สนับสนุนโดย "3BB Fiber" เน็ตบ้านแรงเต็มขั้น
สนใจรายละเอียดกดได้ที่ภาพครับ !
ถ้าจะถามกันว่าการเดินทางแบบไหนปลอดภัยถึงที่หมายสบายผิดกัน คำตอบมันก็น่าจะไม่พ้นเครื่องบิน ที่สามารถพาเราไปยังสถานที่หมายได้โดยสวัสดิภาพ ในเวลาที่สั้นกว่าการเดินทางชนิดใด ๆ แล้วตอนที่มันจะเกิดเรื่องล่ะ ? เคยคิดบ้างไหมว่าเราจะต้องพบเจอกับอะไรในเสี้ยววินาทีนั้น ซึ่งมันก็คงไม่ใช่เหตุการณ์ที่ใครจะเจอกันได้บ่อย ๆ แน่ !
สนใจรายละเอียดกดได้ที่ภาพครับ !
ถ้าจะถามกันว่าการเดินทางแบบไหนปลอดภัยถึงที่หมายสบายผิดกัน คำตอบมันก็น่าจะไม่พ้นเครื่องบิน ที่สามารถพาเราไปยังสถานที่หมายได้โดยสวัสดิภาพ ในเวลาที่สั้นกว่าการเดินทางชนิดใด ๆ แล้วตอนที่มันจะเกิดเรื่องล่ะ ? เคยคิดบ้างไหมว่าเราจะต้องพบเจอกับอะไรในเสี้ยววินาทีนั้น ซึ่งมันก็คงไม่ใช่เหตุการณ์ที่ใครจะเจอกันได้บ่อย ๆ แน่ !
มิติที่ 6 สัปดาห์นี้ เราจะพูดถึงเหตุการณ์เครื่องบิน 10 ลำ ที่หายไปอย่างไร้ร่องรอยกลางทะเล มันหายไปไหน ? และอะไรที่ทำให้มันไม่สามารถไปถึงที่หมาย เราลองมาดูไปพร้อม ๆ กัน !!!
1. เฟรเดอริค วาเลนทิคช์ กับเชสน่า 182 แอล
(ภาพจาก: Educating Humanity) |
วันที่ 21 ตุลาคม ค.ศ. 1978 เฟรเดอริค วาเลนทิคช์ อายุ 20 ปี หายตัวไปขณะที่เขากำลังขับเครื่องบิน เชสน่า 182 แอล ทางครอบครัวและเพื่อน ๆ ให้ปากคำเกี่ยวกับเขาว่า เฟรเดอริคนั้นเชื่อในเรื่องจานบินเป็นอย่างมาก โดยในขณะที่เขากำลังขับเครื่องบินเที่ยวสุดท้ายก่อนจะหายไปอย่างปริศนานั้น เขารายงานมาทางวิทยุสื่อสารว่า พบกับอากาศยานที่ไม่สามารถระบุรูปแบบได้ !
"เฟรเดอริค วาเลนทิคช์" หายสาบสูญ |
ในช่วงเวลาดังกล่าวเฟรเดอริคกำลังบินอยู่บนท้องฟ้าเหนืออ่าวบาส ที่อยู่ระหว่างรัฐทาสเมเนียและแผ่นดินหลักของประเทศออสเตรเลีย เขาใช้วิทยุสื่อสารส่งข้อความมายังหอบังคับการบินช่วงหลังเวลาหนึ่งทุ่ม รายงานว่าถูกอากาศยานลำหนึ่งติดตามอยู่ แต่ทางหอบังคับการตอบกลับว่าไม่พบอะไรอยู่ใกล้ ๆ เฟรเดอริคเลย
แต่เฟรเดอริคกลับระบุรูปร่างของอากาศยานลำนั้นว่า "มันมีขนาดใหญ่ และสว่างสไวไปด้วยดวงไฟขนาดยักษ์ถึง 4 ดวง และยังอ้างว่ามันบินผ่านเหนือศีรษะของเขาไปในระยะ 300 เมตร ด้วยความเร็วสูงเป็นอย่างมาก"
แต่เฟรเดอริคกลับระบุรูปร่างของอากาศยานลำนั้นว่า "มันมีขนาดใหญ่ และสว่างสไวไปด้วยดวงไฟขนาดยักษ์ถึง 4 ดวง และยังอ้างว่ามันบินผ่านเหนือศีรษะของเขาไปในระยะ 300 เมตร ด้วยความเร็วสูงเป็นอย่างมาก"
ในที่สุดเฟรเดอริคจึงยืนยันว่า เจ้าสิ่งนี้มันน่าจะเป็นยูเอฟโอ ! โดยมันบินโคจรรอบเครื่องบินของเขา มีลักษณะเป็นโลหะเรืองแสง มีดวงไฟสีเขียว ซึ่งหอบังคับการบินเองก็พยายามให้เขายืนยันเรื่องนี้อีกครั้ง เขาก็ตอบกลับมาว่า "มันไม่ใช่เครื่องบิน !" ก่อนที่สัญญาณสื่อสารจะขาดหายไป โดยคำพูดที่หอบังคับการได้ยินเป็นครั้งสุดท้ายนั้น เฟรเดอริคบอกว่า "เสียงของมันเหมือนกับโลหะขูดกับอะไรบางอย่าง" ก่อนที่สัญญาณจากเขาจะหายไป และไม่มีใครได้ทราบอะไรอีกเลย
