับแฟนสาวของตัวเองไปมัดเชือกไพล่หลัง พอหญิงสาวพยายามพูดขอให้ปล่อย เขาก็เอาเทปกาวไปปิดปากเธอจนพูดไม่ได้อีก จากนั้นโลแกนก็หยิบหมอนขึ้นมา แล้วใช้มันอัดไปที่ใบหน้าของหญิงสาว แต่ก็โชคยังดีที่โลแกนเกิดเปลี่ยนใจขึ้นมา แล้วก็ปล่อยตัวเธอไปในที่สุด


พอหญิงสาวตั้งสติได้เธอก็รีบโทรศัพท์ไปหาคุณลุงทันที คุณลุงได้ฟังทุกอย่างก็เข้าใจ แล้วบอกหลานสาวของเขาให้รีบหนีออกมาจากที่นั่น เพื่อจะได้มากับพบเขาที่ลานจอดรถของร้านวอล์มาร์ท หญิงสาวฟังจบเธอจึงรีบขับรถของตัวเอง หนีออกมาจากบ้านของโลแกน ในขณะที่โลแกนก็ขับรถของเขาไล่ตามมา พอหญิงสาวไปถึงลานจอดรถตามนัด เธอก็พบกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ที่เดินทางมาตามคำเชิญของคุณลุง ซึ่งก็แน่นอนว่าโลแกนที่ขับรถไล่ตามมา ก็ถูกเจ้าหน้าที่ขอเข้าจับกุม ก่อนที่จะพาตัวนายโลแกน ฟิชเชอร์ ไปสอบสวนต่อกันที่สำนักงานนายอำเภอพอร์เทอร์เคาน์ตี้ ของรัฐอินเดียนา


ทางหญิงสาวบอกกับเจ้าหน้าที่ตำรวจว่า ตอนแรกเธอก็แวะไปหานายโลแกนตามปกติ อยู่ดี ๆ เขาก็ทำท่าแปลก ๆ แล้วพูดขึ้นว่า “เธอต้องโดนแบบนี้ !” จากนั้นก็บุกเข้ามามัดมือเธอด้วยเข็มขัด พอเธอตะโกนเอะอะ เขาก็รีบเปิดวิทยุจนเสียงดัง จากนั้นก็เอาเทปกาวมาปิดปาก หยิบหมอนมาปิดใบหน้าของเธอ แล้วก็เป็นแบบที่เราเล่าไปในตอนต้น


ส่วนทางโลแกนที่ถูกตำรวจจับ เขาก็สารภาพว่าเขาทำทุกอย่างจริง ๆ และที่ทำไปทั้งหมดนั้นมันก็เป็นเพราะ "อีริค" เจ้าหน้าที่ตำรวจก็เลยถามต่อว่าอีริคเป็นใคร ? โลแกนก็เลยตอบไปว่า อีริคคือเพื่อนในจินตนาการของเขา หมอนี่อยู่กับเขามาตั้งแต่เด็ก แต่วันนี้ไม่รู้ว่าอีริคเป็นอะไร พอแฟนของเขาเดินทางมาหาถึงบ้าน เจ้าอีริคก็พูดสั่งให้เธอหยิบมีดมาแทงเขาเสียอย่างนั้น โชคยังดีที่แฟนของเขาไม่เล่นด้วย นั่นก็เลยทำให้โลแกนต้องรีบตัดไฟแต่ต้นลม ด้วยการจัดการกับแฟนสาวของตัวเองเสียก่อน ไม่งั้นเกิดเธอเคลิ้มขึ้นมา เขานี่แหละที่จะได้เป็นฝ่ายจากไปแทน


เจ้าหน้าที่ตำรวจฟังจบก็พูดอะไรไม่ถูก จนโลแกนเริ่มสำนึกผิด เขาจึงร้องขอให้เจ้าหน้าที่รีบใส่กุญแจมือเขาจะดีกว่า และยังบอกกับตำรวจอีกว่า ตัวเองคงเป็นบ้าไปแล้วแน่ ๆ นั่นก็เลยทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจถึงกับเซ็ง ก่อนที่จะนำตัวนายโลแกนไปพักฟื้นในห้องขังต่อไป

