28 ตุลาคม 2559

มิติที่ 6 ศุกร์สยองขวัญ ไขปริศนา The Smiling Man ชายลึกลับกับรอยยิ้มสุดสยองขวัญ !!!



คุณเป็นคนหนึ่งใช่ไหม ? ที่ใช้ชีวิตตอนกลางคืนในขณะที่คนอื่นเขากำลังนอนหลับ คุณเป็นอีกคนหรือเปล่า ? ที่ชอบออกไปเดินเล่นนอกบ้านในยามค่ำคืน และถ้าเป็นแบบนั้น คุณเคยเจอใครบางคน ที่มีท่าทางแปลก ๆ มาคอยเดินตามคุณไปทุกหนทุกแห่งด้วยรอยยิ้มอันน่าสยดสยองกันบ้างไหม ?
มิติที่ 6 ศุกร์สยองขวัญ กับเรื่องราวเบา ๆ ในวันศุกร์สะดวกสัปดาห์นี้ เราจะเล่าเรื่องราวน่ากลัวของชายคนหนึ่ง ที่บังเอิญได้ไปพบกับบุคคลลึกลับท่าทางแปลกประหลาด ที่มาพร้อมกับรอยยิ้มอันวิปริต เที่ยวคอยเดินสะกดรอยตามเราจนขวัญผวา ว่าเรื่องนี้ มันคืออะไรกันแน่ ?

ก่อนจะพูดถึงที่มาของเรื่องราวนี้ มิติที่ 6 จะขอเล่าเรื่องราวต้นฉบับให้ท่านผู้ชมได้รับทราบกันก่อน โดยมิติที่ 6 ขอสัญญาว่า เราจะไม่ใช้เทคนิค Jump Scare หรือแกล้งท่านผู้ชมให้ตกใจในขณะรับชมอย่างแน่นอนครับ 

โดยเรื่องเล่านี้มีอยู่ว่า

ห้าปีก่อน ผมอาศัยอยู่ในย่านดาวน์ทาวน์ ที่อยู่ในเมืองใหญ่เมืองหนึ่งของประเทศสหรัฐอเมริกา ด้วยความที่ผมเป็นคนที่ชอบใช้ชีวิตในเวลากลางคืน มันก็เลยทำให้ผมค่อนข้างจะมีปัญหากับเพื่อนร่วมห้อง ที่ไม่ยอมใช้ชีวิตในเวลาเดียวกับผม มัวแต่นอนอยู่นั่น มันก็เลยทำให้ผมต้องต้องฆ่าเวลาด้วยการเดินไปมา คิดอะไรเล่นอยู่คนเดียวอยู่ข้างนอก

สี่ปีแล้วที่ผมต้องใช้ชีวิตอยู่แบบนี้ เดินคนเดียวตอนกลางคืน เดินจนไม่รู้สึกกลัวอะไรแล้ว ซึ่งผมเองก็เคยอำเพื่อนว่าผมเป็นพวกค้ายาแห่งราตรีกาล แต่สุดท้าย ผมก็เฉลยไปว่ามันไม่มีอะไร

วันนั้นเป็นวันพุธ ที่ไหสักแห่งในช่วงย่ำรุ่ง ผมเดินอยู่ใกล้ ๆ ลานจอดรถของสถานีตำรวจแห่งหนึ่ง ที่นี่อยู่ไม่ไกลจากอพาร์ทเมนท์ของผมสักเท่าไหร่ มันเป็นคืนที่ค่อนข้างจะเงียบเชียบ ทั้ง ๆ ที่เป็นกลางสัปดาห์แท้ ๆ มีรถติดอยู่บนถนนนิดหน่อย แต่บนทางเท้านี่ไม่มีใครเลย ที่จอดรถตอนนี้ก็ไม่มีใครมาจอดสักคัน

ผมเดินลงมาตามทางเดิน เพื่อจะย้อนกลับไปยังอพาร์ทเมนท์ของผม ตอนนั้น ผมสังเกตเห็นชายคนหนึ่งที่อยู่ห่างออกไปตรงสุดถนน เงาตะคุ่ม ๆ ของชายคนนี้ดูราวกับว่าเขากำลังเต้นรำท่าแปลก ๆ อยู่ อาจจะเต้นจังหวะวอลทซ์ซะกระมั้ง แต่ผมรู้สึกว่า เขากำลังจะค่อย ๆ ขยับตรงมาหาผมทีละก้าวด้วยท่าทางแปลก ๆ แบบนั้น



ท่าทางเขาน่าจะเมา ผมก็เลยกะว่าจะเขยิบตัวเพื่อหลีกทางให้เขาผ่านไปก่อนจะดีกว่า จนเขาก้าวเข้ามาใกล้ ๆ ผมถึงเริ่มสังเกตเห็น ว่าเขาขยับตัวด้วยท่าทางสวยงามมาก ๆ ชายคนนี้เป็นคนรูปร่างผอมสูง สวมเสื้อสูทเก่า ๆ

ตอนนี้เขาค่อย ๆ เต้นรำขยับใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ จนผมเห็นหน้าเขาชัดเจนแล้ว ดวงตาของเขาเบิกกว้างดูน่ากลัว เชิดหน้าแหงนมองไปบนท้องฟ้า ปากของเขายิ้มออกกว้างแทบจะฉีกถึงหู ถึงตรงนี้ผมก็เลยตัดสินใจข้ามถนนไปอีกฝั่ง ก่อนที่เขาจะขยับตัวเข้ามาใกล้ไปกว่านี้

ผมละสายตาจากชายคนนี้เพื่อจะได้ข้ามถนนไปก่อน จนเมื่อถึงฝั่งตรงข้ามแล้วผมจึงหันมองกลับมา  แต่แล้วผมก็ต้องชะงักไป เพราะชายคนนั้นก็หยุดเต้นรำเช่นกัน ตอนนี้เขายืนขาเดียวอยู่ตรงถนน หันหน้ามาทางผมทั้ง ๆ ที่ใบหน้าก็ยังคงเชิดขึ้นไปบนฟ้าอย่างนั้น และที่ปากของเขาก็ยังคงแสยะยิ้มอย่างน่ากลัวอยู่เช่นเดิม


ตอนนี้ผมชักจะกลัวจริง ๆ เสียแล้ว ผมเริ่มเดินต่อไป สายตาก็มองเห็นว่าเขาไม่ขยับไปไหน จนห่างออกมาได้ระยะหนึ่ง ผมจึงบ่ายหน้าออกจากชายคนนี้เพื่อจะได้เดินต่อ ทางเดินข้างหน้าของผมตอนนี้ไม่มีใครแล้ว แต่ผมก็ยังคงระแวงอยู่ดี ผมเลยหันกลับไปทางทิศที่เขายืนอยู่อีกครั้ง

กำลังจะโล่งใจอยู่แล้วเชียว ถ้าผมไม่เห็นว่าตอนนี้เขาได้มาอยู่ที่ฝั่งเดียวกับผมแล้ว นี่เขาข้ามฝั่งมาตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย แล้วยังจะมาเต้นรำท่าแปลก ๆ แบบนั้นอีก ไม่รู้ว่าตอนนี้เขาอยู่ห่างจากผมขนาดไหน แต่ที่แน่ ๆ เขากำลังจ้องมองมาที่ผม ผมค่อย ๆ หันหน้าหลบออกมา จนเวลาผ่านไปประมาณสิบวินาที ผมก็รู้สึกได้ว่าตอนนี้เขาขยับตัวเข้ามาหาผม ด้วยท่าเต้นรำแบบนั้นเร็วขึ้นเรื่อย ๆ

ผมตกใจ ตอนนี้เขากำลังขยับเข้ามาใกล้ขึ้นอีก ด้วยสเต็ปท่าเต้นพิลึก ๆ แบบนั้น ถ้าเป็นตัวการ์ตูนนี่ ก็น่าจะเรียกว่าเสต็ปเทพได้เหมือนกัน

ผมอยากจะบอกให้รู้ว่าตอนนี้ ผมนี่วิ่งหนีสุดแรงเกิด นี่ถ้าผมพกสเปรย์พริกไทย หรือติดมือถือมาสักอย่างนะ ก็ผมดันไม่ได้พกมาสักอย่างเลยนี่สิ

