22 ตุลาคม 2560

"พีระมิดแอนตาร์กติก้า" จริงๆ มันเป็นแบบนี้หรอกเรอะ !!!



เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา มีท่านผู้ชมจำนวนมากสอบถามเรื่องราวของพีระมิดแอนตาร์กติก้ามาทางข้อความของแฟนเพจมิติที่ 6 โดยทุกท่านนำลิงค์มาจากเพจแนววิทยาศาสตร์แห่งหนึ่ง

ซึ่งเป็นเพจที่นำเสนอเรื่องราวที่ทางเพจบอกว่าเป็นเรื่องของวิทยาศาสตร์ โดยโพสต์นี้พูดถึงสถานที่แห่งหนึ่งที่อ้างว่าเป็นพีระมิดแห่งแอนตาร์กติก้า โดยเนื้อหามีดังต่อไปนี้
ทวีปแอนตาร์กติกาขึ้นชื่อเรื่องของดินแดนลึกลับ ล่าสุด Google Earth ได้เผยภาพให้เห็นถึงกลุ่มพีระมิด ทั้ง 3 ที่ปกคลุมไปด้วยหิมะในแอนตาร์กติกา ซึ่งพีระมิด 2 แห่งอยู่ห่างจากชายทะเลประมาณ 10 ไมล์ และอีกแห่งอยูติดกับทะเล
 

ซึ่งการค้นพบครั้งนี้อาจจบลงด้วยการเขียนหน้าประวัติศาสตร์ใหม่ทั้งหมด เนื่องจากที่เรารู้กันว่าทวีปแอนตาร์กติกาหนาวเหน็บขนาดไหน และไม่น่าจะมีชนเผ่าใดมีเทคโนโลยีในการสร้างพีระมิดได้ 
แต่ถ้ามีความเป็นไปได้ว่าจะมีใครสร้างไว้ก็ต้องย้อนกลับไปกว่าล้านปีก่อน ในครั้งที่แผ่นดินแอนตาร์กติกายังไม่ได้ขยับมาตรงขั้วโลก หรือจะเป็นกลุ่มนั้นสำรวจอังกฤษมาสร้างก็ไม่มีทางเป็นไปได้
 

ดร. Vanessa Bowman กล่าวว่า
 
"ถ้าย้อนกลับไปเมื่อ 100 ล้านปีที่แล้ว แอนตาร์กติกาถูกปกคลุมไปด้วยป่าดิบชื้นอันเขียวชอุ่มคล้ายกับที่มีอยู่ในนิวซีแลนด์ตอนนี้ ซึ่งทาง NASA เองก็ดูเหมือนจะเห็นด้วยเช่นกัน 
เนื่องจากเมื่อเดินทางไปยังทะเลสาบ Vida ของแอนตาร์กติกา พวกเขาค้นพบรูปแบบจุลินทรีย์ที่ติดอยู่ใต้แผ่นน้ำแข็งหนา 65 ฟุต คล้ายกับจุลินทรีย์จากภูมิอากาศเขตร้อนมาก  

 

ทุกวันนี้เรายังไม่สามารถอธิบายเกี่ยวกับเทคโนโลยีการสร้างพีระมิดในยุคก่อนได้เลย ซึ่งพีระมิดดำนี้ยิ่งสร้างยากกว่าอีก ทั้งภูมิอากาศที่ไม่เอื้ออำนวย รวมไปถึงระบบขนส่ง และกำลังคนในการสร้างอีก
 
ซึ่งเราอาจต้องมองถึงลำดับเวลาในอดีตใหม่ทั้งหมด เพราะอาจเป็นไปได้ว่าอาจจะมีอารยธรรมที่เคยอาศัยอยู่และสร้างพีระมิดนี้ขึ้น แต่เราไม่อาจที่จะทราบได้เพราะเราไม่สามารถเจาะน้ำแข็งลงไปดูได้ 
เราได้แต่หวังว่าเทคโนโลยีสมัยใหม่อาจทำให้เราค้นพบอะไรใหม่ๆ หรือภาวะโลกร้อนที่ทำให้น้ำแข็งละลายเราอาจได้ค้นพบอะไรมากขึ้น เหมือนน้ำลดตอย่อมผุดนั้นเอง
------------

ซึ่งท่านผู้ชมที่ส่งเรื่องนี้มาให้เราดู ก็อยากทราบกันมากว่ามันเป็นเรื่องจริงหรือเปล่า ? เพราะสถานที่หนาวเหน็บอย่างแอนตาร์กติก้ามันสามารถมีสิ่งมีชีวิตอันทรงภูมิปัญญา เดินทางไปสร้างพีระมิดกันทำไม ?

ทางมิติที่ 6 เองก็รู้สึกสงสัยเช่นกัน เพราะหลังจากที่เราทำเรื่องราวเกี่ยวกับมัมมี่ และพีระมิดอียิปต์ มาจำนวนหนึ่ง เราก็ทราบว่าจริง ๆ แล้วมันเป็นสถานที่สำหรับใช้ทำเป็นสุสานฝังพระศพและสมบัติของฟาโรห์ ไม่ได้มีอะไรมากไปกว่านั้น

ทุกครั้งที่เราทำก็มักจะมีการนำเสนอทฤษฎีบอกว่าน่าจะเป็นอะไรหลาย ๆ อย่างที่ได้วิธีการก่อสร้างมาจากมนุษย์ต่างดาว ไม่ก็ความไม่สมเหตุผลของเทคโนโลยีของคนโบราณที่ไม่น่าจะสร้างอะไรยิ่งใหญ่ได้

สิ่งที่เราได้รับรู้จากการหาข้อมูลนั้นก็คือ ชาวอียิปต์นั้นมีอารยธรรมสูงมานานแล้ว และนั่นก็เป็นสิ่งที่ทำให้ชาวอียิปต์ในยุคปัจจุบันภาคภูมิใจในความเก่งกาจทางด้านสถาปัตยกรรม 

แล้วจู่ ๆ ก็มีข่าวเกี่ยวกับพีระมิดในแอนตาร์กติก้าขึ้นมาแบบนี้ เพราะอะไรกันแน่ ?

มิติที่ 6 ได้เข้าไปในเว็บไซต์กูเกิลเพื่อหาข้อมูลเพิ่มเติมโดยใช้คำค้นง่าย ๆ ว่า pyramid antarctica ซึ่งก็ถือได้ว่าเป็นพื้นฐานในการหาข้อมูลของเรา แล้วผลการค้นหาก็บอกเราในทันทีว่า... มันคือข่าวปลอมที่ถูกสร้างขึ้น !!!


ทีนี้ความเป็นจริงมันคืออะไรกันแน่ ?

คำตอบคือ ที่มาของข่าวพีระมิดแอนตาร์กติก้านั้นมาจากเว็บไซต์แนวคลิกเบท หรือเว็บหลอกให้คนคลิกเข้าไปเพื่อหารายได้จากการโฆษณา โดยเนื้อหาก็เป็นไปตามที่เว็บไซต์ของไทยได้แปลมา สังเกตได้ว่า มีการใช้คำให้ดูเหมือนกับเป็นเรื่องวิทยาศาสตร์ที่มนุษยชาติต้องหันมามองประวัติศาสตร์ของโลกกันใหม่ โดยอ้างชื่อบุคคลหนึ่งนั่นก็คือ ดร. วาเนสซา บาวแมน ที่หลังจากมิติที่ 6 ได้ลองค้นประวัติของเธอเรากลับไม่พบว่าเธอเป็น ดร. อย่างที่ในข่าวบอกแต่อย่างใด

วาเนสซา บาวแมน คือศิลปินผู้สร้างสรรค์งานศิลปะมี เว็บไซต์ ผลงานเป็นเรื่องเป็นราว ซึ่งมันก็เป็นไปได้ว่าอาจเป็นคนละคนกัน เพียงแต่เราก็ไม่เข้าใจว่า ถ้าเธอคนนี้เป็น ดร. จริง ๆ แล้วทำไมถึงไม่มีประวัติของเธอ ถูกบันทึกเอาไว้ในที่แห่งใดเลย ? ดังนั้นเนื้อหาข่าวที่ถูกยกมา จึงเป็นข่าวปลอม 100% โดยไม่ต้องสงสัย


แล้วภาพถ่ายจากกูเกิลเอิร์ธ มันคืออะไร ?

มิติที่ 6 ก็ต้องขอยกภาพถ่ายยอดพีระมิดที่ว่านี้มาให้ดูกันในอีกมุม ที่น่าจะตอบทุกอย่างได้ชัดเจนครับ จะเห็นได้ว่ามันเป็นเพียงยอดเขาธรรมดาเท่านั้น !



แล้วภาพมุมสูงจากกูเกิลเอิรธคืออะไร ?

