เรื่องราวสยองขวัญบนโลกใบนี้ มีมากมายที่สามารถหาคำตอบได้ และก็มีอีกมากมายที่ยังไม่มีคำอธิบายให้กระจ่างแจ้ง
มิติที่ 6 สัปดาห์นี้ เราจะพาท่านผู้ชมไปพบกับเรื่องราวน่ากลัว และปริศนาที่เกิดขึ้นจริงบนโลกใบนี้ ที่ปัจจุบันยังไม่มีข้อสรุปว่า มันเกิดอะไรขึ้นกับพวกเขา ทั้งเรื่องของฟาร์มฮินเตอร์ไคเฟคในเยอรมัน การหายตัวไปของจอห์นนี่กอสช์ในอเมริกา และดีเยียตโลฟนักปีนเขา 9 ศพ ที่เสียชีวิตอย่างปริศนาในประเทศรัสเซีย
คดีสังหารหมู่ในโรงนาฮินเตอร์ไคเฟค
ณ ฟาร์มฮินเตอร์ไคเฟค สถานที่แห่งนี้ตั้งอยู่ระหว่างเมืองอินโกลสเตดท์ และเมืองโชวเบนฮาวเซน ออกไปทางเหนือของกรุงมิวนิครัฐบาวาเรียประเทศเยอรมัน
เดิมทีฟาร์มแห่งนี้ไม่มีชื่อเรียก มันเป็นเพียงโรงนาที่ใช้เก็บของและพืชผลไร่นา ของชาวบ้านในหมู่บ้านไคเฟค ออกไปทางเหนือประมาณ 1 กิโลเมตร จึงเรียกชื่อตามภาษาเยอรมันว่าฮินเตอร์ไคเฟค ที่แปลว่าอยู่หลังหมู่บ้านไคเฟค เพียงแต่ในเวลาต่อมา มันได้ถูกนำมาใช้เป็นชื่อเรียกในคดีสยองขวัญปริศนา ที่ปัจจุบันก็ยังไม่มีใครสามารถสืบได้ว่า ใครคือฆาตกรตัวจริงในคดีนี้กันแน่
ในช่วงปลายเดือนมีนาคม ค.ศ. 1922 แอนเดรีย กรูเบอร์ อายุ 63 ปี ได้ขอแรงเพื่อนบ้าน ให้ช่วยกันตรวจสอบรอยเท้าลึกลับที่ปรากฏอยู่บนผืนหิมะรอยหนึ่ง ที่ดูแล้วเหมือนกับมันเป็นรอยเท้าของใครบางคน ได้เดินออกจากป่าเข้ามาที่ฟาร์มของเขา และที่มันผิดปกตินั่นก็เพราะว่า มันมีแต่รอยเท้าเหยียบย่างเข้ามา แต่กลับไม่มีรอยเท้าเดินออกไปแต่อย่างใด
แอนเดรียยังได้บอกอีกว่า เขาได้ยินเสียงอะไรบางอย่างกำลังเดินอยู่บนห้องใต้หลังคา และยังได้ยินเสียงคุ้ยกองหนังสือพิมพ์ที่เขาเก็บไว้ที่ฟาร์มอีกด้วย และนอกจากนี้กุญแจบ้านของเขาก็หายไป ซึ่งแอนเดรียเองก็ไม่ได้ตัดสินใจบอกรายละเอียดเหล่านี้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจเลยในตอนแรก
หกเดือนก่อนหน้านั้น แม่บ้านคนก่อนก็เพิ่งจะลาออกไป ซึ่งเธอบอกเพียงว่าเธอกลัวฟาร์มแห่งนี้ และในเวลาต่อมาครอบครัวของแอนเดรีย ได้มาเรีย บอมการ์ตเนอร์มาทำงานเป็นแม่บ้านคนใหม่แทน
ครอบครัวของแอนเดรีย กรูเบอร์นั้น ประกอบไปด้วยตัวเขาและภรรยาชื่อคาซิเลีย อายุ 72 ปี วิคตอเรียกาเบรียล ลูกสาวที่เพิ่งจะเป็นหม้ายเพราะสามีเสียชีวิตในสงคราม โดยวิคตอเรียนั้นก็มีลูกติดมาอีกสองคน ก็คือ คาซิเลีย อายุ 7 ขวบ และโจเซฟ อายุ 2 ขวบ ซึ่งถ้านับรวมมาเรียสาวใช้คนใหม่ด้วยแล้ว บ้านของครอบครัวนี้ก็จะมีสมาชิกรวมทั้งสิ้น 6 คน นั่นเอง
วันเกิดเหตุ ตรงกับวันศุกร์ที่ 31 มีนาคม ค.ศ. 1922 ในช่วงเวลาประมาณตอนเย็น เชื่อกันว่าคนร้ายได้ทำการหลอกล่อนางวิคตอเรีย กับคาซิเลียแม่ของเธอ เข้าไปสังหารในโรงนาแห่งนี้ทีละคน ส่วนโจเซฟลูกชายคนสุดท้องของวิกตอเรีย ที่กำลังนอนอยู่ในห้องของเธอ ก็ถูกสังหารอย่างเลือดเย็น โดยมาเรียแม่บ้านคนใหม่นั้น ก็ถูกฆ่าตายคาที่นอนของเธอ และแน่นอนว่าแอนเดรียเองก็ถูกสังหารด้วยเช่นกัน นั่นหมายความว่า ฆาตกรได้ทำการสังหารพวกเขาทั้งครอบครัวอย่างก่อนที่จะหลบหนีไป
