21 มีนาคม 2561

มิติที่ 6 | 10 ตำนานเมืองสุดสยองขวัญจากทั่วโลก กับความจริงอันน่าทึ่งที่ถูกซ่อนเอาไว้ !!!




"ตำนาน" ก็คือเรื่องเล่าเรื่องเล่าจากคนโบราณ ส่วน "ตำนานเมือง" หมายถึงเรื่องราวที่ถูกเล่าจากคนในเมือง ซึ่งหลาย ๆ เรื่องก็มักจะเกิดจากผู้เล่านำเหตุการณ์หลาย ๆ อย่างรอบตัว เอามาควบรวมกับจินตนาการอันล้ำเลิศ เพื่อก่อกำเนิดเรื่องเล่าในแบบต่าง ๆ ที่บางเรื่องก็ให้คติสอนใจ บางเรื่องก็ไม่ได้มีอะไรมากไปกว่าความน่ากลัว

กดเพื่อชมบนยูทูป

มิติที่ 6 สัปดาห์นี้ เราจะนำตำนานเมืองสุดสยอง ! เรื่องราวน่ากลัวทั้งแบบเหนือจริง สเหมือนจริง และเรื่องที่ไม่รู้จะเอามาเล่าให้กลัวทำไม แต่ไม่ว่ายังไงมันก็ได้กลายมาเป็นสุดยอดตำนานเมืองในยุคปัจจุบัน ว่าทั้งหมดนั้น... มันคืออะไรกันแน่ !?


El Silbon

ภาพจาก: Aminoapps


ในเวเนซูเอลาและโคลอมเบีย
เอลซิลบอน ก็คือเรื่องเล่าของอสุรกายในร่างชายหนุ่ม ที่ถูกสาปให้ต้องเดินเร่ร่อนไปทั่วโลก ด้วยการแบกถุงใส่กระดูกไว้บนบ่าตลอดเวลา
ครั้งหนึ่งอสุรกายตัวนี้เป็นเพียงเด็กผู้ชายตัวเล็ก ๆ ที่อาศัยอยู่กับพ่อแม่ในประเทศเวเนซูเอลา และด้วยความที่เขาเป็นเด็กนี่เอง มันก็เลยทำให้เขาถูกตามใจแบบไม่รู้จักจบสิ้น ซึ่งนั่นก็คือปัจจัยสำคัญที่ทำให้เด็กน้อยเปลี่ยนไปกลายเป็นเด็กเอาแต่ใจ ที่จะแสดงอาการเกรี้ยวกราด เมื่อมีอะไรที่ไม่ได้ดังใจของเด็กน้อยขึ้นมา
ในเย็นวันหนึ่งเด็กน้อยได้เรียกร้องของกินเนื้อกวางเป็นอาหารค่ำ พ่อของเขาก็รับคำแล้วเข้าป่าไปล่ากวางทันที จนเวลาผ่านไปพ่อของเด็กน้อยก็กลับมาพร้อมกับความว่างเปล่า เขาไม่ได้เนื้ออะไรกลับมาทำอาหารเย็นแม้แต่อย่างเดียว นั่นจึงทำให้เด็กน้อยเกิดอารมณ์ฉุนเฉียว คว้ามีดแทงเข้าไปที่ท้องของผู้เป็นพ่อ จากนั้นก็ควักเอาเครื่องในของเขาออกมา แล้วส่งให้คุณแม่เอาไปทำอาหารแทนเนื้อกวาง
ทางแม่ของเด็กน้อยที่อยู่ในครัวก็รับเอาสิ่งที่เด็กชายส่งให้มาทำเป็นอาหาร โดยไม่ทันสงสัยว่ามันคืออะไรกันแน่ จนกระทั่งเธอปรุงอาหารจนเสร็จ เธอถึงได้เริ่มสังเกตเห็นความผิดปกติ ว่าเนื้อพวกนี้มันไม่ใช่เนื้อสัตว์ จนในที่สุดเธอก็รู้ความจริงว่านี่มันเป็นเนื้อของใคร เธอเศร้าเสียใจในสิ่งที่ลูกของเธอทำอยู่พักหนึ่ง จนในที่สุดเธอก็คิดได้และส่งเด็กชายให้กับคุณปู่เป็นผู้จัดการเขา
คุณปู่ได้รับฟังเรื่องราวทุกอย่างจบ เขาก็บอกได้ทันทีว่าหลานคนนี้น่าจะถูกปีศาจร้ายเข้าสิงอยู่แน่ ๆ นั่นจึงทำให้เขานำพริกและมะนาว มาลูบที่บาดแผลของเด็กชาย เพื่อหมายจะชำระล้างความชั่วร้ายให้หมดสิ้น จากนั้นเขาก็ส่งถุงใส่อัฐิของบิดาให้เด็กน้อยแบก ก่อนที่จะปล่อยฝูงสุนัขออกมา เพื่อวิ่งไล่เด็กน้อยให้หนีไปจากที่นั่น เด็กน้อยวิ่งออกไปได้ไม่นาน เขาก็สะดุดขาตัวเองล้มลงไปบนพื้น ฝูงสุนัขจึงรุมกัดเด็กน้อยทันที และในตอนนี้คุณปู่ของเขาก็เริ่มร่ายคำสาป เพื่อให้เด็กชายต้องแบกถุงกระดูกใบนั้น ออกเดินทางไปโดยไม่มีวันสิ้นสุด
และว่ากันว่าทุกวันนี้เอลซิลบอนก็ยังคงวิ่งไปทั่ว ส่งเสียงผิวปากให้ผู้คนได้ยิน และสามารถลอบเข้าไปในบ้านของใครก็ได้โดยที่เจ้าของบ้านไม่รู้ตัว และเมื่อเอลซิลบอนเข้าไปในบ้านได้แล้ว เขาก็จะวางถุงใส่กระดูกลงบนพื้น จากนั้นก็จะเริ่มนับทุกชิ้นอยู่ภายในบ้านหลังนั้น ซึ่งก็แน่นอนว่าวันรุ่งขึ้นสมาชิกในบ้านหลังนั้นจะต้องตายไปหนึ่งคน เว้นเสียแต่ว่าจะมีใครสักคน สามารถรู้ตัวว่าเอลซิลบอนเข้ามาอยู่ในบ้านแล้ว ซึ่งการรู้ตัวเช่นนี้จะทำให้เอลซิลบอน ดลบันดาลให้คนในบ้านพบแต่ความสุขความเจริญ
ที่มา: Aminoapps


