VIDEO
ท่านผู้ชมเคยคิดว่าเหตุการณ์แปลกประหลาดเหนือธรรมชาตินั้น มันเริ่มมีการบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษรตั้งแต่เมื่อไหร่ ? และท่านผู้ชมเคยคิดบ้างไหมว่าเรื่องราวทั้งหมดนั้น มันเคยเกิดขึ้นจริงหรือเปล่า ?
มิติที่ 6 สัปดาห์นี้ เราจะนำท่านไปรู้จักกับเรื่องเล่า 10 เรื่อง ที่ถูกบันทึกไว้ในหนังสือต่าง ๆ ของประเทศอังกฤษ ว่าเรื่องลึกลับของคนยุคนั้นเขาหมายถึงอะไรกันบ้าง ? ส่วนมันจะเป็นเรื่องจริงหรือเปล่านั้น ก็ต้องลองใช้วิจารณญาณในการรับชมกันให้ดี เพราะมิติที่ 6 วันนี้ เราไม่มีคำตอบใด ๆ ให้แม้แต่เรื่องเดียว !!!
วิญญาณของดันตี้ พอร์เทียส
ในช่วงยุคสมัยคริสต์ศตวรรษที่ 17 นั้น มีเจ้าของโรงโม่หินชื่อ ดันตี้ พอร์เทียส ถูกจับตัวไปคุมขังโดยท่านเซอร์อเล็กซานเดอร์ จาร์ดีน เอาไว้ภายในคุกใต้หอคอยชื่อสเป็ดลินของท่าน ที่อยู่ในเมืองดัมฟรีสเชียร์ ประเทศสก็อตแลนด์
ภาพเหมือน "เซอร์อเล็กซานเดอร์ จาร์ดีน"
หอคอย "สเป็ดลิน"
ซึ่งสาเหตุที่คุณดันตี้ พอร์เทียสต้องถูกหิ้วเข้าตารางนั้น ก็เพราะเขาถูกต้องสงสัยในข้อหาวางเพลิง และเมื่อเวลาผ่านไปนานวัน ท่านเซอร์จาร์ดีนเอง ก็ดันลืมไปว่าเขาเคยจับใครไปขังอยู่ใต้ที่พัก จนกระทั่งวันหนึ่งท่านเซอร์จาร์ดีนได้ออกเดินทางไปเที่ยวที่เมืองเอดินเบิร์ก เขาก็นึกออกว่าน่าจะมีใครถูกขังอยู่ที่ห้องใต้ดินรึเปล่านะ ทำให้ทันทีที่เขากลับมาถึงบ้าน ก็รีบรุดลงไปดูทันทีว่าคนที่เขาลืมไปแล้วจะเป็นอย่างไรบ้าง และเมื่อเขาลงมาถึงห้องใต้ดินก็พบว่า นายดันตี้ พอร์เทียสได้กลายเป็นซากศพแห้ง ๆ ไปเสียแล้ว
แต่ทีนี้เรื่องมันก็ยังไม่จบ เพราะหลังจากพบศพของนายดันตี้ผู้โชคร้ายไปแล้ว หลังจากนั้นเป็นต้นมาก็มีข่าวลือเล่ากันหนาหูว่า ตอนนี้ผีของนายพอร์เทียสได้ออกอาละวาด กลายเป็นผีสิงหอคอยของท่านเซอร์จาร์ดีน มีผู้คนมากมายพูดถึงเสียงกรีดร้องโหยหวล ราวกับว่าพอร์เทียสนั้นได้รับความทรมานก่อนตายอย่างแสนสาหัส และต้นเหตุของข่าวลือมันก็ไม่ใช่ใคร ไม่พ้นคนในครอบครัวของท่านเซอร์นี่แหละ ที่เอาเรื่องในบ้านออกมาเล่าให้คนข้างนอกฟัง
ซึ่งต่อมาท่านเซอร์ก็ทนไม่ไหว ให้คนไปตามหมอผีมาช่วยไล่ผีนายพอร์เทียสให้หน่อย ซึ่งการทำพิธีมันก็ลุล่วงไปได้ด้วยดีแบบไม่มีปัญหา หมอผีสามารถสะกดวิญญาณของดันตี้ พอร์เทียสไว้ในคุกใต้ดินได้สบาย เพียงแต่ท่านหมอผีก็ได้บอกเอาไว้ว่า วิญญาณร้ายของนายพอร์เทียสจะถูกกักขังต่อไปก็ต่อเมื่อ คัมภีร์ไบเบิลของพ่อหมอยังอยู่ในหอคอยแห่งนี้เท่านั้น
