ถ้าจะถามว่าทำไมเราต้องกลัวผี ? คำตอบมันก็คงเป็นเพราะเรามองไม่เห็นแต่สัมผัสได้ ทั้งที่จริง ๆ ก็ไม่แน่ใจว่ามีหรือเปล่า แต่บางคนเขาก็บอกว่าเคยเห็นจริง ๆ นั่นก็เลยยิ่งทำให้เรากลัวกันไปใหญ่
แล้วกับเหตุการณ์จากธรรมชาติลึกลับที่เราไม่เข้าใจล่ะ ? เรากลัวมันกันได้เหมือนกลัวผีหรือเปล่า ? แล้วกับเรื่องแบบนี้ เราเคยคิดไหมว่ามันจะเกิดขึ้นเพราะอะไรได้บ้าง !?
แล้วกับเหตุการณ์จากธรรมชาติลึกลับที่เราไม่เข้าใจล่ะ ? เรากลัวมันกันได้เหมือนกลัวผีหรือเปล่า ? แล้วกับเรื่องแบบนี้ เราเคยคิดไหมว่ามันจะเกิดขึ้นเพราะอะไรได้บ้าง !?
กดเพื่อดูคลิปที่นี่ |
มิติที่ 6 สัปดาห์นี้ เราจะพาคุณไปพบกับปรากฏการณ์แปลกประหลาดที่เกิดจากธรรมชาติ 10 เรื่อง ที่ว่ากันว่าทุกวันนี้ ก็ยังไม่เคยมีใครออกมาฟันธงกันได้สักที ว่าแท้ที่จริงแล้ว มันเกิดจากอะไรบ้าง !?
เมือกเจลลี่จากดวงดาว (Star Jelly)
ภาพจาก: Kudlacek |
ฝน หิมะ ฝนหิมะ ลูกเห็บ เราไม่ได้กำลังพูดถึงจตุธาตุ แต่มันคือเกือบทุกอย่างที่จะตกลงมาจากฟากฟ้าในช่วงเวลาและสถานที่ที่เหมาะสม ในปัจจุบันแม้การพยากรณ์ว่าวันไหนฝนจะตกหรือลูกเห็บจะออกได้แม่นยำกว่าเมื่อก่อนแล้วก็จริง แต่มันก็ยังไม่วายที่จะมีอะไรก็ไม่รู้ร่วงหล่นลงมาจากฟากฟ้าให้เราได้งุนงง และสิ่งที่เราจะขอยกมาให้สงสัยกันก่อนก็คือ สิ่งที่ถูกนิยามเอาไว้ในชื่อที่ฟังแล้วหยุยหูว่า สตาร์เจลลี่
สตาร์เจลลี่ หรือ เจลลี่ดวงดาว มันคือวัตถุอันเยือกเย็นและโปร่งแสงเกาะอยู่ตามใบไม้ใบหญ้าในช่วงเวลาหนึ่ง ก่อนที่จะระเหยหายไปในเวลาไม่นานหลังจากที่เราพบ มีรายงานมากมายบอกว่ามันร่วงหล่นมาจากท้องฟ้า บางคนเชื่อว่ามันอาจจะเป็นชิ้นส่วนที่หลุดจากดวงดาว บ้างก็บอกว่ามันคืออุจจาระของเอเลี่ยน เลยเถิดไปถึงแนวคิดที่ว่าทางการอาจจะเป็นคนนำมันมาทิ้ง มีเอกสารอ้างอิงพูดถึงมันมาตั้งแต่สมัยยุคคริสต์ศตวรรษที่ 14 ระบุว่าแพทย์โบราณใช้มันมาทำยารักษาฝีหนองกันด้วย
ซึ่งก็แน่นอนเช่นกันว่าในปัจจุบันเองก็มีนักวิทยาศาสตร์ ได้ทำการศึกษาเจ้าสิ่งแปลกปลอมนี้เพื่อหาที่มากันอยู่บ้าง มีบางท่านเชื่อว่ามันน่าจะเป็นเพียงเมือกจากไข่ของกบ ที่ขยายตัวคืนสภาพหลังจากโดนน้ำในปริมาณมากพอ
แล้วปัญหามันก็ตามมาแย้งให้งงกันต่อไปว่า พวกเขาไม่สามารถระบุดีเอ็นเอของกบจากมันได้อยู่ดี จริง ๆ ต้องบอกว่าพวกเขาไม่พบอะไรที่จะบอกได้เลยว่า มันคือสารที่หลั่งออกมาจากสัตว์ แม้แต่ของพืชมันก็ยังไม่ใช่ นั่นจึงทำให้เจลลี่สตาร์ ยังคงถูกลิสต์เอาไว้ในรายชื่อของแปลกอะไรสักอย่างกันต่อไป