---------------
Japanese Suicide Portrait

ภาพจาก: Urbanlegendsonline


ตำนานนั้นเล่าว่ามีหญิงสาวคนหนึ่ง เธอได้วาดภาพหญิงงามขึ้นมา ในภาพนั้นเราจะเห็นได้เลยว่าหญิงสาวในภาพกำลังจ้องมองมาที่ผู้ดูอย่างเราตรง ๆ ตามตำนานเล่าว่าเด็กวัยรุ่นคนนั้นโพสต์ภาพนี้ลงในโลกออนไลน์ได้ไม่นาน เธอก็ฆ่าตัวตายไปด้วยสาเหตุอะไรบางอย่าง
แล้วทีนี้ก็มีผู้คนในโลกออนไลน์ต่างก็พูดกันว่า พวกเขาสามารถมองเห็นความโศกเศร้า ผสมกับอารมณ์โกรธอาฆาต ส่งผ่านออกมาจากภาพวาดชิ้นนี้ บางคนบอกว่าถ้ามองไปสักพัก เราจะเห็นได้ว่าที่ริมฝีปากของเธอจะเริ่มแสยะยิ้มส่งมาให้เรา ราวกับว่ากำลังเยาะเย้ยไม่ก็จ้องจะทำร้าย บางคนก็บอกว่าถ้ามองให้นานกว่านั้นอีก 5 นาที เราจะได้เห็นวิญญาณอันชั่วร้ายปรากฏออกมา จากนั้นมันก็จะกระชากเอาวิญญาณของเราออกจากร่าง เพื่อไปเป็นอาหารอันโอชะของมันด้วย


ก็อย่างที่บอกว่าเราเคยเฉลยเรื่องนี้ไปแล้ว ว่ามันเป็นผลงานภาพวาดของศิลปินชาวจีน ชื่อ โรเบิร์ต จาง ที่ตั้งชื่อภาพวาดนี้ว่า Princess Ruu เพื่อใช้ในงานการ์ตูนของเขาชื่อ Tellurian Sky ไหงกลายมาเป็นครีบปี้พาสต้าไปได้ เขาก็ไม่รู้สาเหตุเช่นกัน แต่ที่เขารู้แน่ ๆ ก็คือ เขาต้องบอกความจริงนั้นไปด้วยตัวเอง นั่นจึงทำให้เขาต้องสร้างหน้าเพจขึ้นมาเพื่ออธิบาย ในสิ่งที่เขาไม่ได้ก่อไว้เพื่อรักษาภาพพจน์ชิ้นงาน


แต่ก็นั่นแหละคนก่อกับคนแก้มันเหมือนมีกรรม ขนาดอธิบายมาแล้วเป็นสิบปี ทุกวันนี้ซุยไซด์พอร์ตเทรทภาพนี้ ก็ยังคงถูกนำมาเล่าไปแบบสนุกสนาน ขั้นคนที่ช่วยเฉลยพยายามบอกเท่าไหร่ คนที่เชื่อว่าเป็นภาพอถรรพ์ก็ไม่ยอมรับ แถมยังสาดเสียเทเสียว่าโกหกไปเสียอีก สงสารคุณโรเบิร์ต จางจริง ๆ ครับ
ที่มา: Urbanlegendsonline