ที่มา: Atlasobscura
----------
2. การบินข้ามมหาสมุทรแอตแลนติคของ C-124
ตัวอย่างเครื่องบิน C-124 (ภาพจาก: Walker Aviation Museum) |
เรื่องนี้ก็ถือเป็นเหตุการณ์แปลกประหลาดอีกครั้ง ที่เกิดขึ้นในช่วงบ่ายของวันที่ 23 มีนาคม ค.ศ. 1951 วันนั้นเครื่องบินกองทัพสหรัฐฯ รุ่น ดักลาส C-124 โกลบมาสเตอร์ทู ต้องประสบชะตากรรมที่ไม่ควรเกิด หลังจากขึ้นเทคออฟเพื่อบินไปยังประเทศอังกฤษ มันมีเหตุต้องร่อนลงจอดกลางทะเลเนื่องจากเกิดการระเบิดในห้องเก็บสินค้า ประกายไฟลุกไหม้ลามมาถึงห้องนักบิน ก่อนที่มันจะดิ่งตัวเองตกลงไปในคาบสมุทรแอตแลนติค ห่างจากไอร์แลนด์ไปไม่กี่ร้อยไมล์เท่านั้น โดยจุดเกิดเหตุนี้ถูกระบุมาจากนักบินบนเครื่อง ซึ่งการร่อนลงจอดครั้งนี้ถ้าไม่นับเรื่องระเบิด ก็ถือว่ามันเป็นการลงจอดที่ไม่มีปัญหา
ลูกเรือและเจ้าหน้าที่ 53 คน สามารถขึ้นไปบนเรือชูชีพที่เตรียมไว้ อุปกรณ์กู้ภัยต่าง ๆ ก็มีเตรียมไว้พร้อมเช่นกัน ต่อมาเครื่องบิน บี 29 จึงรีบรุดเข้ามายังจุดเกิดเหตุ พอมาถึงเจ้าหน้าที่ก็พบว่าทุกคนน่าจะปลอดภัยดี
แต่กว่าจะมาถึงยังจุดเกิดเหตุนี้ เครื่องบินกู้ภัย บี 29 ก็น้ำมันใกล้หมด พวกเขาจึงต้องรีบกลับไปเติมน้ำมันก่อน พอเติมน้ำมันเสร็จก็รีบบินกลับมาทันที แต่ตอนนี้กลายเป็นว่าเหล่าผู้รอดชีวิตทุกคนไม่รู้ไปอยู่ที่ไหนแล้ว ระหว่างเครื่องบินกู้ภัยไปเติมน้ำมัน ทุกคนก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย เหลือทิ้งไว้เพียงเศษซากไม้อัดของเรือและกระเป๋าเดินทางของผู้โดยสาร ไม่มีใครรู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นในช่วงที่เครื่องบินกู้ภัยกำลังกลับไปเติมน้ำมัน
ซึ่งเราเองก็คิดว่าบางทีมันอาจจะเกิดคลื่นยักษ์ หรือไม่ก็มีสัตว์ทะเลขนาดใหญ่โผล่ขึ้นมาทำร้ายพวกเขารึเปล่า? แต่ก็ไม่มีหลักฐานอะไรมายืนยันเรื่องนี้ได้อยู่ดี
ที่มา: Wafbmuseum
----------
3. เอมิเลีย เอียร์ฮาร์ท
(ภาพจาก: Wikimedia) |
เอมิเลีย เอียร์ฮาร์ท เธอคือหนึ่งในนักบุกเบิกวงการบินชาวอเมริกัน ครองที่สุดของสถิติในหลาย ๆ เรื่อง ซึ่งนั่นก็รวมไปถึงเธอคือนักบินหญิงคนแรกที่สามารถบินข้ามมหาสมุทรแอตแลนติคได้ด้วยตัวเองเพียงคนเดียว แต่แล้วในวันที่ 2 กรกฎาคม ค.ศ. 1937 เธอก็หายตัวไปขณะกำลังบินอยู่เหนือมหาสมุทรแปซิฟิค ในจุดที่อยู่ใกล้กับเกาะฮาวแลนด์ ของประเทศสหรัฐอเมริกา
ข้อความสุดท้ายจากวิทยุสื่อสารของเธอบอกว่า เธออยู่ใกล้กับเรืออิทาสก้า ซึ่งนั่นทำให้เธอเชื่อว่าตัวเองน่าจะอยู่แถว ๆ เกาะฮาวแลนด์ เพียงแต่สิ่งที่เธอเข้าใจนั้นมันไม่ใช่ ! เพราะจริง ๆ แล้วเธออยู่ห่างจากเรือลำดังกล่าวถึง 8 กิโลเมตร