แล้วปัญหามันก็ตามมาแย้งให้งงกันต่อไปว่า พวกเขาไม่สามารถระบุดีเอ็นเอของกบจากมันได้อยู่ดี จริง ๆ ต้องบอกว่าพวกเขาไม่พบอะไรที่จะบอกได้เลยว่า มันคือสารที่หลั่งออกมาจากสัตว์ แม้แต่ของพืชมันก็ยังไม่ใช่ นั่นจึงทำให้เจลลี่สตาร์ ยังคงถูกลิสต์เอาไว้ในรายชื่อของแปลกอะไรสักอย่างกันต่อไป
-------------
เมฆมอร์นิ่งกลอรี่ (Morning Glory Clouds)
ภาพจาก: Neal Meisling |
ถ้าพูดถึงเมฆมันก็ทำให้เรานึกถึงลักษณะปุยนุ่นดูนุ่มนิ่มของมัน ถ้าเอามาใช้หนุนนอนก็คงเหมือนได้หมอนชั้นดี แต่แท้ที่จริงแล้วมันไม่ได้เป็นอย่างที่เราคิดกันไว้เลยแม้แต่น้อย เพราะเมฆนั้นมันไม่มีความนุ่ม ไม่มีความนิ่ม มันคือไอน้ำที่ระเหยขึ้นมาอยูบนชั้นบรรยากาศ มันไม่เคยคิดจะร่วงหล่นลงมาในสภาพที่เห็น ซึ่งเราเองก็ต้องเข้าใจว่ารูปร่างของเมฆแบบต่าง ๆ นั้น จะสามารถทำให้เราทำนายกันได้ว่า ในอนาคตอันใกล้จะมีน้ำท่าจากฝนฟ้าตกลงมากันมากน้อยกันแค่ไหน
สำหรับเมฆมอร์นิ่งกลอรี่ ที่เราเองก็ไม่แน่ใจว่าเขาหมายถึงเมฆรูปผักบุ้ง หรือจะหมายถึงเมฆยามเช้าอันรุ่งโรจน์กันแน่ เพราะมันมีรูปร่างแปลกประหลาดดูเหมือนท่อที่ทำจากปุยเมฆทอดยาว ข้ามท้องฟ้าเป็นเส้น ๆ จนคิดว่ามันอาจเป็นลางร้ายบอกเหตุเภทภัยอะไรหรือเปล่า ?
ด้วยความยาวพาดผ่านท้องฟ้ากว่า 965 กิโลเมตรของมัน ถูกพบโดยคนจำนวนมากในประเทศออสเตรเลียในช่วงรอยต่อของฤดูแล้งและฤดูฝน ชาวอาบอริจิ้นในท้องถิ่นอธิบายว่า เจ้าเมฆรูปร่างแปลก ๆ พวกนี้ ก็คือลางบอกเหตุว่าอีกไม่นานจะมีการขยายจำนวนของนกจนน่าตกใจ
ด้วยความยาวพาดผ่านท้องฟ้ากว่า 965 กิโลเมตรของมัน ถูกพบโดยคนจำนวนมากในประเทศออสเตรเลียในช่วงรอยต่อของฤดูแล้งและฤดูฝน ชาวอาบอริจิ้นในท้องถิ่นอธิบายว่า เจ้าเมฆรูปร่างแปลก ๆ พวกนี้ ก็คือลางบอกเหตุว่าอีกไม่นานจะมีการขยายจำนวนของนกจนน่าตกใจ
ตัวอย่างเมฆมอร์นิ่งกลอรี่
นอกจากความเชื่อในตำนานของชาวอาบอริจิ้นแล้ว ก็ไม่มีใครอีกเลยที่จะอธิบายได้ว่า ก้อนเมฆมอร์นิ่งกลอรี่พวกนี้มันเกิดขึ้นมาได้อย่างไร นักอุตุนิยมวิทยาบางท่านกล่าวไว้ว่า เมฆเหล่านี้น่าจะเกิดขึ้นมาจาก การสอดประสานกันระหว่างลมทะเลและความชื้นที่แปรเปลี่ยนกระทันหัน
ถึงจะบอกแบบนั้นแต่ในปัจจุบันก็ยังไม่มีใครสามารถจำลองสถานการณ์ที่น่าจะทำให้เกิดเมฆแบบนี้ หรือแม้แต่จะนำมันมาใช้พยากรณ์อากาศ ว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นในเวลาอันใกล้กับพื้นที่แถวนั้นได้เลย
