20 กันยายน 2560

มิติที่ 6 | เปิดปม 15 ตำนานพญานาค ความเชื่ออันยิ่งใหญ่มากกว่าที่เราเคยรู้ !!! - ตำนานโลก



ในโลกใบนี้ ยังมีเรื่องราวอีกมากมายที่เราไม่เคยรู้ บางเรื่องก็มีคำตอบ บางเรื่องก็ไม่สามารถหาคำตอบได้ ซึ่งทุกอย่างมันก็ขึ้นอยู่กับเราว่าเลือกจะเชื่อกันไปในทิศทางไหน !

กดเพื่อดูคลิปที่นี่


มิติที่ 6 สัปดาห์นี้ เราจะพาท่านผู้ชมไปรู้จักกับอีกหนึ่งตำนานอันยิ่งใหญ่ คนบางกลุ่มเชื่อว่ามันเคยมีจริง แต่คนอีกกลุ่มก็พยายามจะสรุปไปในทิศทางตรงกันข้าม แต่จะมีสักกี่คนที่รู้ว่าตำนานเรื่องนี้มันไม่ใช่เรื่องเล่าท้องถิ่น แต่มันคือตำนานอันยิ่งใหญ่ที่ยิ่งสืบย้อนกลับไปเท่าไหร่ มันก็ยิ่งทำให้เรารู้ว่า ความเชื่อบางอย่างมันมีค่ามากเกินกว่าจะก้าวล่วงจริง ๆ !!!


นาค คำนี้มาจากภาษาบาลีและสันสกฤตว่า นากาเดวะนาการี ใช้เรียกกลุ่มเทพสายหนึ่งที่หมายถึงงูผู้ยิ่งใหญ่ เจาะจงไปที่งูเห่าและงูจงอาง โดยพบว่านาคนั้นถูกเรียกใช้กันในกลุ่มลัทธิจากประเทศอินเดียของศาสนาฮินดูและพุทธ โดย "นาค" หรือ "นาคา" เป็นคำที่ใช้เรียกกับเทพฝ่ายชาย ส่วนเทพฝ่ายหญิงจะเรียกว่า "นาคี"


ในประเทศอินเดียทุกวันนี้คำว่างูเห่าจะใช้คำว่า "นาจา" ที่มีความหมายเช่นเดียวกันกับคำว่า "ฟานีน (Phaṇin)" ซึ่งถือเป็นหนึ่งในหลาย ๆ คำ ที่ใช้เรียกสัตว์ประเภทงูเช่นกัน


ในมหากาพย์เรื่องมหาภารตะเองได้นำเสนอตำนานของนาคาเอาไว้ในแง่ลบ โดยระบุว่านาคานั้นเปรียบเสมือนผู้ทำลายสรรพสิ่งมีชีวิต และบอกกับเราว่ามันคืองูที่มีพิษร้ายแรง มีความดุร้ายโหดเหี้ยมต่อสัตว์ต่าง ๆ และในบางจุดของเรื่องนั้นนาคาจะมีบทบาทสำคัญในการเดินเรื่อง ที่คอยออกมาหลอกลวงตัวละครสำคัญอื่น ๆ ซึ่งก็มีบางครั้งที่นาคในมหาภารตะจะได้รับบทเป็นคนดีอยู่บ้าง


โดยในมหากาพย์เรื่องนี้ได้บรรยายลักษณะของนาคาเอาไว้ว่าเป็นครึ่งคนครึ่งงู หลายครั้งก็ระบุว่ามีรูปร่างเป็นมนุษย์ บางครั้งก็บอกว่าเป็นงูไปตรง ๆ ยกตัวอย่างเช่น เรื่องราวของเจ้าชายนาคาที่ชื่อเชชา ผู้ออกมาโอบอุ้มโลกทั้งใบด้วยศีรษะ จะเริ่มปรากฏตัวตอนแรกในร่างของนักพรตผู้ฝึกตน ซึ่งผู้ที่ร้องขอให้เจ้าชายเชชาออกมาทำเช่นนี้ก็คือพระพรหมนั่นเอง