แต่ด้วยเรืออิทาสก้านั้นเป็นเรือกลไฟ ใช้น้ำมันเผาไหม้เตาต้มไอน้ำขนาดยักษ์ ควันจากเรือจึงออกมาบดบังทัศนวิสัย รวมไปถึงทำให้เครื่องตรวจจับสัญญาณของเครื่องบินทำงานผิดพลาด ประกอบกับความกังวลและหวาดกลัวจึงทำให้เธอกะระยะห่างของเรือลำนี้ผิดไป นั่นจึงหมายความว่าจริง ๆ แล้วก่อนที่เครื่องบินจะหายไป เธอไม่รู้เลยว่าตัวเองอยู่ตรงจุดไหนกันแน่
แต่ด้วยเรืออิทาสก้านั้นเป็นเรือกลไฟ ใช้น้ำมันเผาไหม้เตาต้มไอน้ำขนาดยักษ์ ควันจากเรือจึงออกมาบดบังทัศนวิสัย รวมไปถึงทำให้เครื่องตรวจจับสัญญาณของเครื่องบินทำงานผิดพลาด ประกอบกับความกังวลและหวาดกลัวจึงทำให้เธอกะระยะห่างของเรือลำนี้ผิดไป นั่นจึงหมายความว่าจริง ๆ แล้วก่อนที่เครื่องบินจะหายไป เธอไม่รู้เลยว่าตัวเองอยู่ตรงจุดไหนกันแน่
(ภาพจาก: Getty Image) |
มีหลายทฤษฎีพูดถึงการหายตัวไปของเอมิเลียอย่างเช่น เครื่องบินของเธอน่าจะบินตกลงไปในท้องทะเล บางคนก็บอกว่าเธอน่าจะถูกชาวญี่ปุ่นจับตัวไป และก็มีบางคนบอกว่าบางทีเอมิเลียอาจจะตัดสินใจร่อนลงที่เกาะการ์ดเนอร์ ที่อยู่ห่างออกไปประมาณ 560 กิโลเมตร ซึ่งก็ไม่ทราบว่าเธอทำสำเร็จหรือไม่ เพราะในที่สุดเธอก็หายตัวไปและไม่ได้กลับมาอีกเลย
ซึ่งก็ถือเป็นเรื่องน่าเศร้า สำหรับชีวิตของหญิงในตำนานคนหนึ่งเลยทีเดียว แต่เราก็ยังมีเรื่องต่อไปให้ต้องขบคิดกัน
ที่มา: History
----------
ที่มา: History
----------
4. Flying Tiger Flight 739
(ภาพจาก: US Navy) |
เมื่อวันที่ 16 มีนาคม ค.ศ. 1962 เครื่องบิน ฟลายอิ้ง ไทเกอร์ ไฟลท์ 739 ได้หายไปจากจอเรดาร์อย่างไร้ร่องรอย โดยเครื่องบินพาณิชย์ลำนี้บรรทุกทหารอเมริกันและทหารเวียตนามจำนวน 93 นาย ออกจากแคลิฟอร์เนียไปยังไซง่อน และหลังจากนับจำนวนทหารและเจ้าหน้าที่บนเครื่องทั้งหมดแล้ว ทุกฝ่ายต่างลงความเห็นว่าลูกเรือทั้งหมด 107 ราย น่าจะเสียชีวิตทั้งหมด
หน่วยค้นหาไม่พบเศษซากหรือร่องรอยเครื่องบินแม้แต่น้อย พยานบนเรือบรรทุกน้ำมันที่อยู่ใกล้ ๆ บริเวณจุดเกิดเหตุรายงานว่า เห็นประกายไฟแสงสว่างมาก ตามด้วยเห็นจุดสว่างสีแดงพุ่งดิ่งตกลงไปในทะเลด้วยความเร็วไม่เท่ากัน ซึ่งเชื่อกันว่าสิ่งที่พยานเห็นนั้นมันคือตัวเครื่องบิน ที่น่าจะระเบิดก่อนจะแตกออกเป็นสองส่วน แล้วจึงตกลงไปในทะเลนั่นเอง
โดยสมมติฐานที่สมเหตุผลที่สุดให้น้ำหนักไปที่หลักฐานจากพยานก็คือ น่าจะมีการก่อวินาศกรรมขึ้นภายในเครื่องบินลำนี้ แต่อย่างไรก็ดีการค้นหาตลอดอาณาบริเวณกว่าห้าแสนหนึ่งหมื่นแปดพันตารางกิโลเมตร กลับไม่พบเศษซากอะไรเหลืออยู่เลย และมันก็ทำให้เราไม่สามารถหาคำตอบที่แท้จริงออกมาได้จนถึงทุกวันนี้
และสำหรับเรื่องต่อไป ท่านผู้ชมน่าจะคุ้นหูว่าเราเคยพูดถึงมันมาก่อน เพียงแต่เราไม่ได้ระบุถึงชื่อเที่ยวบินชัดเจนเหมือนกับครั้งนี้
ที่มา: Fearoflanding
