6 ตุลาคม 2560

มิติที่ 6 | 10 ปีศาจในตำนานเมืองจากทั่วโลก ที่คุณอาจจะยังไม่เคยรู้มาก่อน !!!



ในโลกทุกวันนี้นอกจากตำนานท้องถิ่นที่เล่าสืบทอดกันมายาวนานเป็นร้อยปีแล้ว ปัจจุบันก็ยังคงมีตำนานใหม่ ๆ เกิดขึ้นมา อยู่ในฐานะของเรื่องเล่าที่เรียกว่า "Urban Legend" หรือ "ตำนานเมือง"

กดเพื่อดูคลิปที่นี่


มิติที่ 6 ศุกร์สยองขวัญ กับเรื่องราวเบา ๆ ในวันศุกร์สะดวกสัปดาห์นี้ เราจะเล่าเรื่องราวของตำนานเมืองยุคใหม่ ที่เกิดขึ้นในหลายแห่งบนโลกใบนี้ เพื่อจะได้ทราบว่าเรื่องราวของที่ไหนจะน่ากลัวกว่ากัน และเรื่องราวเหล่านั้นจะน่ากลัวเหมือนตำนานรุ่นเก่ากันหรือไม่ !?

มนุษย์หลังคา (The Roof Walkers Of Scandinavia)

Roof Walkers
ภาพจาก: humon

ในโลกอินเตอร์เน็ตกลุ่มสแกนดิเนเวีย มีการพูดถึงแฮชแท็ก แวนเดร็น (Vandren) หรือ เดอะรูฟวอล์คเกอร์ (The Roof Walkers) มันคือเรื่องลึกลับพูดถึงอะไรบางอย่าง ที่ต่อมามันก็ได้กลายเป็นตำนานเมืองเรื่องใหม่ กับสิ่งที่พวกเขาบอกว่าพวกมันอาศัยอยู่เหนือพื้นดินด้วยเหตุผลอะไรบางอย่าง เวลาจะเดินทางมันก็จะใช้หลังคาบ้านเป็นเส้นทางสัญจร
รูปร่างลักษณะของพวกมันถูกระบุว่า เหมือนกับคนดูดีแต่งตัวมีสไตล์ ที่มือมีกงเล็บยาวใหญ่เกินคนธรรมดา ดวงตาสีส้มแวววาวราวกับสุนัขป่า อยู่ในชุดเสื้อผ้าสีดำ ไม่ก็มีผิวสีดำสนิท


เรื่องราวของเดอะรูฟวอล์คเกอร์หรือมนุษย์หลังคาเรื่องนี้ ถูกเล่าเอาไว้คล้าย ๆ กันว่า ในกลางดึกของคืนหนึ่ง มีชายคนหนึ่งได้ออกมามองวิวนอกหน้าต่างอพาร์ทเมนตของเขา แล้วเขาก็ต้องตกตะลึงเพราะสายตาพลันไปเห็นใครก็ไม่รู้ กำลังเดินอยู่บนยอดหลังคาตึกที่อยู่ฝั่งตรงข้าม และต่อมาคนที่ว่านั้นก็กระโดดมาที่กรอบหน้าต่างห้องของเขาจนกระจกแตก แทนที่คนลึกลับจะพูดจาขอโทษ เขากลับจ้องมาที่เจ้าของห้องอย่างน่ากลัวด้วยดวงตาสีส้มเรืองแสงคู่นั้น ถึงกับทำให้ชายผู้โชคร้ายทำอะไรไม่ถูก สักพัก มันก็รีบจากไป โดยไม่หันกลับมามองว่าใครจะเรียกร้องค่าเสียหายกับมันหรือเปล่า

-------------

The Little Red Man


เรื่องนี้เป็นตำนานจากทางฝั่งฝรั่งเศส พูดถึงชายคนหนึ่งที่ใช้ชื่อว่าณอง ผู้เคยทำงานเป็นคนขายเนื้ออยู่ใกล้กับสวนตุยเลอรี่ ในรัชสมัยของสมเด็จพระราชชนนีพันปีหลวงแคทเธอรีน เดอ เมดีชี ที่อยู่ในช่วงปี ค.ศ. 1547 ถึง ค.ศ. 1559 ณองถูกจับกุมและต้องโทษประหารเพราะเขาไปรู้อะไรบางอย่างที่ไม่ควรรู้ ซึ่งเรื่องที่ว่ามันจะเป็นอะไรนั้นเราทราบเพียงว่ามันเป็นความลับของราชวงศ์