และในมหาภารตะนี้ได้ระบุศัตรูคู่อาฆาตของนาคาเอาไว้ก็คือ "พญาเหยี่ยวการุด้า" หรือ "พญาครุฑ" ที่เริ่มต้นนั้นเกิดจากเมื่อครั้ง "พระกัศนมุนี" หรือ "พระกัศยปเทพบิดร" ผู้ให้กำเนิดเทพมากมายหลายองค์ โดยมีชายา 13 นาง

"พระกัศยปเทพบิดร" และชายา 13 องค์
สองพระนางจากชายาทั้งหมดนั้นมีนามว่า วินตา และกัทรุ ได้ขอพรกำเนิดบุตรแก่พระกัศยป โดยนางกัทรุที่เป็นนาคได้ขอบุตรเป็นนาคจำนวนหนึ่งพันตัว และนางก็ได้บุตรไปตามความปรารถนานั้น ส่วนนางวินตานั้นเป็นครุฑ ก็ขอบุตรที่มีอำนาจวาสนาสององค์ ซึ่งต่อมานางก็คลอดบุตรออกมาเป็นไข่สองฟอง
แต่ด้วยความที่ตัวเองใจร้อนจึงชิงทุบไข่ฟองหนึ่งให้แตกออก นั่นจึงทำให้นางพบว่าเทพบุตรองค์นี้เพิ่งจะได้ร่างเป็นคนเพียงครึ่งตัว นางจึงตั้งชื่อบุตรองค์นี้ว่า อรุณ แต่อรุณกลับไม่พอใจที่มารดาทำให้ตัวเองต้องคลอดก่อนกำหนดจนต้องมีสภาพผิดปกติเช่นนี้ นั่นจึงทำให้อรุณสาปแช่งมารดาของตัวเองให้ไปเป็นทาสของนางกัทรุ แล้วบอกว่าถ้าอยากจะพ้นสภาพนี้ ก็ให้รอไข่ใบที่สองฟักออกมาเสียก่อน ส่วนตัวอรุณเทพบุตรเองนั้น ก็จากไปทำหน้าที่สารถีให้กับสุริยเทพ


พอถูกสาปเอาไว้นางวินตาจึงไม่กล้าทุบไข่ใบที่สองและรอจนถึงกำหนดวันฟัก พอถึงเวลาไข่ใบนั้นได้แตกออกมาเป็นพญาครุฑ ร่างกายใหญ่โตเทียมฟ้า กระพริบตาทีเหมือนกับฟ้าแลบแปรบปราบ และทุกครั้งที่พญาครุฑขยับปีกก็จะเกิดลมรุนแรงถึงขั้นพัดภูเขาหายไปได้ทั้งลูก และยังมีรัศมีพวยพุ่งออกมาจากร่างเป็นไฟลามลุกไหม้ไปทั่วทุกสารทิศด้วย


ต่อมานางกัทรุและนางวินตาได้พนันทายสีของม้าทรงของพระสุริยะว่า ใครทายผิดจะต้องเป็นทาสของอีกฝ่ายไป 500 ปี โดยนางวินตาทายว่าม้าตัวนี้ต้องเป็น "สีขาว" ส่วนนางกัทรุบอกว่ามันต้องเป็น "สีดำ" ซึ่งจริง ๆ ม้าตัวนี้ก็เป็นสีขาวตามคำทายของนางวินตา แต่นางกัทรุกลับวางอุบายใช้ให้ลูก ๆ ของตนแปลงกายเป็นเส้นขนสีดำ (ซึ่งบางตำนานบอกว่านางใช้ให้ลูก ๆ ไปพ่นพิษใส่ม้าจนกลายเป็นสีดำก็มี) นั่นจึงทำให้นางวินตาเข้าใจว่าตัวเองทายผิด จนมีผลทำให้ต้องกลายเป็นทาสนางกัทรุไปอีก 500 ปี !