-------------
เมืองในท้องฟ้า (Cities In The Sky)
ภาพของจริงที่เมือง "หยุยหยาง" และ "เจียหยาง" ประเทศจีน |
เราไม่ได้กำลังพูดถึงเรื่องราวจากหนังสือการ์ตูน และไม่ได้กำลังพูดถึงอะไรที่มาจากความเชื่อโบราณ แต่นี่คือเรื่องจริงที่เกิดขึ้นในเมืองเจียหยาง ประเทศจีน วันนั้นคือวันที่ 21 เมษายน ค.ศ. 2017 มีผู้คนมากมายได้พบกับเหตุการณ์ประหลาด เมืองทั้งเมืองลอยอยู่เหนือก้อนเมฆอย่างน่าอัศจรรย์ ทุกคนที่นั่นใช้มือถือถ่ายภาพหายากนี้อัพลงในโซเชียลมีเดีย พร้อมแคบชั่นที่ต่างก็พูดถึงมันจนออกนอกทะเลกันไปไกล
แต่ไม่ว่าอย่างไรเหตุการณ์นี้มันก็เกิดขึ้นแล้วจริง ๆ เพียงแต่เรื่องแบบนี้มันไม่ได้เกิดครั้งแรก เพราะมีบันทึกเอาไว้ว่าก่อนหน้านี้มีถึง 5 แห่ง ที่เคยเกิดอะไรแบบนี้ขึ้นในประเทศจีน ในรอบ 6 ปีที่ผ่านมากันเลยทีเดียว และผู้คนต่างก็พยายามคิดทฤษฎีขึ้นมารองรับ บ้างก็บอกว่ามันเกิดจากฝีมือของเอเลียนต่างดาว ที่เดินทางข้ามมิติมาจากภิพบอื่น อีกฝั่งก็บอกว่านั่นคือสัญญาณว่าพระคริสต์กำลังจะเดินทางกลับมา และที่หนักไปกว่านั้นก็คือ บอกว่ามันเป็นภาพลวงตาจากการทดลองของรัฐบาลจีน ไม่ก็มาจากรัฐบาลของสหรัฐฯ
แต่ไม่ว่าอย่างไรเหตุการณ์นี้มันก็เกิดขึ้นแล้วจริง ๆ เพียงแต่เรื่องแบบนี้มันไม่ได้เกิดครั้งแรก เพราะมีบันทึกเอาไว้ว่าก่อนหน้านี้มีถึง 5 แห่ง ที่เคยเกิดอะไรแบบนี้ขึ้นในประเทศจีน ในรอบ 6 ปีที่ผ่านมากันเลยทีเดียว และผู้คนต่างก็พยายามคิดทฤษฎีขึ้นมารองรับ บ้างก็บอกว่ามันเกิดจากฝีมือของเอเลียนต่างดาว ที่เดินทางข้ามมิติมาจากภิพบอื่น อีกฝั่งก็บอกว่านั่นคือสัญญาณว่าพระคริสต์กำลังจะเดินทางกลับมา และที่หนักไปกว่านั้นก็คือ บอกว่ามันเป็นภาพลวงตาจากการทดลองของรัฐบาลจีน ไม่ก็มาจากรัฐบาลของสหรัฐฯ
ปรากฎการณ์ภาพลวงตา "Fata Morgana" (ภาพจริง) |
แต่จริง ๆ แล้วมันก็มีคำอธิบายที่เป็นไปได้ และก็ดูจะเป็นเหตุเป็นผลมากที่สุดก็คือ มันเกิดจากสภาพอากาศแปรปรวนทำให้เกิดปรากฏการณ์ภาพลวงตา ที่มีผู้คิดคำศัพท์แปลก ๆ เรียกว่า "Fata Morgana" มันเกิดขึ้นพอดิบพอดีระหว่างแสงแดดที่เดินทางมากระทบกับคลื่นความร้อน แล้วสะท้อนกันเองไปมาภายในนั้น จนเกิดภาพลวงตาดูเหมือนก้อนเมฆก้อนใหญ่ มาบดบังฐานของตึกอาคารสูงแบบที่เห็น ซึ่งมันจะไม่มีทางเห็นเป็นแบบนี้ได้เลย ถ้าเมฆบนท้องฟ้าจริง ๆ มันมีรูปร่างแตกต่างไปจากกลุ่มหมอกควันที่เกิดขึ้นนี้
ภาพตัดต่อที่จีน และแคลิฟอร์เนีย |