แต่แทนที่ตัวเองจะยอมรับโทษตายอย่างสงบ ฌองกลับประกาศก้องทั้ง ๆ ที่กำลังจะถูกแขวนคอว่า เขาขอสบานต่อหน้าแทนประหารแห่งนั้นว่า "ถ้าตายไปเขาจะกลับมาแก้แค้น !" และในตำนานก็ระบุว่าต่อมา ผีของฌองก็กลับมาแก้แค้นจริง ๆ ในรูปลักษณ์ของคนหลังค่อม ร่างกายชุ่มโชกไปด้วยเลือด คอยเฝ้าหลอกหลอนพระนางแคทเธอรีนทุกวัน จนกระทั่งวันสุดท้ายที่พระองค์สิ้นพระชนม์

แต่ถึงแม้เป้าหมายของฌองจะจากไป เรื่องราวของผีชายตัวเล็กร่างสีแดงเรื่องนี้ ก็ยังคงถูกร่ำลือต่อมาถึงความเฮี้ยนที่ยังคงคอยหลอกหลอนผู้คนในย่านตูเลอรี่เสมอมา โดยระบุช่วงเวลาปรากฏตัวของเขาชัดเจนว่าเป็นคืนก่อนวันแห่งความหายนะ

สมเด็จพระราชชนนีพันปีหลวง "แคทเธอรีน เดอ เมดีชี"
จักรพรรดิ์นโปเลียนที่ 1 (โบนาปาร์ต)

ว่ากันว่าแม้แต่จักรพรรดิ์นโปเลียนก็ยังเคยเผชิญหน้ากับมันมาแล้วถึงสองครั้ง โดยในการพบครั้งที่สองนั้น นโปเลียนได้ร้องขอให้วิญญาณพยาบาทดวงนี้ จงไปสู่ที่ชอบ ๆ ซึ่งก็แน่นอนว่าวิญญาณชายตัวเล็กสีแดงดวงนี้ปฎิเสธคำขอนั้น ก่อนที่จะเดินขึ้นบันได้แล้วหายตัวไป และนั่นจึงทำให้ตำนานยังคงถูกเล่าสืบต่อกันมาจนถึงปัจจุบันนี้
-------------

ฮาจิชาคุซามะ (Hachishakusama)



ฮะจิซาคุซามะ หรือที่น่าจะแปลกันแบบตรงตัวได้ว่า ท่านแปดฟุต ก็คือตำนานเมืองที่เกิดจากการโพสต์ในโลกอินเทอร์เน็ต เมื่อช่วงประมาณปี ค.ศ. 2008 ซึ่งต่อมามันก็ถูกนำมาเขียนเป็นการ์ตูน เกม ไปจนถึงภาพยนตร์แอนิเมชั่นสำหรับผู้ใหญ่ ที่เล่าเรื่องราวจากคนต้นเรื่องได้แวะไปเยี่ยมเยียนคุณปู่คุณย่า ที่อยู่ในเมืองเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง และที่นั่นเขาก็ได้พบกับหญิงสาวตัวสูงใหญ่ผิดปกติ กำลังหัวเราะด้วยน้ำเสียงแปลก ๆ อยู่บริเวณใกล้ ๆ โดยเรื่องนี้ มิติที่ 6 ได้เคยนำมาเล่าไว้แล้วในคลิป ฮาจิชาคุซามะ !!! อย่างไรแล้วลองแวะไปชมกันได้นะครับ

-------------


เอลซาโคแมน (El Sacoman)

ภาพจาก: FAB-dark


ที่ประเทศสเปนยุคปี ค.ศ. 1910 มีเด็กชายอายุเจ็ดขวบคนหนึ่ง ถูกลักพาตัวเอาไปทำเป็นยารักษาโรคให้กับชายที่ชื่อว่า ฟรานซิสโก้ ออร์เตก้า ที่ตอนนั้นกำลังป่วยเป็นกาฬโรคอยู่ หมอยาแถวบ้านบอกกับออร์เตก้าว่า เขาสามารถหายขาดจากโรคร้ายนี้ได้ด้วยการดื่มเลือดสด ๆ และใช้ไขมันอุ่น ๆ ของเด็กมาพอกที่หน้าอก