ที่มา: Nwitimes

---------------

ลาฟฟิ่งแจ็ค (Laughing Jack)
ภาพจาก: Chyldarts

ถ้าพูดถึงตำนานเมือง "ลาฟฟิ่งแจ็ค" ก็คือตัวตลกที่จะปรากฏตัวขึ้นมาต่อหน้าเด็ก ๆ ในฐานะเพื่อนในจินตนาการ ด้วยเข้าไปหาแบบเป็นมิตร จากนั้นก็จะทำลายมิตรภาพทุกอย่าง ด้วยการจับเด็กคนนั้นไปเชือดทิ้ง ควักเอาเครื่องในออกมา แล้วเอาลูกอมยัดใส่เข้าไปแทนที่ โดยในตำนานส่วนนี้ได้ถูกเล่าต่อมาในฐานะครีบปี้พาสต้าหลากหลายเวอร์ชั่น แต่กับเรื่องที่เราจะเล่านั้น มันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริงกับเด็กหญิงคนนี้
ตอนนั้นคือช่วงปี ค.ศ. 2015 มีเด็กหญิงอายุ 12 ปี จากรัฐอินเดียน่าคนหนึ่ง เธอได้จุดไฟเผาบ้านตัวเอง ก่อนที่จะใช้มีดแทงแม่เลี้ยงของเธอจนเสียชีวิต พอเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้ามาสอบสวน เด็กหญิงก็บอกว่าเธอทำตามคำแนะนำของลาฟฟิ่งแจ็ค


โดยสิ่งที่เด็กหญิงได้สารภาพนั้น มีหลายฝ่ายสามารถระบุได้ทันทีว่า ลาฟฟิ่งแจ็คมันเป็นหนึ่งในตัวละครสมมุติ ที่ถูกเล่าไว้ในครีบปี้พาสต้านั่นเอง และนั่นจึงทำให้คดีนี้กลายเป็นอีกครั้งที่คนร้ายก่อเหตุโดยอ้างถึงตัวละครจากเรื่องเล่า


ต่อมาเด็กหญิงถูกส่งตัวไปยังสถานพยาบาล ทางแพทย์พบว่าเธอมีอาการป่วยทางจิต ชนิดที่เรียกว่าบกพร่องทางสังคม ปฏิเสธอัตลักษณ์ของตัวเอง นั่นจึงทำให้เธอถูกส่งตัวต่อไปยังโรงพยาบาลผู้ป่วยทางจิต โดยไม่ได้รับการพิจารณาคดีทางกฏหมายแต่อย่างใด


และจากกรณีที่เกิดขึ้นครั้งนี้ มันก็ได้ทำให้ทางครีบปี้พาสต้าวิกิและครีบปี้พาสต้าด็อตคอม ตัดสินใจบล็อกช่องทางการเข้าถึง จากเหล่าผู้คนที่คลิกลิงค์ผ่านทางหน้าเว็บข่าว โดยจุดประสงค์ที่ทำเช่นนั้น ก็เพื่อป้องกันไม่ให้เหล่าชาวเน็ตทั่วไป สามารถบุกเข้ามาคอมเมนต์ที่เว็บไซต์ได้ง่าย ๆ โดยทางเว็บไซต์ต้นเรื่องเหล่านี้ ก็ไม่คิดจะแสดงความเสียใจใด ๆ กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในครั้งนี้แม้แต่น้อย

ที่มา: Nydailynews

---------------

สเลนเดอร์แมน (Slender Man)
ภาพจาก: BBC
เรื่องต่อไปก็คืออีกเรื่องที่เราจะต้องเล่า เมื่อเด็กหญิง 2 คนจากวิสคอนซิน ได้ล่อลวงเพื่อนของเธอเข้าไปในป่า


ตอนนั้นตรงกับเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 2014 มันเป็นช่วงหลังจากงานปาร์ตี้ชุดนอนของพวกเธอ โดยเด็กหญิงวัย 12 ปีทั้งสองคน ได้ลงมือทำร้ายเพื่อนของเธอด้วยการใช้มีดแทงไปที่เพื่อนถึง 19 แผล แต่ก็โชคยังดีที่ไม่มีแผลใดร้ายแรงจนถึงชีวิต นั่นจึงทำให้เด็กหญิงผู้โชคร้าย สามารถรอดตายกลับมาได้อย่างปาฏิหารย์
ต่อมาเด็กหญิงทั้งสองก็ถูกจับ พวกเธอบอกกับตำรวจว่าทั้งหมดมันมาจาก "สเลนเดอร์แมน" ที่เป็นคนสั่งให้พวกเธอทำร้ายเพื่อนคนนี้ และถ้าพวกเธอไม่ทำ สเลนเดอร์แมนจะสังหารครอบครัวของเธอแทน


สเลนเดอร์แมน
(ภาพจาก: Nick Tyrell)