จนเมื่อเวลาผ่านไปนานเข้า คัมภีร์ไบเบิลเล่มดังกล่าวก็เสื่อมสภาพลง และก็เป็นที่แน่นอนว่าท่านเจ้าบ้านจะต้องรีบนำคัมภีร์ไปส่งซ่อมที่เอดินเบิร์ก และมันก็แน่นอนเช่นกันว่า พอไม่มีของสำคัญนี้อยู่ในหอคอย วิญญาณของดันตี้ พอร์เทียสก็สามารถทำลายที่สะกดวิญญาณออกมาได้ แล้วออกอาละวาดกับคนในครอบครัวของท่านเซอร์จาร์ดีนทันทีที่พวกเขานอนหลับ
ซึ่งในรายงานก็ยังระบุอีกว่า แม้ในตอนนั้นทุกคนในบ้านจะย้ายไปอยู่ที่ใหม่แล้ว พวกเขาก็ยังคงถูกวิญญาณร้ายตามราวีกันอย่างหนัก แต่ก็ยังดีที่หลังจากคัมภีร์ไบเบิลได้รับการซ่อมแซมแล้วนำกลับมาวางลงที่จุดเดิม เหตุการณ์ทุกอย่างก็สงบลงทันที
ที่มา: Books.Google
---------
โรเบิร์ต เบตี้ คือหนุ่มน้อยชาวอังกฤษคนหนึ่งที่ยืนยันมาตลอดชีวิตว่า เขาอยากถูกฝังอยู่ในสุสานของบรรพบุรุษตัวเองที่อยู่ในป่าช้าของโบสถ์อาร์เธอเรท์ เขตคัมเบรีย ประเทศอังกฤษ และในวันที่ 12 สิงหาคม ค.ศ. 1680 ความปรารถนาของเขาก็มีอันต้องสูญสิ้น เพราะเขาเสียชีวิตไปในวันดังกล่าวด้วยอุบัติเหตุเมื่ออายุเพียง 23 ปี แล้วศพของเขาก็กลับถูกฝังอยู่ในบริเวณสุสานทั่วไป แทนที่จะเป็นสุสานของครอบครัว
นั่นจึงทำให้หลังจากพิธีฝังศพจบลงไม่ทันข้ามคืน วิญญาณของโรเบิร์ตก็ปรากฏตัวขึ้นในความฝันของคุณแมรี่ที่เป็นน้องสาวของตัวเองในคืนนั้นทันที โดยในฝันเขาบอกกับแมรี่ว่า ตัวเองนั้นไม่สบายใจจริง ๆ ที่ไม่ได้ถูกฝังให้ถูกที่ถูกทาง และขอสาบานว่าจะรังควาญเธอแบบนี้ต่อไป จนกว่าจะได้ย้ายศพไปฝังในพื้นที่ของครอบครัว นั่นจึงทำให้ในเช้าวันรุ่งขึ้น จุดฝังศพของโรเบิร์ตก็ถูกขุดขึ้นมาใหม่ ร่างภายในโลงยังคงนอนสงบนิ่ง เช่นเดียวกับสภาพโลงที่ยังอยู่ในสภาพสมบูรณ์แบบ
พอญาติ ๆ เห็นแบบนั้นก็คิดว่าแมรี่อาจจะคิดมากไปเอง จึงตัดสินใจฝังศพของโรเบิร์ตกลับไปที่หลุมเดิมอีกรอบ นั่นจึงทำให้แมรี่ต้องฝันเห็นพี่ชายอีกถึง 3 ครั้ง จนสุดท้ายเธอก็ทนต่อไปไม่ไหว เล่าเรื่องความฝันของตัวเองให้ครอบครัวรู้อีกที คราวนี้ทางญาติ ๆ จึงต้องยอมไปขุดโลงศพของโรเบิร์ตอีกครั้ง แล้วย้ายร่างของเขาไปไว้ในสุสานของครอบครัว และตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาวิญญาณของโรเบิร์ต เบตี้ ก็ไม่เคยออกมาอาละวาดในฝันของใครอีกเลย
ที่มา: Books.Google
พลังพิเศษของ ดร.จอห์น แลมบ์
สมญานาม “The Duke’s Devil” หรือ "ปีศาจของท่านดยุค" มันเป็นของ ด็อกเตอร์จอห์น แลมบ์ นักมายากลผู้มอบเวทย์มนต์และคำแนะนำทางยาให้กับท่านจอร์จ วิลเลียซ์ ปฐมดยุคหรือท่านดยุคคนแรกแห่งบัคกิ้งแฮม นักปกครองที่ไม่ค่อยจะมีชื่อเสียงอะไรในยุคสมัยนั้น