ซึ่งพ่อหมอเองก็คงจะไม่ได้แค่เชื่อเฉย ๆ เลยไปจับเด็กชายที่เขาพบมายัดใส่กระสอบแล้วฆ่าทิ้งเพื่อนำมาทำยาที่ว่า และในเวลาต่อมาออร์เตก้ากับพ่อหมอจึงถูกจับตัวไปประหารชีวิต โดยยังไม่ทันรู้เลยว่าตัวเองจะหายขาดจากกาฬโรคได้จริงหรือเปล่า


ในปัจจุบันเรื่องราวจากเทพนิยายกริมเรื่องนี้ ก็ถูกนำไปผูกกับตำนานเมืองเรื่องหนึ่งที่พูดถึงชายผู้แบกถุงกระสอบเอาไว้บนบ่า เดินไปมาในตอนกลางคืนตามถนนของประเทศเม็กซิโก เรื่อยไปจนถึงแถบลาตินอเมริกา


ชายคนที่ว่านี้จะคอยมองหาเด็ก ๆ ที่ไม่ควรออกมานอกบ้านในยามวิกาล ทั้ง ๆ ที่ไม่มีเหตุอันจำเป็นอะไร เพื่อจับตัวไปทำอะไรบางอย่างที่ทำให้เด็ก ๆ เหล่านั้นไม่ได้หวลกลับมาหาพ่อแม่ของพวกเขา และจากปากคำของชาวบ้านที่เคยพบเห็นชายท่าทางแปลก ๆ คนนี้ ต่างก็เรียกชื่อของเขาในภาษาเม็กซิกันว่า เอลซาโคแมน หรือ เดอะแช็คแมน นั่นเอง

-------------

ตำนานสาวไร้หน้าแห่งลอนดอน (London Oddity)

Edit by: Gunner660
ในช่วงปี ค.ศ. 1958 เกิดเหตุรถไฟสองขบวนชนกัน หลังจากที่เพิ่งออกจากชานชลาของสถานีลอนดอนเบคอนทรี่ และอุบัติเหตุครั้งนี้ก็ได้ทำให้มีผู้เสียชีวิตไปถึงสิบราย ต่อมาในปี ค.ศ. 1992 ก็เกิดอุบัติเหตุแบบเดียวกันนี้ซ้ำอีกครั้ง บางคนคิดว่ามันต้องเกี่ยวข้องอะไรกับอุบัติเหตุครั้งแรกแน่ ๆ


หลังจากนั้นมาก็มีตำนานเมืองเรื่องใหม่เกิดขึ้น โดยเริ่มเรื่องที่หัวหน้ากะดึกของทางสถานีคนหนึ่ง ต้องถึงกับขวัญผวาในคืนอันโชคร้ายของเขา เมื่อพบว่าในคืนนั้นขณะที่เขากำลังทำงานกะดึกตามปกติ อยู่ดี ๆ ประตูบานหนึ่งในห้องทำงานถูกใครก็ไม่รู้มาเคาะถึงสามครั้ง พอออกไปดูหัวหน้าก็ไม่เห็นใคร นั่นจึงทำให้เขารู้สึกหวาดกลัวเป็นอย่างมาก ถึงกับเดินหนีออกจากห้องทำงาน จนไปถึงทางบันไดฝั่งตรงกันข้าม
และที่นี่เขาก็ต้องขนลุกซู่เพราะความกลัวอีกครั้ง เพราะสิ่งที่เขารู้สึกได้ตอนนี้ก็คือมีใครบางคนกำลังเดินตามหลังเขามา พอหันกลับไปมองหัวใจของเขาก็แทบหยุดเต้น เพราะตรงนั้นเขาเห็นหญิงสาวผมบลอนด์สวมชุดสีขาว เธอไม่มีตา ไม่มีจมูกและปาก
ในขณะที่ทำอะไรไม่ถูกอยู่นั้น ร่างของหญิงสาวไร้ใบหน้าก็ค่อย ๆ หายไป และในวันต่อมาหัวหน้าสถานีกะดึกคนนี้ถึงได้รู้ว่า เพื่อนร่วมงานอีกคนของเขาก็เคยได้พบกับสาวไร้หน้าที่ว่านี้เช่นกัน เพียงแต่เพื่อนของเขาคนนั้นไม่กล้าเล่าเรื่องนี้ให้ฟัง เพราะกลัวจะตกงานข้อหาละทิ้งหน้าที่แล้วสร้างเรื่องมาโกหกนั่นเอง