โดยในวันที่ 4 เมษายน ค.ศ. 1922 นั้น เหล่าเพื่อนบ้านได้เข้ามาที่ฟาร์มแห่งนี้ เพราะพวกเขารู้สึกได้ว่า มันน่าจะมีเรื่องผิดปกติบางอย่างเกิดขึ้น เพราะพวกเขาไม่เห็นใครเข้าออกที่ฟาร์มแห่งนี้มาสองสามวันแล้ว โดยบุรุษไปรษณีย์พบว่า จดหมายที่เขาเสียบไว้ในตู้รับนั้น ไม่มีคนในบ้านมาหยิบออกไปเลยตั้งแต่วันเสาร์ และคาสิเลียเด็กหญิงของบ้านนี้ก็ไม่ได้เดินทางไปโรงเรียนในวันจันทร์ จนสุดท้ายเมื่อเพื่อนบ้านเข้ามาตรวจสอบ ก็ได้พบกับภาพสยองขวัญตรงหน้า และรีบทำการแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจให้มาตรวจสอบทันที
โดยในวันที่มีการชันสูตรศพภายในฮินเตอร์ไคเฟคนั้น แพทย์ได้ตรวจพบร่องรอยการใช้อาวุธบนร่างของคาซิเลียที่นอนอยู่บนกองฟาง และเชื่อว่าเธอน่าจะยังไม่เสียชีวิตทันทีหลังจากถูกทำร้าย โดยในมือของเธอนั้นพบว่า เธอได้ดึงเส้นผมของตัวเองออกมากระจุกหนึ่ง ส่วนศพถัดมาซึ่งเป็นศพของแอนเดรีย และคาซิเลีย ตายายและวิกตอเรียแม่ของเธอ โดยทุกศพนอนอยู่ข้าง ๆ และสภาพศพของทุกคนนั้น ล้วนถูกตัดศีรษะออกมาเป็นที่น่าหดหู่เป็นอย่างมาก
|
โลงบรรจุศพของทั้ง 6 ศพ
|
ผู้ตรวจการท้องที่และทีมตำรวจจากสถานีมิวนิค ได้เข้ามาร่วมกันสืบสวนคดีฆาตกรรมหมู่ครั้งนี้ กะโหลกศีรษะของทุกคน ได้ถูกส่งไปยังมิวนิคเพื่อตรวจสอบ จนเวลาผ่านไปเนิ่นนานถึง ค.ศ. 1986 การสอบสวนผู้ต้องสงสัยไปมากกว่า 100 คน ก็ไม่สามารถเรียกหาความคืบหน้าอะไรได้ และสุดท้ายคดีก็ต้องถูกปิดลงโดยทิ้งปริศนาเอาไว้ ว่าแท้ที่จริงแล้วใครกันแน่ที่เป็นคนร้ายในคดีนี้
มาจนถึงปี ค.ศ. 2007 นักเรียนตำรวจที่เฟอร์สเทนเฟลบรูค ได้ร่วมกันนำคดีฮินเตอร์ไคเฟคนี้กลับมาทำการสอบสวน ด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่กันอีกครั้ง ซึ่งแม้จะไม่สามารถหาข้อสรุปในคดีนี้ได้เนื่องจากเวลาที่ล่วงเลยผ่านมานานมาก หลักฐานหลาย ๆ อย่างก็สูญหายไปตามกาลเวลา เพราะเจ้าหน้าที่ในสมัยก่อนไม่ค่อยให้ความสำคัญในเก็บรักษา แต่สุดท้ายพวกเขาก็สามารถระบุตัวผู้ต้องสงสัยที่น่าจะเป็นฆาตกรตัวจริงออกมาได้ เพียงแต่พวกเขาเองก็จำเป็นต้องเก็บชื่อของคนร้ายเอาไว้ เพราะสิ่งนี้มันก็อาจจะก่อผลร้ายแก่ญาติของผู้ต้องสงสัยที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร ให้ต้องกลายเป็นผู้รับบาปทั้ง ๆ ที่เหตุการณ์มันจบไปตั้งนานแล้ว
โดยกลุ่มนักเรียนตำรวจได้ทำการวิเคราะห์จากรูปแบบ และวิธีการของคนร้ายจากบันทึกสอบปากคำจากพยานในอดีตทั้งหมด ที่เคยอาศัยอยู่รอบ ๆ หมู่บ้านแห่งนั้น โดยพวกเขาได้ตั้งสมมติฐานว่า เป็นไปได้ที่คนร้ายนั้นเข้าใจว่าที่นี่เป็นบ้านร้างและยังพบเงินจำนวนหนึ่งอยู่ในโรงนาแห่งนี้ด้วย และเป็นไปได้ว่าคนร้ายน่าจะอาศัยอยู่ในฟาร์มแห่งนี้หลายวันแล้ว เพราะมีพยานเล่าว่า พวกเขาเคยเห็นควันไฟออกมาจากปล่องในฟาร์มที่นี่
โดยในสมัยก่อนนั้นมีการตั้งสมมติฐานว่า คาร์ล กาเบียล สามีของนางวิกตอเรีย อาจจะเป็นคนร้ายก็ได้เพราะว่าแม้จะมีรายงานว่าเขาเสียชีวิตในช่วงระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 1 ในสนามรบที่ฝรั่งเศส แต่ไม่มีใครพบร่างของเขาเลย ซึ่งเรื่องนี้ก็ได้ถูกหักล้างไป เพราะได้รับการยืนยันจากเหล่าเพื่อนทหารที่รอดชีวิตกลับมาว่า เขาเห็นกาเบรียลเสียชีวิตต่อหน้าต่อตา เพียงแต่ภาวะสงครามทำให้ไม่สามารถกลับมาค้นหาศพของเขาพบ
|
"คาร์ล กาเบรียล" ได้รับการยืนยันว่าเสียชีวิตในสงคราม
|