ที่มา: Fearoflanding
----------
5. Flight 19
(ภาพจาก: Anynobody) |
ไฟลท์ 19 คือหน่วยกองบินทิ้งระเบิดห้าลำ ที่หายไปอย่างไร้ร่องรอยเหนือสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า ตั้งแต่วันที่ 5 ธันวาคม ปี ค.ศ. 1945 โดยทางกองทัพได้ส่งเรือบินมาร์ตินพีบีเอ็มมารีเนอร์ มาทำหน้าที่ตามหากองบินสาปสูญกองนี้ แต่มันก็ต้องหายไประหว่างการค้นหาครั้งนี้ด้วยเช่นกัน ซึ่งพอนับจำนวนคนบนเครื่องบินทุกลำแล้ว ก็มีนักบินจากฝูงบินไฟลท์ 19 หายไปถึง 14 ราย และนักบินจากกลุ่มค้นหาหายไปอีก 13 รายเลยทีเดียว
มีการอ้างถึงในรายงานระบุว่า เหล่านักบินในกองบินทิ้งระเบิดพบปัญหาเกี่ยวกับระบบนำทาง เมื่อพวกเขาเริ่มเข้าสู่บริเวณ สามเหลี่ยมมรณะ เข็มทิศของพวกเขาไม่ทำงาน จนในที่สุดก็น้ำมันหมด โดยอ้างว่าพวกเขาติดต่อทางวิทยุครั้งสุดท้าย ระบุว่าเครื่องบินทุกลำอยู่ในสภาวะคับขัน และกำลังจะร่อนลงจอดกลางทะเล และประโยคสุดท้ายของนักบินบอกกับหอบังคับการว่า “เมื่อลำแรกร่อนลง พวกเราทุกลำก็จะลงไปด้วยกัน !”
ตอนนั้นเป็นช่วงดวงอาทิตย์กำลังจะตกและอากาศก็กำลังเลวร้าย ตอนนั้นตรงกับช่วงเวลาหนึ่งทุ่มยี่สิบเจ็ดนาที เรือบินค้นหาก็ได้รับคำสั่งให้บินออกไปตรวจสอบ แล้วพวกเขาก็หายไปไม่กลับมาอีกเลยเช่นกัน ซึ่งเหตุการณ์นี้มีพยานจากเรือบรรทุกน้ำมันรายงานว่า พวกเขาเห็นการระเบิดขึ้นอย่างรุนแรงเหนือน่านฟ้าเพียง 30 เมตรเท่านั้น
แต่อย่างไรก็ดีหลังจากมีการตรวจสอบอย่างละเอียด ทางกองทัพอากาศของสหรัฐอเมริกาได้ออกมาแย้งในข้อมูลต่าง ๆ หลายเรื่อง ตั้งแต่รายงานทางวิทยุเกี่ยวกับปัญหาของเครื่องมือนำทาง ไปจนถึงคำพูดบอกลาของนักบินว่า กองบินไฟลท์ 19 บินตกทะเลจริง ๆ แต่เป็นเพราะสภาพอากาศอันเลวร้าย พวกเขาไม่มีเวลาแม้แต่จะรายงานอะไรทางวิทยุ ทุกอย่างเป็นอุบัติเหตุทางธรรมชาติ ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับอาถรรพ์สามเหลี่ยมเบอร์มิวด้าทั้งสิ้น
และทุกอย่างถูกแต่งเติมเรื่องจากหนังสือขายดีของนักเขียนนิยายเพียงเท่านั้น แต่ที่กองทัพไม่สามารถออกมาระบุได้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น ก็เพราะพวกเขาไม่เจอเศษซากของเครื่องบินลำไหนอยู่ในจุดเกิดเหตุเลย และในภายหลังก็มีการระบุออกมาว่า จริง ๆ แล้วเครื่องบินทุกลำน่าจะจมลงใต้ทะเลกันหมดแล้วนั่นเอง
6. Star Ariel
(ภาพจาก: RuthAS) |
สตาร์เอเรียล หายไปในวันที่ 17 มกราคม ค.ศ. 1949 สิ่งที่รู้เพียงเล็กน้อยเกี่ยวกับสาเหตุในการหายไป ของเครื่องบินจากสายการบินบริติชเซาท์อเมริกาแอร์เวย์ พร้อมกับลูกเรือ 20 รายก็คือ สภาพอากาศปรอดโปร่ง ทัศน์วิสัยการบินยอดเยี่ยม นักบินเองก็มีประสบการณ์ กัปตันบนเครื่องก็มีวิสัยทัศน์ในการบินที่ดี แต่มันหายไปในบริเวณเกาะเบอร์มิวด้าเมืองคิงส์ตัน ประเทศจาไมก้าได้อย่างไร ?