-------------


แอมเฟียร์เลียธมอร์ (Am Fear Liath Mor)

ภาพจาก: Fear Liath


ที่ประเทศสก็อตแลนในปี ค.ศ. 1925 มีนักวิทยาศาสตร์ชื่อดังคนหนึ่งที่มีงานอดิเรกเป็นนักไต่เขา มีเรื่องราวที่เขาจะไม่มีวันลืมได้มาเล่าให้ฟังว่า ช่วงที่เขาปีนยอดเขาเบ็นแม็คดูร์ (Ben Macdhui) เขาพบว่ามันมีตัวอะไรบางอย่างแอบตามเขามาตลอดทางอยู่ในหมอกอันหนาทึบ และทันทีที่รู้เขาก็รีบเผ่นหนีลงจากยอดเขาแห่งนั้นในทันที


ส่วนนักปีนเขาคนอื่น ๆ ก็บอกว่า พวกเขาเองก็เคยพบอะไรแบบนี้เหมือนกัน เพียงแต่ที่ไม่ได้โวยวายอะไรก็เพราะกลัวว่าจะถูกคนอื่นเยาะเย้ยว่าขี้ขลาด แต่พอได้รู้เรื่องราวจากนักวิทยาศาสตร์คนนี้ พวกเขาจึงยอมเปิดปากออกมาเช่นกันว่า มันมีตัวอะไรบางอย่างแอบซุ่มตามพวกเขาอยู่ในหมอกหนาบนยอดเขาเบ็นแม็คดูร์แห่งนี้เช่นกัน


ในเวลาต่อมาเรื่องราวลึกลับเรื่องนี้ก็ถูกเรียกว่า แอมเฟียร์เลียธมอร์ หรือเป็นที่รู้จักกันในชื่อ บิ๊กเกรย์แมน หรือที่น่าจะแปลเป็นไทยได้ว่า ยักษ์สีเทา ชื่อของมันนำมาจากคำบอกเล่าของนักปีนเขาจำนวนหนึ่งที่ระบุถึงสัตว์ประหลาดสองเท้าตัวเตี้ยสีเทา ที่เฝ้าแอบตามพวกเขาเหล่านั้นอยู่ภายใต้หมอกอันหนาทึบบริเวณยอดเขาเบ็นแม็คดูร์



มีนักปีนเขาคนหนึ่งเล่าถึงเรื่องราวของเขาที่เกิดขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1939 ตอนนั้นเป็นช่วงกลางวันของหน้าร้อน ชายคนนี้ได้ปีนเขาฝ่าหมอกอันหนาทึบบนยอดเขาเบ็นแม็คดูร์เช่นกัน แล้วก็พบว่ามีบางสิ่งกำลังเฝ้าแอบตามเขาห่างๆ อยู่ประมาณสามเมตรภายในหมอกหนานั้น

และเวลาต่อมาหมอกที่หนาทึบก็เริ่มจางลง ทันใดนั้นเขาก็อาศัยช่วงเวลานี้หันหลังมองกลับไป ซึ่งเขาก็พบว่าข้างหลังของเขานั้นเป็นที่โล่ง ไม่มีจุดใด ๆ ที่จะให้เจ้าสิ่งนั้นหลบซ่อนตัวได้ เพียงแต่สิ่งที่เขามองเห็นในตอนนั้นกลับเป็นเพียงความว่างเปล่า ไม่มีสิ่งมีชีวิตอะไรให้เห็นอยู่ในวิสัยทัศน์ของเขาเลยแม้แต่ตัวเดียว

-------------

ผีแห่งแคนเบอร่า (Canberra Ghosts)


เมื่อวันที่ 13 สิงหาคม ค.ศ. 1940 มีคน 10 คน ที่ประกอบไปด้วยชนชั้นสูงของรัฐบาลออสเตรเลีย 4 คน ถูกสังหารบนเครื่องบินลำหนึ่ง ก่อนที่ตัวเครื่องจะเสียการควบคุมจนบินไปชนกับภูเขาที่อยู่ในบริเวณนั้น และสิ่งที่เกิดขึ้นกับเครื่องบินของสายการบินแคนเบอร่าครั้งนี้ก็ได้ถูกจารึกไว้ในประวัติศาสตร์ของประเทศออสเตรเลีย