ในปี ค.ศ. 1923 ซึ่งเป็นปีถัดมาหลังจากคดีฮินเตอร์ไคเฟคก็ได้ถูกปิดตัวลง และมันได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของสุสานเพื่อใช้ฝังร่างของผู้เสียชีวิตทั้ง 6 ศพ ในเวดโฮเฟนไปเสียแล้ว และปัจจุบันส่วนหัวกะโหลกของทุกคนที่ส่งไปตรวจในมิวนิคนั้น กลับไม่ได้ถูกส่งกลับคืนมาฝังด้วยแต่อย่างใด เพราะมีรายงานว่ากะโหลกศีรษะทั้งหมดได้สูญหายไปในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง
ปริศนาการหายตัวไปของ "จอห์นนี่ กอสช์"
จอห์น เดวิด กอสช์ หรือจอห์นนี่ กอสช์ เกิดเมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน ค.ศ. 1969 โดยในช่วงที่เขาอายุ 12 ปีนั้น เขาได้หายตัวไปอย่างลึกลับวันที่ 5 กันยายน ค.ศ. 1982 ในช่วงเช้ามืดที่เขากำลังออกจากบ้าน เพื่อไปทำงานพิเศษส่งหนังสือพิมพ์แถวย่านเดสมอยน์ตะวันตก ในรัฐไอโอว่าประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งงานพิเศษนี้เป็นเรื่องปกติของเด็ก ๆ ในอเมริกาที่อยากจะช่วยแบ่งเบาภาระของพ่อแม่ โดยเด็กส่งหนังสือพิมพ์คนอื่น ๆ ได้ให้ข้อมูลว่า พวกเขาพบจอห์นนี่ครั้งสุดท้ายในขณะที่เขาทำหนังสือพิมพ์ตก และกำลังเก็บมันอยู่
ไมค์เพื่อนคนหนึ่งของจอห์นนี่ได้ให้ปากคำว่า เขาเห็นจอห์นนี่ กอสช์ กำลังยืนคุยอยู่กับชายรูปร่างสันทัดที่นั่งอยู่ในรถฟอร์ดเฟมองต์ ทะเบียนจากเนบราสก้า แต่ไมค์ไม่รู้ว่าพวกเขาคุยเรื่องอะไรกัน เพราะเขาเห็นเหตุการณ์นี้จากในห้องนอน และต่อมา เขาเห็นจอห์นนี่แยกตัวกลับไปบ้าน แต่ก็เห็นว่าชายคนเดิมนั้น ได้ขับรถตามจอห์นนี่ไปด้วย
พ่อแม่ของจอห์นนี่ได้รับโทรศัพท์จากลูกค้าคนหนึ่ง บอกว่าเขาไม่ได้รับหนังสือพิมพ์จากจอห์นนี่เลย จอห์นจึงได้รวบรวมเพื่อนบ้านช่วยกันตามหาลูกชาย จนกระทั่ง 6 โมงเย็น เขาจึงได้พบรถจักรยานส่งหนังสือพิมพ์ของจอห์นนี่ จอดอยู่ถัดจากบ้านเขาไปสองบล็อก โดยในจักรยานคันนั้น ยังคงมีหนังสือพิมพ์อยู่เต็มกระเป๋า
สุดท้ายพวกเขาจึงตัดสินใจ แจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจของเดสมอยน์ตะวันตกให้ช่วยตามหา แต่กระบวนการทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจสมัยนั้นก็ช่างเป็นไปด้วยความล่าช้า เพราะยุคนั้นกว่าจะไปแจ้งความคนหายได้ พวกเขาต้องรอให้ครบ 72 ชั่วโมง ตามกฎหมายเสียก่อน และกว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจจะมาก็ใช้เวลานานกว่า 45 นาที เลยทีเดียว
เจ้าหน้าที่ตำรวจเชื่อว่าจอห์นนี่ กอสช์นั้น น่าจะถูกลักพาตัวไปแน่ ๆ เพียงแต่ว่าพยานทุกคนนั้น ไม่สามารถจะให้ข้อมูลเชื่อมโยงอะไรกับคดี ให้มีความคืบหน้าได้เลย
สองสามเดือนถัดมา หลังจากการหายตัวไปของจอห์นนี่ นอรีนกอสช์ได้เล่าว่า เธอพบร่องรอยของลูกชายเธอในโอกลาโฮม่า เมื่อมีคนเห็นเด็กชายร้องตะโกนขอความช่วยเหลือกับหญิงคนหนึ่ง ก่อนที่เขาจะถูกชายสองคนลากตัวไป
หลายปีผ่านมา มีนักสืบหลายคนได้พยายามช่วยกันตามหาจอห์นนี่ กอสช์ แต่ก็ไม่ไม่มีใครพบตัวเขาเลย จนกระทั่งวันหนึ่งในปี ค.ศ. 1984 ภาพถ่ายของจอห์นนี่ได้ถูกเผยแพร่คู่กับภาพของจัวนิตา ราฟอเอล่า เอสทาเวซ ซึ่งเป็นเด็กอีกคนที่หายตัวไปอย่างลึกลับ ติดที่ข้างบนกล่องนมไปทั่วประเทศสหรัฐอเมริกาและเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของการช่วยประชาสัมพันธ์หาตัวคนหายด้วยวิธีนี้ ซึ่งสิ่งนี้ ได้ช่วยให้ชาวอเมริกัน เริ่มหันมาให้ความสำคัญกับคดีการลักพาตัวเด็กส่งหนังสือพิมพ์ ที่ช่วงนั้นนอกจากจอห์นนี่ ก็ยังมีเด็กอีกสองคนถูกลักพาตัวไปในลักษณะนี้เช่นกัน