มิติที่ 6 ขอนำภาพเต็ม ๆ ของภาพที่ว่ามาให้ได้ดูประกอบดังนี้


พอหมุนภาพกลับด้านนิดเดียว มันก็ดูเป็นเพียงยอดเขาเฉย ๆ ทันทีครับ


แล้วทำไมมันถึงดูคล้ายกับพีระมิดได้ ?

มิติที่ 6 ก็ต้องขอยกคำพูดจาก ศจ. อีริค รีนอต นักวิทยาศาสตร์ระบบโลก แห่งมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย 

"ศจ. อีริค รีนอต"

โดยศาสตราจารย์ท่านนี้ได้เขียนจดหมายอธิบายเกี่ยวกับเรื่องนี้เอาไว้เมื่อเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 2016 บอกกับทางสำนักข่าว CBS และเว็บไซต์ Live Science ว่า...

“This is just a mountain that looks like a pyramid.” 

"เจ้านี่มันก็แค่ภูเขาที่ดูเหมือนพีระมิดเท่านั้น"

ทำไม ศจ. อีริค ถึงบอกแบบนั้น เราก็ลองมาดูกันสักนิดครับ

 “Pyramid shapes are not impossible – many peaks partially look like pyramids, but they only have one to two faces like that, rarely four.”

"รูปร่างพีระมิดมันเป็นไม่ได้ - ยอดเขาหลาย ๆ แห่งมันก็ดูเหมือนพีระมิดนะ แต่มันจะดูเหมือนแบบนั้นก็แค่ด้านหรือสองด้านท่านั้น ไม่ใช่ทั้ง 4 ด้านแน่นอน" 


ดังนั้นเราก็เลยอยากจะให้ทุกท่านกลับมาดูภาพจากเว็บไซต์ข่าวไทยกันอีกครั้ง


เราจะเห็นได้ชัดว่า มันเป็นเหลี่ยมมุมเหมือนพีระมิดเพียงแค่ 2 ด้านเท่านั้นจริง ๆ ส่วนอีกด้านที่ถูกหิมะคลุมมันจะไม่รู้สึกว่าเป็นพีระมิดแล้ว นั่นหมายความว่าการพยายามปูเนื้อเรื่องของข่าวปลอมนั้น สามารถทำให้เรามองเห็นยอดเขาธรรมดากลายเป็นพีระมิดได้จริง ๆ

ก็อย่างที่บอกกันทุกครั้งครับ มิติที่ 6 ไม่ได้รู้ทุกเรื่อง เราไม่ใช่นักวิทยาศาสตร์ แต่เราเป็นนักอ่านและนักทำรายการแนวเรื่องลี้ลับ ที่ใช้เหตุผลแห่งความเป็นจริงมาเป็นที่ตั้ง และเราเองก็ไม่เคยคิดเหมือนกันว่าจะต้องมาหาคำตอบทางด้านวิทยาศาสตร์เพื่อทำลายความน่าเชื่อถือของเว็บไซต์แห่งใด

สิ่งที่เราทำนั้นเป็นเพียงการสานต่อเรื่องราวที่ถูกก่อเอาไว้ให้จบในแบบที่หลาย ๆ ท่านก็สงสัยว่ามันก็น่าจะเป็นแบบนั้นเท่านั้นเองครับ ซึ่งเราก็อยากให้เว็บไซต์แนววิทยาศาสตร์ของไทยค้นหาข้อมูลให้ถึงที่สุดครับ

แล้วอย่าลืมติดตามรายการมิติที่ 6  และกดสับสไครป์ กดไลก์ กดแชร์ หรืออย่าลืมทิ้งคอมเมนต์เพื่อให้กำลังใจกันด้วยนะครับ ยังมีเรื่องราวต่าง ๆ อีกมากมายรอคุณอยู่ สำหรับวันนี้... สวัสดี !

แปลและเรียบเรียงโดย นิวัฒน์ อ่ำแสง

11 ตุลาคม 2560

มิติที่ 6 เปิดปมปริศนา Crystal Skull กะโหลกคริสตัลปริศนาแห่งมายัน !!!



บนโลกใบนี้ยังมีเรื่องราวต่าง ๆ อีกมากมายที่เรายังไม่เคยรู้ บางเรื่องก็เป็นเรื่องจริง บางเรื่องมันก็ไม่ใช่ ซึ่งทุกอย่างมันก็ขึ้นอยู่กับเราว่าจะเชื่อกันไปในทิศทางใด !!!

กดเพื่อดูคลิปที่นี่

มิติที่ 6 สัปดาห์นี้ เราจะนำท่านไปค้นหาที่มาของวัตถุชิ้นหนึ่ง วัตถุที่บางคนบอกว่ามันคือของที่ถูกสร้างขึ้นจากโลกโบราณ บางคนก็บอกว่ามันเป็นสิ่งล้ำค่าที่มาจากต่างดาวอันไกลโพ้น ซึ่งก็มีบางคนเลือกที่จะไม่เชื่อทั้งสองอย่าง นั่นจึงทำให้เราถูกท่านผู้ชมสอบถามกันมาว่า แท้ที่จริงแล้ว... มันคืออะไรกันแน่ !?


เรื่องมันเริ่มมาจากปี ค.ศ. 1926 ตอนนั้น แอนนา มิตเชลเฮจส์ บุตรสาวบุญธรรมของ เฟรเดอริค อัลเบิร์ต มิตเชลเฮจส์ นักผจญภัยและนักเขียนชาวอังกฤษ ได้พบบางสิ่งบางอย่างที่สุดมหัศจรรย์ที่ทำให้คนทั่วโลกมองว่าเธอนั้นเป็นดังเช่น ลาร่า ครอฟท์ หญิงสาวนักผจญภัยในดินแดนสุสานอันตราย จากในเกมคอมพิวเตอร์และภาพยนตร์ฮอลิวูด !

"เฟรเดอริค อัลเบิร์ต มิตเชลเฮจส์"
เธอไต่เชือกลงไปในศาสนสถานโบราณแห่งหนึ่งของชาวมายันในเมืองเบลิซ ที่ในปัจจุบันถูกธรรมชาติลุกล้ำนำกลับไปเป็นส่วนหนึ่งของมันแล้ว และที่นั่นภายใต้ซากแท่นบูชาโบราณ แอนนาได้พบกับบางสิ่งบางอย่างที่ต่อมาก็ได้กลายเป็นจุดสนใจของผู้คนยุคใหม่ มันคือสิ่งประดิษฐเล็ก ๆ ที่สร้างขึ้นในยุคโบราณ ที่ต่อมาใคร ๆ ต่างก็เรียกมันว่า กะโหลกคริสตัลแห่งมายัน !

"Skull of Doom" หรือ "Crystal Skull" 

กะโหลกคริสตัลชิ้นนี้มันถูกสร้างขึ้นมาด้วยความปราณีต ที่เชื่อกันว่าผู้ที่สร้างสิ่งนี้ขึ้นมาได้นั้น จะต้องเป็นช่างฝีมือผู้ชำนาญการเฉพาะทาง สภาพของมันถูกเก็บรักษาไว้อย่างดี มีขนาดประมาณสองในสามของกะโหลกมนุษย์จริง
ตั้งแต่วันที่แอนนาได้นำมันกลับมา ครอบครัวมิตเชลเฮจส์ก็ได้ปกปิดเรื่องราวของมันเอาไว้ยาวนานกว่า 30 ปี โดยไม่เคยมีใครรู้เลยว่าครั้งหนึ่งลูกสาวของบ้านนี้ได้พบเจอสมบัติล้ำค่าโบราณ
จนกระทั่งในที่สุด เฟรเดอริค อัลเบิร์ต มิตเชลล์เฮจส์ ได้กล่าวถึงกะโหลกแก้วคริสตันแห่งมายันชิ้นนี้ เอาไว้ในหนังสือของเขาชื่อ แดนเจอร์มายอัลลี่ (Danger My Ally) โดยอธิบายเอาไว้ว่า เจ้าสิ่งนี้มันคือกะโหลกคริสตัลอายุ 3,600 ปี ที่เคยถูกใช้โดยนักบวชชาวมายันเพื่อชี้เป็นชี้ตายแก่ผู้คน โดยอาศัยอำนาจลึกลับของมัน มาเพิ่มความน่ายำเกรงให้แก่พวกเขา

หนังสือ "แดนเจอร์มายอัลลี่ (Danger My Ally)"


ต่อมาหลังจากการเสียชีวิตของเฟรเดอริค แอนนาจึงได้นำสิ่งที่เธอเรียกว่า "Skull of Doom" หรือ "กะโหลกแห่งการลงทัณฑ์" ออกตระเวณแสดงตามงานที่เกี่ยวข้องไปทั่วโลก และตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาพลังอำนาจปริศนาของมันจึงได้ถูกพูดถึงกันเป็นวงกว้าง