การติดต่อครั้งสุดท้ายกับสตาร์เอเรียลนั้นก็คือเก้าโมงสี่สิบสองนาที การค้นหาจากหน่วยนาวีสหรัฐฯ ก็ใช้กองกำลังขนาดใหญ่ แต่สุดท้ายก็ไม่พบอะไรไม่ว่าจะซากชิ้นส่วน คราบน้ำมัน หรือแม้แต่ศพของผู้เสียชีวิต โดยสิ่งเดียวที่หัวหน้าหน่วยค้นหาสามารถบอกกับนักข่าวได้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นก็คือ พวกเขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเครื่องบินลำนี้มันไปตกตรงที่ไหน นั่นจึงทำให้พวกเขาเองก็จนปัญญาจะงมเครื่องบินท่ามกลางท้องทะเลอันกว้างใหญ่ ให้สามารถเจอได้ง่าย ๆ อย่างที่ทุกฝ่ายหวังเอาไว้
ที่มา: The Questerfiles
----------
7. Star Tiger
มันเกิดขึ้นในช่วงเวลารีบเร่งของวันที่ 30 มกราคม ปี 1948 เครื่องบินของสายการบินบริติชเซาท์อเมริกาแอร์เวย์ ชื่อ สตาร์ไทเกอร์ ได้หายไปจากบริเวณซานตามาเรียกับเบอร์มิวด้าอีกแล้ว ผู้โดยสารทั้ง 31 ราย พร้อมกับเจ้าหน้าที่บนเครื่องเสียชีวิตทัั้งหมด สาเหตุการตกก็ไม่สามารถระบุได้มาจนถึงทุกวันนี้ โดยเครื่องบินสตาร์ไทเกอร์ลำนี้มีนักบินผู้มากประสบการณ์ 2 นายเป็นผู้ควบคุม วันนั้นเป็นที่รู้กันว่าสภาพอากาศค่อนข้างเลวร้าย ซึ่งก็อาจเป็นเหตุทำให้นักบินสูญเสียทัศนวิสัยในการมอง
เพราะจริง ๆ แล้วการบินอยู่เหนือพื้นดิน 600 เมตร หรือประมาณ 2,000 ฟิต ท่ามกลางสภาพอากาศปิดนั้นถือเป็นเรื่องอันตรายอย่างมาก ซึ่งกับนักบินที่มีประสบการณ์เองก็น่าจะรู้ถึงเรื่องนี้เป็นอย่างดี
นั่นจึงทำให้มีการคาดกันว่า ตัวเครื่องบินอาจจะถูกลมพายุพัดจนเสียการทรงตัว จนต้องร่วงตกลงไปในทะเลอย่างกระทันหันหรือเปล่า ? ไม่ก็อาจเกิดปัญหาเครื่องวัดความสูงผิดพลาด จึงทำให้นักบินบังคับเครื่องให้บินกระแทกพื้นทะเลไปเอง เพราะไม่มีบันทึกใด ๆ บ่งบอกว่านักบินเกิดปัญหาระหว่างบินเลย แต่ที่แน่ ๆ ในอุบัติเหตุครั้งนี้หน่วยค้นหาไม่สามารถตามหาเศษซากใด ๆ พบเลยเช่นกัน
นั่นจึงทำให้มีการคาดกันว่า ตัวเครื่องบินอาจจะถูกลมพายุพัดจนเสียการทรงตัว จนต้องร่วงตกลงไปในทะเลอย่างกระทันหันหรือเปล่า ? ไม่ก็อาจเกิดปัญหาเครื่องวัดความสูงผิดพลาด จึงทำให้นักบินบังคับเครื่องให้บินกระแทกพื้นทะเลไปเอง เพราะไม่มีบันทึกใด ๆ บ่งบอกว่านักบินเกิดปัญหาระหว่างบินเลย แต่ที่แน่ ๆ ในอุบัติเหตุครั้งนี้หน่วยค้นหาไม่สามารถตามหาเศษซากใด ๆ พบเลยเช่นกัน
ซึ่งก็ถือว่ายังดีที่เรื่องราวของมันไม่ถูกคำว่าเบอร์มิวด้ามาทำให้กลายเป็นเรื่องลี้ลับ ทำให้เราอยากพาท่านผู้ชมไปยังประเทศอินเดีย ไปดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเรื่องนี้