ต่อมาพญาครุฑทราบความจริงที่มารดาถูกโกง จึงไปพูดคุยกับกลุ่มนาคของนางกัทรุ ให้ปล่อยมารดาของตนเป็นอิสระ แต่พวกนาคกลับขอให้พญาครุฑไปเอาน้ำอัมฤตมาแลกเปลี่ยนกับคำขอครั้งนี้ พญาครุฑจึงบินขึ้นไปบนสวรรค์ เพราะทราบว่าน้ำอัมฤตนั้นอยู่กับพระจันทร์ พอไปถึงที่หมายพญาครุฑก็นำพระจันทร์มาเก็บเอาไว้ที่ตรงใต้ปีก นั่นจึงทำให้พญาครุฑต้องถูกพระอินทร์และเหล่าทวยเทพ ไล่ติดตามมาเอาคืนจนเกิดต่อสู้กัน
ด้วยฤทธิ์เดชอันแข็งกล้าของพญาครุฑ จึงทำให้เหล่าเทพต้องพ่ายแพ้อย่างหมดท่า เดือดร้อนไปถึงพระวิษณุต้องรีบเข้ามาขวางจนเกิดปะทะกันอีก แต่ด้วยพลังที่ทัดเทียมกันทำให้ไม่มีใครเอาชนะใครได้ จนสุดท้ายต้องกลับมาพูดคุยสงบศึก โดยพระวิษณุให้พรแก่พญาครุฑด้วยความเป็นอมตะ และยกย่องให้ศักดิ์เหนือกว่าพระองค์ ส่วนครุฑเองก็สัญญาว่าจะเป็นพาหนะและสัญลักษณ์รถศึกให้กับพระวิษณุเช่นกัน เพื่อแสดงให้เห็นว่าพระวิษณุนั้นมีศักดิ์สูงกว่าครุฑ


พอศึกใหญ่จบลงด้วยดี พญาครุฑจึงแอบเอาหม้อใส่น้ำอัมฤตกลับมา แต่พระอินทร์ก็ไม่ยอมให้เป็นเช่นนั้น ท่านจึงตามพญาครุฑมาขอของคืนอีก พญาครุฑจึงบอกความจริงว่าตนต้องนำน้ำอัมฤตไปให้เหล่านาคเพื่อแลกกับอิสรภาพของมารดา อย่างไรแล้วตนก็ต้องรักษาสัจจะวาจาที่รับคำไปแล้ว และถ้าพระอินทร์อยากได้คืนก็จงไปเอาคืนกับเหล่านาคจะดีกว่า นั่นจึงทำให้พญาครุฑสามารถนำน้ำอมฤตกลับไปยังโลกเบื้องล่างได้สำเร็จ


พญาครุฑนั้นวางหม้อน้ำอมฤตไว้บนกอหญ้าคา และนำมาหยดแสดงให้นาคดูสองสามหยด ซึ่งแน่นอนว่าหยดน้ำเหล่านั้นก็ตกลงไปบนหญ้าคาเช่นกัน เหล่านาคเห็นว่าเป็นของจริงก็ดีใจจึงยอมปล่อยตัวนางวินตาให้เป็นอิสระทันที


เมื่อพญาครุฑกับมารดาจากไป เหล่านาคก็พากันลงไปอาบน้ำในสระ กะว่าขึ้นมาก็จะดื่มน้ำอมฤตฉลองกัน และในขณะนั้นพระอินทร์ก็เสด็จมาและนำหม้อน้ำกลับไปดื้อ ๆ นั่นจึงทำให้พวกนาคถึงกับเงิบ ทำได้แต่พากันไปเลียตามใบหญ้าคาที่จำได้ว่าพญาครุฑหยดน้ำอมฤตให้ดูเมื่อสักครู่นั้น แต่ก็ไม่รู้ว่าจะเลียกันดุเดือดเกินไปหรือเปล่า ทำให้เหล่านาคถูกหญ้าคาบาดกลางลิ้นเป็นทางยาว จนเป็นที่มาว่าทำไมงูถึงมีลิ้นสองแฉกในปัจจุบันนั่นเอง