|
เด็กชายบนกล่องนมคนแรก "ฉายาของจอห์นนี่กอสช์"
|
ในปี ค.ศ. 1997 นอรีน แม่ของจอห์นนี่ได้เล่าถึงเหตุการณ์ที่เธอนั้นไม่สามารถเข้าใจได้เลย เพราะในช่วงเวลาประมาณตีสองครึ่งของเดือนมีนาคมปีนั้น เธอได้ยินใครบางคนมาเคาะประตูหน้าบ้าน โดยเมื่อเธอเปิดประตูออกไป ก็พบกับจอห์นนี่ในวัย 27 ปี กำลังยืนอยู่ที่หน้าบ้านกับชายแปลกหน้าคนหนึ่ง นอรีนยืนยันว่าเธอจำลูกชายของตัวเองได้แน่ ๆ เพราะเขาเองก็ได้แสดงหลักฐานเป็นรอยปานที่หน้าอก นอรีนเล่าว่า เธอได้พูดคุยกับจอห์นนี่ประมาณชั่วโมงครึ่ง แต่เธอนั้นก็ไม่เข้าใจว่าคนที่มาด้วยนั้นเป็นใคร และดูเหมือนจอห์นนี่จะมองไปที่ชายคนนั้นตลอดเวลา โดยสุดท้ายเธอก็ไม่รู้ว่าตอนนี้ จอห์นนี่ไปอยู่ที่ไหนกันแน่
ในปี ค.ศ. 2005 นอรีน กอสช์ก็ได้ให้สัมภาษณ์อีกครั้ง เพื่อเล่ารายละเอียดในวันนั้นเพิ่มเติมว่า ในตอนนั้น จอห์นนี่ใส่กางเกงยีน สวมเสื้อเชิ้ตและมีเสื้อคลุมทับอยู่อีกชั้น เพราะตอนนั้นอากาศหนาวมาก จอห์นนี่ไว้ผมยาวประบ่าและมีสีดำสนิท โดยหลังจากการพบกัน เธอได้ติดต่อกับเจ้าหน้าที่เอฟบีไอ ให้ช่วยสเก็ตช์ภาพตามคำบอกเล่าของเธอ
|
ภาพจอห์นนี่ที่ถูกจำลองขึ้นมา ส่วนภาพสเก็ตช์นั้นไม่สามารถนำมาให้ชมได้
|
ซึ่งสิ่งที่เธอเล่านี้ มันได้ถูกเขียนลงไว้ในหนังสือของเธอชื่อ "Why Johnny Can't Come Home" หรือ "ทำไมจอห์นนี่ไม่กลับบ้าน" ในปี ค.ศ. 2000 เช่นกัน
|
หนังสือของนอร์รีน
|
ต่อมาในวันที่ 1 กันยายน ค.ศ. 2006 นอรีนได้รายงานว่า เธอพบภาพถ่ายจำนวนหนึ่งที่หน้าประตูบ้าน ซึ่งเธอได้นำบางส่วนไปโพสต์เอาไว้ที่เวบไซต์ของเธอด้วย ซึ่งมีภาพหนึ่งที่เธอสามารถยืนยันได้ว่ามันเป็นภาพของจอห์นนี่ในช่วงอายุ 12 ปี และภาพที่ดูแล้วน่าจะเป็นภาพของใครสักคนที่เสียชีวิตไปแล้ว ซึ่งจนถึงปัจจุบันเวบไซท์ของนอรีนนั้น ได้ทำการอัพเดตข้อมูลมาตลอด และมีแม้กระทั่งเบาะแสภาพของชายผู้ต้องสงสัยที่เธอหามาได้ เพียงแต่ตอนนี้ เธอทำได้แค่วิงวอนให้ใครก็ได้ที่จับตัวลูกชายของเธอไป ช่วยปล่อยเขากลับมา และได้จัดตั้งกองทุนเพื่อใช้ระดมทุนตามหาลูกชายของเธอในรูปแบบต่าง ๆ ซึ่งใครที่สนใจเรื่องราวของจอห์นนี่ กอสช์ ก็สามารถแวะเข้าไปชมเรื่องราวทั้งหมดได้ที่นี่ครับ Johnnygosch.com
ปริศนาการเสียชีวิตของกลุ่มนักสกีไต่เขา "ดีเยียตโลฟ"
ช่วงปลายเดือนมกราคม ค.ศ. 1959 กลุ่มนักสกีไต่เขากลุ่มหนึ่ง ได้รวมตัวกันเพื่อจะไปไต่เขาทางภาคเหนือของเทือกเขาอูราล ที่ตั้งอยู่ในรัฐสเวียดโลฟสก์โอบลาสของรัฐเซีย นำทีมโดยอีกอร์ ดีเยียตโลฟ และสมาชิกชาย 8 คน หญิง 2 คน ตามรายชื่อดังนี้
|
ใบหน้าของสมาชิกกลุ่มทุกคน
|
- อิกอล อเล็กไซวิช ดิเยียตโลฟ, หัวหน้าทีม, เกิดเมื่อวันที่ 13, มกราคม ค.ศ. 1936
- ยูริ นิโคไลวิช โดโรเช็งโก, เกิดเมื่อวันที่ 29 มกราคม ค.ศ. 1938
- ลยุดมิลา อเล็กซานโรวนา ดูบินินา, เกิดเมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม ค.ศ. 1938
- ยูริ (จีออกี) อเล็กไซวิช คริโวนิเช็งโก, เกิดเมื่อวันที่ 7 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1935