---------------
Nykur

ภาพจาก: Kickassfacts

จากภาพที่เห็นนี้ มันคือภาพที่ถูกบรรยายมาเป็นเวลาหลายปีแล้ว ขึ้นชื่อว่าม้ามันก็คือสิ่งมีชีวิตที่งดงาม เพียงแต่ถ้าเราได้ไปเที่ยวยังประเทศไอซ์แลนด์ แล้วเกิดไปมองเห็นม้าสีเทา กำลังยืนเด่นเป็นสง่าอยู่ข้างแหล่งน้ำขนาดใหญ่ อย่างทะเลหรือทะเลสาปล่ะก็ จงพยายามเฝ้ามองดูที่กีบเท้าของมันให้ดีด้วย ว่ามันกำลังจะวิ่งมาหาเราอยู่หรือเปล่า ? เพราะถ้ามันกำลังควบตะบึงมาที่เราล่ะก็ รับรองได้เลยว่าชีวิตของคุณจะต้องมีปัญหาแน่ ๆ
เพราะม้าตัวที่คุณมองเห็นอยู่นั้นชื่อว่า ไนเกอร์ มันไม่ใช่สัตว์บก ใช่ ! เรากำลังจะบอกว่ามันเป็นสัตว์น้ำ ที่จะปรากฏตัวออกมาเพื่อหลอกล่อมนุษย์ ที่หลงไหลในความงดงามของม้าให้เข้ามาใกล้ ซึ่งก็แน่นอนว่าจุดจบของมนุษย์ที่หลงเดินเข้าไป ก็คือการได้จบชีวิตของตัวเองในน้ำแทบจะทั้งสิ้น ผิวหนังของมันมีความเหนียวเหมือนกาว
นั่นจึงทำให้ใครก็ตามที่กระโดดขึ้นไปขี่บนหลังเจ้าไนเกอร์ จะไม่สามารถแกะตัวเองให้หลุดออกมาได้อีก และเมื่อถึงตอนนี้ มนุษย์ผู้โชคร้ายคนนั้น ก็จะถูกมันพาไปเที่ยวที่บ้านของมัน ซึ่งก็แน่นอนว่าที่ตรงนั้น ก็คือใต้น้ำลึกที่อยู่ไม่ห่างจากตรงที่มันออกมาล่อเหยื่อนั่นแหละ และก็อย่างที่คาดเอาไว้ เจ้าไนเกอร์ไม่ได้มาพร้อมกับถังออกซิเจน ดังนั้นเหยื่อของมันที่ต้องลงไปใต้น้ำด้วยกัน ก็ล้วนเสียชีวิตติดหลังเจ้าไนเกอร์ไปจนถึงบ้านกันเสียทั้งหมด


ถ้าจะถามเราว่า เจ้าไนเกอร์มันจะลากเหยื่อลงไปในน้ำทำไม เราก็ขอตอบตรงนี้ไปว่าไม่ทราบเช่นกัน เพราะคนที่ถูกลากลงไปไ่ม่เคยได้มีใครกลับมาเล่า ชาวไอซ์แลนด์ก็เลยไม่ได้เล่าถึงส่วนนี้เอาไว้เลยสักแห่ง นอกจากเตือนเราว่าอย่าเข้าไปใกล้เจ้าไนเกอร์เท่านั้นเอง
ที่มา: Grapevine

---------------
The Baby In The High Chair

ภาพประกอบเท่านั้น


เรื่องต่อไปก็คือตำนานเมืองที่ถูกเล่ากันไปทั่วโลก แต่ต้นทางของมันจริง ๆ นั้นมาจากประเทศนอรเวย์ เริ่มจากเมื่อหลายปีก่อน มีคู่รักชาวนอร์เวย์คู่หนึ่ง พวกเขาไม่ได้ไปเที่ยวไหนเลยในช่วงวันหยุดยาว สาเหตุมันก็มาจากลูกของพวกเขายังเล็กอยู่ พวกเขาต้องการพี่เลี้ยงสักคนให้มารับภาระนี้สักพัก นั่นก็เลยทำให้พวกเขาใช้เวลาเป็นปี กว่าจะได้หญิงวัยกลางคนที่ดูไว้ใจได้ ให้มาทำหน้าที่แทนพวกเขาในช่วงวันหยุดยาวครั้งนี้
จนวันเดินทางมาถึงพี่เลี้ยงคนดังกล่าวก็ยังมาไม่ถึงที่บ้านสักที เวลาขึ้นเครื่องบินก็แทบจะไม่เหลือแล้ว ซึ่งเราก็รู้ดีว่าการเดินทางชนิดนี้ เครื่องบินเขาจะไม่รอผู้โดยสารมาสายอย่างแน่นอน นั่นก็เลยทำให้ทั้งสองโทรศัพท์ตามตัวพี่เลี้ยง ถามว่าตอนนี้เธออยู่ที่ไหนแล้ว พี่เลี้ยงบอกกับสองคู่รักว่า รถของเธอกำลังมีปัญหาอาจมาไม่ทัน อย่างไรก็ดี ตอนนี้เธอเองก็ได้โทรศัพท์เรียกช่างให้มาช่วยเรียบร้อยแล้ว และเธอก็น่าจะสามารถเดินทางไปที่บ้านของพวกเขาได้ ภายในเวลาไม่น่าจะเกิน 15 นาทีเท่านั้น
สองคู่รักได้ยินแบบนั้นก็โล่งใจ พวกเขาจึงนำเด็กน้อยไปนั่งที่เก้าอี้เด็ก รัดเข็มขัดติดกับมันเพื่อไม่ให้เด็กน้อยต้องหลุดล้ม จากนั้นก็จูบลา แล้วออกเดินทางไปเที่ยวตามที่ตัวเองตั้งใจเอาไว้ ซึ่งก็แน่นอนว่า ทั้งสองได้เปิดประตูบ้านทิ้งเอาไว้ เพื่อให้พี่เลี้ยงไม่ต้องเกรงใจเวลาเดินทางมาถึง
แล้วทีนี้เรื่องเล่ามันก็ถูกเล่าเอาไว้หลายแบบ โดยแบบแรกนั้นเล่าว่า พอพี่เลี้ยงเดินทางมาถึง เธอก็พบว่าที่ประตูถูกลมพัดปิดล็อกไปแล้ว นั่นก็เลยทำให้เธอเข้าใจว่า คู่รักทั้งสองคงพาลูกชายไปเที่ยววันหยุดด้วยกัน