ด็อกเตอร์จอห์น แลมบ์
ท่านดยุคจอร์จ วิลเลียซ์
ท่านดยุคแห่งบัคกิ้งแฮมท่านนี้ได้ถูกลอบสังหารจนเสียชีวิตไปในปี ค.ศ. 1628 ซึ่ง ดร. แลมบ์เอง ก็ไม่ได้ตกอยู่ในภาวะที่ดีไปกว่าท่านดยุคสักเท่าไหร่ เพราะที่ผ่านมาท่านดยุคจอร์จ วิลเลียซ์ผู้นี้ เคยช่วยเหลือท่าน ดร. ให้พ้นจากความผิดในข้อหาข่มขืนเด็กหญิงมาก่อน นั่นจึงทำให้ท่าน ดร. ถูกชาวบ้านจับตัวไปลงประชาทัณฑ์จนเสียชีวิต ไปก่อนท่านดยุคจะถูกลอบสังหารเป็นแรมเดือน
พอเรื่องราวมันเป็นแบบนี้ จึงทำให้เราพอจะเดาได้ทันทีว่า จริง ๆ แล้วชีวิตของ ดร. แลมบ์ผู้นี้ไม่น่าจะเป็นคนดีของสังคมกันสักเท่าไหร่ ซึ่งก็เป็นเช่นนั้น ดร.จอห์น แลมบ์ผู้นี้เป็นที่รู้จักกันดีว่าเป็นผู้มีพลังเวทย์มนต์อันยิ่งใหญ่
โดยมีอยู่ครั้งหนึ่งเขาได้แนะนำให้ชายสองคนที่ชื่อว่าบาร์เบอร์ และแซนซ์ มาร่วมโต๊ะดื่มสุรากันภายในบ้านของท่านหมอ และในช่วงที่ทุกคนกำลังพูดคุยกันเรื่องมายาเวทมนต์กันอยู่นั้น ดร. แลมบ์ก็ได้เปิดฉากการแสดงของเขาแก่ผู้มาเยือน อยู่ดี ๆ ก็มีต้นไม้ต้นหนึ่งโผล่ขึ้นมากลางห้อง ตามด้วยชายตัวเล็กสามคน พร้อมขวานครบมือถูกเสกขึ้นมาให้ช่วยกันตัดต้นไม้ต้นนี้
พอเหล่าคนแคระโค่นต้นไม้เสร็จ พวกเขาก็ช่วยกันแบกมันออกไปจากห้อง และหนึ่งในแขกที่ชื่อว่าบาร์เบอร์ ก็ได้แอบเก็บเศษไม้ชิ้นหนึ่งเอาไว้ในเสื้อโค้ท และเมื่อเขากลับบ้านไปในคืนนั้น ช่วงเวลาที่นายบาร์เบอร์กำลังนอนหลับอยู่กับภรรยา อยู่ดี ๆ ประตูและหน้าต่างทุกบ้านในบ้านของเขา ก็พากันเปิดและปิดส่งเสียงดังลั่นไปทั่วได้เอง บาร์เบอร์เห็นแบบนั้นก็ไม่สบายใจ จึงเล่าสิ่งที่ตัวเองได้ทำลงไปให้ภรรยาทราบ
และนั่นจึงทำให้ภรรยาของเขารีบบอกทันทีว่า “คุณพี่ก็เอาเจ้าเศษไม้นั่นไปทิ้งเสียสิคะ !” บาร์เบอร์ได้ยินแบบนั้นก็ถึงกับตะลึง ทำไมเขาถึงคิดเรื่องนี้ไม่ได้ล่ะเนี่ย ว่าแล้วเขาก็รีบหยิบเศษไม้เจ้าปัญหานั้นโยนทิ้งไปข้างนอกทันที และในเวลาต่อมา ครอบครัวของเขาก็เข้านอนต่อไปโดยไม่มีอะไรรบกวนอีกเลย
ที่มา: Books.Google
---------
ในปี ค.ศ. 1665 หนุ่มน้อยวัยใสอายุ 16 ปี ที่เรารู้เพียงแค่ชื่อของเขาว่า ไบลห์ (Bligh) เกิดอาการซึมเศร้าหลบหนีสังคมขึ้นมาดื้อ ๆ ไม่มีใครในครอบครัวสามารถอธิบายได้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับเขา ซึ่งในเวลาต่อมา ไบลห์เองก็บอกความจริงกับทุกคนในบ้านว่า วิญญาณพี่ชายที่ตายไปของเขานั่นแหละที่เป็นตัวการ