เซอร์อาร์เธอร์ ชาลส์ คลาร์ก นักเขียนนิยายวิทยาศาสตร์ชาวอังกฤษ ที่มีผลงานเป็นที่รู้จักก็คือ นิยายชุดจอมจักรวาล (Space Odyssey) และชุดดุจดั่งอวตาร (Rendezvous with Rama) เขาคือผู้ที่นำกะโหลกแก้วคริสตันชิ้นนี้ไปออกรายการทีวีของเขา ที่ตอนนั้นมีชื่อรายการว่า Arthur C. Clarke's Mysterious World

"เซอร์อาร์เธอร์ ชาลส์ คลาร์ก" นำไปออกรายการทีวี

ในภาพยนตร์เรื่อง
อินเดียนาโจนส์ (ภาค 4) ก็ได้ใช้เรื่องราวเกี่ยวกับกะโหลกคริสตัลมาเป็นตัวชูโรงเกี่ยวกับพลังอำนาจอันลึกลับ

กะโหลกแก้วในเรื่อง "อินเดียน่าโจนส์"
ยิ่งกว่านั้นก็มีการจัดทำสารคดีเต็มรูปแบบเพื่อระบุกันว่า กะโหลกคริสตัลชิ้นนี้มันคือผลงานการสร้างของ "มนุษย์ต่างดาวโบราณ" ที่นำมาจากแอตแลนติสไม่ก็รอสเวลล์ ไม่ก็ถูกนำมาจากดวงดาวอันไกลโพ้นที่ไหนสักแห่ง แต่ถ้าจะให้สรุปกันจริง ๆ ก็คือ ตลอดช่วงเวลากว่าสี่สิบปีที่ผ่านมา การพูดถึงกะโหลกแก้วคริสตัลนั้น เป็นเรื่องราวที่เริ่มต้นมาจากแอนนาเพียงผู้เดียว


บางกลุ่มคนที่เชื่อในพลังงานลึกลับของมันบอกว่า จริง ๆ แล้วกะโหลกคริสตัลนั้นมันไม่ได้มีอยู่เพียงชิ้นเดียว แต่มันกระจัดกระจายอยู่ตามที่ต่าง ๆ ทั่วโลก และเจ้ากะโหลกคริสตัลจากทั่วโลกที่ว่านั้น มันก็ล้วนมีพลังงานซ่อนอยู่มากเกินกว่าที่เราจะคาดเดาได้ พวกมันมีพลังแห่งการทำนายอนาคต รักษาอาการเจ็บไข้ไปจนถึงใช้ติดต่อสื่อสารกับคนตาย


ผู้คนอีกส่วนก็ยืนยันว่ามันมีคุณสมบัติในการหักเหของแสงต่างจากคริสตัลทั่วไป โดยคนกลุ่มนี้บอกว่า ไม่ว่าอุณหภูมิตรงนั้นจะร้อนหรือจะหนาว ระยะทำมุมหักเหของแสงที่ผ่านเจ้ากะโหลกคริสตัลพวกนี้มันจะอยู่ที่ 70 องศาตลอดเวลา และมองว่าสาเหตุที่เป็นแบบนั้นได้ ก็เพราะมันมีพลังงานออร่าเปล่งออกมา จนสามารถนำกล้องมาถ่ายให้เห็นได้อย่างชัดเจน
และที่สุดของที่สุดนั้นคือมีบางคนออกมายืนยันว่า ถ้าหากมีใครนำกะโหลกคริสตัลทั้งหมดมารวมอยู่ที่เดียวกันได้สำเร็จ วันนั้นมันจะเป็นวันสุดท้ายของมนุษยชาติ โลกจะถูกทำลายด้วยอะไรบางอย่างที่น่ากลัว และนั่นจึงเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้เราไม่ควรเสาะหากะโหลกคริสตัลให้พบทุกชิ้น

เมื่อรวมกันจะเป็นวันสุดท้ายของมนุษยชาติ !!!
แต่ก่อนที่เราจะพูดอะไรกันต่อ มิติที่ 6 ต้องขออธิบายให้ท่านผู้ชมเข้าใจกันก่อนว่า เราเป็นรายการค้นหาที่มาของเรื่องราว ดังนั้นสิ่งที่เรากำลังจะเล่าต่ออาจจะไม่ใช่สิ่งที่ถูกใจสำหรับกลุ่มคนบางกลุ่ม และเราก็ไม่ต้องการให้ท่านผู้ชมเชื่อในสิ่งที่เรากำลังจะนำเสนอ ดังนั้น "โปรดใช้วิจารณญาณประกอบการรับชม" กันด้วยนะครับ
สิ่งแรกที่เราจะต้องทราบก่อนทุกอย่างนั้นก็คือ แท้ที่จริงแล้วกะโหลกคริสตัลของแอนนาไม่น่าจะมีอายุเก่าแก่ถึง 3,600 ปีตามเรื่องเล่า และสถานที่ ๆ แอนนาพบมันนั้นมันก็น่าจะอยู่ใกล้ ๆ กับบ้านของเธอมากกว่าเมืองเบลิซ เพราะจริง ๆ แล้วเฟรเดอริคพ่อของแอนนาได้ซื้อกะโหลกใบนี้มาจากตัวแทนตลาดค้าส่งงานศิลปะคนหนึ่ง ชายคนนี้ชื่อ ซิดนีย์ เบอร์นี่ ผ่านการประมูลของบริษัทขายงานศิลปะโซเธอบี้ เมื่อวันที่ 15 ตุลาคม ค.ศ. 1943
โดยหลักฐานการซื้อขายครั้งนั้นถูกเปิดเผยจาก โจ นิคเคล นักสืบแนวปริศนาที่มิติที่ 6 พูดถึงเขาอยู่บ่อย ๆ รวมไปถึงนักสืบอีกหลายคนที่ร่วมกันค้นหาที่มาของมัน นั่นจึงทำให้เป็นสิ่งที่อธิบายได้ว่าทำไมทั้งเฟรเดอริค และแอนนานั้นไม่เคยพูดอะไรเกี่ยวกับกะโหลกคริสตั้ลชิ้นนี้เลยตั้งแต่แรก

"โจ นิคเคล" นักสืบแนวปริศนาออกมาแฉอีกแล้ว
จนกระทั่งเวลาผ่านไปหลังจากที่เฟรเดอริคซื้อมันมา เรื่องราวกะโหลกคริสตัลของชาวมายันชิ้นนี้ถึงได้ถูกบอกเล่าในหนังสือของเขา มันจึงทำให้มีการคาดเดาจากเหล่านักสืบปริศนากันว่า ถ้าเป็นอย่างที่พวกเขาคิดก็หมายความว่าบางทีเรื่องราวของมันอาจถูกเฟรเดอริคเป็นคนสร้างขึ้นมา เพื่อเขียนลงในหนังสือของเขาเท่านั้นหรือเปล่า ?


แต่ถ้าจะเข้าข้างว่าทั้งสองพ่อลูกคู่นี้ไม่รู้เรื่อง มันก็อาจเป็นไปได้ว่าซิดนีย์ เบอร์นี่น่าจะเป็นคนพบกะโหลกคริสตัลแห่งมายันชิ้นนี้ และเป็นผู้ที่สืบค้นประวัติของมันย้อนกลับไป จนสามารถระบุได้ว่ามันอาจจะเป็นของที่นำมาจากชาวแอตแลนติส ซึ่งเราก็ทราบข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับเรื่องนี้เช่นกันว่า จริง ๆ แล้วซิดนีย์ เบอร์นี่ เป็นเจ้าของกะโหลกคริสตัลชิ้นนี้มาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1933
โดยหลักฐานนั้นก็คือจดหมายฉบับหนึ่งที่เขาเขียนส่งถึงพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ธรรมชาติอเมริกัน ใจความบอกว่าในช่วงปีนั้นเขาได้ครอบครองสิ่งนี้ไว้เรียบร้อยแล้ว และสามปีต่อมาก็มีนักข่าวสายมานุษยวิทยาชาวอังกฤษท่านหนึ่ง เขียนข่าวเกี่ยวกับเรื่องนี้เอาไว้พาดหัวสั้น ๆ ว่า กะโหลกของเบอร์นี่ และเนื้อหาในข่าวปี ค.ศ. 1936 ดังกล่าวก็ยังพูดถึงเรื่องราวของหัวกะโหลกคริสตัลชิ้นอื่น ๆ ด้วย ซึ่งเรื่องนี้ในเวลาต่อมาก็มีรายการสารคดีของบางช่องอ้างอิงจากข่าวนี้ว่า กะโหลกคริสตัลมันไม่ได้มีเพียงชิ้นเดียวนั่นเอง