ส่วนอีกเวอร์ชั่นนั้นเล่าว่า หลังจากที่คู่รักเดินทางไปแล้ว ฝั่งพี่เลี้ยงที่กำลังรีบเดินทางมาที่บ้าน กลับถูกรถบรรทุกชนเสียชีวิตไประหว่างทาง


และอีกเวอร์ชั่นก็บอกว่า จริง ๆ แล้วพี่เลี้ยงคนนี้เป็นญาติของคู่รักนั่นแหละ เพียงแต่เธอเกิดหัวใจล้มเหลวเสียชีวิตไป ก่อนที่จะได้เดินทางมายังบ้านของพวกเขา


ซึ่งไม่ว่าแต่ละแบบจะเล่าในส่วนนี้ไว้ต่างกันแบบไหน สุดท้ายเมื่อคู่รักเดินทางกลับจากท่องเที่ยวมาถึงที่บ้าน พวกเขาก็พบว่าลูกชายของพวกเขาได้เสียชีวิตไปในสภาพน่าเวทนา ทั้ง ๆ ที่ยังยืนติดอยู่ในเก้าอี้เด็กตัวนั้น


ถึงเรื่องเล่ามันจะดูเปะปะไม่เป็นเหตุผลก็ตาม แต่จุดประสงค์ของเรื่องนี้ นอกจากความน่ากลัวแล้วก็คือ อย่าทิ้งลูกน้อยไว้เพียงลำพังในบ้านอย่างเด็ดขาด ถึงมันจะทำให้คุณต้องพลาดเที่ยวบินสำคัญก็เถอะ

ที่มา: Urbanlegends Wikia
---------------
The Studley Girl

ภาพประกอบเท่านั้น


เรื่องต่อไปนี้ก็ถือเป็นตำนานเมืองสุดสยองขวัญอีกเรื่อง ที่สามารถเกิดขึ้นกับใครก็ได้ทั้งนั้น เรื่องเล่ามีอยู่ว่า สามปีก่อนมีสมาชิกเว็บไซต์เรดดิทท่านหนึ่ง ได้เล่าประสบการณ์น่ากลัวสยองขวัญของเขา ที่เคยได้รับมาก่อนในช่วงวัยเด็กและวัยรุ่น ตอนนั้นเขาอาศัยอยู่ในเมืองเมคานิคส์วิลล์ รัฐเวอร์จิเนีย ที่นั่นมีถนนสายคดเคี้ยวอยู่สายหนึ่งชื่อว่า
Studley Road
หนึ่งปีก่อนหน้านั้นมีเด็กหญิงตัวเล็ก ๆ คนหนึ่ง อาศัยอยู่ในบ้านเล็ก ๆ ข้างถนนเส้นนี้กับคุณแม่ และคุณพ่อที่ติดสุราอย่างหนัก ซึ่งเราก็ต้องขอตัดเรื่องมาที่คืนหนึ่ง คนเป็นพ่อก็ได้ทำร้ายภรรยากับลูกน้อยจนเสียชีวิต ก่อนที่จะใช้ปืนกระบอกเดียวกัน ลั่นไกสังหารตัวเองตายตามไป
แล้วทีนี้เหตุการณ์มันก็ไม่ได้เป็นไปอย่างที่เล่า เพราะตัวของเด็กหญิงนั้นยังไม่เสียชีวิตทันที เธอสลบไปหลังจากที่ถูกทำร้ายจนขากรรไกรหลุด พอเธอฟื้นขึ้นมา เธอพยายามเดินออกไปตามถนนสตัดลีย์ เพื่อมองหาใครก็ได้มาช่วยเหลือ โดยในขณะที่เธอพยายามเดินออกไปนั้น เลือดก็ยังก็ไหลออกมาจนเลอะไปทั้งชุดนอนของเธอ
ซึ่งอาถรรพ์มันคงไม่เกิด ถ้าเด็กน้อยได้พบใครสักคนมาช่วยเหลือ นั่นจึงทำให้หลังจากนั้นเป็นต้นมา ถ้าหากมีใครได้ขับรถผ่านไปยังถนนอันคดเคี้ยวสายนี้ แล้วเข้าสู่เส้นทางวิ่งผ่านเข้าไปในป่าล่ะก็ เขาก็จะได้เห็นวิญญาณของเด็กหญิงคนนั้น กำลังค่อย ๆ ขยับตัวเดินมาตามถนน โดยหันด้านหลังให้กับคนขับรถอยู่ตลอดเวลา
และถ้าหากมีใครที่ไม่รู้เรื่องตำนานนี้ เกิดจอดรถแล้วลงไปช่วยเหลือเธอขึ้นมาล่ะก็ คน ๆ นั้น ก็จะได้เห็นเด็กหญิงหันหน้ากลับมาหา ตามด้วยเสียงกรีดร้องสุดสยองขวัญ ที่ออกมาจากปากที่ไม่มีขากรรไกรของเธอ และถ้าเขาโชคดีกว่านั้นก็จะได้เห็นเลือดพุ่งออกมาจากปากของเด็กน้อยด้วย


ซึ่งก็ถือเป็นเรื่องเล่าสั้น ๆ ที่เหมาะจะนำมาเล่าในเรดดิท เพียงแต่มันก็น่ากลัวจนมากเกินเหตุไปอยู่บ้าง นั่นจึงทำให้เรามาดูเรื่องต่อไปกันดีกว่า
ที่มา: Reddit
---------------
Ghost Wagon