ผมเลยลองหยุดวิ่งดู ปรากฎว่าชายหน้ายิ้มคนนั้นก็หยุดเหมือนกัน ตอนนี้เขาอยู่ห่างจากผมประมาณหนึ่งช่วงรถยนต์ และยังคงยืนเชิดหน้าแสยะยิ้มปีศาจใส่ผมอยู่แบบนั้น


พอนึกขึ้นได้ ว่าผมควรจะพูดอะไรออกมาบ้าง ผมก็เลยตัดสินใจจะตะโกนถามชายคนนี้ไปว่า “นายต้องการอะไรกันแน่ ?” ซึ่งก็กะว่าจะใช้น้ำเสียงเข้ม ๆ ให้รู้ว่าตอนนี้ผมโกรธแล้วนะ จะได้เกรงใจกันบ้าง แต่พอเอาเข้าจริง ๆ เสียงที่ผมพูดออกมานั้นกลายเป็นเสียงครางยังกะแมว

ด้วยความเคารพเลยครับ ผมว่าไม่มีใครรู้หรอกว่าตอนนี้ผมกลัวขนาดไหน ก็ตอนนี้ใครจะได้ยินเสียงของผม นอกจากผมได้ยินคนเดียวล่ะ นี่ยิ่งทำให้ผมกลัวหนักขึ้นไปอีก แถมชายคนนั้นก็ไม่ได้แสดงทีท่าอะไรนอกจากยืนนิ่ง ๆ แล้วยิ้มอยู่เหมือนเดิม

และหลังจากความผิดพลาดของผมผ่านไปสักพัก เขาก็หมุนตัวอย่างช้า ๆ จากนั้นก็เริ่มขยับตัวทำสเต็ปเต้นสไลด์เท้าเดินจากไป แต่ก็นั่นแหละ ตอนนี้ผมไม่กล้าจะคลาดสายตาจากหมอนี่เสียแล้ว ผมเลยยืนมองเขาค่อย ๆ จากไปไกลเรื่อย ๆ จนไกลแทบจะลับสายตา แล้วอยู่ดี ๆ ผมก็รู้สึกได้บางอย่าง ว่าตอนนี้เขาหยุดขยับตัว ใช่.. เขาหยุดเต้น

แต่คราวนี้มันทำให้ผมขนลุกซู่ไปทั้งตัวอีกครั้ง นั่นก็เพราะว่า เงาห่าง ๆ ของเขาตอนนี้ มันค่อย ๆ ดูใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ… ใช่แล้ว เขากำลังใกล้เข้ามา ตอนนี้เขาวิ่งเข้ามานั่นเอง ผมจึงตัดสินใจรีบเผ่นทันที

ผมวิ่งหนีมาอย่างบ้าคลั่ง จนหลุดออกไปนอกทางเดินตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ พอได้สติ ผมก็รีบเดินกลับมายังจุดที่พอจะเห็นรถราวิ่งอยู่บ้าง พอลองหันกลับไปมองดูตอนนี้ก็ไม่มีใครแล้ว ผมจึงมุ่งหน้ากลับที่พัก แต่ก็ยังไม่วายที่จะหันกลับไปมองข้างหลังตัวเองอยู่ตลอด บอกตรง ๆ เลยครับ ผมกลัวว่าจะเห็นรอยยิ้มบ้า ๆ นั่นอีก แต่ยังไงตอนนี้มันก็จากไปแล้ว

ผมยังอยู่ที่เมืองนี้มาอีก 6 เดือน ซึ่งหลังจากคืนนั้น ผมก็ไม่เคยคิดจะออกไปเดินเล่นแบบนั้นอีกเลย นั่นก็เพราะว่าข้างนอกนั้นมันมีอะไรบางอย่าง ใช่!! ใบหน้าแสยะยิ้มของเจ้าหมอนั่น มันทำเอาผมหลอนเสียเหลือเกิน เจ้าหมอนั่นมันคงไม่ใช่คนเมา แต่มันต้องเป็นคนบ้าแน่ ๆ และที่สำคัญก็คือ มันน่ากลัวมาก ๆ เลย



-- จบ --

"เดอะสมายลิ่งแมน" หรือ "ชายใบหน้าแสยะยิ้ม" เป็นหนึ่งในเรื่องเล่าสยองขวัญที่พูดถึงชายลึกลับตัวสูงไม่พูดไม่จา คอยเดินสะกดรอยตามเหยื่อด้วยรอยยิ้มอันแสนจะน่ากลัว โดยเรื่องนี้ถูกนำเสนอครั้งแรกโดยสมาชิกของเวบไซต์เรดดิทชื่อ “blue_tidal” ซึ่งอ้างว่า เรื่องนี้ก็คือเรื่องที่เขาเคยพบเจอมาจริง ๆ ในช่วงที่เขาอาศัยอยู่ในเมืองซีแอทเทิล รัฐวอชิงตัน ประเทศสหรัฐอเมริกา


โดยสมาชิกท่านนี้ได้โพสต์เรื่องเดอะสมายลิงแมนนี้ไว้ครั้งแรกเมื่อวันที่ 6 เมษายน ค.ศ. 2012 ในหมวด "/r/LetsNotMeet" ซึ่งเป็นหมวดเกี่ยวกับการเล่าเรื่องน่ากลัวที่พบในชีวิตจริงของสมาชิก โดยได้เปลี่ยนชื่อเมืองและรัฐที่เขาเคยอาศัยอยู่เป็นคำว่า เมืองใหญ่เมืองหนึ่งของประเทศสหรัฐอเมริกาแทน โดยเรื่องราวนี้มีผู้โหวตให้คะแนนมากถึง 1,300 โหวต และมีสมาชิกร่วมให้ความเห็นกันกว่า 170 ความเห็น

โดยต่อมาในวันที่ 23 เมษายนปีเดียวกัน บลูไทดัลก็ได้นำเรื่องนี้ไปโพสต์อีกครั้งไว้ที่หมวด "/r/nosleep" และคราวนี้เขาได้รับการโหวตมากกว่า 2,400 โหวต และความเห็นมากกว่า 350 ความเห็น ก่อนที่โพสต์ดังกล่าวจะถูกปิดไป และในวันที่ 18 พฤศจิกายน ก็ได้เกิดซับเรดดิทหมวด "/r/TheSmileingMan" ขึ้นมา โดยการสร้างของสมาชิกชื่อ "HeckToTheYeah65" เพื่อเอาไว้ใช้พูดคุยเกี่ยวกับเรื่องราวนี้โดยเฉพาะ

พอถึงช่วงวันที่ 26 พฤศจิกายน บลูไทดัลก็ได้เปิดหัวข้อ “ask me anything” เพื่อเปิดให้ผู้สนใจเข้ามาสอบถามเพิ่มเติม โดยที่นี่เขาก็ได้ยืนยันว่า เรื่องราวนี้มันได้เกิดขึ้นมาจริง ๆ ในตอนดึกคืนวันหนึ่งที่ซีแอทเทิล วอชิงตัน

ในวันที่ 29 พฤษภาคม ค.ศ. 2013 ก็ได้มีสมาชิกของเวบเรดดิทชื่อ "Youdonotsay" (ยู้ดฟอนอทเซย์) ได้โพสต์คำถามไว้ที่หมวด "/r/Askreddit" ว่า “คุณเคยเจอหรือเห็นอะไรที่น่ากลัวสุด ๆ บ้างไหม ?” โดยต่อมาก็มีสมาชิกชื่อ "danrennt98" เข้ามาตอบโพสต์ โดยอ้างอิงถึงเรื่องราวต้นฉบับของบลูไทดัล

พอมาถึงวันที่ 5 สิงหาคม สมาชิกชื่อ "Paper-Snow-A-GHOST" ก็ได้โพสต์ในหมวดเดียวกันนี้อีกครั้งเพื่อถามสมาชิกท่านอื่นว่า “คุณเคยได้อ่านเจอเรื่องอะไรในเรดดิท ที่จริง ๆ แล้ว เขาน่าจะพูดถึงคุณบ้างไหม ?” ซึ่งก็มีสมาชิกชื่อ "ILL_Show_Myself_Out" เข้ามาตอบว่า ก็มีเรื่องเดอะสมายลิ่งแมนนี่แหละ ที่ครั้งหนึ่งเขาเคยเมาแล้วเดินเต้นไปยิ้มไป และยังเที่ยวแกล้งเดินสะกดรอยตามชายคนหนึ่งให้ตกใจกลัว โดยบอกอีกว่า เขาทำไปเพราะแค่นึกสนุก เดินตามหนุ่มโชคร้ายคนนั้นไป แถมยังแสยะยิ้มหลอกให้กลัวตลอดทางเลย ซึ่งในโพสต์นี้ก็มีบางคนออกมาบอกว่า เขาก็เคยแกล้งคนแบบนั้นเหมือนกัน