กลับมาที่ฝ่ายพญาครุฑ ที่แม้ตัวเองจะได้มารดากลับมาแล้ว ก็ยังเจ็บแค้นที่ถูกพวกนาครังแกครอบครัวของตน จนทำให้ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาพญาครุฑจึงไม่ถูกกับนาคอีกต่อไป ทั้ง ๆ ที่เคยเป็นญาติมีต้นเชื้อพันธุ์ร่วมกันมาก่อน โดยว่ากันว่ารุ่นลูกหลานของครุฑและนาคเจอกันทีไรจะมีเหตุทำให้ต้องเกิดเรื่องบาดหมางเพิ่มขึ้นเสมอมา


นอกจากตำนานที่กล่าวไปนั้น เรื่องราวของนาคก็ยังเป็นส่วนหนึ่งในประเพณีของชาวฮินดูและเอเชีย

ประเทศอินเดีย นาคถือเป็นผู้ปกปักษ์รักษาฤดูฝน บ่อน้ำและแม่น้ำต่าง ๆ โดยเชื่อกันว่าพวกมันจะเป็นผู้นำฝนไปจนถึงพายุมาให้กับชาวบ้าน นั่นจึงทำให้นอกจากเรื่องดี ๆ อย่างน้ำท่าอุดมสมบูรณ์ว่ามาจากนาคแล้ว นาคก็ยังนำพาหายนะอย่างพายุฝนฟ้าคะนองมาสู่ชาวบ้านอย่างแสนสาหัสด้วยเช่นกัน

นาคอินเดีย

ด้วยความเชื่อว่านาคก็คืองูที่จำแลงกายเป็นมนุษย์ จึงทำให้พวกมันมีลักษณะนิสัยอยากรู้อยากเห็นมากเกินไป และนอกจากนี้ยังว่ากันว่าเมื่อมนุษย์ทำอะไรให้นาคไม่พอใจ นาคก็จะลงโทษพวกเขาเหล่านั้นด้วยความ
โหดเหี้ยม
โดยชาวอินเดียทางตอนใต้จะให้ความเคารพต่อนาคเป็นอย่างมาก พวกเขาเชื่อว่านาคคือผู้นำความอุดมสมบูรณ์มาให้พวกเขา  


ศาสนาพุทธ กล่าวกันว่านาคก็คืองูใหญ่ที่บางครั้งมีศีรษะเดียว บางครั้งก็มีหลายศีรษะ สามารถใช้เวทย์มนต์จำแลงกายเป็นมนุษย์ได้ โดยมีหลักฐานปรากฏอยู่ในงานภาพวาดตามโบสถ์ของชาวพุทธ ที่แสดงให้เห็นว่านาคสามารถแปลงร่างเป็นมนุษย์ สวมมาลารูปงูหรือมังกรไว้บนศีรษะ


โดยครั้งหนึ่งมีเรื่องเล่าพูดถึงนาคตัวหนึ่ง จำแลงกายมาเป็นมนุษย์เพื่อขอบวชกับพระพุทธเจ้า แต่พระองค์ท่านปฎิเสธว่าทรงบวชให้ไม่ได้ โดยสัญญาว่าถ้านาคได้กลับชาติมาเกิดเป็นมนุษย์เมื่อใด วันนั้นจึงจะสามารถบวชเป็นพระได้ตามที่ต้องการ โดยตำนานนี้ในประเทศไทยบอกว่า นาคได้ขอให้ตัวเองเป็นสัญลักษณ์ในขั้นก่อนการบวชเป็นพระ โดยให้ใช้คำว่านาคกับคนที่จะบวช ซึ่งเรื่องนี้ก็แล้วแต่เรื่องเล่าของในแต่ละท้องถิ่น