แต่นอกจากเรื่องราวที่เกิดขึ้นจริงเรื่องนี้ มันก็ยังมีเรื่องราวอื่นที่จะต้องจารึกเอาไว้ในฐานะตำนานเมืองอีกเรื่อง เพราะในวันนั้นนอกจากจะมีผู้คนมากมายเห็นสัญญาณไฟกระพริบ และได้ยินเสียงเครื่องบินพุ่งชนภูเขาดังสนั่นแล้ว ก็ยังมีรายงานจากคู่รักวัยรุ่นคู่หนึ่งที่กำลังขับรถออกจากบริเวณที่เกิดเหตุบอกว่า

ทั้งสองเห็นวิญญาณจำนวนหนึ่งบินข้ามถนนผ่านเหนือศรีษะพวกเขาไป และที่น่าตกตะลึงยิ่งไปกว่านั้นก็คือ ทางฝ่ายหญิงสาวบอกว่าช่วงเวลาที่ทั้งสองขับรถผ่านชายป่าแถวจุดเกิดเหตุนั้น พวกเขาได้ยินเสียงของคนที่อยู่ในเครื่องบินลำดังกล่าว กรีดร้องดังระงมจนน่ากลัวอีกด้วย



โดยเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้น แม้มันจะเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเพียงเรื่องเดียว แต่คำถามที่เกิดขึ้นนั้นกลับมีอยู่ 2 ข้อใหญ่ ๆ คือ

ข้อแรก คือรายละเอียดเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้นมันไม่มากพอ ที่จะยืนยันว่าสิ่งที่วัยรุ่นเห็นนั้นเกิดขึ้นจริง เพราะมันไม่มีอะไรที่สามารถกลับไปตรวจสอบได้ ว่าช่วงเวลานั้นมีผีและเสียงกรีดร้องจริงหรือเปล่า

ข้อสอง คือถ้าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นมันไม่มีเรื่องผีเข้ามายุ่ง เราก็คงไม่มีตำนานเรื่องเล่าอะไรมาพูดกันที่นี่อย่างแน่นอนใช่ไหม ?

-------------


เจ้าตัวเขียวแห่งแม่น้ำโอไฮโอ (The Green-Clawed Beast)

ภาพจาก: Tyler’s Cryptozoo
ในวันที่ 21 สิงหาคม ค.ศ. 1955 ทีย่านกอดทาวน์ นครอินเดียแนโพลิส ประเทศสหรัฐอเมริกา นางดาร์วิน จอห์นสันกับเพื่อนชื่อนางคริส แลมเบิล ได้ออกไปว่ายน้ำเล่นแถวชายฝั่งแม่น้ำโอไฮโอ เมื่อนางจอห์นสันว่ายออกจากฝั่งไปได้เพียงสี่เมตรครึ่ง เธอก็รูสึกเหมือนกับมีมือขนาดใหญ่มาฉุดที่ขาลากเธอจนจมลงไปใต้น้ำ

เธอพยายามใช้เท้าของตัวเองสะบัดเตะมันจนหลุดออกมาได้ครั้งหนึ่ง แต่ก็ยังไม่วายถูกมือลึกลับที่ว่า ฉุดเธอกลับลงไปอีกครั้งจากทางด้านหลัง นั่นจึงทำให้นางจอห์นสันต้องดิ้นรนต่อสู้จนสุดแรงเพื่อกลับขึ้นมาเหนือน้ำ

ส่วนนางแลมเบิลเพื่อนของเธอก็ถูกมือที่ว่าโจมตีเข้าที่หลอดลม ก่อนที่จะลากเธอให้จมลงไปใต้แม่น้ำเช่นกัน ขาของพวกเธอเต็มไปด้วยรอยแผลฟกช้ำหลายแห่ง และหลักฐานสำคัญอีกอย่างนั้นก็คือรอยนิ้วมือเป็นเมือกสีเขียว ยังคงประทับอยู่ที่ขาของทั้งคู่ให้เห็นอย่างชัดเจน แถมพวกเธอยังต้องใช้เวลามากว่าหนึ่งวันในการขัดล้างเจ้าคราบฝ่ามือนี้ให้หลุดออกจนหมด