ซึ่งมิติที่ 6 เอง ก็ไม่ทราบว่าสมาชิกท่านนี้ จะแกล้งอำว่าตัวเองก็คือสมายลิงแมนคนนั้นจริง ๆ หรือเปล่า แต่ที่แน่ ๆ ในวันที่ 23 กรกฏาคม ค.ศ. 2013 ยูทูเบอร์ชื่อ ไมเคิล อีแวนส์ ก็ได้อับโหลดหนังสั้นของเขาไว้ในชื่อ 2AM โดยเนื้อเรื่องนั้นก็คือ เดอะสมายลิ่งแมนของบลูไทดัลนั่นเอง และในวันนั้นไมเคิลก็ได้นำคลิปนี้ไปโพสต์ไว้ที่หมวด "/r/videos" ของเวบไซต์เรดดิทด้วย ซึ่งถัดมาอีกสามสัปดาห์ คลิปหนังสั้นเรื่องนี้ก็มีผู้เข้าชมกว่า 1.65 ล้านวิว และปัจจุบันคลิปนี้ก็สามารถทำยอดเข้าชมได้ถึงเกือบห้าล้านวิวแล้ว โดยบลูไทดัลเจ้าของเรื่องก็ออกมาแสดงความเห็นว่าชอบมากอีกด้วย

ไม่ว่าเรื่องราวเดอะสมายลิ่งแมนนี้ จะมีที่มาเป็นเรื่องจริงแบบไหนก็ตาม ตอนนี้มันก็ได้กลายเป็นหนึ่งในเรื่องเล่าน่ากลัวระดับคลาสสิคบนเวบไซต์ครีบปี้พาสต้าไปเรียบร้อยแล้วเช่นกัน

และถ้าเรื่องเดอะสมายลิ่งแมนนี้เป็นเรื่องจริง มิติที่ 6 ก็อยากจะฝากกับท่านผู้ชมที่ชอบออกมาเดินเล่นกันในยามค่ำคืน ให้ระมัดระวังตัวกันให้ดี ๆ นะครับ เพราะเป็นไปได้ว่า ถนนเปลี่ยว ๆ ในบ้านเรานั้น มันก็ดูน่ากลัวไม่แพ้ประเทศไหน ๆ ในโลกนี้ และถ้าไม่จำเป็นก็อย่าออกไปเดินเล่นเลยจะดีกว่า มิฉะนั้นถ้าเกิดไปเจอสมายลิงแมนวิ่งไล่ตามเราแบบในเรื่องนี้ขึ้นมาล่ะก็ จะหาว่ามิติที่ 6 ไม่บอกไม่ได้นะครับ

แล้วอย่าลืมติดตามชมมิติที่ 6 ศุกร์สยองขวัญ กับเรื่องราวเบา ๆ พร้อมกับที่มาของมันกันได้ทุกวันศุกร์สะดวก หลังจากจบรายการแล้ว อย่าลืมกดสับสไครป์ กดไลค์ กดแชร์ หรือทิ้งคอมเมนท์กันไว้นะครับ ยังมีเรื่องราวต่าง ๆ อีกมากมายรอคุณอยู่ สำหรับวันนี้ สวัสดี


เรียบเรียงและบรรยายโดย นิวัฒน์ อ่ำแสง
ที่มา
Know Your Meme - The Smiling Man
Creepypasta Wikia - The Smiling Man
Reddit – The Smiling Man
Reddit – The Smiling Man
Reddit – /r/TheSmilingMan
Reddit – blue_tidal comment


26 ตุลาคม 2559

มิติที่ 6 | 3 เรื่องราวปริศนาที่ไม่สามารถหาคำตอบได้ !!!



เรื่องราวสยองขวัญบนโลกใบนี้ มีมากมายที่สามารถหาคำตอบได้ และก็มีอีกมากมายที่ยังไม่มีคำอธิบายให้กระจ่างแจ้ง
เปิดชมบนยูทูป

มิติที่ 6 สัปดาห์นี้ เราจะพาท่านผู้ชมไปพบกับเรื่องราวน่ากลัว และปริศนาที่เกิดขึ้นจริงบนโลกใบนี้ ที่ปัจจุบันยังไม่มีข้อสรุปว่า มันเกิดอะไรขึ้นกับพวกเขา ทั้งเรื่องของฟาร์มฮินเตอร์ไคเฟคในเยอรมัน การหายตัวไปของจอห์นนี่กอสช์ในอเมริกา และดีเยียตโลฟนักปีนเขา 9 ศพ ที่เสียชีวิตอย่างปริศนาในประเทศรัสเซีย

คดีสังหารหมู่ในโรงนาฮินเตอร์ไคเฟค


ณ ฟาร์มฮินเตอร์ไคเฟค สถานที่แห่งนี้ตั้งอยู่ระหว่างเมืองอินโกลสเตดท์ และเมืองโชวเบนฮาวเซน ออกไปทางเหนือของกรุงมิวนิครัฐบาวาเรียประเทศเยอรมัน


เดิมทีฟาร์มแห่งนี้ไม่มีชื่อเรียก มันเป็นเพียงโรงนาที่ใช้เก็บของและพืชผลไร่นา ของชาวบ้านในหมู่บ้านไคเฟค ออกไปทางเหนือประมาณ 1 กิโลเมตร จึงเรียกชื่อตามภาษาเยอรมันว่าฮินเตอร์ไคเฟค ที่แปลว่าอยู่หลังหมู่บ้านไคเฟค เพียงแต่ในเวลาต่อมา มันได้ถูกนำมาใช้เป็นชื่อเรียกในคดีสยองขวัญปริศนา ที่ปัจจุบันก็ยังไม่มีใครสามารถสืบได้ว่า ใครคือฆาตกรตัวจริงในคดีนี้กันแน่


ในช่วงปลายเดือนมีนาคม ค.ศ. 1922 แอนเดรีย กรูเบอร์ อายุ 63 ปี ได้ขอแรงเพื่อนบ้าน ให้ช่วยกันตรวจสอบรอยเท้าลึกลับที่ปรากฏอยู่บนผืนหิมะรอยหนึ่ง ที่ดูแล้วเหมือนกับมันเป็นรอยเท้าของใครบางคน ได้เดินออกจากป่าเข้ามาที่ฟาร์มของเขา และที่มันผิดปกตินั่นก็เพราะว่า มันมีแต่รอยเท้าเหยียบย่างเข้ามา แต่กลับไม่มีรอยเท้าเดินออกไปแต่อย่างใด


แอนเดรียยังได้บอกอีกว่า เขาได้ยินเสียงอะไรบางอย่างกำลังเดินอยู่บนห้องใต้หลังคา และยังได้ยินเสียงคุ้ยกองหนังสือพิมพ์ที่เขาเก็บไว้ที่ฟาร์มอีกด้วย และนอกจากนี้กุญแจบ้านของเขาก็หายไป ซึ่งแอนเดรียเองก็ไม่ได้ตัดสินใจบอกรายละเอียดเหล่านี้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจเลยในตอนแรก


หกเดือนก่อนหน้านั้น แม่บ้านคนก่อนก็เพิ่งจะลาออกไป ซึ่งเธอบอกเพียงว่าเธอกลัวฟาร์มแห่งนี้ และในเวลาต่อมาครอบครัวของแอนเดรีย ได้มาเรีย บอมการ์ตเนอร์มาทำงานเป็นแม่บ้านคนใหม่แทน



ครอบครัวของแอนเดรีย กรูเบอร์นั้น ประกอบไปด้วยตัวเขาและภรรยาชื่อคาซิเลีย อายุ 72 ปี วิคตอเรียกาเบรียล ลูกสาวที่เพิ่งจะเป็นหม้ายเพราะสามีเสียชีวิตในสงคราม โดยวิคตอเรียนั้นก็มีลูกติดมาอีกสองคน ก็คือ คาซิเลีย อายุ 7 ขวบ และโจเซฟ อายุ 2 ขวบ ซึ่งถ้านับรวมมาเรียสาวใช้คนใหม่ด้วยแล้ว บ้านของครอบครัวนี้ก็จะมีสมาชิกรวมทั้งสิ้น 6 คน นั่นเอง