เด็กหญิงทั้งสองยังเล่าอีกว่า ที่พวกเธอตัดสินใจทำไปอย่างง่ายดายแบบนั้น ก็เพราะว่าเขาเป็นสเลนเดอร์แมน ซึ่งพวกเธอก็เชื่อว่า หลังจากที่พวกเธอสังหารเพื่อนสำเร็จ สเลนเดอร์แมนก็จะพาพวกเธอไปยังคฤหาสน์ของเขา ที่ ๆ เขาเฝ้ามองดูการฆาตกรรมของพวกเธออยู่


ซึ่งสเลนเดอร์แมนเป็นอีกหนึ่งตัวละคร ที่เราเคยเล่าเอาไว้แล้วในศุกร์สยองขวัญ โดยเวอร์ชั่นที่เราเลือกนำมาเล่านั้น ก็พยายามหลีกเลี่ยงในส่วนของแฟนฟิค หันไปเล่าในส่วนที่สรุปใจความแบบสารคดีแทน ดังนั้นหากใครอยากทราบว่าสเลนเดอร์แมนเป็นอย่างไร ก็สามารถคลิกเข้าไปรับชมได้โดยไม่มีอันตรายนะครับ >> มิติที่ 6 ไขปริศนาสเลนเดอร์แมน

ที่มา: NY MAG

---------------

เพื่อนในจินตนาการของ แคสซี่ แอนโธนี่
ภาพจาก: Getty Images/Joe Burbank Pool


เรื่องสุดท้ายถือเป็นหนึ่งในคดีใหญ่ช็อกโลกสำหรับปี ค.ศ. 2011 เมื่อ แคสซี่ แอนโธนี่ (Casey Anthony) ได้รับการพิพากษาให้ไม่มีความผิด ในข้อหาฆาตกรรมสังหารเคย์ลี่ ลูกสาววัยเพียง 2 ปีของเธอ ทั้ง ๆ ที่หลักฐานทุกอย่างก็ล้วนชี้ไปที่ความผิดของเธอทั้งสิ้น แต่ถึงเธอจะรอดในคดีหลักก็ถูกพิจารณาให้มีความผิดในคดีอาญา 4 คดี ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือคดีให้การเท็จกับเจ้าหน้าที่บ้านเมือง

โดยข้อหาที่เรายกมานั้น แคสซี่ แอนโทนี่ได้พูดถึงเพื่อนในจินตนาการของเธอ และยังสร้างเรื่องโกหกเพื่อให้เหล่าตัวละครพวกนี้ดูมีตัวตน โดยเรื่องแรกที่เธอโกหกนั้นก็คือเธอทำงานอยู่ในยูนิเวอร์แซลสตูดิโอ จากนั้นเธอก็จ้างพี่เลี้ยงเด็กไว้คนหนึ่ง ที่เธอเองก็พอจะรู้ว่าพี่เลี้ยงคนนี้ชอบแอบหนีออกไปเที่ยวกับอดีตแฟนของเธอ ซึ่งเธอก็ตั้งชื่อให้กับพี่เลี้ยงคนนี้ว่า เซนายด้า

แคสซี่บอกว่าเซนายด้านี่แหละที่เป็นคนลักพาตัวลูกสาวของเธอไป เพราะเซนายด้าเชื่อว่าแคสซี่นั้นเป็นคุณแม่ที่แย่มาก ส่วนอดีตแฟนหนุ่มของแคสซี่ที่ถูกอ้างว่าเป็นกิ๊กของเซนายด้านั้นชื่อว่า เจ็ฟ ฮ็อพกินส์ แคสซี่บอกว่าชายคนนี้ทำงานที่นิเคโลเดียนสตูดิโอ และยังบอกอีกว่าแม่ของเขากำลังป่วยเป็นโรคมะเร็ง

นอกจากเรื่องของอดีตแฟนหนุ่มแล้ว แคสซี่ก็ยังพูดถึงพ่อของเด็กด้วย เธอบอกว่าพ่อของเด็กชื่อ อิริค เบเกอร์ เพียงแต่แม่ของเธอกลับไม่เคยได้ยินชื่ออีริคมาก่อน นั่นจึงทำให้แคสซี่บอกกับคุณแม่ของเธอว่า อิริค เบเกอร์ คนนี้ได้เสียชีวิตไปนานแล้วเพราะอุบัติเหตุ
โดยการโกหกครั้งนี้มันดำเนินจนไปถึงตอนที่เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ให้เธอพาเข้าไปยังยูนิเวอร์แซลสตูดิโอ ที่เมื่อเธอไปยืนถึงหน้าประตูนั่นแหละ เธอถึงหันกลับมาบอกกับตำรวจว่า "ฉันไม่ได้ทำงานที่นี่ แฮ่"