ที่มา: BBC
----------
8. เครื่องบิน "อันโตโนฟ เอเอ็น 32" กองทัพอินเดีย
(ภาพจาก: Bhatkallys) |
วันที่ 22 กรกฎาคม ค.ศ. 2016 อันโตโนฟ เอเอ็น 32 เครื่องบินขนส่งแบบเครื่องยนต์คู่ของกองทัพอากาศอินเดีย หายไประหว่างบินอยู่เหนืออ่าวเบงกอล ในเครื่องมีลูกเรืออยู่ 29 ราย ประกอบไปด้วยผู้โดยสาร 23 ราย และเจ้าหน้าที่การบินอีก 6 ราย
การติดต่อทางเรดาร์ถูกตัดหายไปตอนเวลา 9 นาฬิกา 12 นาที หน่วยติดตามและค้นหาถูกตั้งขึ้นในระดับที่เรียกได้ว่า ใช้กองกำลังมากที่สุดในประวัติศาสตร์ของประเทศอินเดีย เรือค้นหา 16 ลำ เรือดำน้ำ 1 ลำ และเครื่องบินค้นหา 6 ลำ ถูกสั่งให้กระจายกันค้นหาไปทั่วอ่าวเบงกอล
จนมาถึงวันที่ 15 กันยายน ค.ศ. 2016 นับแล้วก็กินเวลาไปเกือบสองเดือน ทางการอินเดียจึงประกาศยุติการค้นหาทั้งหมด และสรุปคาดการณ์กันว่าลูกเรือทั้งหมดของเครื่องบินลำนี้น่าจะเสียชีวิตแล้ว
ก็ถือเป็นอีกหลักฐานที่บอกเราว่า เครื่องบินตกมันสามารถเกิดขึ้นได้ทุกที่ทุกเวลา ไม่จำเป็นต้องมีเรื่องเหนือธรรมชาติใด ๆ มาช่วยอธิบาย ซึ่งเราก็ยังมีอีกเหตุการณ์ให้ได้รับทราบกัน
ที่มา: Zeenews
ที่มา: Zeenews
----------
9. N844AA
(ภาพจาก: Mike Gabriel) |
เมื่อวันที่ 25 มีนาคม ค.ศ. 2003 เครื่องบินโบอิ้ง 727 หมายเลขทะเบียน N844AA ถูกขโมยไปจากสนามบินควาโทรเดอฟีเวเรโร ของประเทศแองโกลา เหตุเกิดตอนช่วงก่อนพระอาทิตย์ตกดิน มีชายสองคนแอบลอบเข้าไปในเครื่อง
นั่นก็คือนักบินชาวอเมริกันชื่อ "เบ็น พาดิลล่า (Ben padilla)" กับช่างเครื่องชื่อ "จอห์น มูตันตู" ซึ่งทั้งสองไม่มีใบอนุญาตขับเครื่อง 727 เสียด้วยซ้ำ เขาจึงไม่รู้ว่าเครื่องบินลำนี้จะต้องใช้ผู้ควบคุมถึง 3 คน ซึ่งตัวของพาดิลล่าเองนั้นน่าจะเชื่อว่าเครื่องบินลำนี้สามารถบังคับเพียงคนเดียวได้สบายแน่ ๆ
นั่นจึงทำให้เขาออกบินจากลานบินโดยไม่มีการเปิดเส้นทางจากเจ้าหน้าที่ภาคพื้น พาดิลล่าปิดการสื่อสารจากภายนอกทั้งหมด ไฟทุกดวงบนเครื่องก็ไม่ได้เปิด นั่นจึงทำให้เครื่องบินลำนี้เกือบจะบินปักหัวลงสู่ท้องทะเลหลังจากที่มันแล่นไปจนสุดรันเวย์ แต่สุดท้ายมันก็สามารถเชิดหัวกลับขึ้นมาบินต่อไปในทิศตะวันตกเฉียงใต้ของสนามบินแห่งนั้น
นั่นก็คือนักบินชาวอเมริกันชื่อ "เบ็น พาดิลล่า (Ben padilla)" กับช่างเครื่องชื่อ "จอห์น มูตันตู" ซึ่งทั้งสองไม่มีใบอนุญาตขับเครื่อง 727 เสียด้วยซ้ำ เขาจึงไม่รู้ว่าเครื่องบินลำนี้จะต้องใช้ผู้ควบคุมถึง 3 คน ซึ่งตัวของพาดิลล่าเองนั้นน่าจะเชื่อว่าเครื่องบินลำนี้สามารถบังคับเพียงคนเดียวได้สบายแน่ ๆ
