11 ตุลาคม 2560

มิติที่ 6 เปิดปมปริศนา Crystal Skull กะโหลกคริสตัลปริศนาแห่งมายัน !!!



บนโลกใบนี้ยังมีเรื่องราวต่าง ๆ อีกมากมายที่เรายังไม่เคยรู้ บางเรื่องก็เป็นเรื่องจริง บางเรื่องมันก็ไม่ใช่ ซึ่งทุกอย่างมันก็ขึ้นอยู่กับเราว่าจะเชื่อกันไปในทิศทางใด !!!

กดเพื่อดูคลิปที่นี่

มิติที่ 6 สัปดาห์นี้ เราจะนำท่านไปค้นหาที่มาของวัตถุชิ้นหนึ่ง วัตถุที่บางคนบอกว่ามันคือของที่ถูกสร้างขึ้นจากโลกโบราณ บางคนก็บอกว่ามันเป็นสิ่งล้ำค่าที่มาจากต่างดาวอันไกลโพ้น ซึ่งก็มีบางคนเลือกที่จะไม่เชื่อทั้งสองอย่าง นั่นจึงทำให้เราถูกท่านผู้ชมสอบถามกันมาว่า แท้ที่จริงแล้ว... มันคืออะไรกันแน่ !?


เรื่องมันเริ่มมาจากปี ค.ศ. 1926 ตอนนั้น แอนนา มิตเชลเฮจส์ บุตรสาวบุญธรรมของ เฟรเดอริค อัลเบิร์ต มิตเชลเฮจส์ นักผจญภัยและนักเขียนชาวอังกฤษ ได้พบบางสิ่งบางอย่างที่สุดมหัศจรรย์ที่ทำให้คนทั่วโลกมองว่าเธอนั้นเป็นดังเช่น ลาร่า ครอฟท์ หญิงสาวนักผจญภัยในดินแดนสุสานอันตราย จากในเกมคอมพิวเตอร์และภาพยนตร์ฮอลิวูด !

"เฟรเดอริค อัลเบิร์ต มิตเชลเฮจส์"
เธอไต่เชือกลงไปในศาสนสถานโบราณแห่งหนึ่งของชาวมายันในเมืองเบลิซ ที่ในปัจจุบันถูกธรรมชาติลุกล้ำนำกลับไปเป็นส่วนหนึ่งของมันแล้ว และที่นั่นภายใต้ซากแท่นบูชาโบราณ แอนนาได้พบกับบางสิ่งบางอย่างที่ต่อมาก็ได้กลายเป็นจุดสนใจของผู้คนยุคใหม่ มันคือสิ่งประดิษฐเล็ก ๆ ที่สร้างขึ้นในยุคโบราณ ที่ต่อมาใคร ๆ ต่างก็เรียกมันว่า กะโหลกคริสตัลแห่งมายัน !

"Skull of Doom" หรือ "Crystal Skull" 

กะโหลกคริสตัลชิ้นนี้มันถูกสร้างขึ้นมาด้วยความปราณีต ที่เชื่อกันว่าผู้ที่สร้างสิ่งนี้ขึ้นมาได้นั้น จะต้องเป็นช่างฝีมือผู้ชำนาญการเฉพาะทาง สภาพของมันถูกเก็บรักษาไว้อย่างดี มีขนาดประมาณสองในสามของกะโหลกมนุษย์จริง
ตั้งแต่วันที่แอนนาได้นำมันกลับมา ครอบครัวมิตเชลเฮจส์ก็ได้ปกปิดเรื่องราวของมันเอาไว้ยาวนานกว่า 30 ปี โดยไม่เคยมีใครรู้เลยว่าครั้งหนึ่งลูกสาวของบ้านนี้ได้พบเจอสมบัติล้ำค่าโบราณ
จนกระทั่งในที่สุด เฟรเดอริค อัลเบิร์ต มิตเชลล์เฮจส์ ได้กล่าวถึงกะโหลกแก้วคริสตันแห่งมายันชิ้นนี้ เอาไว้ในหนังสือของเขาชื่อ แดนเจอร์มายอัลลี่ (Danger My Ally) โดยอธิบายเอาไว้ว่า เจ้าสิ่งนี้มันคือกะโหลกคริสตัลอายุ 3,600 ปี ที่เคยถูกใช้โดยนักบวชชาวมายันเพื่อชี้เป็นชี้ตายแก่ผู้คน โดยอาศัยอำนาจลึกลับของมัน มาเพิ่มความน่ายำเกรงให้แก่พวกเขา