ภาพประกอบเท่านั้น


ที่ประเทศอัพริกาใต้มีตำนานเมืองยุคเก่าอยู่เรื่องหนึ่ง ที่ว่าด้วยเรื่องราวแนวเดียวกันกับเรือปีศาจฟลายอิงดัทช์แมน โดยเรื่องนี้ได้เล่าย้อนกลับไปเมื่อปี ค.ศ. 1887 อ้างถึงเรื่องเล่าของ
พันตรีอัลเฟรด เอลลิส กับเรื่องราวที่ในปัจจุบันยังคงถูกเล่าผ่านทางภาพสเก็ตช์หลายภาพ ที่เราเองก็ไม่รู้ว่าเป็นภาพไหนกันแน่
ตอนนั้นมีชายสี่คน ได้แก่ ลุทเทอรอดท์, โซรุเรีย, แอนโธนี่ เดอ เฮียร์ และแขกนิรนามจากเมืองเคพทาวน์ พวกเขาได้เดินทางจากเมืองเซเรสไปยังโบฟอร์ทตะวันตกด้วยรถม้า โดยสถานที่ดังกล่าวนั้นเป็นที่รู้จักกันดีว่าเป็นดินแดนผีดุ ตามที่ปรากฏอยู่ในแผนที่โบราณของอัฟริกาใต้
ในขณะที่เดินทางอยู่นั้น ล้อของรถม้าอันหนึ่งก็เกิดหลุดออกมา ซึ่งคนบนรถต้องใช้เวลาซ่อมแซมอยู่นานจนถึงตอนตี 3 พอซ่อมเสร็จพวกเขาก็กลับมาวิ่งบนถนนอันขรุขระกันต่อ ซึ่งพวกเขาก็วิ่งกันไปได้อีกพักหนึ่ง พวกม้าก็เริ่มจะไปต่อกันไม่ไหว สุดท้ายก็ต้องหยุดการเดินทางไปแบบดื้อ ๆ
และในสภาพอันเงียบสงบนี้ มันก็ได้ทำให้พวกเขาได้ยินเสียงอะไรบางอย่าง พอฟังกันดี ๆ พวกเขาก็รู้ว่ามันเป็นเสียงรถม้าคันอื่น ที่น่าจะกำลังวิ่งผ่านมาด้วยความเร็วสูงมาก จนกระทั่งเวลาผ่านไปสักพัก พวกเขาก็ได้เห็นรถม้าคันดังกล่าวปรากฏขึ้น ทุกคนระบุว่ารถม้าคันนี้ มันเทียมม้าเอาไว้มากมายถึง 14 ตัว และมันก็กำลังพุ่งตรงมายังจุดที่พวกเขาอยู่ ด้วยความเร็วที่มากเกินกว่าจะดูเป็นรถม้าทั่วไป
ทางแขกนิรนามโซรุเรีย และลุทเทอร์รอดท์ ถึงกับรีบกระโดดออกไปจากรถม้าของพวกเขา แต่เดอเฮียร์กลับพยายามบังคับให้ม้า ลากรถม้าของเขาหลบไปจากเจ้ารถม้าลึกลับคันนั้น ซึ่งเขาก็ทำสำเร็จ รถม้าสามารถรอดพ้นจากอุบัติเหตุการชนไปได้อย่างฉิวเฉียด
โดยในช่วงเวลานั้นเดอเฮียร์ก็ตวาดใส่คนบังคับรถม้าปริศนาไปว่า “จะรีบไปไหนล่ะแก ?” ซึ่งเขาก็ได้ยินเสียงคนบังคับรถม้าค้นนั้นตอบกลับมาว่า “นรกไง” พอสิ้นเสียง รถม้าคันนั้นก็จางหายไปในอากาศทันที
ในเวลาต่อมาลุทเทอรอดท์ก็ได้นำเรื่องนี้มาเล่า โดยบอกว่าพวกเขาน่าจะถูกรถม้าผีสิงหลอกหลอนแน่ ๆ และหนึ่งสัปดาห์ต่อมา ทุกคนก็พบว่านายเดอเฮียร์ได้เสียชีวิตอยู่ใต้หน้าผาแห่งหนึ่ง โดยคาดกันว่าเขาน่าจะบังคับรถม้าผิดพลาดจนเกิดอุบัติเหตุ เพราะที่ข้าง ๆ ศพของเดอะเฮียร์นั้น เจ้าหน้าที่พบว่ามีซากรถม้า และซากของม้านอนตายอยู่ข้าง ๆ เขาด้วย


แล้วทีนี้ในเรื่องเล่าก็ไม่ได้เล่าอะไรอีก นอกจากทิ้งท้ายไว้แบบนี้ เพื่อให้เราเข้าใจกันว่า เดอเฮียร์เสียชีวิต เพราะไปโวยวายใส่รถม้าลึกลับในวันนั้นหรือเปล่า ซึ่งเราเองก็สงสัยอยู่ว่า มันจะเป็นแค่เรื่องเล่าประกอบภาพเหมือนกับที่คนสมัยนี้เล่ากันตามอินเตอร์เน็ตหรือเปล่า ? แต่เรื่องมันก็ผ่านมาเป็นร้อยปีแล้ว ดังนั้นก็คงต้องปล่อยวางกันไปก่อน
ที่มา: Aridareas
---------------
Baby Blue