แต่สำหรับบางคลิปที่เห็นกันตามอินเทอร์เน็ตว่าเป็นภาพเมืองลอยฟ้านั้น มันเป็นคลิปที่ทำปลอมขึ้นมาทั้งสิ้น ดังนั้นก็ต้องแยกให้ออกระหว่างภาพลวงตากับของที่ทำหลอกลวงขึ้นกันให้ดีนะครับ
-------------
แท็บบี้สตาร์ (Tabby’s Star)
ภาพจาก: National Geographic |
จักรวาลอันกว้างใหญ่ไพศาลนั้น มีกาแล็กซี่นับพันล้านหรือไม่ก็มากกว่า ที่บอกเลยว่าในช่วงชีวิตของเรา ไม่มีทางเลยที่จะนับได้ว่ามันมีอยู่เท่าไหร่กันแน่ นอกจากหวังเอาไว้ว่าสักวันหนึ่งมนุษย์จะสามารถเดินทางไปสำรวจกันใกล้ ๆ ได้เท่านั้น
ซึ่งนั่นก็ยังไม่ได้นับรวมไปถึงทางช้างเผือกของเรา ที่ยังกุมความลับในตัวเองตลอดมาอย่างยาวนาน แต่กับเรื่องนี้เรากำลังพูดถึงทฤษฎีใหม่เรื่องหนึ่ง นั่นก็คือเรื่องราวของ Tabby’s Star หรือ KIC 8462852 โดยชื่อเล่นของมันถูกตั้งขึ้นหลังจาก ทาเบธา โบยาเจียน ที่พบอะไรบางอย่างที่อยู่ท่ามกลางดวงดาวกว่า 150,000 ดวง ตอนช่วงที่เธอปฎิบัติการอยู่กับกล้องดูดาวเคพเลอร์
ซึ่งนั่นก็ยังไม่ได้นับรวมไปถึงทางช้างเผือกของเรา ที่ยังกุมความลับในตัวเองตลอดมาอย่างยาวนาน แต่กับเรื่องนี้เรากำลังพูดถึงทฤษฎีใหม่เรื่องหนึ่ง นั่นก็คือเรื่องราวของ Tabby’s Star หรือ KIC 8462852 โดยชื่อเล่นของมันถูกตั้งขึ้นหลังจาก ทาเบธา โบยาเจียน ที่พบอะไรบางอย่างที่อยู่ท่ามกลางดวงดาวกว่า 150,000 ดวง ตอนช่วงที่เธอปฎิบัติการอยู่กับกล้องดูดาวเคพเลอร์
"ทาเบธา โบยาเจียน" ผู้ค้นพบ |
เธอพบว่ามันมีอะไรบางอย่างที่มีขนาดใหญ่กว่าโลกถึงพันเท่า กำลังบดบังแสงที่มาจากดาวฤกษ์ที่มีชื่อรหัสว่า KIC 8462852 มีผลทำให้แสงที่ส่องมาจากมันลดลงไปมากกว่าร้อยละยี่สิบ
เธอคาดว่าบางทีมันอาจจะเป็นฝุ่นไม่ก็ซากของดาวในอวกาศ ซึ่งมันไม่น่าจะใช่ดวงดาวทั้งดวงอย่างแน่นอน แต่ก็มีคนบางกลุ่มออกมาอธิบายว่า บางทีมันอาจเป็นเศษซากของยานเอเลี่ยนที่ขับยานขนาดใหญ่มาจอดเติมพลังงานที่ดาวฤกษ์ดวงนี้ก็เป็นได้ ซึ่งอันนี้ก็ต้องเลือกเอาเองว่า จะเชื่อทาเบธาหรือจะเชื่อกลุ่มนักเอเลี่ยนนิยม
แต่อย่างไรก็ดีการค้นพบครั้งนี้ก็ถือเป็นอีกสิ่งที่น่าสนใจสำหรับวงการดาราศาสตร์ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เพียงแต่ตอนนี้ใครสนใจทฤษฎีของเธอ และอยากช่วยสมทบเงินทุนให้กับทาเบธาก็ลองแวะไปสำรวจโครงการนี้กันได้ ที่หน้าเว็บไซต์ระดมทุนของเธอก็แล้วกันนะครับ
-------------
ฝนประหลาด (Raining Cats And Dogs . . . And Spiders?)