"เบ็น พาดิลล่า" |
หลังจากนั้นก็ไม่มีใครพบเห็นนักบินกับช่างเครื่องของเขาที่ไหนอีก ตัวเครื่องบินก็หายไป ทั้งเอฟบีไอและซีไอเอต่างก็พยายามค้นหา แต่สุดท้ายก็ไม่มีใครพบมันอีกเลย
ซึ่งชะตากรรมของพวกเขา ก็คงไม่ต่างอะไรกับเหตุการณ์อื่นแน่ ๆ หลังจากที่ผ่านมา 9 เหตุการณ์ ตอนนี้เรากำลังจะพูดถึงเครื่องบินสุดโด่งดังลำนี้ !
ที่มา: Historicmysteries
ที่มา: Historicmysteries
----------
10. MH370
(ภาพจาก: Laurent Errera) |
เครื่องบินของสายการบินมาเลเซียแอร์ไลน์ เที่ยวบิน 370 ที่เรารู้จักกันดีในชื่อ MH370 มันหายไปตั้งแต่วันที่ 8 มีนาคม ค.ศ. 2014 ในระหว่างการบินจากกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย ไปยังเมืองปักกิ่งประเทศจีน ผู้โดยสารทั้ง 227 คน และเจ้าหน้าที่ในเครื่องบินอีก 12 นาย หายไปโดยไม่รู้ชะตากรรม มันเป็นเครื่องบินโบอิ้ง 777 ที่เรียกได้ว่ามีราคาแพงมากที่สุดในประวัติศาสตร์ (130-160 ล้านเหรียญสหรัฐ)
มันหายไปโดยไม่พบหลักฐานใด ๆ เป็นเวลาหลายวัน ต่อมามีการพบเศษซากชิ้นส่วนของปีกลอยมาเกยชายหาดที่เกาะหลาย ๆ แห่งรอบบริเวณเกิดเหตุ มีการพบกระเป๋าเดินทางของผู้โดยสาร ที่ทำให้เชื่อได้ว่าตัวเครื่องน่าจะตกลงไปในทะเลแล้ว ซึ่งทุกวันนี้ก็ยังไม่มีใครพบตัวเครื่องบิน และสาเหตุการตกของมันก็ยังคงหาคำตอบไม่ได้กันอยู่
มันหายไปโดยไม่พบหลักฐานใด ๆ เป็นเวลาหลายวัน ต่อมามีการพบเศษซากชิ้นส่วนของปีกลอยมาเกยชายหาดที่เกาะหลาย ๆ แห่งรอบบริเวณเกิดเหตุ มีการพบกระเป๋าเดินทางของผู้โดยสาร ที่ทำให้เชื่อได้ว่าตัวเครื่องน่าจะตกลงไปในทะเลแล้ว ซึ่งทุกวันนี้ก็ยังไม่มีใครพบตัวเครื่องบิน และสาเหตุการตกของมันก็ยังคงหาคำตอบไม่ได้กันอยู่
จากบันทึกการสื่อสารของนักบินทั้งสองบนเครื่อง ที่ได้รับครั้งสุดท้ายตั้งแต่ช่วงเวลาประมาณตีหนึ่งสิบเก้านาทีและตีหนึ่งยี่สิบเอ็ดนาทีถูกระบุว่า เหตุการณ์ทุกอย่างบนเครื่องยังปกติอยู่ ต่อมาสัญญาณการบินทั้งหมดก็ถูกตัดขาด
นั่นจึงทำให้หอบังคับการบินทำได้เพียงติดตามการบินของมันจากทางเรดาร์เท่านั้น และในขณะนั้นเองตัวเครื่องบินก็ยังถูกเรดาร์ของกองทัพเรือจับได้อีกทาง โดยในบันทึกพบว่าเครื่องบินลำนี้เลี้ยวขวาและเลี้ยวซ้ายในระดับความสูงที่ผิดปกติ