Photo credit: Urbanlegendsonline

ตำนานเมืองเรื่องนี้มีลักษณะคล้ายตำนานบลัดดี้แมรี่อยู่พอสมควร เบบี้บลู คือตำนานที่พูดถึงคุณแม่โรคจิต ผู้สังหารลูกชายเล็ก ๆ ของตัวเองด้วยเศษกระจก ที่ใครอยากจะปลุกวิญญาณของเบบี้บลูขึ้นมา จะต้องใช้วิธีการเดียวกันกับบลัดดี้แมรี่ ซึ่งชื่อเบบี้บลูนี้ ก็คือชื่อที่ใช้เรียกแทนตัวเด็กชายที่ตายไปนั่นเอง
โดยวิธีการเรียกวิญญาณดังกล่าวนั้น เราจะต้องเข้าไปอยู่ในห้องน้ำตอนช่วงกลางดึก จากนั้นก็หันหน้าไปที่กระจก เขียนคำว่า "เบบี้บลู" ลงไป จากนั้นก็จัดการปิดไฟให้หมด ส่วนคนที่เขียนกระจกนั้น จะต้องทำท่าเหมือนกับกำลังอุ้มเด็กอยู่ในอ้อมแขน ซึ่งเราจะต้องทำท่าอุ้มเด็กเอาไว้ให้ดี ไม่อย่างนั้นหากเผลอทำเบบี้บลูตกไปที่พื้นเมื่อใด กระจกห้องน้ำก็จะแตก และเราก็จะต้องเสียชีวิตตามไปในเวลาต่อมาแน่ ๆ
ซึ่งก็มีบางเวอร์ชั่นเล่าเอาไว้ว่า ถ้าเราเดินเข้าไปในห้องน้ำมืด ๆ แล้วตะโกนคำว่าเบบี้บลูติดกัน 13 ครั้ง พร้อมกับทำท่าโยกแขนตัวเองไปมา วิญญาณของเบบี้บลูจะปรากฏตัวขึ้นมา แล้วใช้มือของเขาเกาหรือข่วนไปที่แขนของเรา ซึ่งในเวอร์ชั่นนี้บอกว่า ให้เรารีบทิ้งวิญญาณของเด็กเอาไว้ จากนั้นก็ให้รีบเผ่นออกมาจากตรงนั้นให้ไว เพราะถ้าขืนชักช้าเดี๋ยววิญญาณแม่ของเบบี้บลูโผล่ขึ้นมาทางกระจกล่ะก็ เธอก็จะสังหารเราให้ต้องตายไปแบบไม่ทันตั้งตัวแน่ ๆ
ที่มา: Urbanlegendsandhorror
---------------
Poinciana Woman

ภาพจาก: abc.net.au

ตำนานเมืองต่อไปคือเรื่องราวเกี่ยวกับวิญญาณพยาบาทของออสเตรเลีย โดยในตำนานนั้นจะพูดถึงหญิงสาววัยรุ่นคนหนึ่ง ที่ถูกชาวประมงจากประเทศทางเหนือข่มขืน ในบริเวณอิสต์พอยท์ของเมืองดาร์วิน ต่อมาหญิงสาวก็พบว่าตัวเองกำลังตั้งท้อง นั่นจึงทำให้เธอเกิดอาการหวาดวิตก จนในที่สุดก็แขวนคอตายใต้ "ต้นพอยน์เซียน่า" หรือ "ต้นหางนกยูงฝรั่ง"
ตั้งแต่นั้นมาวิญญาณพยาบาทของเธอก็กลับมาจากโลกความตาย เฝ้าเดินสะกดรอยตามชายหนุ่มมากมายในอีสต์พอยท์ ปรากฏกายขึ้นมาในร่างของสาวสวยชุดขาว ซึ่งถ้าหากชายหนุ่มเกิดหลงเสน่ห์เดินเข้ามาจีบล่ะก็ เธอจะกลายร่างไปเป็นหญิงชราหน้าตาเหมือนแม่มด มีกรงเล็บยาวเหมือนวูล์ฟเวอริน ทะลวงคว้านไปที่ท้อง แล้วควักเอาเครื่องในของชายหน้าม่อผู้โชคร้ายมากินสด ๆ
และสำหรับเหล่านักล่าท้าผี คุณสามารถอัญเชิญวิญญาณผีสาวต้นหางนกยูงตนนี้ ได้ด้วยการหมุนรอบตัวเองสามรอบ ในตอนกลางคืนเดือนมืด และตะโกนเรียกชื่อของเธอออกมา ซึ่งถ้าคุณได้ยินเสียงกรีดร้องของหญิงสาวตอบกลับ นั่นก็หมายความว่า การอัญเชิญของคุณ ได้ประสบความสำเร็จไปเรียบร้อยแล้ว
ที่มา: ABC
---------------
The Devil’s Toy Box

ภาพจาก: Thoughtcatalog

เรื่องต่อไปถ้าใครเคยได้รับชมภาพยนตร์เรื่องเดอะเฮลเรสเซอร์ หรือในชื่อภาษาไทยก็คือบิดเปิดผี คุณก็จะต้องทราบดีว่าภาพยนตร์เรื่องนี้ ได้รับแรงบันดาลใจมาจากตำนานเมืองสยองขวัญเรื่องหนึ่งของประเทศอเมริกา ซึ่งเรื่องนั้นมันก็คือห้องแห่งหนึ่งที่อยู่ในรัฐหลุยเซียนา ที่ผู้คนเรียกมันว่า Devil’s Toy Box