และสองวันต่อมาในขณะที่เขากำลังเดินจากโรงเรียนกลับมาบ้านทะลุผ่านทุ่งหญ้าในเมืองลอนเซสตัน ประเทศอังกฤษ เขาก็ถูกผีที่มารู้ชื่อกันภายหลังว่าโดโรธี ดูรันท์ ตามติดแนบชิดเขาอีกอย่างเงียบ ๆ
โดยเรื่องนี้ทางครอบครัวของไบลห์เองก็พากันตั้งข้อสงสัย ไปจนถึงพูดจาเยาะเย้าว่าเขาไปเอาอะไรมาพูดกัน ซึ่งก็มีคุณรุดเดิลหัวหน้าครอบครัวของบ้านนี้เพียงคนเดียว ที่ให้ราคากับคำพูดของเด็กหนุ่ม นั่นจึงทำให้เช้าวันรุ่งขึ้น ทั้งเขาและไบลห์จึงได้เดินไปทางทุ่งหญ้าดังกล่าวด้วยกัน
และที่นั่นรุดเดิลก็ถึงกับตะลึง เพราะเขาได้เห็นวิญญาณของโดโรธีลอยผ่านตัวพวกเขาไปต่อหน้าต่อตา และตั้งแต่วันนั้นรุดเดิลเองก็ยังได้เห็นวิญญาณดวงนี้อีกหลายครั้ง ในช่วงที่เขาจะต้องเดินผ่านทุ่งหญ้าแห่งนี้
จนมาถึงช่วงเช้าของเดือนกรกฎาคมปีนั้น คุณรุดเดิลก็ได้พบกับวิญญาณดวงนี้อีก และครั้งนี้เขาก็ตัดสินใจว่าจะต้องพูดคุยกับเธอให้จงได้ ซึ่งพอเอาเข้าจริง ๆ เขาก็พบว่าทางวิญญาณของโดโรธีเอง มาเป็นฝ่ายเริ่มต้นการสนทนาก่อนเสียอย่างนั้น โดยเขาเล่าว่า เสียงของเธอฟังไม่ค่อยชัด พูดจาฟังไม่ค่อยได้ศัพท์ แต่รุดเดิลก็ได้พูดคุยกับเธอไปนานถึงเกือบ 15 นาที
จนมาถึงตอนเย็นผีโดโรธีก็ได้แวะมาเยี่ยมท่านเจ้าของบ้านอีกครั้งในช่วงระหว่างทาง และครั้งนี้มันก็เป็นครั้งสุดท้ายที่เขาได้พบและพูดคุยกับเธอกันเพียงน้อยนิด เพราะหลังจากนั้นโดโรธี ดูรันท์ก็หายไป ไม่หวลกลับมาให้ใครเห็นอีกเลย
ที่มา: Books.Google
---------
ย้อนกลับไปเมื่อประมาณเดือนมกราคม ค.ศ. 1675 เด็กทั้งหมดของ ครอบครัวเมอริเดธ ที่อาศัยอยู่ในเมืองบริสทอล ประเทศอังกฤษ ต้องประสบเหตุการณ์ประหลาดขึ้นพร้อม ๆ กัน พวกเด็ก ๆ ต่างก็ฟ้องว่า พวกเขาเกิดอาการเจ็บปวดที่ศีรษะทั้งสองข้าง ต่อมาทั้งแขนและขาก็เริ่มสั่น ตามด้วยอาการหัวเราะและร้องไห้ยาวนานอยู่อย่างนั้นเป็นชั่วโมง
พวกเด็ก ๆ ต่างพากันคลานไปตามพื้นเหมือนกับแมว พยานที่เห็นเหตุการณ์ต่างก็ยืนยันว่า นอกจากอาการแบบนั้นแล้ว พวกเด็ก ๆ ยังสามารถเกาะตามเพดานได้ราวกับเป็นแมงมุมด้วย และหนึ่งในเด็กของครอบครัวนี้เธอเป็นลูกสาวของบ้าน ก็ยังบอกอีกว่าตัวเองสามารถทำนายอนาคตได้ จากการให้เด็กคนอื่น โรยเข็มลงบนพื้น
และถ้าเรื่องราวที่บอกนี้มันยังแปลกไม่พอ ก็ต้องขอบอกให้รู้กันว่า เหตุการณ์ต่าง ๆ ที่ถูกบันทึกไว้นี้ จะเกิดขึ้นเฉพาะในเวลากลางวันเท่านั้น โดยในตอนกลางคืนพวกเด็ก ๆ ทุกคนจะหลับไหลเหมือนเด็กทั่วไป ไม่มีเหตุการณ์แปลกประหลาดอะไรเกิดขึ้นกันเลย