หนังสือ "แดนเจอร์มายอัลลี่ (Danger My Ally)"


ต่อมาหลังจากการเสียชีวิตของเฟรเดอริค แอนนาจึงได้นำสิ่งที่เธอเรียกว่า "Skull of Doom" หรือ "กะโหลกแห่งการลงทัณฑ์" ออกตระเวณแสดงตามงานที่เกี่ยวข้องไปทั่วโลก และตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาพลังอำนาจปริศนาของมันจึงได้ถูกพูดถึงกันเป็นวงกว้าง


เซอร์อาร์เธอร์ ชาลส์ คลาร์ก นักเขียนนิยายวิทยาศาสตร์ชาวอังกฤษ ที่มีผลงานเป็นที่รู้จักก็คือ นิยายชุดจอมจักรวาล (Space Odyssey) และชุดดุจดั่งอวตาร (Rendezvous with Rama) เขาคือผู้ที่นำกะโหลกแก้วคริสตันชิ้นนี้ไปออกรายการทีวีของเขา ที่ตอนนั้นมีชื่อรายการว่า Arthur C. Clarke's Mysterious World

"เซอร์อาร์เธอร์ ชาลส์ คลาร์ก" นำไปออกรายการทีวี

ในภาพยนตร์เรื่อง
อินเดียนาโจนส์ (ภาค 4) ก็ได้ใช้เรื่องราวเกี่ยวกับกะโหลกคริสตัลมาเป็นตัวชูโรงเกี่ยวกับพลังอำนาจอันลึกลับ

กะโหลกแก้วในเรื่อง "อินเดียน่าโจนส์"
ยิ่งกว่านั้นก็มีการจัดทำสารคดีเต็มรูปแบบเพื่อระบุกันว่า กะโหลกคริสตัลชิ้นนี้มันคือผลงานการสร้างของ "มนุษย์ต่างดาวโบราณ" ที่นำมาจากแอตแลนติสไม่ก็รอสเวลล์ ไม่ก็ถูกนำมาจากดวงดาวอันไกลโพ้นที่ไหนสักแห่ง แต่ถ้าจะให้สรุปกันจริง ๆ ก็คือ ตลอดช่วงเวลากว่าสี่สิบปีที่ผ่านมา การพูดถึงกะโหลกแก้วคริสตัลนั้น เป็นเรื่องราวที่เริ่มต้นมาจากแอนนาเพียงผู้เดียว


บางกลุ่มคนที่เชื่อในพลังงานลึกลับของมันบอกว่า จริง ๆ แล้วกะโหลกคริสตัลนั้นมันไม่ได้มีอยู่เพียงชิ้นเดียว แต่มันกระจัดกระจายอยู่ตามที่ต่าง ๆ ทั่วโลก และเจ้ากะโหลกคริสตัลจากทั่วโลกที่ว่านั้น มันก็ล้วนมีพลังงานซ่อนอยู่มากเกินกว่าที่เราจะคาดเดาได้ พวกมันมีพลังแห่งการทำนายอนาคต รักษาอาการเจ็บไข้ไปจนถึงใช้ติดต่อสื่อสารกับคนตาย


ผู้คนอีกส่วนก็ยืนยันว่ามันมีคุณสมบัติในการหักเหของแสงต่างจากคริสตัลทั่วไป โดยคนกลุ่มนี้บอกว่า ไม่ว่าอุณหภูมิตรงนั้นจะร้อนหรือจะหนาว ระยะทำมุมหักเหของแสงที่ผ่านเจ้ากะโหลกคริสตัลพวกนี้มันจะอยู่ที่ 70 องศาตลอดเวลา และมองว่าสาเหตุที่เป็นแบบนั้นได้ ก็เพราะมันมีพลังงานออร่าเปล่งออกมา จนสามารถนำกล้องมาถ่ายให้เห็นได้อย่างชัดเจน
และที่สุดของที่สุดนั้นคือมีบางคนออกมายืนยันว่า ถ้าหากมีใครนำกะโหลกคริสตัลทั้งหมดมารวมอยู่ที่เดียวกันได้สำเร็จ วันนั้นมันจะเป็นวันสุดท้ายของมนุษยชาติ โลกจะถูกทำลายด้วยอะไรบางอย่างที่น่ากลัว และนั่นจึงเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้เราไม่ควรเสาะหากะโหลกคริสตัลให้พบทุกชิ้น