- อเล็กซานเดอร์ เซอร์จิวิช โคลวาตอฟ, เกิดเมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน ค.ศ. 1934
- ซีไนด้า อเล็กซีนา โคลโมโกโรวา, เกิดเมื่อวันที่ 12 มกราคม ค.ศ. 1937
- รุสเท็ม วลาดิมิโรวิช สโลโบดิน, เกิดเมื่อวันที่ 11 มกราคม ค.ศ. 1936
- นิโคไล วลาดิมิโรวิช ไธบวกซ์ - บริกโนลเลส, เกิดเมื่อวันที่ 8 มิถุนายน ค.ศ. 1935
- เซ็มยน (อเล็กซานเดอร์) อเล็กซีวิช โซโลทาเรียฟ, เกิดเมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1921
- ยูริ เยฟิโมวิช ยูดิน, เกิดเมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม ค.ศ. 1937 เสียชีวิตเมื่อวันที่ 27 เม.ย. ค.ศ. 2013
โดยสมาชิกส่วนใหญ่ จะเป็นกลุ่มนักศึกษาและศิษย์เก่าของวิทยาลัยอูราลโพลีเทคนิคัล ที่ปัจจุบันได้เปลี่ยนสถานะเป็นมหาวิทยาลัยอูราลเฟเดอรัลแล้ว
|
ดีเยียตโลฟ (ซ้าย), โคลโมโกโรวา และดูบินินา
|
เป้าหมายของพวกเขาก็คือ การเดินทางไปยังอะโตรเต็น ซึ่งเป็นหุบเขาที่อยู่ห่างจากจุดตั้งแคมป์ออกไปทางเหนือประมาณ 10 กิโลเมตร โดยการเดินทางในช่วงเดือนกุมภาพันธ์นั้น ค่อนข้างจะยากลำบากมากกว่าปกติ ซึ่งนักผจญภัยสายนี้ จำเป็นต้องมีทักษะ และประสบการณ์ในการเดินทางด้วยสกีมากเป็นพิเศษ
|
ช่วงเตรียมตัวออกเดินทาง
|
โดยกลุ่มนี้ออกเดินทางโดยรถไฟมาลงที่เมืองอีวีดิล ซึ่งเป็นจุดศูนย์กลางของรัฐสเวียดโลฟส์โอบลาส ในวันจันทร์ที่ 25 มกราคม จากนั้นก็นั่งรถบรรทุกไปยังวีเชที่ตั้งอยู่ทางตอนเหนือ
พวกเขาเริ่มเดินเท้าไปทางอะโตรเต็น ในวันที่ 27 มกราคม และวันต่อมายูริ ยูดิน หนึ่งในสมาชิกก็ถูกบังคับให้หยุดการเดินทางเนื่องจากอาการป่วย และคนที่เหลือก็เดินทางกันต่อไป
|
ทำเครื่องหมายไว้ก่อนจะเริ่มปีนเขา
|
ต่อมาในวันที่ 31 มกราคม ทางกลุ่มได้เดินทางมาถึงจุดที่สูงที่สุด และเตรียมตัวเริ่มการปีนเขา โดยทิ้งอุปกรณ์และอาหารบางส่วนไว้ในป่าเพื่อไว้ใช้ในช่วงเดินทางกลับ และในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ ทุกคนก็เริ่มจะเดินทางโดยวางแผนกันไว้ว่า พวกเขาจะตั้งแคมป์ในคืนถัดไป แต่ด้วยสภาพอากาศที่โหดร้าย ทั้งพายุหิมะ และทัศนวิสัยที่ค่อนข้างแย่ ทำให้พวกเขาหลงทางออกไปทางตะวันตก ขึ้นไปทางหุบเขามรณะ โคลัทเชียเคล
|
ภาพระหว่างหลงทาง
|
เมื่อพวกเขารู้ตัวว่าตอนนี้หลงทางกันแล้ว ทางหัวหน้ากลุ่มก็ตัดสินใจที่จะหยุดพักตั้งแคมป์กันที่เชิงเขา ที่จะต้องเดินทางลงไปบริเวณป่าห่างจากจุดเดิมประมาณ 1.5 กิโลเมตร ยูดินที่รอดชีวิตเพราะกลับมาก่อนได้วิเคราะห์ว่า ดิเยียตโลฟนั้นน่าจะไม่อยากให้ทุกคนต้องเสียความตั้งใจในการมาที่นี่ หรือไม่ก็อยากจะฝึกตั้งแคมป์ที่เชิงเขาก่อนก็เป็นได้
|
เริ่มเตรียมตั้งเต๊นท์ที่นี่ซึ่งเป็นภาพสุดท้ายของพวกเขา
|
ซึ่งก่อนจะออกเดินทางไปยังที่หมายนั้น ดีเยียตโลฟได้เคยตกลงกับยูดินว่า เขาจะส่งโทรเลขติดต่อความคืบหน้าผ่านทางทางศูนย์ที่วีเช เพื่อรายงานการเดินทางไม่เกินวันที่ 12 กุมภาพันธ์ แต่กลายเป็นว่า เมื่อผ่านวันดังกล่าวไปแล้ว กลับไม่มีการติดต่ออะไรกลับมาเลย จนในที่สุดหน่วยช่วยเหลือจึงตัดสินใจออกค้นหากลุ่มของดีเยียตโลฟในวันที่ 20 กุมภาพันธ์ โดยสนธิกำลังจากหลาย ๆ ฝ่าย ตั้งแต่กลุ่มอาสาสมัครไปจนถึงกองทหาร มาช่วยออกค้นหาทางอากาศด้วยเครื่องบินเล็กและเฮลิคอปเตอร์