และสิ่งที่เกิดขึ้นกับเด็ก ๆ ในครอบครัวเมอริเดธนี้ พวกแพทย์ต่างก็ไม่สามารถหาคำอธิบายอะไรออกมาได้ โดยอาการที่เกิดขึ้นนั้นก็ดำเนินมาตลอดต่อเนื่องทุกวัน ยาวนานกันมาเป็นเดือน ๆ จนสุดท้ายทางบ้านก็เลยลองพาเด็ก ๆ ไปเข้าโบสถ์ เพื่อจะได้ไปเข้าพิธีกรรมกันบ้าง จนมาถึงเดือนพฤษภาคมปีเดียวกัน พวกเด็ก ๆ จึงกลับมาเป็นปกติทุกคน โดยไม่มีใครทำอะไรแปลก ๆ ให้เห็นกันอีกเลย
ที่มา: Quod.lib.umich.edu
---------
แอนน์ เจฟเฟอรี่ กับ เหล่านางฟ้าของเธอ
โดยเหตุของเรื่องนี้มันเกิดจากวันหนึ่งในช่วงยุคปี ค.ศ. 1645 ที่บ้านของของครอบครัวสกุลพิทท์ ที่อยู่ในเมืองคอร์นวอลล์ ประเทศอังกฤษ ตอนนั้นมีสาวใช้คนหนึ่งชื่อว่า แอนน์ เจฟเฟอรี่ อายุ 19 ปี เธอยืนยันว่าเธอเห็นนางฟ้า 6 ตน กำลังบินเล่นอยู่ในสวนของนายท่านเจ้าของบ้าน
"แอนน์ เจฟเฟอรี่" และเหล่านางฟ้าน้อยๆ
สิ่งที่เธอเห็นนั้นมีลักษณะเป็นคนตัวเล็กผิวเป็นสีเขียว ออกมาหลอกหลอนเธอให้ตกใจ จนเธอเป็นลมสลบไปเพราะความกลัว แถมยังต้องล้มป่วยกันไปอีกเป็นเดือนในสภาพอ่อนระโหยโรยแรงจนยืนขึ้นมาเองไม่ได้
หลังจากการเผชิญหน้าครั้งนั้น สาวใช้แอน เจฟเฟอรี่ก็เริ่มฟื้นคืนพลังกลับมา และเริ่มกลายเป็นที่รู้จักไปทั่วในฐานะผู้วิเศษ เธอบอกว่าสามารถติดต่อสื่อสารกับเหล่านางฟ้าได้ โดยจะมีเธอเพียงคนเดียวที่มองเห็นพวกนั้น และยังบอกอีกว่าพวกนางฟ้ายังได้มอบอาหารทิพย์ให้แก่เธออีกด้วย
จนเวลาผ่านมาถึงยุคเจ้าหน้าที่บ้านเมือง เริ่มเข้มงวดการตรวจสอบพวกมีพลังพิเศษกันอย่างจริงจัง มันก็ดันมาเป็นยุคเดียวกันกับช่วงที่แอน เจฟเฟอรี่มีพลังพิเศษนี้อีก นั่นจึงทำให้เธอต้องถูกจับตัวไปคุมขังในคุก
หลังจากที่มีนักบวชออกมากล่าวหาพวกที่ทำงานร่วมกับนางฟ้าว่า คนพวกนี้ทำงานให้กับพวกปีศาจร้าย ซึ่งเธอก็ถูกจับไปอยู่พักหนึ่ง ก่อนที่จะได้รับอิสรภาพออกมาอีกครั้ง และตั้งแต่นั้นมาแอน เจฟเฟอรี่ก็เลิกทำตัวเป็นผู้วิเศษ หันไปแต่งงานมีครอบครัว และมีชีวิตอยู่จนถึงวันสุดท้ายอย่างสงบเสงี่ยมเจียมตัว
ที่มา: Books.Google
---------
โพลเตอร์ไกส์ ของผีอิซาเบล เฮเรียท
เป็นเวลาหลายปีที่ อิซาเบล เฮเรียท ทำงานเป็นคนรับใช้ให้กับเทศมนตรีในเมืองออร์มิสตัน ประเทศสก็อตแลนด์ เฮเรียทเป็นคนทำงานดี แต่กลับถูกเจ้านายไล่ออกจากงานเพราะเธอเป็นคนเคร่งครัดในเรื่องศาสนา
จนมาถึงช่วงฤดูหนาวในปี ค.ศ. 1680 อิซาเบล เฮเรียทก็ล้มป่วยจนเสียชีวิตไป และตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ก็มีผู้พบเห็นวิญญาณของเธอ คอยแวะวนเวียนไปมาอยู่แถวบ้านท่านเทศมนตรีคนนี้