ส่วนเรื่องอดีตแฟนที่ชื่อเจ็ฟ ฮ็อพกินส์ ที่เธออ้างว่าเขามักจะแอบมาพาพี่เลี้ยงของเธอไปเที่ยวอยู่เสมอนั้น เจ้าหน้าที่ตำรวจก็สามารถตามหาตัวจนพบ แล้วนำมาเบิกความในศาลบอกว่า เขารู้จักกับแคสซี่แค่ช่วงเรียนมัธยม ตอนนั้นเธอกับเขาเคยทำงานพิเศษด้วยกันในบาร์แห่งหนึ่ง แล้วต่อจากนั้นเขาก็ไม่เคยพบแคสซี่อีกเลย จนได้พบอีกทีก็ในศาลนี้แหละ


ส่วนอิริค เบเกอร์ ที่แคสซี่อ้างว่าเป็นพ่อของลูกสาวเธอนั้น ทางเจ้าหน้าที่ไม่สามารถตามตัวเจอได้ นั่นก็เลยทำให้ไม่มีใครรู้ว่าจริง ๆ แล้วพ่อของเด็กเป็นใครกันแน่ !?


พอเป็นแบบนี้มันก็เลยทำให้เรื่องเล่าทุกอย่างของแคสซี่ กลายเป็นแค่เรื่องโกหกที่เธอแต่งขึ้นมาทั้งหมด !


ในระหว่างการพิจารณาคดี แคสซี่ยังมีพยานอีกคนที่ตกลงกับศาลเอาไว้ นั่นก็คือแม่ของเธอ แต่แคสซี่บอกว่าคุณแม่กำลังเดินทางมา ให้ศาลรอสักครู่ จนเวลาผ่านไป 90 นาที คุณแม่ของเธอก็ยังมาไม่ถึงศาลสักที นั่นจึงทำให้ศาลมองหน้าแคสซี่อยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่แคสซี่จะพูดตัดบทออกมาว่า จริง ๆ แล้วคุณแม่ของเธอได้เดินทางกลับบ้านที่นิวยอร์กไปแล้ว


นั่นก็เลยทำให้ศาลพิจารณาว่าแคสซี่มีความผิด ในข้อหาให้การเท็จกับเจ้าหน้าที่นั่นเอง ก็เรียกได้ว่าเธอมีเพื่อนในจินตนาการแบบจงใจสร้างขึ้นมาทั้งสิ้น !

ที่มา: ABC NEWS

เรื่องทั้งหมดที่มิติที่ 6 ได้นำมาเล่านี้ หลายเรื่องราวบอกให้เรารู้ว่าเพื่อนในจินตนาการคืออาการทางจิต บางเรื่องก็เป็นคู่คิดในการทำงาน บางเรื่องก็เป็นแค่นิยาย และบางเรื่องก็เกิดขึ้นเพราะถูกสมมุติเพื่อให้ตัวเองพ้นผิด จึงอยากให้ท่านผู้ชมย้อนคิดกันดูว่า เรามีเพื่อนในจินตนาการแบบไหนกันบ้าง ? ซึ่งถ้าหากว่ามีล่ะก็ ลองดูกันด้วยว่าเพื่อนคนนั้นของคุณ เขาจัดอยู่ในเพื่อนประเภทไหนกันแน่ ? และเราสามารถอยู่ร่วมกับเขาได้ดีมากน้อยเพียงใด ? แล้วก็อย่าลืมไปเช็คสุขภาพจิตกันด้วยนะครับ !

หลังจากจบรายการมิติที่ 6 แล้ว อย่าลืมกดสับสไครป์ กดไลก์ กดแชร์ และอย่าลืมทิ้งคอมเมนต์กันไว้ด้วยนะครับ ยังมีเรื่องราวต่าง ๆ อีกมากมายรอคุณอยู่ สำหรับวันนี้... สวัสดี !

แปลและเรียบเรียงโดย นิวัฒน์ อ่ำแสง
ขอบคุณที่มา: Listverse

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

ประกาศ

เพื่อเป็นกำลังใจเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้กับเรา ขอความร่วมมือจากผู้ที่นำเรื่องราวจากมิติที่ 6 ไปใช้ในที่ของท่าน กรุณาลงเครดิตกลับมาที่เราจะเป็นพระคุณอย่างสูงครับ