อีกสิ่งที่ถือเป็นกฏแห่งจักรวาลนี้ก็คือ ใคร ๆ ก็เป็นทาสแมว ไม่ก็เป็นนายของสุนัขกันใช่ไหม เพราะเรื่องแบบนี้มันคือกฏแห่งกรรม และถือเป็นเหตุผลอันยิ่งใหญ่ของการเป็นมนุษยชาติของเรา แต่มันก็คงจะไม่ดีแน่ ๆ ถ้าหากมนุษย์อย่างเราอยากเห็นพวกมันลอยตกลงมาจากท้องฟ้า
ซึ่งเราเองก็ไม่ได้พูดเล่นเพราะมันเคยมีเหตุการณ์แบบนั้นเกิดขึ้นมาจริง ๆ เพียงแต่สัตว์ที่ตกลงมาเป็นฝนมันไม่ใช่สุนัขหรือแมว มีรายงานว่าเคยมีสัตว์หลายชนิดตกลงมาจากฟากฟ้าจริง ๆ ซึ่งนั่นก็ได้แก่เหตุการณ์กบจำนวนมากตกลงมาเหมือนเม็ดฝน ซึ่งนั่นก็รวมไปถึงฝนลูกอ๊อด ฝนแมงมุม ฝนปลา ฝนปลาไหล ฝนงู ไปจนถึงฝนที่ตกลงมาเป็นตัวหนอน ซึ่งอย่างหลังนี่ก็ไม่ต้องไปนึกภาพให้ขนลุกดีกว่า
ฝนแมงมุมที่ออสเตเรีย ฝนปลาที่ไทย ฝนกบที่เยอรมัน และฝนลูกอ๊อดที่ญี่ปุ่น
ถ้าจะถามถึงสาเหตุว่ามันเป็นแบบนั้นได้อย่างไร มันก็มีแต่ทฤษฎีคาดกันไปว่าสัตว์ต่าง ๆ เหล่านั้นมันถูกหอบขึ้นไปบนท้องฟ้าได้ ด้วยการประทุของน้ำพุอย่างแรงจากพายุทอนาโด ก่อตัวขึ้นในแถบท้องถิ่นที่เกิดเหตุพวกนี้ แต่มันก็น่าเสียดายที่เหตุการณ์เหล่านี้ไม่เคยมีนักวิทยาศาสตร์คนไหนเห็นกับตากันเลย
ซึ่งถ้าทฤษฎีของพวกเขาถูกต้อง มันก็ยังไม่สามารถอธิบายถึงเหตุฝนประหลาดบางกรณีได้ อย่างเช่น ฝนที่ตกลงมาเป็นก้อนเนื้อจากท้องฟ้าอันสดใสของรัฐเคนตักกี้เมื่อปี ค.ศ. 1876 นั่นก็หมายความว่าในอนาคตอันใกล้นี้ ก็คงจะมีการบันทึกเพิ่มเติมกันแน่ ๆ ว่า จะมีตัวอะไรตกลงมาเป็นฝนกันอีก เพราะเมื่อไม่นานมานี้ก็มีข่าวตามเว็บไซต์แนวบันเทิงพูดกันว่า เคยมีเงินจำนวนมากลอยตกลงมาเป็นฝนจนเราต้องอิจฉาเหมือนกัน
-------------
ท้องฟ้าสีเลือด (Bloody Sky)
ภาพจาก: georgianewsday.com (ภาพจริง) |
ถ้าจะถามกันว่า อะไรคือสัญญาณของวันสิ้นโลก ? คำตอบที่ได้ก็น่าจะเป็นความอดอยาก สงคราม หรือไม่ก็โรคระบาด ซึ่งถ้าไปถามกับคนบางกลุ่มที่มีความเชื่อแตกต่างกันออกไป เขาก็น่าจะตอบว่า เมื่อถึงเวลานั้นท้องฟ้าจะมืดมิด ตามด้วยเปลี่ยนเป็นสีแดงทันทีเพียงชั่วครู่ ก่อนที่จะกลับคืนสู่สภาวะปกติ
และมันก็เกิดขึ้นแบบนั้นจริง ๆ ที่หมู่บ้านชาลชัวปา ของประเทศเอลซัลวาดอร์ ตอนนั้นตรงกับเดือนเมษายน ค.ศ. 2016 ท้องฟ้าสีแดงฉานปรากฏขึ้นที่นั่นประมาณหนึ่งนาที ก่อนที่จะค่อย ๆ เปลี่ยนมาเป็นสีชมพู
ซึ่งก็แน่นอนว่าสำหรับชาวคริสเตียนที่นั่นต่างก็เชื่อกันไปแล้วว่า แสงสีแดงบนท้องฟ้านั่นก็คือสัญญาณของวันสิ้นโลก ที่เคยถูกกล่าวไว้ในหนังสือวิวรณ์ ที่เป็นหนังสือเล่มสุดท้ายหมายเลข 27 ของคัมภีร์ไบเบิลภาคพันธะสัญญาใหม่ ที่มีเนื้อหาแปลกกว่าใครในด้านพยากรณ์เหตุการณ์ต่าง ๆ รวมไปถึงวันสิ้นโลก ซึ่งก็อย่างที่บอกกันบ่อย ๆ ว่ามิติที่ 6 เราขอไม่ยุ่งเรื่องสถาบัน ดังนั้นเราเรียกก็ได้ว่ามันคือหนังสือที่แปลกที่สุด