วันเกิดเหตุ ตรงกับวันศุกร์ที่ 31 มีนาคม ค.ศ. 1922 ในช่วงเวลาประมาณตอนเย็น เชื่อกันว่าคนร้ายได้ทำการหลอกล่อนางวิคตอเรีย กับคาซิเลียแม่ของเธอ เข้าไปสังหารในโรงนาแห่งนี้ทีละคน ส่วนโจเซฟลูกชายคนสุดท้องของวิกตอเรีย ที่กำลังนอนอยู่ในห้องของเธอ ก็ถูกสังหารอย่างเลือดเย็น โดยมาเรียแม่บ้านคนใหม่นั้น ก็ถูกฆ่าตายคาที่นอนของเธอ และแน่นอนว่าแอนเดรียเองก็ถูกสังหารด้วยเช่นกัน นั่นหมายความว่า ฆาตกรได้ทำการสังหารพวกเขาทั้งครอบครัวอย่างก่อนที่จะหลบหนีไป


โดยในวันที่ 4 เมษายน ค.ศ. 1922 นั้น เหล่าเพื่อนบ้านได้เข้ามาที่ฟาร์มแห่งนี้ เพราะพวกเขารู้สึกได้ว่า มันน่าจะมีเรื่องผิดปกติบางอย่างเกิดขึ้น เพราะพวกเขาไม่เห็นใครเข้าออกที่ฟาร์มแห่งนี้มาสองสามวันแล้ว โดยบุรุษไปรษณีย์พบว่า จดหมายที่เขาเสียบไว้ในตู้รับนั้น ไม่มีคนในบ้านมาหยิบออกไปเลยตั้งแต่วันเสาร์ และคาสิเลียเด็กหญิงของบ้านนี้ก็ไม่ได้เดินทางไปโรงเรียนในวันจันทร์ จนสุดท้ายเมื่อเพื่อนบ้านเข้ามาตรวจสอบ ก็ได้พบกับภาพสยองขวัญตรงหน้า และรีบทำการแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจให้มาตรวจสอบทันที

โดยในวันที่มีการชันสูตรศพภายในฮินเตอร์ไคเฟคนั้น แพทย์ได้ตรวจพบร่องรอยการใช้อาวุธบนร่างของคาซิเลียที่นอนอยู่บนกองฟาง และเชื่อว่าเธอน่าจะยังไม่เสียชีวิตทันทีหลังจากถูกทำร้าย โดยในมือของเธอนั้นพบว่า เธอได้ดึงเส้นผมของตัวเองออกมากระจุกหนึ่ง ส่วนศพถัดมาซึ่งเป็นศพของแอนเดรีย และคาซิเลีย ตายายและวิกตอเรียแม่ของเธอ โดยทุกศพนอนอยู่ข้าง ๆ และสภาพศพของทุกคนนั้น ล้วนถูกตัดศีรษะออกมาเป็นที่น่าหดหู่เป็นอย่างมาก


โลงบรรจุศพของทั้ง 6 ศพ

ผู้ตรวจการท้องที่และทีมตำรวจจากสถานีมิวนิค ได้เข้ามาร่วมกันสืบสวนคดีฆาตกรรมหมู่ครั้งนี้ กะโหลกศีรษะของทุกคน ได้ถูกส่งไปยังมิวนิคเพื่อตรวจสอบ จนเวลาผ่านไปเนิ่นนานถึง ค.ศ. 1986 การสอบสวนผู้ต้องสงสัยไปมากกว่า 100 คน ก็ไม่สามารถเรียกหาความคืบหน้าอะไรได้ และสุดท้ายคดีก็ต้องถูกปิดลงโดยทิ้งปริศนาเอาไว้ ว่าแท้ที่จริงแล้วใครกันแน่ที่เป็นคนร้ายในคดีนี้
มาจนถึงปี ค.ศ. 2007 นักเรียนตำรวจที่เฟอร์สเทนเฟลบรูค ได้ร่วมกันนำคดีฮินเตอร์ไคเฟคนี้กลับมาทำการสอบสวน ด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่กันอีกครั้ง ซึ่งแม้จะไม่สามารถหาข้อสรุปในคดีนี้ได้เนื่องจากเวลาที่ล่วงเลยผ่านมานานมาก หลักฐานหลาย ๆ อย่างก็สูญหายไปตามกาลเวลา เพราะเจ้าหน้าที่ในสมัยก่อนไม่ค่อยให้ความสำคัญในเก็บรักษา แต่สุดท้ายพวกเขาก็สามารถระบุตัวผู้ต้องสงสัยที่น่าจะเป็นฆาตกรตัวจริงออกมาได้ เพียงแต่พวกเขาเองก็จำเป็นต้องเก็บชื่อของคนร้ายเอาไว้ เพราะสิ่งนี้มันก็อาจจะก่อผลร้ายแก่ญาติของผู้ต้องสงสัยที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร ให้ต้องกลายเป็นผู้รับบาปทั้ง ๆ ที่เหตุการณ์มันจบไปตั้งนานแล้ว

โดยกลุ่มนักเรียนตำรวจได้ทำการวิเคราะห์จากรูปแบบ และวิธีการของคนร้ายจากบันทึกสอบปากคำจากพยานในอดีตทั้งหมด ที่เคยอาศัยอยู่รอบ ๆ หมู่บ้านแห่งนั้น โดยพวกเขาได้ตั้งสมมติฐานว่า เป็นไปได้ที่คนร้ายนั้นเข้าใจว่าที่นี่เป็นบ้านร้างและยังพบเงินจำนวนหนึ่งอยู่ในโรงนาแห่งนี้ด้วย และเป็นไปได้ว่าคนร้ายน่าจะอาศัยอยู่ในฟาร์มแห่งนี้หลายวันแล้ว เพราะมีพยานเล่าว่า พวกเขาเคยเห็นควันไฟออกมาจากปล่องในฟาร์มที่นี่


โดยในสมัยก่อนนั้นมีการตั้งสมมติฐานว่า คาร์ล กาเบียล สามีของนางวิกตอเรีย อาจจะเป็นคนร้ายก็ได้เพราะว่าแม้จะมีรายงานว่าเขาเสียชีวิตในช่วงระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 1 ในสนามรบที่ฝรั่งเศส แต่ไม่มีใครพบร่างของเขาเลย ซึ่งเรื่องนี้ก็ได้ถูกหักล้างไป เพราะได้รับการยืนยันจากเหล่าเพื่อนทหารที่รอดชีวิตกลับมาว่า เขาเห็นกาเบรียลเสียชีวิตต่อหน้าต่อตา เพียงแต่ภาวะสงครามทำให้ไม่สามารถกลับมาค้นหาศพของเขาพบ

"คาร์ล กาเบรียล" ได้รับการยืนยันว่าเสียชีวิตในสงคราม

ในปี ค.ศ. 1923 ซึ่งเป็นปีถัดมาหลังจากคดีฮินเตอร์ไคเฟคก็ได้ถูกปิดตัวลง และมันได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของสุสานเพื่อใช้ฝังร่างของผู้เสียชีวิตทั้ง 6 ศพ ในเวดโฮเฟนไปเสียแล้ว และปัจจุบันส่วนหัวกะโหลกของทุกคนที่ส่งไปตรวจในมิวนิคนั้น กลับไม่ได้ถูกส่งกลับคืนมาฝังด้วยแต่อย่างใด เพราะมีรายงานว่ากะโหลกศีรษะทั้งหมดได้สูญหายไปในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง




----------------------

ปริศนาการหายตัวไปของ "จอห์นนี่ กอสช์"



จอห์น เดวิด กอสช์ หรือจอห์นนี่ กอสช์ เกิดเมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน ค.ศ. 1969 โดยในช่วงที่เขาอายุ 12 ปีนั้น เขาได้หายตัวไปอย่างลึกลับวันที่ 5 กันยายน ค.ศ. 1982 ในช่วงเช้ามืดที่เขากำลังออกจากบ้าน เพื่อไปทำงานพิเศษส่งหนังสือพิมพ์แถวย่านเดสมอยน์ตะวันตก ในรัฐไอโอว่าประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งงานพิเศษนี้เป็นเรื่องปกติของเด็ก ๆ ในอเมริกาที่อยากจะช่วยแบ่งเบาภาระของพ่อแม่ โดยเด็กส่งหนังสือพิมพ์คนอื่น ๆ ได้ให้ข้อมูลว่า พวกเขาพบจอห์นนี่ครั้งสุดท้ายในขณะที่เขาทำหนังสือพิมพ์ตก และกำลังเก็บมันอยู่