ชาวพุทธเชื่อกันว่า นาคนั้นอาศัยอยู่บนเขาพระสุเมรุร่วมกับเทพองค์อื่น ๆ มีตำนานเล่าว่าเหล่านาคนั้นเป็นบริวารของท้าววิรูปักษ์ หนึ่งในท้าวจตุโลกบาลแห่งทิศตะวันตก โดยนาคจะคอยคุ้มกันเหล่าเทพอยู่บนเขาพระสุเมรุ จากพวกอสูรร้ายที่จะบุกเข้ามาอยู่เสมอ


และก็มีบางส่วนเชื่อว่านาคนั้นอาศัยอยู่บนโลกมนุษย์ โดยกลุ่มหลังนี้เชื่อว่านาคจะอาศัยอยู่ตามแนวแม่น้ำลำธาร ไม่ก็อาศัยอยู่ในมหาสมุทร บ้างก็เชื่อว่าอาศัยอยู่ในถ้ำใต้พื้นดินก็มี


หนึ่งในตำนานที่ถูกบันทึกไว้ก็คือ เรื่องราวของพญานาคชื่อ "ท้าวพญามุจลินท์นาคราช" ผู้ทำหน้าที่คอยปกป้องพระพุทธเจ้าอยู่ในตำราวินายาสูตร กล่าวถึงช่วงหลังจากที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ได้ไม่นาน พระองค์ได้มานั่งบำเพ็ญศีลภาวนาอยู่ในป่าท่ามกลางพายุใหญ่กำลังโหมกระหน่ำ

"ท้าวพญามุจลินท์นาคราช" แผ่คุ้มครองพระพุทธเจ้า

ในขณะนั้น
ท้าวมุจลินทร์ราชาแห่งนาคทั้งมวลก็ได้มาพบ และมีความเลื่อมใสศรัทธาต่อพระพุทธเจ้าเป็นอย่างมาก ท้าวมุจลินทร์จึงแผ่ศีรษะและขยายร่างของตนออกเป็นนาค 7 หัว แผ่ปกคลุมคุ้มกันพายุให้กับพระพุทธเจ้า ตลอดช่วงเวลาที่เกิดพายุนั้น พอพายุจบลงท้าวมุจลินทร์จึงแปลงกายเป็นมนุษย์ เพื่อถวายความเคารพต่อพระพุทธเจ้าด้วยความนอบน้อม ตำนานนี้ก็คือที่มาของพระพุทธรูปปางนาคปรก ที่เราเห็นกันในปัจจุบันนั่นเอง

และอีกตำนานที่โด่งดังในทางพระพุทธศาสนาก็คือ เรื่องของพระโมคคัลลานะกับพระสารีบุตร โดยมีความเชื่อกันว่าทั้งสองท่านนี้ก็คือพญานาคกลับชาติมาเกิดด้วย


ประเทศลาว ก็มีความเชื่อเกี่ยวกับนาคอยู่ทั่วบริเวณลุ่มน้ำโขง โดยเชื่อกันว่านาคนั้นคือผู้ปกปักษ์รักษาเมืองเวียงจันทน์ ไปจนถึงเมืองต่าง ๆ อีกหลายแห่ง ซึ่งในหลาย ๆ ตำนานก็ใกล้เคียงกันกับภาคอีสานของประเทศไทย เพราะทั้งสองประเทศนี้อยู่ติดกันความเชื่อและประเพณีเกี่ยวกับนาคจึงถูกฝังรากลึกมาคล้ายคลึงกัน

นาคลาว

ประเทศอินโดนีเซีย ก็มีเรื่องราวเกี่ยวกับพญานาคปรากฏให้เห็นในแถบชวาและบาหลี ที่นี่เชื่อกันว่า นาคนั้นคืองูใหญ่ที่มีอาคมกล้าแกร่ง สามารถบินได้ด้วยปีก คล้ายกับเรื่องเล่าสัตว์ตำนานของฮินดู