ยังมีข้อมูลที่ยังไม่สามารถยืนยันอีกส่วนระบุว่า ซิดนีย์ซื้อกะโหลกชิ้นนี้มาจากนักสะสมชาวฝรั่งเศษชื่อ ยูจีน โบบัง แต่ถึงจะยืนยันไม่ได้ชัดเจนว่าใช่หรือเปล่า เรื่องราวทั้งหมดมันก็ดูเป็นเหตุเป็นผล เพราะตอนนั้นมีพยานประมาณสองคนหรือมากกว่านั้น รู้ว่ายูจีน โบบัง ซื้อกะโหลกคริสตัลมาอย่างน้อย 2 ชิ้น ในช่วงเวลาเดียวกันกับที่ซิดนีย์ครอบครองมันแล้ว

"ยูจีน โบบัง"
ดังนั้นถ้าเฟรเดอริคเป็นอินเดียน่าโจนส์ตัวจริง ยูจีนก็น่าจะเป็นเรเน่ อีมิล เบลล็อก คู่ปรับตลอดการของอินเดียน่าโจนส์ เพราะยูจีนเองก็เป็นชาวฝรั่งเศส และก็ไม่เคยบุกเข้าไปในสุสานป่าลึกด้วยตัวเองเพื่อเสาะแสวงหาศิลปะโบราณล้ำค่า ไปขายต่อให้กับพิพิธภัณฑ์เหมือนกับในภาพยนตร์ แต่สิ่งที่ทำให้ยูจีนต่างจากตัวละครจอมโกงตัวนี้ก็คือ เขาแค่ซื้อกะโหลกคริสตัลเหล่านี้มาจากผู้ที่สร้างมันขึ้นมา
ผู้ผลิตสินค้าพวกนี้ก็อยู่ในเมืองหนึ่งของประเทศเยอรมณี ที่ได้รับฉายาว่าเป็นเมืองหลวงแห่งอุตสาหกรรมอัญมณีชื่อ ไอดาร์โอเบอร์สไตน์ โดยเมืองแห่งนี้ถือเป็นบ้านเกิดของช่างฝีมือด้านหินประดับเก่ง ๆ มากมาย โดยในช่วงปี ค.ศ. 1870 ช่างฝีมือของไอดาร์โอเบอร์สไตน์ได้ซื้อหินควอร์ซคริสตัลจำนวนมากมาจากประเทศบราซิล เพื่อจะได้นำมาทำการเจียรไนเป็นผลงานขายกันต่อ
ถึงแม้จะไม่มีเอกสารยืนยันเกี่ยวกับการซื้อขาย แต่ก็มีบันทึกระบุว่าช่างฝีมือของไอดาร์โอเบอร์สไตน์ได้ขายสินค้าอันงดงามโดยใช้หินควอร์ซจากบราซิลมาเป็นวัตถุดิบ ส่วนยูจีนก็คือผู้ที่ได้มันมาอย่างน้อย 3 ชิ้น และก็เป็นไปได้ว่าเขาอาจจะซื้อมันมาถึง 13 ชิ้นเลยทีเดียว ซึ่งของที่ว่านั้นก็ไม่ใช่อะไร มันก็หัวกะโหลกคริสตัลที่ทำจากหินควอร์ซบราซิเลียนนั่นเอง !


จากเอกสารที่ถูกพบโดย เจน วอลช์ เจ้าหน้าที่เอกสารของสถาบันสมิธโซเนียน ซึ่งเป็นสถาบันวิจัย สถาบันการศึกษาและพิพิธภัณฑ์ ที่บริหารจัดการและได้รับทุนจากรัฐบาลสหรัฐอเมริกา ระบุว่ายูจีนได้ขายกะโหลกคริสตัลของเขาชิ้นหนึ่งให้กับบริษัทผู้จำหน่ายกระจกและคริสตัลทิฟฟานี่ ที่อยู่ในเมืองนิวยอร์ก ก่อนที่มันจะถูกขายต่อไปยังพิพิธภัณฑ์อังกฤษในปี ค.ศ. 1897

"เจน วอลช์" ก็ออกมาแฉแบบเซ็งๆ
โดยหลักฐานประกอบเกี่ยวกับเรื่องนี้ก็คือ ข่าวจากหนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทม์ ที่พาดหัวบอกว่าทางพิพิธภัณฑ์อังกฤษ ได้รับมอบกะโหลกคริสตัลชิ้นดังกล่าวมาจากบริษัททิฟฟานี่ ที่ระบุว่าพวกเขาได้มันมาจากนักสะสมชื่อ จอร์จ เอช ซิสสัน อีกที และจอร์จเองก็ได้บอกเล่าประวัติของมัน โดยชี้ชัดไปที่เจ้าของเดิมคนแรกว่า เขาซื้อมันมาจากยูจีน โบบังตั้งแต่ปี ค.ศ. 1887

ข่าวจาก "หนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทม์"
ต่อมายูจีนก็ขายกะโหลกคริสตัลชิ้นที่สองไป โดยเขาขายมันให้กับศูนย์แสดงงานศิลปะอาร์ฟองเซ่ ก่อนที่จะถูกส่งมอบให้พิพิธภัณฑ์แห่งมนุษยชาติในกรุงปาริส


โดยเส้นทางของทั้งกะโหลกคริสตัลในอังกฤษและปารีสนี้ มันได้ถูกบันทึกไว้เมื่อปี ค.ศ. 1890 อยู่ในหนังสือชื่อ Gems and Precious Stones of North America ของจอห์น เฟรเดอริค คันซ์ หน้าที่ 285 และ 286

"หนังสือ Gems and Precious Stones of North America" หน้าที่ 285 และ 286
นั่นจึงทำให้หลายสิบปีที่ผ่านมา ทั้งพิพิธภัณฑ์อังกฤษและปารีสได้จัดแสดงกะโหลกคริสตัลของพวกเขา พร้อมกับประวัติที่ถูกยูจีนเล่าให้กับลูกค้าของเขาฟังว่า มันคือกะโหลกคริสตัลที่ได้มาจากยุคก่อนชาวโคลัมเบียนแอซเท็ค

จัดแสดงที่พิพิธภัณฑ์ "อังกฤษ" และ "ปารีส"
โดยต่อมาการแยกกันศึกษาของทั้งสองพิพิธภัณฑ์ก็เกิดขี้น โดยในช่วงยุคปี ค.ศ. 1990 ที่ประเทศอังกฤษ รวมไปถึงกะโหลกคริสตัลอีกบางชิ้นที่ทราบว่าได้มาจากยูจีน ซึ่งก็ได้ทางสถาบันสมิตโซเนียนเป็นเจ้าภาพร่วมพิสูจน์ ผ่านกระบวนการตรวจสอบด้วยเครื่องอิเล็คตรอนไมโครสโคป ยืนยันออกมาว่าหัวกะโหลกคริสตัลทั้งหมดนั้น มันถูกสร้างขึ้นในยุคคริสศตวรรษที่ 19 ด้วยเครื่องมือเจียรไนที่สามารถระบุได้ว่ามันเป็นของที่ถูกใช้กันอยู่ โดยช่างฝีมือของเมืองไอดาร์โอเบอร์สไตน์ในยุคนั้น

ร่วมกันพิสูจน์

นั่นจึงทำให้ในปัจจุบันทางพิพิธภัณฑ์อังกฤษ ได้ระบุที่มากะโหลกคริสตัลของเขาใหม่ว่า
“มันน่าจะเป็นของที่ถูกสร้างขึ้นในยุโรปยุคศตวรรษที่ 19” (probably European, 19th century)
และย้ำว่า “มันไม่ใช่ของที่สร้างจากยุคก่อนโคลัมเบียน”


ส่วนหัวกะโหลกคริสตัลของปารีสที่ถูกระบุว่าได้มาจากยูจีนเช่นกันนั้น มันก็ได้ถูกตรวจสอบเช่นเดียวกันในปี ค.ศ. 2008 ซึ่งผลก็ระบุออกมาไม่ต่างกันก็คือ มันถูกสร้างขึ้นด้วยเครื่องมือสมัยใหม่ และจากการทดสอบด้วยการเร่งอนุภาคมีการพบร่องรอยของน้ำที่ใช้ในระหว่างการตัดและขัด ประทับอยู่อย่างชัดเจนในเนื้อหินควอร์ซ ที่ยืนยันว่ามันถูกสร้างขึ้นในช่วงระหว่างปี ค.ศ. 1867 ถึง ค.ศ. 1886 ด้วย