ไมค์เพื่อนคนหนึ่งของจอห์นนี่ได้ให้ปากคำว่า เขาเห็นจอห์นนี่ กอสช์ กำลังยืนคุยอยู่กับชายรูปร่างสันทัดที่นั่งอยู่ในรถฟอร์ดเฟมองต์ ทะเบียนจากเนบราสก้า แต่ไมค์ไม่รู้ว่าพวกเขาคุยเรื่องอะไรกัน เพราะเขาเห็นเหตุการณ์นี้จากในห้องนอน และต่อมา เขาเห็นจอห์นนี่แยกตัวกลับไปบ้าน แต่ก็เห็นว่าชายคนเดิมนั้น ได้ขับรถตามจอห์นนี่ไปด้วย


พ่อแม่ของจอห์นนี่ได้รับโทรศัพท์จากลูกค้าคนหนึ่ง บอกว่าเขาไม่ได้รับหนังสือพิมพ์จากจอห์นนี่เลย จอห์นจึงได้รวบรวมเพื่อนบ้านช่วยกันตามหาลูกชาย จนกระทั่ง 6 โมงเย็น เขาจึงได้พบรถจักรยานส่งหนังสือพิมพ์ของจอห์นนี่ จอดอยู่ถัดจากบ้านเขาไปสองบล็อก โดยในจักรยานคันนั้น ยังคงมีหนังสือพิมพ์อยู่เต็มกระเป๋า


สุดท้ายพวกเขาจึงตัดสินใจ แจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจของเดสมอยน์ตะวันตกให้ช่วยตามหา แต่กระบวนการทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจสมัยนั้นก็ช่างเป็นไปด้วยความล่าช้า เพราะยุคนั้นกว่าจะไปแจ้งความคนหายได้ พวกเขาต้องรอให้ครบ 72 ชั่วโมง ตามกฎหมายเสียก่อน และกว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจจะมาก็ใช้เวลานานกว่า 45 นาที เลยทีเดียว



เจ้าหน้าที่ตำรวจเชื่อว่าจอห์นนี่ กอสช์นั้น น่าจะถูกลักพาตัวไปแน่ ๆ เพียงแต่ว่าพยานทุกคนนั้น ไม่สามารถจะให้ข้อมูลเชื่อมโยงอะไรกับคดี ให้มีความคืบหน้าได้เลย


สองสามเดือนถัดมา หลังจากการหายตัวไปของจอห์นนี่ นอรีนกอสช์ได้เล่าว่า เธอพบร่องรอยของลูกชายเธอในโอกลาโฮม่า เมื่อมีคนเห็นเด็กชายร้องตะโกนขอความช่วยเหลือกับหญิงคนหนึ่ง ก่อนที่เขาจะถูกชายสองคนลากตัวไป


หลายปีผ่านมา มีนักสืบหลายคนได้พยายามช่วยกันตามหาจอห์นนี่ กอสช์ แต่ก็ไม่ไม่มีใครพบตัวเขาเลย จนกระทั่งวันหนึ่งในปี ค.ศ. 1984 ภาพถ่ายของจอห์นนี่ได้ถูกเผยแพร่คู่กับภาพของจัวนิตา ราฟอเอล่า เอสทาเวซ ซึ่งเป็นเด็กอีกคนที่หายตัวไปอย่างลึกลับ ติดที่ข้างบนกล่องนมไปทั่วประเทศสหรัฐอเมริกาและเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของการช่วยประชาสัมพันธ์หาตัวคนหายด้วยวิธีนี้ ซึ่งสิ่งนี้ ได้ช่วยให้ชาวอเมริกัน เริ่มหันมาให้ความสำคัญกับคดีการลักพาตัวเด็กส่งหนังสือพิมพ์ ที่ช่วงนั้นนอกจากจอห์นนี่ ก็ยังมีเด็กอีกสองคนถูกลักพาตัวไปในลักษณะนี้เช่นกัน

เด็กชายบนกล่องนมคนแรก "ฉายาของจอห์นนี่กอสช์"

ในปี ค.ศ. 1997 นอรีน แม่ของจอห์นนี่ได้เล่าถึงเหตุการณ์ที่เธอนั้นไม่สามารถเข้าใจได้เลย เพราะในช่วงเวลาประมาณตีสองครึ่งของเดือนมีนาคมปีนั้น เธอได้ยินใครบางคนมาเคาะประตูหน้าบ้าน โดยเมื่อเธอเปิดประตูออกไป ก็พบกับจอห์นนี่ในวัย 27 ปี กำลังยืนอยู่ที่หน้าบ้านกับชายแปลกหน้าคนหนึ่ง นอรีนยืนยันว่าเธอจำลูกชายของตัวเองได้แน่ ๆ เพราะเขาเองก็ได้แสดงหลักฐานเป็นรอยปานที่หน้าอก นอรีนเล่าว่า เธอได้พูดคุยกับจอห์นนี่ประมาณชั่วโมงครึ่ง แต่เธอนั้นก็ไม่เข้าใจว่าคนที่มาด้วยนั้นเป็นใคร และดูเหมือนจอห์นนี่จะมองไปที่ชายคนนั้นตลอดเวลา โดยสุดท้ายเธอก็ไม่รู้ว่าตอนนี้ จอห์นนี่ไปอยู่ที่ไหนกันแน่


ในปี ค.ศ. 2005 นอรีน กอสช์ก็ได้ให้สัมภาษณ์อีกครั้ง เพื่อเล่ารายละเอียดในวันนั้นเพิ่มเติมว่า ในตอนนั้น จอห์นนี่ใส่กางเกงยีน สวมเสื้อเชิ้ตและมีเสื้อคลุมทับอยู่อีกชั้น เพราะตอนนั้นอากาศหนาวมาก จอห์นนี่ไว้ผมยาวประบ่าและมีสีดำสนิท โดยหลังจากการพบกัน เธอได้ติดต่อกับเจ้าหน้าที่เอฟบีไอ ให้ช่วยสเก็ตช์ภาพตามคำบอกเล่าของเธอ

ภาพจอห์นนี่ที่ถูกจำลองขึ้นมา ส่วนภาพสเก็ตช์นั้นไม่สามารถนำมาให้ชมได้

ซึ่งสิ่งที่เธอเล่านี้ มันได้ถูกเขียนลงไว้ในหนังสือของเธอชื่อ "Why Johnny Can't Come Home" หรือ "ทำไมจอห์นนี่ไม่กลับบ้าน" ในปี ค.ศ. 2000 เช่นกัน

หนังสือของนอร์รีน

ต่อมาในวันที่ 1 กันยายน ค.ศ. 2006 นอรีนได้รายงานว่า เธอพบภาพถ่ายจำนวนหนึ่งที่หน้าประตูบ้าน ซึ่งเธอได้นำบางส่วนไปโพสต์เอาไว้ที่เวบไซต์ของเธอด้วย ซึ่งมีภาพหนึ่งที่เธอสามารถยืนยันได้ว่ามันเป็นภาพของจอห์นนี่ในช่วงอายุ 12 ปี และภาพที่ดูแล้วน่าจะเป็นภาพของใครสักคนที่เสียชีวิตไปแล้ว ซึ่งจนถึงปัจจุบันเวบไซท์ของนอรีนนั้น ได้ทำการอัพเดตข้อมูลมาตลอด และมีแม้กระทั่งเบาะแสภาพของชายผู้ต้องสงสัยที่เธอหามาได้ เพียงแต่ตอนนี้ เธอทำได้แค่วิงวอนให้ใครก็ได้ที่จับตัวลูกชายของเธอไป ช่วยปล่อยเขากลับมา และได้จัดตั้งกองทุนเพื่อใช้ระดมทุนตามหาลูกชายของเธอในรูปแบบต่าง ๆ ซึ่งใครที่สนใจเรื่องราวของจอห์นนี่ กอสช์ ก็สามารถแวะเข้าไปชมเรื่องราวทั้งหมดได้ที่นี่ครับ Johnnygosch.com
------------------

ปริศนาการเสียชีวิตของกลุ่มนักสกีไต่เขา "ดีเยียตโลฟ"