ซึ่งก็แน่นอนว่าสำหรับชาวคริสเตียนที่นั่นต่างก็เชื่อกันไปแล้วว่า แสงสีแดงบนท้องฟ้านั่นก็คือสัญญาณของวันสิ้นโลก ที่เคยถูกกล่าวไว้ในหนังสือวิวรณ์ ที่เป็นหนังสือเล่มสุดท้ายหมายเลข 27 ของคัมภีร์ไบเบิลภาคพันธะสัญญาใหม่ ที่มีเนื้อหาแปลกกว่าใครในด้านพยากรณ์เหตุการณ์ต่าง ๆ รวมไปถึงวันสิ้นโลก ซึ่งก็อย่างที่บอกกันบ่อย ๆ ว่ามิติที่ 6 เราขอไม่ยุ่งเรื่องสถาบัน ดังนั้นเราเรียกก็ได้ว่ามันคือหนังสือที่แปลกที่สุด
โดยเหตุผลที่พอจะเป็นไปได้นั้น ก็มองว่ามันน่าจะเป็นผลข้างเคียงของฝนดาวตกช่วงเดือนเมษายน ที่คนในท้องที่แถบนั้นสามารถพบได้ทุกปี เพียงแต่รอบนี้มันแปลกไปหน่อยเพราะท้องฟ้าสีเลือดแบบที่เป็น มันไม่ใช่สิ่งที่ชาวบ้านเคยเห็นกันมาก่อน
นั่นก็เลยทำให้มีคำอธิบายที่เป็นไปได้เพิ่มขึ้นมาอีกกรณี โดยคาดกันว่าแสงสีแดงที่เกิดขึ้นนี้คือปรากฏการณ์เดียวกันกับแสงสะท้อนของเมฆสีแดงยามเย็นที่เราเห็นกันบ่อย ๆ ซึ่งมันก็แล้วแต่เราว่าจะเลือกเชื่อตามพระคัมภีร์ หรือจะเลือกเชื่อว่ามันไม่มีอะไรในกอไผ่ก็ได้เช่นกัน
-------------
เดอะเกรทแอทแทร็กเตอร์ (The Great Attractor)
ภาพจาก: sci-news.com |
หนึ่งในรูปแบบคำอธิบายที่ยอมรับได้ของการกำเนิดจักรวาลก็คือบิ๊กแบง ที่หมายถึงการระเบิดครั้งอภิมโหราฬเมื่อหนึ่งหมื่นสี่พันล้านปีก่อน ส่งผลให้เกิดทั้งฝุ่นควันมากมายกระจายตัวออกไปเป็นวงกว้าง เพียงแต่ฝุ่นควันที่ว่านั้นแต่ละชิ้นมันมีมวลขนาดใหญ่ระดับดวงดาว ที่พอมันกระจายออกไปเท่าไหร่ จักรวาลก็ยิ่งแผ่ขยายออกไปได้ไกลเท่านั้น แต่ถึงมันจะเป็นทฤษฎีที่ได้รับการยอมรับ มันก็เป็นเพียงแค่หนึ่งในอีกหลายทฤษฎีที่อธิบายว่าจักรวาลมันเกิดขึ้นมาได้อย่างไรเท่านั้น และมันก็ยังไม่สามารถอธิบายเกี่ยวกับเหตุการณ์ผิดปกติอย่าง ที่นักวิทยาศาสตร์ตั้งชื่อมันว่า เดอะเกรทแอทแทร็กเตอร์ !
ในช่วงยุค ค.ศ. 1970 นั้น มนุษย์เราก็พบพลังงานแปลก ๆ ที่ว่ากันแล้ว มันอยู่ห่างออกไป 150 - 250 ล้านปีแสง ที่คอยดึงทางช้างเผือกและกาแล็กซี่อีกหลายแห่งให้ผูกติดอยู่ด้วยกันมายาวนาน โดยจุดศูนย์กลางของพลังที่ว่านั้น มันก็คือเดอะเกรทแอทแทร็กเตอร์นั่นเอง
"The Great Attractor" |
โดยในปี ค.ศ. 2016 มีกลุ่มนักวิทยาศาสตร์นานาชาติสามารถมองเห็นอดีตของทางช้างเผือก ผ่านทางกล้องโทรทัศน์วิทยุที่ชื่อว่า CSIRO และที่เราบอกว่ามันเป็นภาพในอดีต ก็เพราะระยะทางที่ห่างไกลของทางช้างเผือกมันอยู่ไกลหลายล้านปีแสง สิ่งที่เราเห็นนั้นก็เลยเป็นภาพจากช่วงเวลาอันไกลโพ้น เดินทางมาถึงดวงตาของเรานั่นเอง
พวกเขาค้นพบเพิ่มเติมว่า นอกจากทางช้างเผือกแล้วก็ยังมีกาแล็กซี่อีก 883 แห่งที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียง ถูกเดอะเกรทแอทแทร็กเตอร์เกาะยึดเอาไว้ ให้อยู่ในจุดบริเวณใกล้กันที่เรียกว่าซุเปอร์คลัสเตอร์