ภายในกล่องปีศาจห้องนี้ จะถูกติดตั้งกระจกเอาไว้มากมาย ไม่ว่าจะกำแพง พื้น ไปจนถึงหลังคา โดยในตำนานนั้นบอกว่า ถ้าหากเราเข้าไปอยู่ในห้องแห่งนี้นานเกินไป ปีศาจจะปรากฏตัวขึ้นแล้วกระชากเอาวิญญาณของเราออกไปจากร่างทันที
ในระหว่างการสืบหาความจริง นักวิจัยเรื่องเหนือธรรมขาติพบว่า ห้องแห่งนี้มีกระจกติดตั้งอยู่ทั้งหมด 6 ด้าน ทุกบานสะท้อนเงาเข้าหากันเอง และนั่นจึงเป็นสาเหตุทำให้ไม่มีผู้ใด สามารถทนอยู่ในห้องนี้ได้นานไปกว่า 5 นาที
มีชายคนหนึ่งสามารถอยู่ในห้องนี้ได้ถึง 4 นาที จากนั้นเขาก็ออกมาแบบเงียบ ๆ และไม่เคยเอ่ยปากพูดจากับใครอีกเลย มีหญิงคนหนึ่งถึงกับโรคหัวใจกำเริบขณะที่ถูกจับขังอยู่ในห้อง และก็ยังมีเด็กชายวัยรุ่นอีกคน พยายามใช้กำลังในการขอออกจากห้องนั้น ด้วยการใช้เท้าเตะไปที่ตามกำแพงกระจก และกรีดร้องตลอดเวลาเหมือนคนเป็นบ้า ซึ่งหลังจากที่เขาออกมาได้เพียงสองสัปดาห์ วัยรุ่นคนนั้นก็ฆ่าตัวตายไปโดยไร้สาเหตุ


แต่ทุกอย่างที่เล่ามานั้นมันก็เป็นเพียงตำนานเมือง เพราะเอาเข้าจริง ๆ เราก็ยังไม่เคยเห็นห้องกระจกที่ว่านั่นแบบของจริงมาก่อน นอกจากห้องกระจกที่ทำจำลองขึ้นมา เพื่อใช้ประกอบการเล่าตามรายการสารคดีเท่านั้น
ที่มา: Thoughtcatalog
---------------
Teke Teke

ภาพจาก: Yokai


เรื่องสุดท้ายก็ถือเป็นตำนานเมืองสุดสยองขวัญจากประเทศญี่ปุ่น เมื่อหญิงสาวออฟฟิศคนหนึ่งถูกข่มขืนและทำร้ายโดยทหารต่างชาติในฮอกไกโด ในช่วงหลังจากสงครามโลกครั้งที่สองจบลงไปได้สองปี และในตอนเย็นวันหนึ่ง หญิงสาวผู้นี้ก็ได้ตัดสินใจคิดสั้น กระโดดลงไปจากสะพานแห่งหนึ่ง ก่อนที่จะตกลงไปยังรางรถไฟ แล้วก็ถูกรถไฟที่วิ่งผ่านมาชนอย่างแรง
ร่างของเธอถูกรถไฟตัดขาดกลางลำตัว และด้วยวันนั้นอยู่ในช่วงฤดูหนาว มันจึงทำให้เลือดภายในร่างของเธอไม่ไหลออกมาจนหมด หญิงสาวยังไม่เสียชีวิต เธอพยายามกระเสือกกระสน ลากร่างท่อนบนของตัวเองไปยังสถานีรถไฟ  ผู้คนที่ได้เห็นภาพอันน่าสยดสยองนี้ ต่างก็ช่วยกันนำผ้าใบพลาสติกมาคลุมร่างของเธอเอาไว้ ซึ่งในเรื่องเล่าให้เหตุผลตรงส่วนนี้ว่า พวกเขาต่างก็ตกใจจนทำอะไรไม่ถูก และคิดว่าเธอน่าจะไปไม่รอดแน่ ๆ นั่นก็เลยทำให้พวกเขาปฏิบัติกับหญิงสาวเช่นนั้น ซึ่งก็แน่นอนเช่นกันว่า สุดท้าย หญิงสาวก็เสียชีวิตไปในสภาพน่าเวทนาอย่างที่สุด
นั่นจึงเป็นที่มาของตำนานเมืองที่ว่ากันว่า ถ้าหากเราได้รับทราบเรื่องนี้ไปแล้วสามวัน วิญญาณผีสาวดังกล่าว จะปรากฏตัวขึ้นมาหาเราแน่ ๆ โดยสิ่งที่จะทำให้เรารู้ว่าเธอมา ก็คือเสียงลากร่างของเธอ ด้วยแขนทั้งสองข้างไปตามพื้น ชาวญี่ปุ่นใช้คำเรียกแทนเสียงนั้นว่า เทะเคะ เทะเคะ


เมื่อเราได้ยินเสียงนั้นขึ้นเมื่อใด เราจะไม่สามารถหนีจากการตามล่าของเธอได้พ้น นั่นก็เป็นเพราะว่ามีผู้คำนวนความเร็วในการคลานของเธอเอาไว้แล้ว ว่าเธอสามารถเคลื่อนที่ในสภาพแบบนั้นได้ด้วยสปีด 150 กิโลเมตรต่อชั่วโมงเลยทีเดียว
เป้าหมายของผีสาวนั้นมีเพียงอย่างเดียว คือการไล่จับผู้คนให้ได้มากที่สุด เมื่อเธอจับเราได้ก็จะตัดร่างของเราให้ขาดออกจากกัน จากนั้นเธอก็จะนำชิ้นส่วนท่อนล่างของเราไป โดยหนทางเดียวที่จะหนีไปจากผีสาวได้ ก็คือการตอบคำถามของเธอให้ดี ๆ ถ้าเธอถามว่าคุณยังต้องการขาตัวเองอยู่หรือเปลา คุณก็จงรีบตอบไปว่า มันก็ต้องการอยู่แล้วสิเทอว์ และถ้าผีสาวถามคุณว่า ใครเล่าเรื่องของเธอให้คุณฟังหรือเปล่า คุณต้องตอบเธอไปว่า "คาชิมะ เรย์โกะ" ซึ่งผลของการตอบไปเช่นนี้ มันจะทำให้ผีสาวปล่อยตัวคุณไปอย่างง่ายดายนั่นเอง