ช่วงปลายเดือนมกราคม ค.ศ. 1959 กลุ่มนักสกีไต่เขากลุ่มหนึ่ง ได้รวมตัวกันเพื่อจะไปไต่เขาทางภาคเหนือของเทือกเขาอูราล ที่ตั้งอยู่ในรัฐสเวียดโลฟสก์โอบลาสของรัฐเซีย นำทีมโดยอีกอร์ ดีเยียตโลฟ และสมาชิกชาย 8 คน หญิง 2 คน ตามรายชื่อดังนี้

ใบหน้าของสมาชิกกลุ่มทุกคน

  1. อิกอล อเล็กไซวิช ดิเยียตโลฟ, หัวหน้าทีม, เกิดเมื่อวันที่ 13, มกราคม ค.ศ. 1936
  2. ยูริ นิโคไลวิช โดโรเช็งโก, เกิดเมื่อวันที่ 29 มกราคม ค.ศ. 1938
  3. ลยุดมิลา อเล็กซานโรวนา ดูบินินา, เกิดเมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม ค.ศ. 1938
  4. ยูริ (จีออกี) อเล็กไซวิช คริโวนิเช็งโก, เกิดเมื่อวันที่ 7 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1935
  5. อเล็กซานเดอร์ เซอร์จิวิช โคลวาตอฟ, เกิดเมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน ค.ศ. 1934
  6. ซีไนด้า อเล็กซีนา โคลโมโกโรวา, เกิดเมื่อวันที่ 12 มกราคม ค.ศ. 1937
  7. รุสเท็ม วลาดิมิโรวิช สโลโบดิน, เกิดเมื่อวันที่ 11 มกราคม ค.ศ. 1936
  8. นิโคไล วลาดิมิโรวิช ไธบวกซ์ - บริกโนลเลส, เกิดเมื่อวันที่ 8 มิถุนายน ค.ศ. 1935
  9. เซ็มยน (อเล็กซานเดอร์) อเล็กซีวิช โซโลทาเรียฟ, เกิดเมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1921
  10. ยูริ เยฟิโมวิช ยูดิน, เกิดเมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม ค.ศ. 1937 เสียชีวิตเมื่อวันที่ 27 เม.ย. ค.ศ. 2013
โดยสมาชิกส่วนใหญ่ จะเป็นกลุ่มนักศึกษาและศิษย์เก่าของวิทยาลัยอูราลโพลีเทคนิคัล ที่ปัจจุบันได้เปลี่ยนสถานะเป็นมหาวิทยาลัยอูราลเฟเดอรัลแล้ว

ดีเยียตโลฟ (ซ้าย), โคลโมโกโรวา และดูบินินา

เป้าหมายของพวกเขาก็คือ การเดินทางไปยังอะโตรเต็น ซึ่งเป็นหุบเขาที่อยู่ห่างจากจุดตั้งแคมป์ออกไปทางเหนือประมาณ 10 กิโลเมตร โดยการเดินทางในช่วงเดือนกุมภาพันธ์นั้น ค่อนข้างจะยากลำบากมากกว่าปกติ ซึ่งนักผจญภัยสายนี้ จำเป็นต้องมีทักษะ และประสบการณ์ในการเดินทางด้วยสกีมากเป็นพิเศษ

ช่วงเตรียมตัวออกเดินทาง

โดยกลุ่มนี้ออกเดินทางโดยรถไฟมาลงที่เมืองอีวีดิล ซึ่งเป็นจุดศูนย์กลางของรัฐสเวียดโลฟส์โอบลาส ในวันจันทร์ที่ 25 มกราคม จากนั้นก็นั่งรถบรรทุกไปยังวีเชที่ตั้งอยู่ทางตอนเหนือ


พวกเขาเริ่มเดินเท้าไปทางอะโตรเต็น ในวันที่ 27 มกราคม และวันต่อมายูริ ยูดิน หนึ่งในสมาชิกก็ถูกบังคับให้หยุดการเดินทางเนื่องจากอาการป่วย และคนที่เหลือก็เดินทางกันต่อไป

ทำเครื่องหมายไว้ก่อนจะเริ่มปีนเขา

ต่อมาในวันที่ 31 มกราคม ทางกลุ่มได้เดินทางมาถึงจุดที่สูงที่สุด และเตรียมตัวเริ่มการปีนเขา โดยทิ้งอุปกรณ์และอาหารบางส่วนไว้ในป่าเพื่อไว้ใช้ในช่วงเดินทางกลับ และในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ ทุกคนก็เริ่มจะเดินทางโดยวางแผนกันไว้ว่า พวกเขาจะตั้งแคมป์ในคืนถัดไป แต่ด้วยสภาพอากาศที่โหดร้าย ทั้งพายุหิมะ และทัศนวิสัยที่ค่อนข้างแย่ ทำให้พวกเขาหลงทางออกไปทางตะวันตก ขึ้นไปทางหุบเขามรณะ โคลัทเชียเคล

ภาพระหว่างหลงทาง

เมื่อพวกเขารู้ตัวว่าตอนนี้หลงทางกันแล้ว ทางหัวหน้ากลุ่มก็ตัดสินใจที่จะหยุดพักตั้งแคมป์กันที่เชิงเขา ที่จะต้องเดินทางลงไปบริเวณป่าห่างจากจุดเดิมประมาณ 1.5 กิโลเมตร ยูดินที่รอดชีวิตเพราะกลับมาก่อนได้วิเคราะห์ว่า ดิเยียตโลฟนั้นน่าจะไม่อยากให้ทุกคนต้องเสียความตั้งใจในการมาที่นี่ หรือไม่ก็อยากจะฝึกตั้งแคมป์ที่เชิงเขาก่อนก็เป็นได้

เริ่มเตรียมตั้งเต๊นท์ที่นี่ซึ่งเป็นภาพสุดท้ายของพวกเขา

ซึ่งก่อนจะออกเดินทางไปยังที่หมายนั้น ดีเยียตโลฟได้เคยตกลงกับยูดินว่า เขาจะส่งโทรเลขติดต่อความคืบหน้าผ่านทางทางศูนย์ที่วีเช เพื่อรายงานการเดินทางไม่เกินวันที่ 12 กุมภาพันธ์ แต่กลายเป็นว่า เมื่อผ่านวันดังกล่าวไปแล้ว กลับไม่มีการติดต่ออะไรกลับมาเลย จนในที่สุดหน่วยช่วยเหลือจึงตัดสินใจออกค้นหากลุ่มของดีเยียตโลฟในวันที่ 20 กุมภาพันธ์ โดยสนธิกำลังจากหลาย ๆ ฝ่าย ตั้งแต่กลุ่มอาสาสมัครไปจนถึงกองทหาร มาช่วยออกค้นหาทางอากาศด้วยเครื่องบินเล็กและเฮลิคอปเตอร์


จนมาถึงวันที่ 26 กุมภาพันธ์ กลุ่มผู้ค้นหาก็ได้พบกับแคมป์ของดีเยียตโลฟ ที่ตอนนี้อยู่ในสภาพเสียหายที่บริเวณเทือกเขาโคลัทนั่นเอง โดยผู้ที่พบจุดเกิดเหตุนี้ได้บอกเอาไว้ว่า สภาพเต๊นท์นั้นถูกหิมะถมทับไปกว่าครึ่ง ข้างในไม่มีใครแต่กลับมีรองเท้าถอดอยู่

สภาพเต๊นท์ที่เสียหาย

นักสืบเล่าว่าเต๊นท์ถูกผ่าออกจากทางด้านใน มีรอยเท้าคนประมาณแปดถึงเก้าคน บางรอยบอกให้เรารู้ว่า เขาสวมแต่ถุงเท้าเดินบนหิมะ และมีบางรอยก็ใส่รองเท้าบางรอยก็เป็นเท้าเปล่า การสืบหาจากรอยเท้าออกไปทางฝั่งตรงข้ามจากจุดตั้งแคมป์ มุ่งหน้าไปทางป่าซีด้าที่อยู่ห่างออกไปกว่าหนึ่งกิโลเมตรครึ่งนั้น พวกเขาพบว่ารอยเท้าได้หายไปในช่วง 500 เมตรแรกเท่านั้น ซึ่งอาจเป็นไปได้ว่ารอยเท้าเหล่านั้น อาจถูกหิมะกลบไปหมดแล้ว โดยเมื่อกลุ่มค้นหาพยายามตรวจสอบเข้าไปในป่า พวกเขาก็ได้พบกับซากกองไฟที่ใต้ต้นเซด้าต้นหนึ่ง