นาคอินโดนีเซีย

และถ้าจะสังเกตให้ดีรูปร่างของนาคในแถบอินโดนีเซียนั้น จะมีลักษณะคล้ายกับมังกรของประเทศจีน เพียงแต่ของอินโดนีเซียนั้น นาคจะมีปีกแต่ไม่มีขาเหมือนมังกร ซึ่งความเชื่อเกี่ยวกับนาคในประเทศนี้ ถือว่ามีมาก่อนที่ศาสนาอิสลามจะเข้ามายิ่งใหญ่ และถือว่านาคนั้นคือผู้มีอำนาจในการควบคุมแหล่งน้ำ และถือเป็นสัญลักษณ์แห่งแผ่นดินไปจนถึงใต้พิภพอีกด้วย


ประเทศฟิลิปปินส์ ก็มีตำนานเกี่ยวกับนาคในช่วงก่อนถูกสเปนรุกราน โดยลวดลายของนาคจะถูกเขียนประดับเอาไว้ที่ด้ามดาบยาวของชาวพื้นเมืองที่เรียกว่า "คัมพิลันส์"

ดาบ "คัมพิลันส์"

ประเทศไทย มีตำนานพื้นบ้านพูดถึงพญานาคคล้ายคลึงกับประเทศลาว โดยเล่ากันว่านาคจะอยู่ในแม่น้ำโขง โดยทางภาคเหนือมีตำนานพูดถึงเจ้าเมืองสิงหนวัติ ที่ต้องอพยพผู้คนลงมาจากทางเหนือ และได้พญานาคแปลงกายมาช่วยชี้บอกที่ตั้งเมืองแห่งใหม่ พอตกกลางคืนนาคก็คืนร่างเลื้อยไปรอบเมืองจนเป็นร่องคูน้ำ เพื่อกำหนดอาณาบริเวณของเมืองให้เห็นได้ชัด
นั่นจึงทำให้เมืองใหม่ถูกตั้งชื่อว่า "เมืองนาคพันธุ์สิงหนวัติ" ในเวลาต่อมาเจ้าเมืองก็ออกทัพปราบเมืองรอบ ๆ รวบรวมหัวเมืองต่าง ๆ จนกลายเป็นเมืองใหญ่ และเปลี่ยนชื่อเมืองเป็น "แคว้นโยนกนคร" ถือเป็น "ต้นตระกูลของพญามังราย" ผู้ก่อตั้งอาณาจักรล้านนาในเวลาต่อมา

เจ้าเมืองสิงหนวัติ
ส่วนในภาคอีสานของไทยนั้น มีความเชื่อกันว่าแม่น้ำโขงเกิดจากการแถตัวของพญานาค 2 ตน ได้แก่ "พญาศรีสุทโธนาค" และ "พญาสุวรรณนาค" ที่มีเรื่องต้องผิดใจกันอย่างแรง จนต้องรบพุ่งติดต่อกันมานานถึง 7 ปี จนพระยาแถนผู้ยิ่งใหญ่บนสวรรค์ต้องออกคำสั่งให้ทั้งสองหยุดรบพุ่งกัน จนทำให้ทั้งสองต้องหยุดรบอย่างเสียมิได้ สุดท้ายก็เลื้อยจากกันไปแบบตั้งใจให้เกิดเป็นร่องทางน้ำอันคดเคี้ยวและกว้างใหญ่ ที่มีชื่อเรียกในครั้งนั้นว่า "แม่น้ำโค้ง" และเพี้ยนกลายมาเป็น "แม่น้ำโขง" ในปัจจุบันนั่นเอง


นอกจากนี้ก็ยังมีตำนาน "บั้งไฟพญานาค" ที่ว่ากันว่าในวันออกพรรษาถือเป็นวันที่พระพุทธเจ้าเสด็จกลับมาจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เหล่าพญานาคแห่งแม่น้ำโขงจึงพากันแสดงความยินดี ด้วยการจุดบั้งไฟให้พุ่งขึ้นสู้ท้องฟ้า เพื่อถวายแด่การเสด็จกลับมาของพระองค์ท่าน จนได้กลายมาเป็นประเพณีถึงทุกวันนี้