นั่นก็รวมไปถึงเจ้าของคนปัจจุบันที่ครอบครองกะโหลกคริสตัลชื่อ บิล ฮอร์แมนน์ ที่ยอมส่งกะโหลกคริสตัลที่เขาได้มาจากแอนนา มิตเชลล์เฮจส์ ไปตรวจสอบด้วยเครื่องมือสมัยใหม่

"บิล ฮอร์แมนน์" เจ้าของคนล่าสุด
และเจ้าของกะโหลกคริสตัลอีกคนที่อยู่ในเท็กซัส ที่เราทราบเพียงแค่เธอชื่อว่า แม็กซ์ เธอระบุว่ากะโหลกคริสตัลของเธอนั้นได้มาจากการประชุมผู้นิยมเวทย์มนต์แห่งหนึ่ง เพียงแต่ผลการตรวสอบกะโหลกคริสตัลทั้งสองชิ้นนั้นไม่เป็นที่เปิดเผยออกมาให้รู้กันทั่วไป นั่นทำให้เราก็เลยไม่รู้เช่นกันว่า หัวกะโหลกคริสตัลของบ้านมิตเชลล์เฮจส์นั้นได้ผลการตรวจสอบออกมาเป็นอะไรกันแน่

"แม็กซ์" (นามแฝง) เจ้าของล่าสุดอีกคน


ถึงแม้กะโหลกคริสตัลของสองพ่อลูกเฟรเดอริคและแอนนา มิตเชลล์เฮจส์ จะไม่ถูกเปิดเผยว่ามันเป็นของโบราณจริง ๆ หรือจะเป็นเพียงของที่ถูกทำขึ้นมาจากช่างฝีมือยุคปี ค.ศ. 1870 แต่เราก็ทราบกันไปหมดแล้วว่ามันเป็นของที่ได้มาจากซิดนีย์ เบอร์นี่เมื่อปี ค.ศ. 1933 และถึงจะไม่มีพยานยืนยันว่าจริง ๆ แล้วมันเป็นของจากยุคไหนกันแน่ !

"แอนนา มิตเชลล์เฮจส์" (เสียชีวิตเมื่อ ค.ศ. 2007)
เราก็ได้คำตอบมาอย่างหนึ่งก็คือ เฟรเดอริคและแอนนา มิตเชลเฮจส์ไม่ได้พบมันจากสุสานของชาวมายัน การผจญภัยของสองพ่อลูกไม่เคยเกิดขึ้นจริง มีแต่ความเป็นจริงก็คือเขาได้มันมาจากการประมูลของบริษัทโซเธอบี้ ผ่านทางผู้ค้าชื่อซิดนีย์ เบอร์นี่ นั่นเอง


จากข้อมูลทั้งหมดมันก็ทำให้มิติที่ 6 ไม่อยากจะฟันธงว่า เรื่องราวปริศนาของกะโหลกคริสตัลแห่งมายันนั้น มันเป็นของชาวมายันหรือชาวแอตแลนติส หรือเป็นของมนุษย์ต่างดาวกันแน่ เพราะสิ่งที่เราค้นหามาจากวิกิพีเดียนั้นมีอยู่เท่าที่เห็น

หรือมันจะเป็นเพียงเรื่องราวที่เฟรเดอริคสร้างขึ้นเพื่อให้แอนนาลูกสาวของเขาได้รับความภาคภูมิใจ ว่าเธอพบของโบราณล้ำค่าชิ้นนี้ มันก็จะใจร้ายเกินไปหรือเปล่าที่จะบอกแบบนั้น
บางทีโลกของเราอาจจะมีพลังลี้ลับอยู่จริง ๆ หรือว่าทุกอย่างมันเป็นเพียงแค่จินตนาการ หรือกะโหลกคริสตัลแห่งมายันจะเป็นแค่ของจากยุคใหม่ มันก็ขึ้นอยู่กับวิจารณญาณของท่านผู้ชมเพียงเท่านั้น !
อย่างไรแล้วก็อย่าลืมบอกให้เราทราบ ผ่านการโหวตด้วยแบบสอบถามของยูทูป ด้วยการกดที่เครื่องหมายนี้ ( i ) ที่บริเวณมุมบนขวาของคลิปกันด้วยนะครับ
ท่านคิดว่าใครสร้างกะโหลกคริสตัลชิ้นนี้ ?
- ชาวมายัน เมื่อ 3,600 ปีก่อน !!!
- ชาวแอสเท็ค เมื่อ 3,600 ปีก่อน !!!
- มนุษย์ต่างดาว เมื่อนานมากกกก !!!
- ชาวเยอรมัน เมื่อ 100 ปีก่อน !!!


หลังจากจบรายการมิติที่ 6 แล้ว อย่าลืมกดสับสไครป์ กดไลก์ กดแชร์ และอย่าลืมทิ้งคอมเมนต์กันไว้ด้วยนะครับ ยังมีเรื่องราวต่าง ๆ อีกมากมายรอคุณอยู่ สำหรับวันนี้... สวัสดี !


แปลและเรียบเรียงโดย นิวัฒน์ อ่ำแสง
ขอบคุณที่มา: Skeptoid, Wikipedia และ Farlang.com


แท็ก: Crystal Skull, กะโหลกคริสตัล, แห่งมายัน

6 ตุลาคม 2560

มิติที่ 6 | 10 ปีศาจในตำนานเมืองจากทั่วโลก ที่คุณอาจจะยังไม่เคยรู้มาก่อน !!!



ในโลกทุกวันนี้นอกจากตำนานท้องถิ่นที่เล่าสืบทอดกันมายาวนานเป็นร้อยปีแล้ว ปัจจุบันก็ยังคงมีตำนานใหม่ ๆ เกิดขึ้นมา อยู่ในฐานะของเรื่องเล่าที่เรียกว่า "Urban Legend" หรือ "ตำนานเมือง"

กดเพื่อดูคลิปที่นี่


มิติที่ 6 ศุกร์สยองขวัญ กับเรื่องราวเบา ๆ ในวันศุกร์สะดวกสัปดาห์นี้ เราจะเล่าเรื่องราวของตำนานเมืองยุคใหม่ ที่เกิดขึ้นในหลายแห่งบนโลกใบนี้ เพื่อจะได้ทราบว่าเรื่องราวของที่ไหนจะน่ากลัวกว่ากัน และเรื่องราวเหล่านั้นจะน่ากลัวเหมือนตำนานรุ่นเก่ากันหรือไม่ !?

มนุษย์หลังคา (The Roof Walkers Of Scandinavia)

Roof Walkers
ภาพจาก: humon

ในโลกอินเตอร์เน็ตกลุ่มสแกนดิเนเวีย มีการพูดถึงแฮชแท็ก แวนเดร็น (Vandren) หรือ เดอะรูฟวอล์คเกอร์ (The Roof Walkers) มันคือเรื่องลึกลับพูดถึงอะไรบางอย่าง ที่ต่อมามันก็ได้กลายเป็นตำนานเมืองเรื่องใหม่ กับสิ่งที่พวกเขาบอกว่าพวกมันอาศัยอยู่เหนือพื้นดินด้วยเหตุผลอะไรบางอย่าง เวลาจะเดินทางมันก็จะใช้หลังคาบ้านเป็นเส้นทางสัญจร
รูปร่างลักษณะของพวกมันถูกระบุว่า เหมือนกับคนดูดีแต่งตัวมีสไตล์ ที่มือมีกงเล็บยาวใหญ่เกินคนธรรมดา ดวงตาสีส้มแวววาวราวกับสุนัขป่า อยู่ในชุดเสื้อผ้าสีดำ ไม่ก็มีผิวสีดำสนิท


เรื่องราวของเดอะรูฟวอล์คเกอร์หรือมนุษย์หลังคาเรื่องนี้ ถูกเล่าเอาไว้คล้าย ๆ กันว่า ในกลางดึกของคืนหนึ่ง มีชายคนหนึ่งได้ออกมามองวิวนอกหน้าต่างอพาร์ทเมนตของเขา แล้วเขาก็ต้องตกตะลึงเพราะสายตาพลันไปเห็นใครก็ไม่รู้ กำลังเดินอยู่บนยอดหลังคาตึกที่อยู่ฝั่งตรงข้าม และต่อมาคนที่ว่านั้นก็กระโดดมาที่กรอบหน้าต่างห้องของเขาจนกระจกแตก แทนที่คนลึกลับจะพูดจาขอโทษ เขากลับจ้องมาที่เจ้าของห้องอย่างน่ากลัวด้วยดวงตาสีส้มเรืองแสงคู่นั้น ถึงกับทำให้ชายผู้โชคร้ายทำอะไรไม่ถูก สักพัก มันก็รีบจากไป โดยไม่หันกลับมามองว่าใครจะเรียกร้องค่าเสียหายกับมันหรือเปล่า