จนมาถึงวันที่ 26 กุมภาพันธ์ กลุ่มผู้ค้นหาก็ได้พบกับแคมป์ของดีเยียตโลฟ ที่ตอนนี้อยู่ในสภาพเสียหายที่บริเวณเทือกเขาโคลัทนั่นเอง โดยผู้ที่พบจุดเกิดเหตุนี้ได้บอกเอาไว้ว่า สภาพเต๊นท์นั้นถูกหิมะถมทับไปกว่าครึ่ง ข้างในไม่มีใครแต่กลับมีรองเท้าถอดอยู่
|
สภาพเต๊นท์ที่เสียหาย
|
นักสืบเล่าว่าเต๊นท์ถูกผ่าออกจากทางด้านใน มีรอยเท้าคนประมาณแปดถึงเก้าคน บางรอยบอกให้เรารู้ว่า เขาสวมแต่ถุงเท้าเดินบนหิมะ และมีบางรอยก็ใส่รองเท้าบางรอยก็เป็นเท้าเปล่า การสืบหาจากรอยเท้าออกไปทางฝั่งตรงข้ามจากจุดตั้งแคมป์ มุ่งหน้าไปทางป่าซีด้าที่อยู่ห่างออกไปกว่าหนึ่งกิโลเมตรครึ่งนั้น พวกเขาพบว่ารอยเท้าได้หายไปในช่วง 500 เมตรแรกเท่านั้น ซึ่งอาจเป็นไปได้ว่ารอยเท้าเหล่านั้น อาจถูกหิมะกลบไปหมดแล้ว โดยเมื่อกลุ่มค้นหาพยายามตรวจสอบเข้าไปในป่า พวกเขาก็ได้พบกับซากกองไฟที่ใต้ต้นเซด้าต้นหนึ่ง
ซึ่งที่นี่พวกเขาได้พบกับสองศพแรก นั่นก็คือโดโรเชงโก้ และคริโวนิสเชงโก้ สภาพศพของทั้งคู่สวมเพียงเสื้อผ้าชั้นในเท่านั้น และที่ด้านบนของต้นซีด้าก็พบว่า กิ่งก้านของมันถูกหักออกทั้ง ๆ ที่มันสูงถึง 5 เมตร โดยมีการคาดกันว่าพวกเขาอาจจะปีนขึ้นไปบนต้นไม้ต้นนี้เพื่อดูอะไรบางอย่าง
และในช่วงระหว่างแคมป์กับป่าต้นซีด้านั้น กลุ่มค้นหาก็ได้พบกับศพอีกสามศพ นั่นคือศพของดีเยียตโลฟ, โคลโมโกโรวา และสโลโบดิน ที่น่าจะเสียชีวิตในช่วงระหว่างที่พวกเขาพยายามจะกลับไปที่เต๊นท์ โดยทั้งสามศพถูกพบห่างจากต้นซีด้าไปในระยะ 300 เมตร 480 เมตร และ 630 เมตร
กลุ่มค้นหายังคงพยายามตามหาอีก 4 คนที่เหลือ จนเวลาผ่านไปกว่า 2 เดือน ในช่วงวันที่ 4 เดือนพฤษภาคม พวกเขาก็ได้พบร่างของทั้งสี่ถูกฝังอยู่ใต้หิมะลงไปกว่า 4 เมตร ห่างจากศพแรกไป 75 เมตร โดยทั้งสี่ถูกพบในสภาพใส่เสื้อผ้าดีกว่าศพแรก ๆ คาดกันว่า ศพที่ตายไปในสภาพไร้เสื้อผ้าก่อนหน้านั้น น่าจะถูกสี่คนที่เหลือนี้เป็นผู้ถอดออกไปสวมใส่นั่นเอง โดยศพของโซโลทาเรียฟนั้นสวมชุดโค้ทเฟอร์และหมวกของดูบินิน่า ในขณะที่บริเวณเท้าของดูบินิน่านั้นก็สวมกางเกงขนสัตว์ของครีนอฟเชงโก้
|
ภาพสุดท้ายที่ดูไม่รู้เรื่องว่าเป็นภาพอะไรในกล่องของโซโลทาเรียฟ
|
อีกสิ่งที่ค้นพบข้าง ๆ ศพของทั้งสี่ก็คือ กล้องของโซโลทาเรียฟ โดยกล้องตัวนี้ไม่สามารถใช้ตรวจสอบอะไรได้ เนื่องจากฟิล์มข้างในนั้นถูกทำลายโดยน้ำไปหมดแล้ว
โดยขั้นตอนการชันสูตรศพนั้น เริ่มจากศพแรกที่ถูกพบ ผลการทดสอบนั้นไม่พบว่าร่องรอยการบาดเจ็บ ที่จะสามารถทำให้เขาถึงตายได้ โดยคาดว่าศพนี้เสียชีวิตเนื่องจากอุณหภูมิอันหนาวเย็นมากกว่า ส่วนศพของสโลโบดินนั้น มีการพบร่องรอยแตกที่บริเวณกะโลก แต่ก็ไม่ร้ายแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้เช่นกัน