ถ้าสิ่งที่เกิดขึ้นนี้มันยังดูไม่แปลกพอ สองวันต่อมานางจอห์นสันกับสามีก็ต้องรับแขกที่อ้างว่าตัวเองเป็นผู้พันของกองทัพอากาศ ที่แวะมาหาเพื่อสอบถามเหตุการณ์ที่เธอได้ประสบ โดยก่อนที่ชายคนนี้จะจากไป เขาได้ขู่ทั้งเธอและสามีว่า จงอย่าได้เล่าเรื่องนี้ให้คนอื่นฟังอย่างเด็ดขาด


ซึ่งก็แน่นอนว่านางจอห์นสันนั้นเลือกที่จะไม่เชื่อนายทหารคนนี้ ไม่อย่างนั้นตำนานเมืองเรื่องนี้คงไม่ได้รับการบอกเล่ากันต่อมาแน่ ๆ

-------------


Climber



เพราะเมื่อช่วงเดือนตุลาคม ค.ศ. 2013 ตอนนั้นมีคลิปวิดีโอชิ้นหนึ่งถูกโพสต์ลงในเว็บไซต์ยูทูป ในคลิปนั้นเราจะเห็นตัวอะไรสักอย่างกำลังปีนขึ้นไปบนอาคารที่ไหนสักแห่งแถว ๆ นอกเมืองมอสโคว แถมยังเป็นตอนกลางวันแสก ๆ พอมันปีนขึ้นไปจนถึงชั้นบนสุด มันก็คลานต่อไปบนหลังคาของตึก จนในที่สุดมันก็หายไปพร้อม ๆ กับคลิปที่จบลง


คลิปนี้สามารถทำยอดผูชมได้สูงถึงหลักล้านวิวภายในเวลาอันสั้น ก่อนที่จะถูกเว็บไซต์อีกหลายแห่งนำไปโพสต์ไว้บนที่ของพวกเขา ภายใต้หัวข้อข่าวว่ามันคือ "มนุษย์กลายพันธุ์ของรัสเซีย" โดยไม่ได้สนใจว่าจริง ๆ แล้วมันคืออะไรกันแน่


จริง ๆ แล้วคลิปนี้มันเป็นคลิปที่ถูกสร้างขึ้นโดยวัยรุ่นที่ชื่อว่า ดิมิทรี่ คาตาเอฟ ที่ออกมาบอกเล่ากับเว็บไซต์ VL-News.com ว่า หลังจากที่เค้าใช้เวลาทั้งคืนในการสร้างมันขึ้นมา เขาก็แค่อัปโหลดมันลงบนยูทูป จากนั้นก็เข้านอนเพราะง่วงมากเท่านั้นเอง เผลอแป๊บเดียวมันก็กลายเป็นตำนานเมืองเรื่องใหม่ ถูกพูดต่อ ๆ กันไปว่าเป็นของจริงเฉยเลย

"ดิมิทรี่ คาตาเอฟ" ผู้สร้างคลิป


และมันก็ทำให้เรารู้ว่า การที่อะไรจะมาเป็นตำนานเมืองกันได้นั้น บางทีมันก็ไม่จำเป็นจะต้องมีเนื้อเรื่องมาบิวท์อะไรก็ได้เหมือนกัน
-------------


สัตว์ประหลาดแห่งบาร์มสตันเดรน (The Beast Of Barmston Drain)

เรื่องนี้เกิดขึ้นที่เมืองฮัลล์ ประเทศอังกฤษ วันนั้นอยู่ในช่วงเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 2015 มีประชาชนที่นั่นร่ำลือกันว่า พวกเขาพบสัตว์ร้ายขนยาวปรากฏตัวขึ้นบริเวณทางน้ำที่มีชื่อเรียกว่า บาร์มสตันเดรน มันสูงถึง 2.40 เมตรเวลายืน มีหญิงคนหนึ่งเห็นมันกระโดดข้ามทางน้ำดังกล่าว ก่อนที่จะหายไปทางฝั่งประตูน้ำด้านตรงข้าม
มีสามีภรรยาอีกคู่เล่าว่า พวกเขาเห็นเจ้าสัตว์ประหลาดตัวนี้กำลังกินสุนัขพันธุ์เยอรมันเชพเพิร์ดอยู่ สักพักมันก็มองเห็นพวกเขาทั้งคู่ ก่อนที่จะยืนขึ้นด้วยขาหลังของมัน ภาพที่เห็นในตอนนั้นนอกจากจะประทับติดตาในความสูงใหญ่ของมันแล้ว ซากของสุนัขผู้โชคร้ายก็ยังคงห้อยคาอยู่ที่ปากด้วย สักพักหนึ่งมันก็กระโดดข้ามรั้วสูงกว่าสองเมตรครึ่งหนีไป เหลือทิ้งไว้แต่เพียงความเงียบสงบของยามค่ำคืน