ภาพจำลองดวงไฟที่พุ่งขึ้นกลางลำน้ำโขง หรือ "บั้งไฟพญานาค"
(ภาพจาก: Manager)

และกับคำถามว่าบั้งไฟพญานาคมีจริงหรือเปล่านั้น มิติที่ 6 ขอตอบเพียงว่า ประเพณีที่มีมาอย่างยาวนานนี้ มันได้กลายเป็นวิถีชีวิตและเศรษฐกิจของชาวบ้านท้องถิ่นไปแล้ว จะมีประโยชน์อันใดกับการเปิดเผยว่าเป็นเรื่องจริงหรือไม่ ให้กระทบกับการท่องเที่ยวสำคัญแห่งหนึ่งของภาคอีสานเรา

นาคไทย

นาคจีน

นาคกัมพูชา

นาคสะดุ้ง

และการส่งเสริมการท่องเที่ยวแนวนี้ในต่างประเทศก็มีอยู่มากมาย ไม่ว่าจะเป็นประเพณีไปดูจุดเกิดเหตุจานบินตกที่รอสเวลล์ บ้านผีสิงวินเชสเตอร์ ทัวร์ปราสาทพระนางแอนโบลีน ไปจนถึงปราสาทของอลิซเบธบาธอรี่ หรือที่อื่น ๆ ไม่เว้นแม้แต่ทัวร์แอบมองแอเรีย 51 มันก็คือเศรษฐกิจคนพื้นที่ของพวกเขาเช่นกันนะครับ !

ไม่ว่านาคจะเคยมีจริงหรือไม่ ทุกวันนี้ก็ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของพิธีกรรมและวิถีชีวิตของคนในแต่ละพื้นที่ไปแล้ว ไม่ว่าจะเป็นมังกรหรือเป็นเพียงตำนาน หรือถูกสร้างขึ้นเพื่อเสริมอำนาจบารมีให้กับใคร ทุกอย่างมันก็ขึ้นอยู่กับเราว่าจะวางนาคเอาไว้ที่ส่วนไหนของความคิด มันไม่ใช่เรื่องถูกหรือผิดที่คนจะกราบไหว้บูชา


ตราบใดที่นาคยังไม่ถูกใครนำมาใช้หาประโยชน์ใส่ตัวจนเกินเหตุ มันก็จะเป็นตำนานด้วยความศรัทธาอย่างบริสุทธิ์ใจ และตราบใดที่ยังไม่มีใครเดือดร้อนจากความเชื่อเหล่านี้ คนที่ไม่เชื่อก็ไม่ควรไปดูถูกดูแคลนจะดีเป็นที่สุด เพราะความศรัทธานั้นสำคัญ ดังนั้นก็ควรเช็คบารมีของตัวเองให้ดีก่อนจะเข้าไปขัดขวาง มิฉะนั้นเกิดอะไรขึ้นมา จะหาว่ามิติที่ 6 ไม่เตือน..ไม่ได้นะครับ !


หลังจากจบรายการมิติที่ 6 แล้ว อย่าลืมกดสับสไครป์ กดไลก์ กดแชร์ และอย่าลืมทิ้งคอมเมนต์กันไว้ด้วยนะครับ ยังมีเรื่องราวต่าง ๆ อีกมากมายรอคุณอยู่ สำหรับวันนี้... สวัสดี

แปลและเรียบเรียงโดย นิวัฒน์ อ่ำแสง
ขอบคุณที่มา: Wikipedia
ภาพปกจาก: อาจารย์เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์

แท็ก: นาค, Nāga, Naja, Naag, serpent, Nagas นากา, นาจา,  นาคา, พญานาค


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

ประกาศ

เพื่อเป็นกำลังใจเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้กับเรา ขอความร่วมมือจากผู้ที่นำเรื่องราวจากมิติที่ 6 ไปใช้ในที่ของท่าน กรุณาลงเครดิตกลับมาที่เราจะเป็นพระคุณอย่างสูงครับ