ในขณะที่ความเชื่อนี้กำลังเป็นที่พูดถึงกันอยู่ ก็ยังไม่มีคำอธิบายที่ชัดเจนจากใครออกมาอยู่ดีว่า ทำไมมันถึงเกิดแรงดึงดูดที่ว่าขึ้นมาได้ โดยในปัจจุบันมีเพียงข้อสันนิษฐานว่ามันน่าจะเป็นผลจากการระเบิดของบิ๊กแบงหรือเปล่า ? แต่มิติที่ 6 ก็ไม่ใช่นักดาราศาสตร์แต่อย่างใด จึงทำได้แค่นำมาเล่าเพียงเท่านั้น
-------------
เสียงฮัมจากเมืองตาโอส (The Taos Hum)
ภาพจาก: Venturewestcamping |
หลายๆ คนน่าจะเคยได้ยินเสียงแปลก ๆ ที่ไม่รู้ว่ามันดังแว่วเข้ามาในหูกันอยู่บ้างใช่ไหม ? แต่ทีนี้มันมีเสียงอยู่ชนิดหนึ่ง เกิดขึ้นที่เมือง Taos ที่อยู่ทางเหนือของรัฐนิวเม็กซิโก ประเทศสหรัฐอเมริกา
มันเป็นเสียงฮัมโทนต่ำที่มีความถี่ประมาณ 30-80 เฮิร์ต ที่บางคนก็ได้ยิน บางคนก็ไม่รู้สึกว่ามันเกิดขึ้น เพียงแต่หลังจากชาวบ้านแถวนั้นได้ยินเสียงของมัน พวกเขาก็เลยแจ้งทางการให้ทราบ แล้วทางมหาวิทยาลัยของรัฐนิวเม็กซิโกจึงได้เริ่มทำการสำรวจ โดยใช้เครื่องมือวัดความถี่เสียงรอบ ๆ เมือง Taos ในช่วงปี ค.ศ. 1990 แล้วก็พบว่ามันมีเสียงที่ว่านี้เกิดขึ้นมาจริง ๆ
โดยหลังจากการสำรวจผู้คนในเมืองแล้วก็พบว่า มีเพียง 2 % ที่ได้ยินเสียงนี้โดยไม่ต้องใช้อุปกรณ์ช่วยฟัง มีคำอธิบายจากคนบางกลุ่มบอกว่า มันเป็นเสียงฮัมที่เกิดจากการทดลองของรัฐบาล บางคนก็บอกว่าพวกเอเลี่ยนนี่แหละเป็นคนทำ แต่ไม่ว่าจะเชื่อกันแบบไหน จริง ๆ ก็คือยังไม่มีใครพิสูจน์ที่มาของเสียงนี้ได้จริง ๆ กันเลย
-------------
เหตุระเบิดลึกลับในตุงกุสคา (The Tunguska Event)
ในช่วงสงครามเย็น ผู้คนต่างก็กลัวพลังทำลายล้างของระเบิดนิวเคลียร์ เพราะหลังจากสหรัฐอเมริกาใช้มันจบสงครามโลกนั้น โลกทั้งโลกก็ได้รู้แล้วว่ามันไม่ควรมีสงครามเกิดขึ้นเลยน่าจะดีกว่า
ในวันที่ 30 มิถุนายน ค.ศ. 1908 บริเวณแถว ๆ แม่น้ำโพดคาเมนนายาตุงกุสคาในไซบีเรีย เกิดเหตุลูกบอลไฟพุ่งตกลงมาจากฟากฟ้า แล้วระเบิดตัวเองไปก่อนถึงพื้นดินประมาณ 6 กิโลเมตร โดยการระเบิดครั้งนี้ทำให้เหล่าสัตว์น้อยใหญ่เสียชีวิต ต้นไม้ในป่าบริเวณนั้นถูกทำลายล้างจนราบพนาสูร แหวกออกไปเป็นรัศมีไกลกว่า 64 กิโลเมตร
ผู้ริเริ่มวิจัยเหตุการณ์นี้คือ "Leonyid Kulik" ชาวสหภาพโซเวียต |
ภาพโดย: Leonid Kulik (1927) |
นักวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่เชื่อว่า ลูกไฟดังกล่าวก็คืออุกาบาตที่ระเบิดก่อนจะตกลงถึงพื้นดิน และพลังทำลายอันน่ากลัวของมัน ก็น่าจะเกิดจากแรงอัดของบรรยากาศอันรุนแรง เพียงแต่ปริศนามันคือหลังจากการระเบิดจบลงแล้ว กลับไม่มีใครสามารถพบซากของมันที่ไหนเลย
นั่นจึงทำให้มีคนบางกลุ่มเชื่อว่า การระเบิดครั้งนั้นมันไม่ได้เกิดจากอุกาบาต บางทีมันอาจเป็นก้อนน้ำแข็งจากอวกาศจึงทำให้ทุกอย่างหายไปหลังจากระเบิด แต่สุดท้ายทุกวันนี้ก็ยังไม่มีใครสามารถให้คำตอบที่ชัดเจนกันได้เลยสักที
-------------
อนุสาวรีย์แห่งเกาะโยนากุนิ (Japanese Atlantis)