ส่วนอีก 4 ศพที่ถูกพบในเดือนพฤษภาคมนั้น สามารถคาดเดาเหตุการณ์ได้ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง โดยสามศพแรกมีร่องรอยบาดเจ็บร้ายแรงถึงชีวิต ไธบวก บริกโนเลสกะโหลกแตกร้าว ส่วนดูบินิน่าและโซโลทาเรียพกระดูกหักที่หน้าอก โดยแพทย์ระบุว่า พวกเขาน่าจะได้รับบาดเจ็บสาหัสจากการถูกอะไรบางอย่างกระแทกอย่างรุนแรงเกือบ ๆ จะเท่าการถูกรถชน แต่อย่างไรก็ดี ศพของดูบินิน่าถูกพบว่าลิ้น ดวงตา และปากบางส่วนของเธอหายไป เช่นเดียวกันกับส่วนเนื้อใบหน้าและกะโหลกที่ถูกทำลาย ที่ฝ่ามือก็มีลักษณะเปื่อยยุ่ย โดยมีการยืนยันว่าศพของเธอนั้นถูกพบอยู่ในสภาพนอนคว่ำหน้าอยู่ในกองหิมะ ซึ่งอาการบาดเจ็บที่มือนี้ ไม่น่าจะเกี่ยวข้องกับการตาย เพราะมันน่าจะเกิดจากการเน่าเปื่อยเสียมากกว่า
มีการคาดการในเบื้องต้นว่า พวกเขาน่าจะถูกกลุ่มชาวแมนซี่ ซึ่งเป็นชาวพื้นเมืองไล่ฆ่าเพราะไปล่วงล้ำดินแดนของพวกเขา แต่สุดท้ายสมมติฐานนี้ก็เป็นอันตกไป เพราะในที่เกิดเหตุนั้นไม่มีผู้ใดพบว่ามีร่องรอยของการต่อสู้เลย
|
ชาวแมนซี่ที่ไม่น่าจะเกี่ยวข้องใด ๆ
|
และในอุณหภูมิที่ต่ำมากกว่า -25 ถึง -30 องศาเซลเซียส ภายใต้พายุหิมะซึ่งมีร่างของผู้ตายกลับสวมเสื้อผ้าเพียงไม่กี่ชิ้น บางศพสวมรองเท้าเพียงข้างเดียว บางคนก็ไม่ได้สวม บางคนก็สวมแต่ถุงเท้า บางศพถูกคีมตัดเสื้อผ้าออกไป โดยมันก็น่าจะถูกคนที่ยังไม่ตาย ตัดมันไปเพื่อใช้ต่อเสียมากกว่า ต่อมาหนังสือพิมพ์ได้สรุปผลการตายของทุกคนออกมาว่า
หกศพจากทั้งหมดในกลุ่มล้วนเสียชีวิตจากอุณหภูมิอันหนาวเย็น
ในบริเวณที่พบศพ ไม่มีร่องรอยของคนที่อาศัยอยู่ในละแวกนั้น
ส่วนเต๊นท์ก็ถูกตัดทะลุจากด้านใน
ทุกศพน่าจะเสียชีวิตหลังจากทานอาหารมื้อสุดท้ายไปประมาณ 6 ถึง 8 ชั่วโมง
ร่องรอยของแต่ละศพ ล้วนบ่งชี้ว่าพวกเขาออกจากแคมป์มาเองด้วยการเดินเท้า
ส่วนศพที่เสียชีวิตเนื่องจากถูกอะไรบางอย่างพุ่งเข้าชนอย่างแรงนั้น ไม่น่าจะเกิดจากฝีมือของมนุษย์
บนเสื้อผ้าของผู้เสียชีวิตบางคนมีร่องรอยปนเปื้อนของสารกัมมันตรังสีเข้มข้น
|
แผนผังแสดงจุดที่แต่ละคนเสียชีวิต
|
ซึ่งในเวลานั้น มีบทสรุปถึงสาเหตุการเสียชีวิตของนักสกีไต่เขากลุ่มนี้ว่า พวกเขาน่าจะถูกพลังลึกลับจากธรรมชาติทำร้าย ซึ่งการสืบสวนก็เป็นอันต้องจบสิ้นลงในปี ค.ศ. 1959 เนื่องจากไม่สามารถจะหาตัวคนร้ายได้ และสำเนาเอกสารในคดีนี้ก็สูญหายไปหลังจากปี ค.ศ. 1990 อีก
|
วัตถุทรงกลมสีส้มก็น่าจะเป็นบอลลูน
|
โดยต่อมาได้มีการระบุว่าในช่วงที่พบศพนั้น ผิวหนังของผู้ตายทั้งหมดเป็นสีน้ำตาลเข้ม กลุ่มนักปีนเขาอื่น ๆ ที่อยู่ห่างออกไปทางใต้จากจุดเกิดเหตุกว่า 50 กิโลเมตรได้ให้การว่า พวกเขาเห็นวัตถุทรงกลมสีส้ม ลอยอยู่บนท้องฟ้าทางเหนือในตอนกลางคืน ซึ่งคาดว่ามันน่าจะเป็นบอลลูนของทางกองทัพ และมีบางรายงานพูดถึงการพบเศษโลหะรอบ ๆ จุดเกิดเหตุ บางทีมันก็อาจจะเป็นซากชิ้นส่วนทางทหารก็เป็นได้
|
เศษโลหะที่ใช้เป็นเบาะแสอะไรไม่ได้
|
มีผู้ตั้งสมมติฐานว่า บางทีกลุ่มของดีเยียตโลฟอาจจะพบกับอะไรบางอย่าง บุกเข้ามาทางประตูเต๊นท์ด้านหน้า ซึ่งมันเป็นเหตุที่ทำให้พวกเขาตัดสินใจเจาะเต๊นท์หนีออกมาด้วยความหวาดกลัวสุดขีด และนั่นก็ทำให้บางคนไม่ทันได้สวมเสื้อผ้าให้ดีก่อน โดยคนที่สวมเสื้อผ้าน้อยชิ้นน่าจะกำลังหลับอยู่ในช่วงที่เกิดเหตุ แล้วสาเหตุที่พวกเขาหนีเข้าไปในป่าก็เพราะคิดว่า ในป่าน่าจะปลอดภัยกว่าก็เป็นได้ เพียงแต่สภาพอากาศอันเหน็บหนาว ก็ได้ทำให้บางคนเสียชีวิตกันไปก่อน และเสื้อผ้าจากคนที่ตายก่อน ก็น่าจะถูกคนที่เหลือถอดเอาไปใช้ เพื่อให้รอดชีวิตต่อไป ส่วนศพที่เสียชีวิตจากการถูกอะไรบางอย่างกระแทกอย่างรุนแรงนั้น พวกเขาน่าจะถูกหิมะถล่มกดทับหนากว่า 13 ฟุต ส่วนสภาพศพของดูบินิน่านั้น เธอน่าจะถูกสัตว์กินซากทำการแทะเอาส่วนลิ้นและเนื้อบริเวณใบหน้าออกไปนั่นเอง