-------------

The Little Red Man


เรื่องนี้เป็นตำนานจากทางฝั่งฝรั่งเศส พูดถึงชายคนหนึ่งที่ใช้ชื่อว่าณอง ผู้เคยทำงานเป็นคนขายเนื้ออยู่ใกล้กับสวนตุยเลอรี่ ในรัชสมัยของสมเด็จพระราชชนนีพันปีหลวงแคทเธอรีน เดอ เมดีชี ที่อยู่ในช่วงปี ค.ศ. 1547 ถึง ค.ศ. 1559 ณองถูกจับกุมและต้องโทษประหารเพราะเขาไปรู้อะไรบางอย่างที่ไม่ควรรู้ ซึ่งเรื่องที่ว่ามันจะเป็นอะไรนั้นเราทราบเพียงว่ามันเป็นความลับของราชวงศ์


แต่แทนที่ตัวเองจะยอมรับโทษตายอย่างสงบ ฌองกลับประกาศก้องทั้ง ๆ ที่กำลังจะถูกแขวนคอว่า เขาขอสบานต่อหน้าแทนประหารแห่งนั้นว่า "ถ้าตายไปเขาจะกลับมาแก้แค้น !" และในตำนานก็ระบุว่าต่อมา ผีของฌองก็กลับมาแก้แค้นจริง ๆ ในรูปลักษณ์ของคนหลังค่อม ร่างกายชุ่มโชกไปด้วยเลือด คอยเฝ้าหลอกหลอนพระนางแคทเธอรีนทุกวัน จนกระทั่งวันสุดท้ายที่พระองค์สิ้นพระชนม์

แต่ถึงแม้เป้าหมายของฌองจะจากไป เรื่องราวของผีชายตัวเล็กร่างสีแดงเรื่องนี้ ก็ยังคงถูกร่ำลือต่อมาถึงความเฮี้ยนที่ยังคงคอยหลอกหลอนผู้คนในย่านตูเลอรี่เสมอมา โดยระบุช่วงเวลาปรากฏตัวของเขาชัดเจนว่าเป็นคืนก่อนวันแห่งความหายนะ

สมเด็จพระราชชนนีพันปีหลวง "แคทเธอรีน เดอ เมดีชี"
จักรพรรดิ์นโปเลียนที่ 1 (โบนาปาร์ต)

ว่ากันว่าแม้แต่จักรพรรดิ์นโปเลียนก็ยังเคยเผชิญหน้ากับมันมาแล้วถึงสองครั้ง โดยในการพบครั้งที่สองนั้น นโปเลียนได้ร้องขอให้วิญญาณพยาบาทดวงนี้ จงไปสู่ที่ชอบ ๆ ซึ่งก็แน่นอนว่าวิญญาณชายตัวเล็กสีแดงดวงนี้ปฎิเสธคำขอนั้น ก่อนที่จะเดินขึ้นบันได้แล้วหายตัวไป และนั่นจึงทำให้ตำนานยังคงถูกเล่าสืบต่อกันมาจนถึงปัจจุบันนี้
-------------

ฮาจิชาคุซามะ (Hachishakusama)



ฮะจิซาคุซามะ หรือที่น่าจะแปลกันแบบตรงตัวได้ว่า ท่านแปดฟุต ก็คือตำนานเมืองที่เกิดจากการโพสต์ในโลกอินเทอร์เน็ต เมื่อช่วงประมาณปี ค.ศ. 2008 ซึ่งต่อมามันก็ถูกนำมาเขียนเป็นการ์ตูน เกม ไปจนถึงภาพยนตร์แอนิเมชั่นสำหรับผู้ใหญ่ ที่เล่าเรื่องราวจากคนต้นเรื่องได้แวะไปเยี่ยมเยียนคุณปู่คุณย่า ที่อยู่ในเมืองเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง และที่นั่นเขาก็ได้พบกับหญิงสาวตัวสูงใหญ่ผิดปกติ กำลังหัวเราะด้วยน้ำเสียงแปลก ๆ อยู่บริเวณใกล้ ๆ โดยเรื่องนี้ มิติที่ 6 ได้เคยนำมาเล่าไว้แล้วในคลิป ฮาจิชาคุซามะ !!! อย่างไรแล้วลองแวะไปชมกันได้นะครับ

-------------


เอลซาโคแมน (El Sacoman)

ภาพจาก: FAB-dark


ที่ประเทศสเปนยุคปี ค.ศ. 1910 มีเด็กชายอายุเจ็ดขวบคนหนึ่ง ถูกลักพาตัวเอาไปทำเป็นยารักษาโรคให้กับชายที่ชื่อว่า ฟรานซิสโก้ ออร์เตก้า ที่ตอนนั้นกำลังป่วยเป็นกาฬโรคอยู่ หมอยาแถวบ้านบอกกับออร์เตก้าว่า เขาสามารถหายขาดจากโรคร้ายนี้ได้ด้วยการดื่มเลือดสด ๆ และใช้ไขมันอุ่น ๆ ของเด็กมาพอกที่หน้าอก

ซึ่งพ่อหมอเองก็คงจะไม่ได้แค่เชื่อเฉย ๆ เลยไปจับเด็กชายที่เขาพบมายัดใส่กระสอบแล้วฆ่าทิ้งเพื่อนำมาทำยาที่ว่า และในเวลาต่อมาออร์เตก้ากับพ่อหมอจึงถูกจับตัวไปประหารชีวิต โดยยังไม่ทันรู้เลยว่าตัวเองจะหายขาดจากกาฬโรคได้จริงหรือเปล่า


ในปัจจุบันเรื่องราวจากเทพนิยายกริมเรื่องนี้ ก็ถูกนำไปผูกกับตำนานเมืองเรื่องหนึ่งที่พูดถึงชายผู้แบกถุงกระสอบเอาไว้บนบ่า เดินไปมาในตอนกลางคืนตามถนนของประเทศเม็กซิโก เรื่อยไปจนถึงแถบลาตินอเมริกา


ชายคนที่ว่านี้จะคอยมองหาเด็ก ๆ ที่ไม่ควรออกมานอกบ้านในยามวิกาล ทั้ง ๆ ที่ไม่มีเหตุอันจำเป็นอะไร เพื่อจับตัวไปทำอะไรบางอย่างที่ทำให้เด็ก ๆ เหล่านั้นไม่ได้หวลกลับมาหาพ่อแม่ของพวกเขา และจากปากคำของชาวบ้านที่เคยพบเห็นชายท่าทางแปลก ๆ คนนี้ ต่างก็เรียกชื่อของเขาในภาษาเม็กซิกันว่า เอลซาโคแมน หรือ เดอะแช็คแมน นั่นเอง

-------------

ตำนานสาวไร้หน้าแห่งลอนดอน (London Oddity)

Edit by: Gunner660
ในช่วงปี ค.ศ. 1958 เกิดเหตุรถไฟสองขบวนชนกัน หลังจากที่เพิ่งออกจากชานชลาของสถานีลอนดอนเบคอนทรี่ และอุบัติเหตุครั้งนี้ก็ได้ทำให้มีผู้เสียชีวิตไปถึงสิบราย ต่อมาในปี ค.ศ. 1992 ก็เกิดอุบัติเหตุแบบเดียวกันนี้ซ้ำอีกครั้ง บางคนคิดว่ามันต้องเกี่ยวข้องอะไรกับอุบัติเหตุครั้งแรกแน่ ๆ


หลังจากนั้นมาก็มีตำนานเมืองเรื่องใหม่เกิดขึ้น โดยเริ่มเรื่องที่หัวหน้ากะดึกของทางสถานีคนหนึ่ง ต้องถึงกับขวัญผวาในคืนอันโชคร้ายของเขา เมื่อพบว่าในคืนนั้นขณะที่เขากำลังทำงานกะดึกตามปกติ อยู่ดี ๆ ประตูบานหนึ่งในห้องทำงานถูกใครก็ไม่รู้มาเคาะถึงสามครั้ง พอออกไปดูหัวหน้าก็ไม่เห็นใคร นั่นจึงทำให้เขารู้สึกหวาดกลัวเป็นอย่างมาก ถึงกับเดินหนีออกจากห้องทำงาน จนไปถึงทางบันไดฝั่งตรงกันข้าม
และที่นี่เขาก็ต้องขนลุกซู่เพราะความกลัวอีกครั้ง เพราะสิ่งที่เขารู้สึกได้ตอนนี้ก็คือมีใครบางคนกำลังเดินตามหลังเขามา พอหันกลับไปมองหัวใจของเขาก็แทบหยุดเต้น เพราะตรงนั้นเขาเห็นหญิงสาวผมบลอนด์สวมชุดสีขาว เธอไม่มีตา ไม่มีจมูกและปาก
ในขณะที่ทำอะไรไม่ถูกอยู่นั้น ร่างของหญิงสาวไร้ใบหน้าก็ค่อย ๆ หายไป และในวันต่อมาหัวหน้าสถานีกะดึกคนนี้ถึงได้รู้ว่า เพื่อนร่วมงานอีกคนของเขาก็เคยได้พบกับสาวไร้หน้าที่ว่านี้เช่นกัน เพียงแต่เพื่อนของเขาคนนั้นไม่กล้าเล่าเรื่องนี้ให้ฟัง เพราะกลัวจะตกงานข้อหาละทิ้งหน้าที่แล้วสร้างเรื่องมาโกหกนั่นเอง