ต่อมาหลังจากที่เครื่องบินหายไปก็ถูกจับสัญญาณได้อีกครั้ง โดยเรดาร์ของกองทัพมาเลเซียพบว่าเครื่องบินยังคงส่งสัญญาณตอบสนองแบบอัตโนมัติทุกชั่วโมง โดยมันส่งขึ้นไปทางดาวเทียม นั่นจึงทำให้เจ้าหน้าที่พยายามติดต่อไปที่เครื่องบินอีก 2 ครั้ง ตอนช่วงเวลาตีสองสามสิบเก้านาทีและเจ็ดโมงสิบสามนาที แต่ก็ไม่มีใครรับสายตอบกลับมา จนในที่สุดสัญญาณครั้งสุดท้ายของมันส่งออกมาในเวลาแปดโมงสิบนาที นับรวมแล้ว MH370 หายไปจากเวลาที่ควรจะถึงที่หมายถึง 2 ชั่วโมง
ต่อมาหลังจากที่เครื่องบินหายไปก็ถูกจับสัญญาณได้อีกครั้ง โดยเรดาร์ของกองทัพมาเลเซียพบว่าเครื่องบินยังคงส่งสัญญาณตอบสนองแบบอัตโนมัติทุกชั่วโมง โดยมันส่งขึ้นไปทางดาวเทียม นั่นจึงทำให้เจ้าหน้าที่พยายามติดต่อไปที่เครื่องบินอีก 2 ครั้ง ตอนช่วงเวลาตีสองสามสิบเก้านาทีและเจ็ดโมงสิบสามนาที แต่ก็ไม่มีใครรับสายตอบกลับมา จนในที่สุดสัญญาณครั้งสุดท้ายของมันส่งออกมาในเวลาแปดโมงสิบนาที นับรวมแล้ว MH370 หายไปจากเวลาที่ควรจะถึงที่หมายถึง 2 ชั่วโมง
มีเหตุผลไม่มากที่จะอธิบายว่า สัญญาณติดต่อนี้มันถูกส่งออกมาได้อย่างไร ? เพราะในเวลาที่พวกเขาจับสัญญาณกันได้นั้นเครื่องบินก็น่าจะตกลงทะเลไปแล้ว ทางการมาเลเซียคาดว่าสาเหตุการตกนั้น มันอาจเกิดปัญหาในระบบบางอย่าง ไม่ว่าจะเรื่องเชื้อเพลิงหรือระบบการบินล้มเหลว ส่วนสัญญาณที่ส่งออกมาจากตัวเครื่องบินในช่วงที่มันจมลงไปแล้วนั้น มันทำให้เจ้าหน้าที่สืบสวนลงความเห็นว่า เครื่องบิน MH370 ลำนี้ น่าจะบินพุ่งลงไปในมหาสมุทรอินเดียด้วยความเร็วสูง
มีบางทฤษฎีคาดกันว่า บางทีมันอาจเป็นเรื่องการรักษาความลับทางทหาร บางแห่งบอกว่าอาจเกิดการก่อการร้ายบนเครื่องจากผู้โดยสารชาวตะวันออกกลาง แต่ทุกอย่างมันก็เป็นเพียงการคาดเดา เพราะทุกวันนี้ก็ยังไม่มีใครสามารถค้นหากล่องดำที่ตกลงไปยังใต้ท้องทะเลลึก ท่ามกลางคลื่นยักษ์ถาโถมจนทุกฝ่ายหมดปัญญา ไม่สามารถทำอะไรไปได้มากกว่านี้
ที่มา: BBC
ที่มา: BBC
----------
ซึ่งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมด มันไม่ได้หมายความว่าการเดินทางโดยเครื่องบินนั้นไม่ปลอดภัย เพราะเอาเข้าจริง ๆ จากสถิติการเกิดอุบัติเหตุของยานพาหนะชนิดนี้ มันต่ำกว่าชนิดอื่นอย่างที่สามารถเรียกได้ว่า การเดินทางด้วยเครื่องบินนั้นปลอดภัยที่สุด แต่ถ้าจะเกิดอะไรขึ้นจริง ๆ เราก็สามารถทำได้เพียง... ภาวนาไปเรื่อย ๆ เท่านั้นเอง !
หลังจากจบรายการมิติที่ 6 แล้ว อย่าลืมกดสับสไครป์ กดไลก์ กดแชร์ และอย่าลืมทิ้งคอมเมนต์กันไว้ด้วยนะครับ ยังมีเรื่องราวต่าง ๆ อีกมากมายรอคุณอยู่ สำหรับวันนี้... สวัสดี
แปลและเรียบเรียงโดย นิวัฒน์ อ่ำแสง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น