ซึ่งนั่นก็น่าจะทำให้ท่านผู้ชมสงสัยใช่ไหมว่า คาชิมะ เรย์โกะนั้นคือใคร ? เราก็ได้ไปหาคำตอบมาแล้วจากวิกิพีเดีย ซึ่งมันเป็นเว็บไซต์แหล่งความรู้เพียงแห่งเดียว ที่สามารถเล่าเรื่องนี้ได้แบบไม่มีความน่ากลัวเหลืออยู่เลย


วิกิพีเดียบอกเราว่า คาชิมะ เรย์โกะนั้นก็คือชื่อของหญิงสาวที่เสียชีวิตไป และวิกิพีเดียของประเทศญี่ปุ่น ยังได้บอกรายละเอียดเพิ่มเติมกับเราว่า สาเหตุการตายของหญิงสาวนั้น ถูกวิเคราะห์เอาไว้ว่าถ้าไม่ใช่การฆ่าตัวตาย เธอก็อาจได้รับอุบัติเหตุจนเสียชีวิตมากกว่า เพราะก่อนหน้าที่จะเกิดตำนานเรื่องนี้ มันยังมีตำนานอีกเรื่องที่คล้ายคลึงกัน


โดยดำนานเรื่องนั้นก็เป็นอีกเรื่องที่ถูกเล่ากันในฮ็อกไกโด เพียงแต่เธอเป็นเด็กหญิงชื่อซัตจัง อายุ 14 ปี ที่ต้องเสียชีวิตไปในลักษณะเดียวกัน เพียงแต่หลังจากที่เธอเสียชีวิต ก็จะมีเด็กคนอื่น ๆ เสียชีวิตในลักษณะเดียวกันอยู่บ่อยครั้ง และยังให้ข้อมูลทิ้งท้ายเอาไว้ว่า แม้เรื่องราวทั้งหมดจะเป็นเพียงแค่ตำนาน แต่ในแถบสถานีรถไฟฮอกไกโด ก็เคยมีอุบัติเหตุเกิดขึ้นกับรถไฟขบวน JR Hokkaido Kiha 130 Dashi มาก่อนเช่นกัน


นั่นจึงทำให้เราสามารถยืนยันได้ว่า เคยเกิดเหตุรถไฟชนหญิงสาวเสียชีวิต ในลักษณะขาดกลางตัวมาก่อนจริง ๆ เพียงแต่เรื่องในตำนาน มันถูกเล่าเอาไว้เพื่อให้เด็ก ๆ ระมัดระวังตัวเองในด้านความปลอดภัย ยามเมื่อต้องวิ่งข้ามเส้นทางรถไฟกันมากกว่า
ที่มา: Wikipedia Japan และ Yokai
นั่นก็คือทั้งหมดที่มิติที่ 6 ได้นำมาเสนอให้ชมกัน ตำนานที่ดีมันต้องมีข้อคิดเตือนใจ ไม่ใช่ว่าจะเอาแต่ทำให้กลัวกันแบบไม่มีเหตุผล มนุษย์เรานั้นต้องการความตื่นเต้น ดังนั้นเวลาใครจะคิดอะไรออกมาเล่า พวกเขาก็ต้องทำการบ้านเรื่องจิตวิทยาให้เรื่องมันป๊อบ !
ดังนั้นเวลาเราจะฟังตำนานเมืองเรื่องใดก็ตาม จงอย่าลืมมองหาสาระใจความที่ถูกซ่อนเอาไว้ หาเจอได้มันก็ได้กับเรา แต่ถ้าหายังไงก็ไม่เจอเราก็อย่าพยายามสืบทอดตำนานไร้ค่าต่อไปก็คงจะดี โดยเฉพาะตำนานเมืองแบบนี้ ก่อนจะเล่าก็อย่าลืมนึกถึงคนฟังกันด้วยว่า เล่าจบเราจะโดนล้อว่าเล่าไปทำไมกันด้วยนะครับ


หลังจากจบรายการมิติที่ 6 แล้ว อย่าลืมกดสับสไครป์ กดไลก์ กดแชร์ และอย่าลืมทิ้งคอมเมนต์กันไว้ด้วยนะครับ ยังมีเรื่องราวต่าง ๆ อีกมากมายรอคุณอยู่ สำหรับวันนี้... สวัสดี !
แปลและเรียบเรียงโดย นิวัฒน์ อ่ำแสง
ขอบคุณที่มา: Listverse

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

ประกาศ

เพื่อเป็นกำลังใจเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้กับเรา ขอความร่วมมือจากผู้ที่นำเรื่องราวจากมิติที่ 6 ไปใช้ในที่ของท่าน กรุณาลงเครดิตกลับมาที่เราจะเป็นพระคุณอย่างสูงครับ