เมื่อรวมกันจะเป็นวันสุดท้ายของมนุษยชาติ !!!
แต่ก่อนที่เราจะพูดอะไรกันต่อ มิติที่ 6 ต้องขออธิบายให้ท่านผู้ชมเข้าใจกันก่อนว่า เราเป็นรายการค้นหาที่มาของเรื่องราว ดังนั้นสิ่งที่เรากำลังจะเล่าต่ออาจจะไม่ใช่สิ่งที่ถูกใจสำหรับกลุ่มคนบางกลุ่ม และเราก็ไม่ต้องการให้ท่านผู้ชมเชื่อในสิ่งที่เรากำลังจะนำเสนอ ดังนั้น "โปรดใช้วิจารณญาณประกอบการรับชม" กันด้วยนะครับ
สิ่งแรกที่เราจะต้องทราบก่อนทุกอย่างนั้นก็คือ แท้ที่จริงแล้วกะโหลกคริสตัลของแอนนาไม่น่าจะมีอายุเก่าแก่ถึง 3,600 ปีตามเรื่องเล่า และสถานที่ ๆ แอนนาพบมันนั้นมันก็น่าจะอยู่ใกล้ ๆ กับบ้านของเธอมากกว่าเมืองเบลิซ เพราะจริง ๆ แล้วเฟรเดอริคพ่อของแอนนาได้ซื้อกะโหลกใบนี้มาจากตัวแทนตลาดค้าส่งงานศิลปะคนหนึ่ง ชายคนนี้ชื่อ ซิดนีย์ เบอร์นี่ ผ่านการประมูลของบริษัทขายงานศิลปะโซเธอบี้ เมื่อวันที่ 15 ตุลาคม ค.ศ. 1943
โดยหลักฐานการซื้อขายครั้งนั้นถูกเปิดเผยจาก โจ นิคเคล นักสืบแนวปริศนาที่มิติที่ 6 พูดถึงเขาอยู่บ่อย ๆ รวมไปถึงนักสืบอีกหลายคนที่ร่วมกันค้นหาที่มาของมัน นั่นจึงทำให้เป็นสิ่งที่อธิบายได้ว่าทำไมทั้งเฟรเดอริค และแอนนานั้นไม่เคยพูดอะไรเกี่ยวกับกะโหลกคริสตั้ลชิ้นนี้เลยตั้งแต่แรก

"โจ นิคเคล" นักสืบแนวปริศนาออกมาแฉอีกแล้ว
จนกระทั่งเวลาผ่านไปหลังจากที่เฟรเดอริคซื้อมันมา เรื่องราวกะโหลกคริสตัลของชาวมายันชิ้นนี้ถึงได้ถูกบอกเล่าในหนังสือของเขา มันจึงทำให้มีการคาดเดาจากเหล่านักสืบปริศนากันว่า ถ้าเป็นอย่างที่พวกเขาคิดก็หมายความว่าบางทีเรื่องราวของมันอาจถูกเฟรเดอริคเป็นคนสร้างขึ้นมา เพื่อเขียนลงในหนังสือของเขาเท่านั้นหรือเปล่า ?