ต่อมาในวันที่ 29 สิงหาคม ค.ศ. 2016 มีหญิงสาวกับเพื่อนสองคนเล่าว่า พวกเธอพบกับเจ้าสัตว์ประหลาดตัวนี้ในระยะใกล้ชิด พวกเธอมั่นใจว่ามันต้องใช่เจ้าอสูรร้ายแห่งบาร์มสตันเดรนแน่ ๆ ตอนนั้นทั้งสามกำลังขับรถลงมาตามทางกันอยู่ แล้วคนหนึ่งก็ชี้ให้ดูว่ามันมีตัวอะไรบางอย่าง ที่คิดว่าน่าจะเป็นสุนัขจิ้งจอกอยู่ที่ข้างทาง


นั่นจึงทำให้พวกเขาถึงกับจอดรถดูให้เต็มตา แล้วอยู่ดี ๆ มันก็ยืนขึ้น จากนั้นมันเดินมาที่รถ พวกเธอทั้งสามบรรยายลักษณะของมันว่า เนื้อตัวของมันเต็มไปด้วยขนสีเทาครีม ขนาดของมันใหญ่กว่ารถที่พวกเขานั่งอยู่ และที่น่าตกใจที่สุดก็คือใบหน้าของมันเป็นหน้าของมนุษย์ ซึ่งพอทั้งสามเห็นกันชัด ๆ แบบนั้น จึงรีบขับรถหนีไปจากจุดเกิดเหตุทันที


ทั้งหมดนี้คือตำนานเมืองยุคใหม่ที่ถูกเล่ากันไปตามโลกออนไลน์ มันทำให้เรานึกถึง ตำนานผียายสปีด ที่ถูกเล่าจากปากรุ่นพี่ในมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง ซึ่งปัจจุบันก็ได้กลายเป็นตำนานเมืองแตกแขนงออกไปทั่วประเทศ และได้กลายเป็นตำนานใหม่อีกหลายจังหวัด
ก็อย่างที่บอกไว้ตลอดมา ถ้าความจริงมันน่าสนใจเราก็คงไม่มีตำนานอะไรมาเล่าให้ลูกหลานฟัง ดังคำที่มิติที่ 6 บอกท้ายรายการกันอยู่เสมอว่า ความจริงนั้น..มันช่างไม่มีเสน่ห์ เอาเสียเลย !!!

เงี๊ยววว !

แล้วอย่าลืมติดตามรายการมิติที่ 6 ศุกร์สยองขวัญ กับเรื่องราวเบา ๆ พร้อมกับที่มาของมันกันได้ทุกวันศุกร์สะดวก และหลังจากจบรายการแล้ว อย่าลืมกดสับสไครป์ กดไลก์ กดแชร์ และอย่าลืมทิ้งคอมเมนต์กันไว้ด้วยนะครับ ยังมีเรื่องราวต่าง ๆ อีกมากมายรอคุณอยู่ สำหรับวันนี้... สวัสดี !

แปลและเรียบเรียงโดย นิวัฒน์ อ่ำแสง
ขอบคุณที่มา: Listverse

แท็ก: 10 Monster, Legends, Around The World, 10 ปีศาจ, ตำนาน, ไม่เคยรู้มาก่อน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

ประกาศ

เพื่อเป็นกำลังใจเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้กับเรา ขอความร่วมมือจากผู้ที่นำเรื่องราวจากมิติที่ 6 ไปใช้ในที่ของท่าน กรุณาลงเครดิตกลับมาที่เราจะเป็นพระคุณอย่างสูงครับ