ซึ่งที่นี่พวกเขาได้พบกับสองศพแรก นั่นก็คือโดโรเชงโก้ และคริโวนิสเชงโก้ สภาพศพของทั้งคู่สวมเพียงเสื้อผ้าชั้นในเท่านั้น และที่ด้านบนของต้นซีด้าก็พบว่า กิ่งก้านของมันถูกหักออกทั้ง ๆ ที่มันสูงถึง 5 เมตร โดยมีการคาดกันว่าพวกเขาอาจจะปีนขึ้นไปบนต้นไม้ต้นนี้เพื่อดูอะไรบางอย่าง

และในช่วงระหว่างแคมป์กับป่าต้นซีด้านั้น กลุ่มค้นหาก็ได้พบกับศพอีกสามศพ นั่นคือศพของดีเยียตโลฟ, โคลโมโกโรวา และสโลโบดิน ที่น่าจะเสียชีวิตในช่วงระหว่างที่พวกเขาพยายามจะกลับไปที่เต๊นท์ โดยทั้งสามศพถูกพบห่างจากต้นซีด้าไปในระยะ 300 เมตร 480 เมตร และ 630 เมตร
กลุ่มค้นหายังคงพยายามตามหาอีก 4 คนที่เหลือ จนเวลาผ่านไปกว่า 2 เดือน ในช่วงวันที่ 4 เดือนพฤษภาคม พวกเขาก็ได้พบร่างของทั้งสี่ถูกฝังอยู่ใต้หิมะลงไปกว่า 4 เมตร ห่างจากศพแรกไป 75 เมตร โดยทั้งสี่ถูกพบในสภาพใส่เสื้อผ้าดีกว่าศพแรก ๆ  คาดกันว่า ศพที่ตายไปในสภาพไร้เสื้อผ้าก่อนหน้านั้น น่าจะถูกสี่คนที่เหลือนี้เป็นผู้ถอดออกไปสวมใส่นั่นเอง โดยศพของโซโลทาเรียฟนั้นสวมชุดโค้ทเฟอร์และหมวกของดูบินิน่า ในขณะที่บริเวณเท้าของดูบินิน่านั้นก็สวมกางเกงขนสัตว์ของครีนอฟเชงโก้

ภาพสุดท้ายที่ดูไม่รู้เรื่องว่าเป็นภาพอะไรในกล่องของโซโลทาเรียฟ

อีกสิ่งที่ค้นพบข้าง ๆ ศพของทั้งสี่ก็คือ กล้องของโซโลทาเรียฟ โดยกล้องตัวนี้ไม่สามารถใช้ตรวจสอบอะไรได้ เนื่องจากฟิล์มข้างในนั้นถูกทำลายโดยน้ำไปหมดแล้ว
โดยขั้นตอนการชันสูตรศพนั้น เริ่มจากศพแรกที่ถูกพบ ผลการทดสอบนั้นไม่พบว่าร่องรอยการบาดเจ็บ ที่จะสามารถทำให้เขาถึงตายได้ โดยคาดว่าศพนี้เสียชีวิตเนื่องจากอุณหภูมิอันหนาวเย็นมากกว่า ส่วนศพของสโลโบดินนั้น มีการพบร่องรอยแตกที่บริเวณกะโลก แต่ก็ไม่ร้ายแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้เช่นกัน

ส่วนอีก 4 ศพที่ถูกพบในเดือนพฤษภาคมนั้น สามารถคาดเดาเหตุการณ์ได้ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง โดยสามศพแรกมีร่องรอยบาดเจ็บร้ายแรงถึงชีวิต ไธบวก บริกโนเลสกะโหลกแตกร้าว ส่วนดูบินิน่าและโซโลทาเรียพกระดูกหักที่หน้าอก โดยแพทย์ระบุว่า พวกเขาน่าจะได้รับบาดเจ็บสาหัสจากการถูกอะไรบางอย่างกระแทกอย่างรุนแรงเกือบ ๆ จะเท่าการถูกรถชน แต่อย่างไรก็ดี ศพของดูบินิน่าถูกพบว่าลิ้น ดวงตา และปากบางส่วนของเธอหายไป เช่นเดียวกันกับส่วนเนื้อใบหน้าและกะโหลกที่ถูกทำลาย ที่ฝ่ามือก็มีลักษณะเปื่อยยุ่ย โดยมีการยืนยันว่าศพของเธอนั้นถูกพบอยู่ในสภาพนอนคว่ำหน้าอยู่ในกองหิมะ ซึ่งอาการบาดเจ็บที่มือนี้ ไม่น่าจะเกี่ยวข้องกับการตาย เพราะมันน่าจะเกิดจากการเน่าเปื่อยเสียมากกว่า
มีการคาดการในเบื้องต้นว่า พวกเขาน่าจะถูกกลุ่มชาวแมนซี่ ซึ่งเป็นชาวพื้นเมืองไล่ฆ่าเพราะไปล่วงล้ำดินแดนของพวกเขา แต่สุดท้ายสมมติฐานนี้ก็เป็นอันตกไป เพราะในที่เกิดเหตุนั้นไม่มีผู้ใดพบว่ามีร่องรอยของการต่อสู้เลย

ชาวแมนซี่ที่ไม่น่าจะเกี่ยวข้องใด ๆ

และในอุณหภูมิที่ต่ำมากกว่า -25 ถึง -30 องศาเซลเซียส ภายใต้พายุหิมะซึ่งมีร่างของผู้ตายกลับสวมเสื้อผ้าเพียงไม่กี่ชิ้น บางศพสวมรองเท้าเพียงข้างเดียว บางคนก็ไม่ได้สวม บางคนก็สวมแต่ถุงเท้า บางศพถูกคีมตัดเสื้อผ้าออกไป โดยมันก็น่าจะถูกคนที่ยังไม่ตาย ตัดมันไปเพื่อใช้ต่อเสียมากกว่า ต่อมาหนังสือพิมพ์ได้สรุปผลการตายของทุกคนออกมาว่า
  • หกศพจากทั้งหมดในกลุ่มล้วนเสียชีวิตจากอุณหภูมิอันหนาวเย็น
  • ในบริเวณที่พบศพ ไม่มีร่องรอยของคนที่อาศัยอยู่ในละแวกนั้น
  • ส่วนเต๊นท์ก็ถูกตัดทะลุจากด้านใน
  • ทุกศพน่าจะเสียชีวิตหลังจากทานอาหารมื้อสุดท้ายไปประมาณ 6 ถึง 8 ชั่วโมง
  • ร่องรอยของแต่ละศพ ล้วนบ่งชี้ว่าพวกเขาออกจากแคมป์มาเองด้วยการเดินเท้า
  • ส่วนศพที่เสียชีวิตเนื่องจากถูกอะไรบางอย่างพุ่งเข้าชนอย่างแรงนั้น ไม่น่าจะเกิดจากฝีมือของมนุษย์
  • บนเสื้อผ้าของผู้เสียชีวิตบางคนมีร่องรอยปนเปื้อนของสารกัมมันตรังสีเข้มข้น

แผนผังแสดงจุดที่แต่ละคนเสียชีวิต

ซึ่งในเวลานั้น มีบทสรุปถึงสาเหตุการเสียชีวิตของนักสกีไต่เขากลุ่มนี้ว่า พวกเขาน่าจะถูกพลังลึกลับจากธรรมชาติทำร้าย ซึ่งการสืบสวนก็เป็นอันต้องจบสิ้นลงในปี ค.ศ. 1959 เนื่องจากไม่สามารถจะหาตัวคนร้ายได้ และสำเนาเอกสารในคดีนี้ก็สูญหายไปหลังจากปี ค.ศ. 1990 อีก

วัตถุทรงกลมสีส้มก็น่าจะเป็นบอลลูน

โดยต่อมาได้มีการระบุว่าในช่วงที่พบศพนั้น ผิวหนังของผู้ตายทั้งหมดเป็นสีน้ำตาลเข้ม กลุ่มนักปีนเขาอื่น ๆ ที่อยู่ห่างออกไปทางใต้จากจุดเกิดเหตุกว่า 50 กิโลเมตรได้ให้การว่า พวกเขาเห็นวัตถุทรงกลมสีส้ม ลอยอยู่บนท้องฟ้าทางเหนือในตอนกลางคืน ซึ่งคาดว่ามันน่าจะเป็นบอลลูนของทางกองทัพ และมีบางรายงานพูดถึงการพบเศษโลหะรอบ ๆ จุดเกิดเหตุ บางทีมันก็อาจจะเป็นซากชิ้นส่วนทางทหารก็เป็นได้