-------------


แอมเฟียร์เลียธมอร์ (Am Fear Liath Mor)

ภาพจาก: Fear Liath


ที่ประเทศสก็อตแลนในปี ค.ศ. 1925 มีนักวิทยาศาสตร์ชื่อดังคนหนึ่งที่มีงานอดิเรกเป็นนักไต่เขา มีเรื่องราวที่เขาจะไม่มีวันลืมได้มาเล่าให้ฟังว่า ช่วงที่เขาปีนยอดเขาเบ็นแม็คดูร์ (Ben Macdhui) เขาพบว่ามันมีตัวอะไรบางอย่างแอบตามเขามาตลอดทางอยู่ในหมอกอันหนาทึบ และทันทีที่รู้เขาก็รีบเผ่นหนีลงจากยอดเขาแห่งนั้นในทันที


ส่วนนักปีนเขาคนอื่น ๆ ก็บอกว่า พวกเขาเองก็เคยพบอะไรแบบนี้เหมือนกัน เพียงแต่ที่ไม่ได้โวยวายอะไรก็เพราะกลัวว่าจะถูกคนอื่นเยาะเย้ยว่าขี้ขลาด แต่พอได้รู้เรื่องราวจากนักวิทยาศาสตร์คนนี้ พวกเขาจึงยอมเปิดปากออกมาเช่นกันว่า มันมีตัวอะไรบางอย่างแอบซุ่มตามพวกเขาอยู่ในหมอกหนาบนยอดเขาเบ็นแม็คดูร์แห่งนี้เช่นกัน


ในเวลาต่อมาเรื่องราวลึกลับเรื่องนี้ก็ถูกเรียกว่า แอมเฟียร์เลียธมอร์ หรือเป็นที่รู้จักกันในชื่อ บิ๊กเกรย์แมน หรือที่น่าจะแปลเป็นไทยได้ว่า ยักษ์สีเทา ชื่อของมันนำมาจากคำบอกเล่าของนักปีนเขาจำนวนหนึ่งที่ระบุถึงสัตว์ประหลาดสองเท้าตัวเตี้ยสีเทา ที่เฝ้าแอบตามพวกเขาเหล่านั้นอยู่ภายใต้หมอกอันหนาทึบบริเวณยอดเขาเบ็นแม็คดูร์



มีนักปีนเขาคนหนึ่งเล่าถึงเรื่องราวของเขาที่เกิดขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1939 ตอนนั้นเป็นช่วงกลางวันของหน้าร้อน ชายคนนี้ได้ปีนเขาฝ่าหมอกอันหนาทึบบนยอดเขาเบ็นแม็คดูร์เช่นกัน แล้วก็พบว่ามีบางสิ่งกำลังเฝ้าแอบตามเขาห่างๆ อยู่ประมาณสามเมตรภายในหมอกหนานั้น

และเวลาต่อมาหมอกที่หนาทึบก็เริ่มจางลง ทันใดนั้นเขาก็อาศัยช่วงเวลานี้หันหลังมองกลับไป ซึ่งเขาก็พบว่าข้างหลังของเขานั้นเป็นที่โล่ง ไม่มีจุดใด ๆ ที่จะให้เจ้าสิ่งนั้นหลบซ่อนตัวได้ เพียงแต่สิ่งที่เขามองเห็นในตอนนั้นกลับเป็นเพียงความว่างเปล่า ไม่มีสิ่งมีชีวิตอะไรให้เห็นอยู่ในวิสัยทัศน์ของเขาเลยแม้แต่ตัวเดียว

-------------

ผีแห่งแคนเบอร่า (Canberra Ghosts)


เมื่อวันที่ 13 สิงหาคม ค.ศ. 1940 มีคน 10 คน ที่ประกอบไปด้วยชนชั้นสูงของรัฐบาลออสเตรเลีย 4 คน ถูกสังหารบนเครื่องบินลำหนึ่ง ก่อนที่ตัวเครื่องจะเสียการควบคุมจนบินไปชนกับภูเขาที่อยู่ในบริเวณนั้น และสิ่งที่เกิดขึ้นกับเครื่องบินของสายการบินแคนเบอร่าครั้งนี้ก็ได้ถูกจารึกไว้ในประวัติศาสตร์ของประเทศออสเตรเลีย


แต่นอกจากเรื่องราวที่เกิดขึ้นจริงเรื่องนี้ มันก็ยังมีเรื่องราวอื่นที่จะต้องจารึกเอาไว้ในฐานะตำนานเมืองอีกเรื่อง เพราะในวันนั้นนอกจากจะมีผู้คนมากมายเห็นสัญญาณไฟกระพริบ และได้ยินเสียงเครื่องบินพุ่งชนภูเขาดังสนั่นแล้ว ก็ยังมีรายงานจากคู่รักวัยรุ่นคู่หนึ่งที่กำลังขับรถออกจากบริเวณที่เกิดเหตุบอกว่า

ทั้งสองเห็นวิญญาณจำนวนหนึ่งบินข้ามถนนผ่านเหนือศรีษะพวกเขาไป และที่น่าตกตะลึงยิ่งไปกว่านั้นก็คือ ทางฝ่ายหญิงสาวบอกว่าช่วงเวลาที่ทั้งสองขับรถผ่านชายป่าแถวจุดเกิดเหตุนั้น พวกเขาได้ยินเสียงของคนที่อยู่ในเครื่องบินลำดังกล่าว กรีดร้องดังระงมจนน่ากลัวอีกด้วย



โดยเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้น แม้มันจะเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเพียงเรื่องเดียว แต่คำถามที่เกิดขึ้นนั้นกลับมีอยู่ 2 ข้อใหญ่ ๆ คือ

ข้อแรก คือรายละเอียดเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้นมันไม่มากพอ ที่จะยืนยันว่าสิ่งที่วัยรุ่นเห็นนั้นเกิดขึ้นจริง เพราะมันไม่มีอะไรที่สามารถกลับไปตรวจสอบได้ ว่าช่วงเวลานั้นมีผีและเสียงกรีดร้องจริงหรือเปล่า

ข้อสอง คือถ้าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นมันไม่มีเรื่องผีเข้ามายุ่ง เราก็คงไม่มีตำนานเรื่องเล่าอะไรมาพูดกันที่นี่อย่างแน่นอนใช่ไหม ?

-------------


เจ้าตัวเขียวแห่งแม่น้ำโอไฮโอ (The Green-Clawed Beast)

ภาพจาก: Tyler’s Cryptozoo
ในวันที่ 21 สิงหาคม ค.ศ. 1955 ทีย่านกอดทาวน์ นครอินเดียแนโพลิส ประเทศสหรัฐอเมริกา นางดาร์วิน จอห์นสันกับเพื่อนชื่อนางคริส แลมเบิล ได้ออกไปว่ายน้ำเล่นแถวชายฝั่งแม่น้ำโอไฮโอ เมื่อนางจอห์นสันว่ายออกจากฝั่งไปได้เพียงสี่เมตรครึ่ง เธอก็รูสึกเหมือนกับมีมือขนาดใหญ่มาฉุดที่ขาลากเธอจนจมลงไปใต้น้ำ

เธอพยายามใช้เท้าของตัวเองสะบัดเตะมันจนหลุดออกมาได้ครั้งหนึ่ง แต่ก็ยังไม่วายถูกมือลึกลับที่ว่า ฉุดเธอกลับลงไปอีกครั้งจากทางด้านหลัง นั่นจึงทำให้นางจอห์นสันต้องดิ้นรนต่อสู้จนสุดแรงเพื่อกลับขึ้นมาเหนือน้ำ