สองคืนต่อมาหลังจากการพบครั้งนั้น บ้านของท่านเทศมนตรีก็มีอันต้องถูกก้อนหินลึกลับ ขว้างปาเข้ามาในบ้านจากทุกทิศทุกทาง ต่อเนื่องยาวนานถึงเกือบ 8 สัปดาห์ และเหตุการณ์นี้ก็ยังคงดำเนินต่อไป จนมีหินก้อนหนึ่งโชคดีได้กระทบเข้าที่ศีรษะของท่านเทศมนตรีอย่างจัง ข้าวของในบ้านสามารถเคลื่อนที่ไปมาได้เอง ตามด้วยเสียงแปลก ๆ ของอะไรก็ไม่รู้ ดังออกมาให้คนในบ้านต้องถึงกับขวัญผวา
จนเวลาผ่านไปสักพัก เหตุการณ์ทุกอย่างก็สงบลง และในวันนั้นก็มีคนในบ้านเห็นวิญญาณของอิซาเบล เฮเรียตเป็นครั้งสุดท้ายเช่นกัน โดยพยานคนดังกล่าวก็คือหญิงสาวคนเดียวกันกับที่เห็นเฮเรียทในครั้งแรก โดยเธอเล่าว่าพบผีสาวใช้ตนนั้นกำลังหยิบก้อนหินอยู่ในสวนของท่านเทศมนตรี ก่อนที่พยานจะวิ่งหนีไปเพราะความกลัว โดยเธอยังบอกอีกว่า วิญญาณของเฮเรียทพูดว่า ปีศาจต้องการให้เธอมาทำลายเจ้านายเก่านั่นเอง
ที่มา: Books.Google
---------
ดอพเพลแกงเกอร์ ของแมรี่ กอฟฟี่
เมื่อวันที่ 3 มิถุนายน ค.ศ. 1691 แมรี่ ก็อฟฟี่ ได้ทอดตัวลงนอนบนที่นอน ภายในบ้านของคุณพ่อที่เมืองเวสท์มอลลิ่ง ประเทศอังกฤษ โดยในคืนนั้นเธอร้องขอให้สามีช่วยนำม้าให้หน่อย เพราะเธออยากจะออกไปหาลูก ๆ ที่อยู่ห่างออกไป 14 กิโลเมตร ในเมืองโรเชสเตอร์ เพื่อจะได้อยู่กันพร้อมหน้าก่อนที่เธอจะจากไปในเวลาอันใกล้นี้ เพียงแต่ในช่วงเวลานั้นก็อฟฟี่เองก็อยู่ในสภาพย่ำแย่เต็มที เธอป่วยหนักเกินกว่าจะลุกขึ้นจากที่นอนได้ด้วยซ้ำ นั่นจึงทำให้ไม่มีใครไปตามม้ามาให้เธอ
และเมื่อถึงเวลาตีหนึ่ง แมรี่ ก็อฟฟี่ก็หยุดหายใจลง และฟื้นกลับมาใหม่ในสภาพเหมือนคนนอนละเมอ โดยในช่วงเวลานั้นเหล่าพยาบาลที่ดูแลลูก ๆ ของเธอในโรเชสเตอร์ ก็มีอันต้องตกใจไปถ้วนทั่ว เพราะพวกเธอเห็นแมรี่ กอฟฟี่มาถึงที่ห้องนอนของลูกสาวคนโต จนเวลาผ่านไป 15 นาที เธอก็ไปยืนอยู่ที่ข้างเตียงพยาบาลอีกเตียงที่ลูกสาวคนเล็กกำลังนอนหลับอยู่เช่นกัน
จนเสียงระฆังของนาฬิกาบอกเวลาตีสอง ก็อฟฟี่ก็ออกจากบ้านในโรเชสเตอร์ แล้วมารู้สึกตัวอีกทีตอนมาถึงที่เมืองเวสท์มอลลิ่งแล้ว โดยก่อนที่เธอจะเสียชีวิตในวันนั้น ก็อฟฟี่บอกกับแม่ของเธอว่า เธอออกไปเยี่ยมลูก ๆ ทั้งที่กำลังนอนหลับได้ยังไงก็ไม่รู้ ส่วนทางพยาบาลที่โรเชสเตอร์เอง ก็รายงานสิ่งที่เกิดขึ้นนี้เช่นกัน จนมั่นใจได้ว่า แมรี่ กอฟฟี่ เธอมาที่นี่จริง ๆ ไม่ได้เป็นแค่ความฝันของใครแน่ ๆ
ที่มา: Books.Google
---------