เศษโลหะที่ใช้เป็นเบาะแสอะไรไม่ได้

มีผู้ตั้งสมมติฐานว่า บางทีกลุ่มของดีเยียตโลฟอาจจะพบกับอะไรบางอย่าง บุกเข้ามาทางประตูเต๊นท์ด้านหน้า ซึ่งมันเป็นเหตุที่ทำให้พวกเขาตัดสินใจเจาะเต๊นท์หนีออกมาด้วยความหวาดกลัวสุดขีด และนั่นก็ทำให้บางคนไม่ทันได้สวมเสื้อผ้าให้ดีก่อน โดยคนที่สวมเสื้อผ้าน้อยชิ้นน่าจะกำลังหลับอยู่ในช่วงที่เกิดเหตุ แล้วสาเหตุที่พวกเขาหนีเข้าไปในป่าก็เพราะคิดว่า ในป่าน่าจะปลอดภัยกว่าก็เป็นได้ เพียงแต่สภาพอากาศอันเหน็บหนาว ก็ได้ทำให้บางคนเสียชีวิตกันไปก่อน และเสื้อผ้าจากคนที่ตายก่อน ก็น่าจะถูกคนที่เหลือถอดเอาไปใช้ เพื่อให้รอดชีวิตต่อไป ส่วนศพที่เสียชีวิตจากการถูกอะไรบางอย่างกระแทกอย่างรุนแรงนั้น พวกเขาน่าจะถูกหิมะถล่มกดทับหนากว่า 13 ฟุต ส่วนสภาพศพของดูบินิน่านั้น เธอน่าจะถูกสัตว์กินซากทำการแทะเอาส่วนลิ้นและเนื้อบริเวณใบหน้าออกไปนั่นเอง


มีอีกสมมติฐาน ที่ดูต่างออกไปค่อนข้างมากจากรัฐแรดฟอร์ดได้ตั้งเอาไว้ว่า


บริเวณนั้นไม่มีร่องรอยของหิมะถล่ม หรือมีความน่าจะเป็นที่จะมีหิมะถล่มแต่อย่างใด อีกทั้งยังมีรายงานจากกลุ่มนักปีนเขากลุ่มอื่นเช่นกันว่า ไม่มีเหตุหิมะถล่มเกิดขึ้นเลย ส่วนดีเยียตโลฟเองก็เป็นนักเดินทางที่มีประสบการณ์สูง เขาน่าจะรู้ทางหนีทีไล่เกี่ยวกับกรณีหิมะถล่มเป็นอย่างดี แถมแต่ละศพที่ถูกพบใต้หิมะนั้น ก็ไม่ได้ถูกหิมะกลบจนฝังลึกลงไปมากนัก ส่วนร่องรอยที่คาดว่าถูกอะไรบางอย่างกระแทกนั้น น่าจะเกิดจากการตกต้นไม้ที่เขาปีนขึ้นไป โดยมีหลักฐานเป็นร่องรอยของกิ่งไม้ที่ถูกอะไรบางอย่างหักออกนั่นเอง

ปัจจุบันต้นซีดาก็ยังคงอยู่

มีนักคอลัมนิสต์ชื่อดอนนี่ เอย์ชาร์ ได้เขียนสมมติฐานของเขาไว้ในหนังสือชื่อ "เดดเมาท์เทน" ในปี ค.ศ. 2013 ว่า ลมอาจจะเป็นสาเหตุทำให้เกิดคลื่นเสียงอินฟราซาวด์เข้าโจมตีพวกเขาจนเสียสติก็เป็นได้


และมีบางคนเชื่อว่าเหตุการณ์นี้น่าจะมีทางกองทัพเป็นตัวการ เนื่องจากมีผู้พบเห็นวัตถุที่คาดว่าเป็นอุปกรณ์ทางทหารรูปทรงกลมสีส้มนั่นเอง โดยคาดว่ากลุ่มผู้เสียชีวิตอาจตกใจกับสิ่งที่พวกเขาเห็น และหนีออกไปเสียชีวิตข้างนอกเต๊นท์ จากนั้นซากศพของบางคนก็ถูกสัตว์แถวนั้นแทะกินไป


และยังมีสมมติฐานว่าพวกเขาอาจถูกเยติแห่งรัสเซียบุกทำร้ายก็เป็นไปได้ ซึ่งสมมติฐานนี้ดูจะมีไม่มีน้ำหนักสักเท่าไหร่ เนื่องจากยังไม่เคยมีรายงานการพบเยติที่นี่เลยแม้แต่ครั้งเดียว

ในรัสเซียไม่มีเยติมาก่อน (อาจจะไม่มีจริงเลยก็ได้)

และสุดท้ายคดีดีเยียตโลฟนี้ ก็ยังคงเป็นปริศนาต่อไป เพราะถึงแม้จะมีสมมติฐานที่น่าเชื่อถือ แต่คนที่สามารถเล่าเรื่องได้ดีที่สุดนั้น ก็ล้วนเสียชีวิตไปทั้งหมด ไม่มีใครสามารถกลับมาบอกเล่าความจริงได้ และต่อมาคดีการเสียชีวิตของกลุ่มดีเยียตโลฟ ก็ถูกเหล่านักเขียนนิยายนำไปดัดแปลงเพิ่มเรื่องราวออกไปจนเกินความเป็นจริง ไม่ว่าจะเป็นการทดลองทางการทหารของรัสเซีย ไปจนถึงสัตว์ในตำนานที่ไม่เคยมีจริง

สุดท้ายกลายเป็นหนัง ใส่จินตนาการเพิ่มเข้าไปจนเกินความจริง

และนิยายเหล่านี้ก็ได้ถูกนำมาใช้อ้างอิงว่า เป็นความลึกลับที่ไม่สามารถหาข้อสรุปที่มีเหตุผลได้ แต่อย่างไรก็ดี ก็ยังไม่มีใครสามารถอธิบายถึงการพบสารกัมมันตรังสีปนเปื้อนเข้มข้นที่เสื้อผ้าของบางคนได้เลย ซึ่งบางทีถ้าเราประมวลจากข้อมูลทุกอย่างรวมกัน แล้วตัดเรื่องสารกัมมันตรังสีออกไป เราก็อาจจะได้ข้อสรุปกันไปนานแล้ว

ทั้ง 9 คน จึงกลายเป็นศาลเพียงตาให้ผู้คนใช้ความระมัดระวังในการผจญภัย


โดยทั้งสามเรื่องราวที่มิติที่ 6 ได้นำมาเล่านี้ เป็นเรื่องจริงที่ไม่สามารถหาข้อสรุปได้ ตามที่ท่านผู้ชมได้แนะนำกันมา ซึ่งมันก็ทำให้เราได้ตระหนักกันว่า อะไรก็สามารถเกิดขึ้นได้บนโลกใบนี้ เพียงแต่เหตุผลการอธิบายที่สรุปว่า ไม่สามารถหาข้อสรุปได้นั้น มันก็ควรจะต้องพยายามหาคำตอบกันให้ถึงที่สุดเสียก่อน ถึงจะสามารถพูดได้อย่างเต็มปากว่า นั่นไง สิ่งลึกลับที่เกิดขึ้นจริง มันเกิดขึ้นตรงนี้นี่เอง


หลังจากจบรายการมิติที่ 6 แล้ว อย่าลืมกดสับสไครป์ กดไลค์ กดแชร์ หรือทิ้งคอมเมนต์กันไว้นะครับ ยังมีเรื่องราวต่าง ๆ อีกมากมายรอคุณอยู่ สำหรับวันนี้ สวัสดี

แปลและเรียบเรียงโดย นิวัฒน์ อ่ำแสง
ที่มา Hinterkaifeck MurdersJohnny Gosch และ Dyatlov Pass Incident

ประกาศ

เพื่อเป็นกำลังใจเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้กับเรา ขอความร่วมมือจากผู้ที่นำเรื่องราวจากมิติที่ 6 ไปใช้ในที่ของท่าน กรุณาลงเครดิตกลับมาที่เราจะเป็นพระคุณอย่างสูงครับ