ส่วนนางแลมเบิลเพื่อนของเธอก็ถูกมือที่ว่าโจมตีเข้าที่หลอดลม ก่อนที่จะลากเธอให้จมลงไปใต้แม่น้ำเช่นกัน ขาของพวกเธอเต็มไปด้วยรอยแผลฟกช้ำหลายแห่ง และหลักฐานสำคัญอีกอย่างนั้นก็คือรอยนิ้วมือเป็นเมือกสีเขียว ยังคงประทับอยู่ที่ขาของทั้งคู่ให้เห็นอย่างชัดเจน แถมพวกเธอยังต้องใช้เวลามากว่าหนึ่งวันในการขัดล้างเจ้าคราบฝ่ามือนี้ให้หลุดออกจนหมด


ถ้าสิ่งที่เกิดขึ้นนี้มันยังดูไม่แปลกพอ สองวันต่อมานางจอห์นสันกับสามีก็ต้องรับแขกที่อ้างว่าตัวเองเป็นผู้พันของกองทัพอากาศ ที่แวะมาหาเพื่อสอบถามเหตุการณ์ที่เธอได้ประสบ โดยก่อนที่ชายคนนี้จะจากไป เขาได้ขู่ทั้งเธอและสามีว่า จงอย่าได้เล่าเรื่องนี้ให้คนอื่นฟังอย่างเด็ดขาด


ซึ่งก็แน่นอนว่านางจอห์นสันนั้นเลือกที่จะไม่เชื่อนายทหารคนนี้ ไม่อย่างนั้นตำนานเมืองเรื่องนี้คงไม่ได้รับการบอกเล่ากันต่อมาแน่ ๆ

-------------


Climber



เพราะเมื่อช่วงเดือนตุลาคม ค.ศ. 2013 ตอนนั้นมีคลิปวิดีโอชิ้นหนึ่งถูกโพสต์ลงในเว็บไซต์ยูทูป ในคลิปนั้นเราจะเห็นตัวอะไรสักอย่างกำลังปีนขึ้นไปบนอาคารที่ไหนสักแห่งแถว ๆ นอกเมืองมอสโคว แถมยังเป็นตอนกลางวันแสก ๆ พอมันปีนขึ้นไปจนถึงชั้นบนสุด มันก็คลานต่อไปบนหลังคาของตึก จนในที่สุดมันก็หายไปพร้อม ๆ กับคลิปที่จบลง


คลิปนี้สามารถทำยอดผูชมได้สูงถึงหลักล้านวิวภายในเวลาอันสั้น ก่อนที่จะถูกเว็บไซต์อีกหลายแห่งนำไปโพสต์ไว้บนที่ของพวกเขา ภายใต้หัวข้อข่าวว่ามันคือ "มนุษย์กลายพันธุ์ของรัสเซีย" โดยไม่ได้สนใจว่าจริง ๆ แล้วมันคืออะไรกันแน่


จริง ๆ แล้วคลิปนี้มันเป็นคลิปที่ถูกสร้างขึ้นโดยวัยรุ่นที่ชื่อว่า ดิมิทรี่ คาตาเอฟ ที่ออกมาบอกเล่ากับเว็บไซต์ VL-News.com ว่า หลังจากที่เค้าใช้เวลาทั้งคืนในการสร้างมันขึ้นมา เขาก็แค่อัปโหลดมันลงบนยูทูป จากนั้นก็เข้านอนเพราะง่วงมากเท่านั้นเอง เผลอแป๊บเดียวมันก็กลายเป็นตำนานเมืองเรื่องใหม่ ถูกพูดต่อ ๆ กันไปว่าเป็นของจริงเฉยเลย

"ดิมิทรี่ คาตาเอฟ" ผู้สร้างคลิป


และมันก็ทำให้เรารู้ว่า การที่อะไรจะมาเป็นตำนานเมืองกันได้นั้น บางทีมันก็ไม่จำเป็นจะต้องมีเนื้อเรื่องมาบิวท์อะไรก็ได้เหมือนกัน
-------------


สัตว์ประหลาดแห่งบาร์มสตันเดรน (The Beast Of Barmston Drain)

เรื่องนี้เกิดขึ้นที่เมืองฮัลล์ ประเทศอังกฤษ วันนั้นอยู่ในช่วงเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 2015 มีประชาชนที่นั่นร่ำลือกันว่า พวกเขาพบสัตว์ร้ายขนยาวปรากฏตัวขึ้นบริเวณทางน้ำที่มีชื่อเรียกว่า บาร์มสตันเดรน มันสูงถึง 2.40 เมตรเวลายืน มีหญิงคนหนึ่งเห็นมันกระโดดข้ามทางน้ำดังกล่าว ก่อนที่จะหายไปทางฝั่งประตูน้ำด้านตรงข้าม
มีสามีภรรยาอีกคู่เล่าว่า พวกเขาเห็นเจ้าสัตว์ประหลาดตัวนี้กำลังกินสุนัขพันธุ์เยอรมันเชพเพิร์ดอยู่ สักพักมันก็มองเห็นพวกเขาทั้งคู่ ก่อนที่จะยืนขึ้นด้วยขาหลังของมัน ภาพที่เห็นในตอนนั้นนอกจากจะประทับติดตาในความสูงใหญ่ของมันแล้ว ซากของสุนัขผู้โชคร้ายก็ยังคงห้อยคาอยู่ที่ปากด้วย สักพักหนึ่งมันก็กระโดดข้ามรั้วสูงกว่าสองเมตรครึ่งหนีไป เหลือทิ้งไว้แต่เพียงความเงียบสงบของยามค่ำคืน


ต่อมาในวันที่ 29 สิงหาคม ค.ศ. 2016 มีหญิงสาวกับเพื่อนสองคนเล่าว่า พวกเธอพบกับเจ้าสัตว์ประหลาดตัวนี้ในระยะใกล้ชิด พวกเธอมั่นใจว่ามันต้องใช่เจ้าอสูรร้ายแห่งบาร์มสตันเดรนแน่ ๆ ตอนนั้นทั้งสามกำลังขับรถลงมาตามทางกันอยู่ แล้วคนหนึ่งก็ชี้ให้ดูว่ามันมีตัวอะไรบางอย่าง ที่คิดว่าน่าจะเป็นสุนัขจิ้งจอกอยู่ที่ข้างทาง


นั่นจึงทำให้พวกเขาถึงกับจอดรถดูให้เต็มตา แล้วอยู่ดี ๆ มันก็ยืนขึ้น จากนั้นมันเดินมาที่รถ พวกเธอทั้งสามบรรยายลักษณะของมันว่า เนื้อตัวของมันเต็มไปด้วยขนสีเทาครีม ขนาดของมันใหญ่กว่ารถที่พวกเขานั่งอยู่ และที่น่าตกใจที่สุดก็คือใบหน้าของมันเป็นหน้าของมนุษย์ ซึ่งพอทั้งสามเห็นกันชัด ๆ แบบนั้น จึงรีบขับรถหนีไปจากจุดเกิดเหตุทันที


ทั้งหมดนี้คือตำนานเมืองยุคใหม่ที่ถูกเล่ากันไปตามโลกออนไลน์ มันทำให้เรานึกถึง ตำนานผียายสปีด ที่ถูกเล่าจากปากรุ่นพี่ในมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง ซึ่งปัจจุบันก็ได้กลายเป็นตำนานเมืองแตกแขนงออกไปทั่วประเทศ และได้กลายเป็นตำนานใหม่อีกหลายจังหวัด
ก็อย่างที่บอกไว้ตลอดมา ถ้าความจริงมันน่าสนใจเราก็คงไม่มีตำนานอะไรมาเล่าให้ลูกหลานฟัง ดังคำที่มิติที่ 6 บอกท้ายรายการกันอยู่เสมอว่า ความจริงนั้น..มันช่างไม่มีเสน่ห์ เอาเสียเลย !!!

เงี๊ยววว !

แล้วอย่าลืมติดตามรายการมิติที่ 6 ศุกร์สยองขวัญ กับเรื่องราวเบา ๆ พร้อมกับที่มาของมันกันได้ทุกวันศุกร์สะดวก และหลังจากจบรายการแล้ว อย่าลืมกดสับสไครป์ กดไลก์ กดแชร์ และอย่าลืมทิ้งคอมเมนต์กันไว้ด้วยนะครับ ยังมีเรื่องราวต่าง ๆ อีกมากมายรอคุณอยู่ สำหรับวันนี้... สวัสดี !

แปลและเรียบเรียงโดย นิวัฒน์ อ่ำแสง
ขอบคุณที่มา: Listverse

แท็ก: 10 Monster, Legends, Around The World, 10 ปีศาจ, ตำนาน, ไม่เคยรู้มาก่อน

ประกาศ

เพื่อเป็นกำลังใจเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้กับเรา ขอความร่วมมือจากผู้ที่นำเรื่องราวจากมิติที่ 6 ไปใช้ในที่ของท่าน กรุณาลงเครดิตกลับมาที่เราจะเป็นพระคุณอย่างสูงครับ