ย้อนกลับไปช่วงเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1682 คนรับใช้ชื่อ ฟรานซิส เฟย์ ได้พบว่าพ่อของเจ้านายที่เสียชีวิตไปแล้ว กำลังยืนอยู่กลางทุ่งนาในเมืองสเปรย์ตัน ประเทศอังกฤษ โดยวิญญาณนั้นร้องขอกับคนรับใช้หนุ่มว่า ให้ช่วยทำธุระที่ค้างคาเอาไว้ให้หน่อยจะได้ไหม ? พอฟรานซิสได้ยินแบบนั้น เขาก็รีบตอบตกลงโดยไม่รู้ว่ามันคืออะไร แล้วรีบจัดการงานที่ทำอยู่จนเสร็จสิ้น ก่อนที่จะเก็บข้าวของเดินทางกลับบ้านในวันถัดมา
ในช่วงการเดินทางกลับไปยังสเปรย์ตันนั้น ฟรานซิส เฟย์ก็ได้พบกับวิญญาณอีกดวง คราวนี้เป็นวิญญาณแม่เลี้ยงของนายท่าน ที่ต่อมาก็ได้รับสมญานามใหม่ ว่าเป็นปีศาจแห่งสเปรย์ตัน ออกมาทักทายด้วยการกระชากเขาลงจากหลังม้า และก็ไม่รู้ว่ามันจะเป็นเพราะอะไรเหมือนกัน ผีนางปีศาจตนนี้ก็ยังคงเฝ้าตามราวีชีวิตของฟรานซิส ให้เหมือนกับตกอยู่ในนรกมาตั้งแต่วันนั้น
เพราะในบางครั้ง นางปีศาจจะใช้ผ้าเช็ดหน้าของฟรานซิสมารัดคอเขา และอีกหลายครั้งเธอก็จะใช้วิกผมของเขามาเป็นเครื่องมือทรมานนี้ โดยมีอยู่ครั้งหนึ่ง เธอได้โยนร่างของฟรานซิสขึ้นไปบนอากาศ และบางครั้งเธอก็ไปเข้าสิงเชือกผูกรองเท้าของฟรานซิส ให้ขยับไปมาจนเขาต้องตกใจทำอะไรไม่ถูก และในบางบริบท ฟรานซิสก็ถูกนกจากไหนก็ไม่รู้ นำก้อนหินมาปาใส่หัวเขาอย่างไร้ความปราณี และเขาก็โดนแบบนี้เป็นประจำจนกลายเป็นชีวิตประจำวันไปเสียแล้ว
ที่มา: Books.Google
---------
วิลเลี่ยม วอล์เกอร์ เขาเป็นพ่อม่ายมหาเศรษฐีที่อาศัยอยู่ในเมืองลัมลีย์ ประเทศอังกฤษ และเพื่อทำให้ทุกอย่างในบ้านอยู่ในความต้องการ วิลเลี่ยมจึงว่าจ้างญาติที่ชื่อ แอนน์ วอล์เกอร์ มาเป็นแม่บ้าน ทั้งแอนน์และวิลเลี่ยมสนิทสนมกันอย่างรวดเร็ว จนสุดท้ายก็ข้ามเส้นพรมแดนญาติ เข้ามาอยู่ในแฟนโซนอย่างลับ ๆ จนถึงวันที่แอนน์ตั้งท้องขึ้นมา ทุก ๆ คนในบ้านเลยพยายามมองหาว่าใครกันแน่ที่เป็นพ่อเด็ก
จนมาถึงเดือนมีนาคม ค.ศ. 1632 วิลเลี่ยมจึงตัดสินใจนำแอนน์ออกจากบ้าน เพื่อจะได้ทำให้ข่าวลือต่าง ๆ หยุดลงเสียที โดยตอนแรกวิลเลี่ยมเก็บแอนน์เอาไว้ในบ้านของป้า แล้วค่อยตัดสินใจย้ายเธอไปอยู่ในเมืองเดอร์แรม จนเวลาผ่านไปสองอาทิตย์ก็ไม่มีใครได้รับข่าวคราวความเคลื่อนไหวจากแอนน์อีก แล้วอยู่ดี ๆ เธอก็ปรากฏตัวขึ้นมาในสภาพร่างกายชุ่มโชกไปด้วยเลือด อยู่ภายในโรงโม่ของนายเจมส์ กราแฮมที่เมืองลัมลีย์
ซึ่งคนที่เห็นแอนน์ในสภาพนี้ก็ไม่ใช่ใคร เขาคือนายเจมส์ กราแฮมเจ้าของโรงโม่นั่นแหละ กราแฮมเล่าว่า วิญญาณสาวออกมาบอกว่าเธอตายไปแล้ว วิลเลี่ยมไม่ได้ส่งเธอไปที่เมืองเดอแรมเลย เขาไปว่าจ้างชายคนหนึ่งชื่อ มาร์ค ชาร์พให้มาสังหารเธอ