แต่ถ้าจะเข้าข้างว่าทั้งสองพ่อลูกคู่นี้ไม่รู้เรื่อง มันก็อาจเป็นไปได้ว่าซิดนีย์ เบอร์นี่น่าจะเป็นคนพบกะโหลกคริสตัลแห่งมายันชิ้นนี้ และเป็นผู้ที่สืบค้นประวัติของมันย้อนกลับไป จนสามารถระบุได้ว่ามันอาจจะเป็นของที่นำมาจากชาวแอตแลนติส ซึ่งเราก็ทราบข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับเรื่องนี้เช่นกันว่า จริง ๆ แล้วซิดนีย์ เบอร์นี่ เป็นเจ้าของกะโหลกคริสตัลชิ้นนี้มาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1933
โดยหลักฐานนั้นก็คือจดหมายฉบับหนึ่งที่เขาเขียนส่งถึงพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ธรรมชาติอเมริกัน ใจความบอกว่าในช่วงปีนั้นเขาได้ครอบครองสิ่งนี้ไว้เรียบร้อยแล้ว และสามปีต่อมาก็มีนักข่าวสายมานุษยวิทยาชาวอังกฤษท่านหนึ่ง เขียนข่าวเกี่ยวกับเรื่องนี้เอาไว้พาดหัวสั้น ๆ ว่า กะโหลกของเบอร์นี่ และเนื้อหาในข่าวปี ค.ศ. 1936 ดังกล่าวก็ยังพูดถึงเรื่องราวของหัวกะโหลกคริสตัลชิ้นอื่น ๆ ด้วย ซึ่งเรื่องนี้ในเวลาต่อมาก็มีรายการสารคดีของบางช่องอ้างอิงจากข่าวนี้ว่า กะโหลกคริสตัลมันไม่ได้มีเพียงชิ้นเดียวนั่นเอง


ยังมีข้อมูลที่ยังไม่สามารถยืนยันอีกส่วนระบุว่า ซิดนีย์ซื้อกะโหลกชิ้นนี้มาจากนักสะสมชาวฝรั่งเศษชื่อ ยูจีน โบบัง แต่ถึงจะยืนยันไม่ได้ชัดเจนว่าใช่หรือเปล่า เรื่องราวทั้งหมดมันก็ดูเป็นเหตุเป็นผล เพราะตอนนั้นมีพยานประมาณสองคนหรือมากกว่านั้น รู้ว่ายูจีน โบบัง ซื้อกะโหลกคริสตัลมาอย่างน้อย 2 ชิ้น ในช่วงเวลาเดียวกันกับที่ซิดนีย์ครอบครองมันแล้ว

"ยูจีน โบบัง"
ดังนั้นถ้าเฟรเดอริคเป็นอินเดียน่าโจนส์ตัวจริง ยูจีนก็น่าจะเป็นเรเน่ อีมิล เบลล็อก คู่ปรับตลอดการของอินเดียน่าโจนส์ เพราะยูจีนเองก็เป็นชาวฝรั่งเศส และก็ไม่เคยบุกเข้าไปในสุสานป่าลึกด้วยตัวเองเพื่อเสาะแสวงหาศิลปะโบราณล้ำค่า ไปขายต่อให้กับพิพิธภัณฑ์เหมือนกับในภาพยนตร์ แต่สิ่งที่ทำให้ยูจีนต่างจากตัวละครจอมโกงตัวนี้ก็คือ เขาแค่ซื้อกะโหลกคริสตัลเหล่านี้มาจากผู้ที่สร้างมันขึ้นมา
ผู้ผลิตสินค้าพวกนี้ก็อยู่ในเมืองหนึ่งของประเทศเยอรมณี ที่ได้รับฉายาว่าเป็นเมืองหลวงแห่งอุตสาหกรรมอัญมณีชื่อ ไอดาร์โอเบอร์สไตน์ โดยเมืองแห่งนี้ถือเป็นบ้านเกิดของช่างฝีมือด้านหินประดับเก่ง ๆ มากมาย โดยในช่วงปี ค.ศ. 1870 ช่างฝีมือของไอดาร์โอเบอร์สไตน์ได้ซื้อหินควอร์ซคริสตัลจำนวนมากมาจากประเทศบราซิล เพื่อจะได้นำมาทำการเจียรไนเป็นผลงานขายกันต่อ
ถึงแม้จะไม่มีเอกสารยืนยันเกี่ยวกับการซื้อขาย แต่ก็มีบันทึกระบุว่าช่างฝีมือของไอดาร์โอเบอร์สไตน์ได้ขายสินค้าอันงดงามโดยใช้หินควอร์ซจากบราซิลมาเป็นวัตถุดิบ ส่วนยูจีนก็คือผู้ที่ได้มันมาอย่างน้อย 3 ชิ้น และก็เป็นไปได้ว่าเขาอาจจะซื้อมันมาถึง 13 ชิ้นเลยทีเดียว ซึ่งของที่ว่านั้นก็ไม่ใช่อะไร มันก็หัวกะโหลกคริสตัลที่ทำจากหินควอร์ซบราซิเลียนนั่นเอง !