มีอีกสมมติฐาน ที่ดูต่างออกไปค่อนข้างมากจากรัฐแรดฟอร์ดได้ตั้งเอาไว้ว่า
บริเวณนั้นไม่มีร่องรอยของหิมะถล่ม หรือมีความน่าจะเป็นที่จะมีหิมะถล่มแต่อย่างใด อีกทั้งยังมีรายงานจากกลุ่มนักปีนเขากลุ่มอื่นเช่นกันว่า ไม่มีเหตุหิมะถล่มเกิดขึ้นเลย ส่วนดีเยียตโลฟเองก็เป็นนักเดินทางที่มีประสบการณ์สูง เขาน่าจะรู้ทางหนีทีไล่เกี่ยวกับกรณีหิมะถล่มเป็นอย่างดี แถมแต่ละศพที่ถูกพบใต้หิมะนั้น ก็ไม่ได้ถูกหิมะกลบจนฝังลึกลงไปมากนัก ส่วนร่องรอยที่คาดว่าถูกอะไรบางอย่างกระแทกนั้น น่าจะเกิดจากการตกต้นไม้ที่เขาปีนขึ้นไป โดยมีหลักฐานเป็นร่องรอยของกิ่งไม้ที่ถูกอะไรบางอย่างหักออกนั่นเอง
|
ปัจจุบันต้นซีดาก็ยังคงอยู่
|
มีนักคอลัมนิสต์ชื่อดอนนี่ เอย์ชาร์ ได้เขียนสมมติฐานของเขาไว้ในหนังสือชื่อ "เดดเมาท์เทน" ในปี ค.ศ. 2013 ว่า ลมอาจจะเป็นสาเหตุทำให้เกิดคลื่นเสียงอินฟราซาวด์เข้าโจมตีพวกเขาจนเสียสติก็เป็นได้
และมีบางคนเชื่อว่าเหตุการณ์นี้น่าจะมีทางกองทัพเป็นตัวการ เนื่องจากมีผู้พบเห็นวัตถุที่คาดว่าเป็นอุปกรณ์ทางทหารรูปทรงกลมสีส้มนั่นเอง โดยคาดว่ากลุ่มผู้เสียชีวิตอาจตกใจกับสิ่งที่พวกเขาเห็น และหนีออกไปเสียชีวิตข้างนอกเต๊นท์ จากนั้นซากศพของบางคนก็ถูกสัตว์แถวนั้นแทะกินไป
และยังมีสมมติฐานว่าพวกเขาอาจถูกเยติแห่งรัสเซียบุกทำร้ายก็เป็นไปได้ ซึ่งสมมติฐานนี้ดูจะมีไม่มีน้ำหนักสักเท่าไหร่ เนื่องจากยังไม่เคยมีรายงานการพบเยติที่นี่เลยแม้แต่ครั้งเดียว
|
ในรัสเซียไม่มีเยติมาก่อน (อาจจะไม่มีจริงเลยก็ได้)
|
และสุดท้ายคดีดีเยียตโลฟนี้ ก็ยังคงเป็นปริศนาต่อไป เพราะถึงแม้จะมีสมมติฐานที่น่าเชื่อถือ แต่คนที่สามารถเล่าเรื่องได้ดีที่สุดนั้น ก็ล้วนเสียชีวิตไปทั้งหมด ไม่มีใครสามารถกลับมาบอกเล่าความจริงได้ และต่อมาคดีการเสียชีวิตของกลุ่มดีเยียตโลฟ ก็ถูกเหล่านักเขียนนิยายนำไปดัดแปลงเพิ่มเรื่องราวออกไปจนเกินความเป็นจริง ไม่ว่าจะเป็นการทดลองทางการทหารของรัสเซีย ไปจนถึงสัตว์ในตำนานที่ไม่เคยมีจริง
|
สุดท้ายกลายเป็นหนัง ใส่จินตนาการเพิ่มเข้าไปจนเกินความจริง
|
และนิยายเหล่านี้ก็ได้ถูกนำมาใช้อ้างอิงว่า เป็นความลึกลับที่ไม่สามารถหาข้อสรุปที่มีเหตุผลได้ แต่อย่างไรก็ดี ก็ยังไม่มีใครสามารถอธิบายถึงการพบสารกัมมันตรังสีปนเปื้อนเข้มข้นที่เสื้อผ้าของบางคนได้เลย ซึ่งบางทีถ้าเราประมวลจากข้อมูลทุกอย่างรวมกัน แล้วตัดเรื่องสารกัมมันตรังสีออกไป เราก็อาจจะได้ข้อสรุปกันไปนานแล้ว
|
ทั้ง 9 คน จึงกลายเป็นศาลเพียงตาให้ผู้คนใช้ความระมัดระวังในการผจญภัย |
โดยทั้งสามเรื่องราวที่มิติที่ 6 ได้นำมาเล่านี้ เป็นเรื่องจริงที่ไม่สามารถหาข้อสรุปได้ ตามที่ท่านผู้ชมได้แนะนำกันมา ซึ่งมันก็ทำให้เราได้ตระหนักกันว่า อะไรก็สามารถเกิดขึ้นได้บนโลกใบนี้ เพียงแต่เหตุผลการอธิบายที่สรุปว่า ไม่สามารถหาข้อสรุปได้นั้น มันก็ควรจะต้องพยายามหาคำตอบกันให้ถึงที่สุดเสียก่อน ถึงจะสามารถพูดได้อย่างเต็มปากว่า นั่นไง สิ่งลึกลับที่เกิดขึ้นจริง มันเกิดขึ้นตรงนี้นี่เอง