ซึ่งเอาจริง ๆ ในตอนแรกนั้น กราแฮมไม่ได้คิดจะออกมาแจ้งความในคดีนี้เลย เพราะเขากลัวว่าตัวเองจะถูกต้องสงสัยมากกว่าใครด้วยซ้ำ แต่ยิ่งทำเป็นไม่สนใจ วิญญาณของแอนน์ก็ยิ่งออกมาปรากฏตัวให้เห็น แถมยังออกปากสาบานว่าเธอจะหลอกหลอนเขาต่อไปจนกว่าเขาจะตาย สุดท้ายก็เลยต้องยอมเสี่ยง แจ้งให้เจ้าหน้าที่บ้านเมืองมาสอบสวนตามหาความจริง
เหล่าเจ้าหน้าที่บ้านเมือง ได้เข้าไปตรวจสอบในเหมืองถ่านหิน แล้วก็พบศพของแอนน์อยู่จริงตามคำบอกเล่าของกราแฮม นั่นจึงทำให้เรื่องราวจากปากของเขาถูกสอบสวนอย่างจริงจัง จนในที่สุดก็สามารถหาหลักฐานมัดตัวนายวิลเลี่ยมและชาร์พมาดำเนินคดีได้สำเร็จ และต่อมานายชาร์พฆาตกรเองก็ได้รับสารภาพทุกอย่างจนสิ้นไส้ ส่งผลทำให้เขากับนายจ้างได้รับโทษประหารชีวิตตายตกตามกัน ในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1632 นั้นเอง
ที่มา: Books.Google
ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องราวที่ถูกบันทึกไว้ในหนังสือเล่าเรื่องลึกลับโบราณ ที่เราเองก็ไม่รู้ว่าจะสืบข้อเท็จจริงกันได้อย่างไร เพราะมันเกิดขึ้นมาเกือบ 400 ปี ที่น่าจะตรงกับยุคสมัยกรุงศรีอยุธยาของบ้านเรา โดยบันทึกต่าง ๆ ได้ถูกนำมาเรียบเรียงอีกครั้งในช่วงยุครัตนโกสินทร์ตอนต้น
ดังนั้นทุกเรื่องราวจะเป็นเรื่องจริง หรือเป็นเพียงเรื่องเล่าใส่สีสันเพื่อกระตุ้นยอดขาย มันก็สามารถเป็นไปได้ทุกรูปแบบ นั่นจึงทำให้มิติที่ 6 เอง ก็อยากจะขอให้ท่านผู้ชมลองใช้วิจารณญาณกับเรื่องราวทุกเรื่อง แล้วบอกเราให้ทราบกันด้วยว่า ท่านผู้ชมชอบเรื่องไหนเพราะอะไรกันบ้าง ? ลงในความเห็นใต้คลิปนี้กันด้วยนะครับ
หลังจากจบรายการมิติที่ 6 แล้ว อย่าลืม กดสับสไครป์ กดไลก์ กดแชร์ และอย่าลืมทิ้งคอมเมนต์กันไว้ด้วยนะครับ ยังมีเรื่องราวต่าง ๆ อีกมากมายรอคุณอยู่ สำหรับวันนี้... สวัสดี
แปลและเรียบเรียงโดย นิวัฒน์ อ่ำแสง
แท็ก: 10 bizarre, supernatural, stories, 17th century, britain, 10 เรื่องแปลกประหลาด, อังกฤษ, ยุคคริสต์ศตวรรษที่ 17,
ดันตี้ พอร์เทียส, Dunty Porteous, โรเบิร์ต เบตี้, Robert Baty, ดร.จอห์น แลมบ์, Dr. John Lambe, the Duke’s Devil, โดโรธี ดูรันท์, Dorothy Durant, ครอบครัวเมอริเดธ, The Merideth Children, แอนน์ เจฟเฟอรี่, Ann Jefferies, โพลเตอร์ไกส์, อิซาเบล เฮเรียท, Poltergeist, Isabel Heriot, ดอพเพลแกงเกอร์, แมรี่ กอฟฟี่, Doppelganger, Mary Goffe, ปีศาจแห่งสเปรย์ตัน, Demon Of Spreyton, แอนน์ วอล์กเกอร์, Anne Walker