การที่อะไรก็ตามจะถูกเรียกว่าสิ่งแปลกประหลาดกันได้นั้น มันก็ต้องเป็นเพราะเรานี่แหละเชื่อว่ามันไม่น่าจะเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ตามธรรมชาติแน่ ๆ
ถ้าพูดถึงตำนานเกี่ยวกับคาบสมุทรแอตแลนติส ก็คงไม่พ้นเรื่องราวของเมืองใต้น้ำที่ครอบครองโดยเทพเจ้าโพไซดอน ซึ่งนั่นมันก็คือเรื่องเล่าตำนานต้นฉบับของชาวกรีกโบราณ ที่ทุกวันนี้มีคนบางกลุ่มเชื่อว่าเมืองดังกล่าวน่าจะอยู่ที่ไหนสักแห่งในแถบเมดิเตอเรเนียน หรือถ้าไม่ได้เป็นแบบนั้นประเทศญี่ปุ่นก็น่าจะเป็นที่ตั้งของเมืองดังกล่าวก็เป็นได้
เพราะที่นั่นมันมีหินขนาดยักษ์ก้อนหนึ่ง นอนทอดตัวอยู่ใต้ผืนทะเลแถวเกาะโยนากุนิ ประเทศญี่ปุ่น รูปร่างลักษณะของมันดูคล้ายกับปิรามิดของชาวอียิปต์ไม่ก็ของชาวแอสเทค จมอยู่ใต้น้ำที่นี่มาแล้วกว่า 2 พันปี ถูกพบครั้งแรกโดยนักประดาน้ำเมื่อปี ค.ศ. 1986 ที่ดูไปมันก็อาจเกิดจากธรรมชาติ เพียงแต่มันแปลกที่มุมในจุดต่าง ๆ ของหินก้อนนี้ ทำระดับอยู่ที่ 90 องศาเกือบทั้งหมด
ในเวลาต่อมาเจ้าแท่งหินยักษ์ที่ว่านี้ก็ถูกตั้งข้อสันนิษฐานว่า มันน่าจะเป็นเมืองโบราณอายุกว่า 5 พันปี ที่ถูกแรงแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ ทำให้มันถล่มลงไปยังใต้ท้องทะเล
นักเอเลี่ยนโบราณเองก็ออกมาบอกว่า มันต้องเป็นเมืองที่สร้างโดยพวกเอเลี่ยนโบราณ ซึ่งเรื่องนี้เราขอข้ามไปเลยจะดีกว่า เพราะคงไม่มีมนุษย์ต่างดาวที่ไหนมาสร้างเมืองด้วยการตัดหินเป็นก้อน ๆ กันแบบนี้ ทั้ง ๆ ที่พวกเขาสามารถนั่งยานอวกาศอันไกลโพ้นมาถึงเราได้
ถูกสันนิษฐานว่าสร้างโดยเอเลี่ยนโบราณ |
แต่กับนักภูมิศาสตร์นั้นมองว่าโยนากุนิแห่งนี้ เป็นเพียงแค่ก้อนหินที่ถล่มลงมาเพราะแผ่นดินไหว ในพื้นที่ใกล้ ๆ กันนั้นก็มีชะง่อนหินที่มีลักษณะคล้ายกันยังคงตั้งอยู่ ให้เห็นว่าแท้ที่จริงแล้วมันก็เป็นแค่ก้อนหินธรรมดา ไม่ได้มีอะไรเป็นพิเศษมากไปกว่าสถานที่ท่องเที่ยวสำหรับการดำน้ำเลย แต่ถึงจะบอกว่าไม่มีอะไรเป็นพิเศษ มันดูยิ่งใหญ่และมีพลังน่าเกรงขามมากจริง ๆ
ทั้งหมดที่เรานำมาเล่าให้ฟังนี้ มันก็คือปรากฏการณ์แปลกประหลาดลึกลับที่ยังไม่สามารถหาข้อสรุปที่ถูกต้องกันได้ แต่พอมาคิดให้ดีบางทีมันก็อาจจะมีคำตอบให้เรากันไปตั้งแต่แรกแล้ว เพียงแต่มันก็ต้องมีอยู่บ้างกับข้อสงสัยจากผู้ที่ต้องการทราบรายละเอียดลึก ๆ ซึ่งของแบบนั้นถ้าอธิบายกันได้หมด มันก็คงไม่เหลือความลึกลับอะไรให้เราต้องสงสัยกันพอดี จริงไหมครับ !?
เงี้ยวววว~ |
หลังจากจบรายการมิติที่ 6 แล้ว อย่าลืมกดสับสไครป์ กดไลก์ กดแชร์ และอย่าลืมทิ้งคอมเมนต์กันไว้ด้วยนะครับ ยังมีเรื่องราวต่าง ๆ อีกมากมายรอคุณอยู่ สำหรับวันนี้... สวัสดี
แปลและเรียบเรียงโดย นิวัฒน์ อ่ำแสง
ขอบคุณที่มา: Listverse
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น