จากเอกสารที่ถูกพบโดย เจน วอลช์ เจ้าหน้าที่เอกสารของสถาบันสมิธโซเนียน ซึ่งเป็นสถาบันวิจัย สถาบันการศึกษาและพิพิธภัณฑ์ ที่บริหารจัดการและได้รับทุนจากรัฐบาลสหรัฐอเมริกา ระบุว่ายูจีนได้ขายกะโหลกคริสตัลของเขาชิ้นหนึ่งให้กับบริษัทผู้จำหน่ายกระจกและคริสตัลทิฟฟานี่ ที่อยู่ในเมืองนิวยอร์ก ก่อนที่มันจะถูกขายต่อไปยังพิพิธภัณฑ์อังกฤษในปี ค.ศ. 1897

"เจน วอลช์" ก็ออกมาแฉแบบเซ็งๆ
โดยหลักฐานประกอบเกี่ยวกับเรื่องนี้ก็คือ ข่าวจากหนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทม์ ที่พาดหัวบอกว่าทางพิพิธภัณฑ์อังกฤษ ได้รับมอบกะโหลกคริสตัลชิ้นดังกล่าวมาจากบริษัททิฟฟานี่ ที่ระบุว่าพวกเขาได้มันมาจากนักสะสมชื่อ จอร์จ เอช ซิสสัน อีกที และจอร์จเองก็ได้บอกเล่าประวัติของมัน โดยชี้ชัดไปที่เจ้าของเดิมคนแรกว่า เขาซื้อมันมาจากยูจีน โบบังตั้งแต่ปี ค.ศ. 1887

ข่าวจาก "หนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทม์"
ต่อมายูจีนก็ขายกะโหลกคริสตัลชิ้นที่สองไป โดยเขาขายมันให้กับศูนย์แสดงงานศิลปะอาร์ฟองเซ่ ก่อนที่จะถูกส่งมอบให้พิพิธภัณฑ์แห่งมนุษยชาติในกรุงปาริส


โดยเส้นทางของทั้งกะโหลกคริสตัลในอังกฤษและปารีสนี้ มันได้ถูกบันทึกไว้เมื่อปี ค.ศ. 1890 อยู่ในหนังสือชื่อ Gems and Precious Stones of North America ของจอห์น เฟรเดอริค คันซ์ หน้าที่ 285 และ 286

"หนังสือ Gems and Precious Stones of North America" หน้าที่ 285 และ 286
นั่นจึงทำให้หลายสิบปีที่ผ่านมา ทั้งพิพิธภัณฑ์อังกฤษและปารีสได้จัดแสดงกะโหลกคริสตัลของพวกเขา พร้อมกับประวัติที่ถูกยูจีนเล่าให้กับลูกค้าของเขาฟังว่า มันคือกะโหลกคริสตัลที่ได้มาจากยุคก่อนชาวโคลัมเบียนแอซเท็ค

จัดแสดงที่พิพิธภัณฑ์ "อังกฤษ" และ "ปารีส"
โดยต่อมาการแยกกันศึกษาของทั้งสองพิพิธภัณฑ์ก็เกิดขี้น โดยในช่วงยุคปี ค.ศ. 1990 ที่ประเทศอังกฤษ รวมไปถึงกะโหลกคริสตัลอีกบางชิ้นที่ทราบว่าได้มาจากยูจีน ซึ่งก็ได้ทางสถาบันสมิตโซเนียนเป็นเจ้าภาพร่วมพิสูจน์ ผ่านกระบวนการตรวจสอบด้วยเครื่องอิเล็คตรอนไมโครสโคป ยืนยันออกมาว่าหัวกะโหลกคริสตัลทั้งหมดนั้น มันถูกสร้างขึ้นในยุคคริสศตวรรษที่ 19 ด้วยเครื่องมือเจียรไนที่สามารถระบุได้ว่ามันเป็นของที่ถูกใช้กันอยู่ โดยช่างฝีมือของเมืองไอดาร์โอเบอร์สไตน์ในยุคนั้น

ร่วมกันพิสูจน์

นั่นจึงทำให้ในปัจจุบันทางพิพิธภัณฑ์อังกฤษ ได้ระบุที่มากะโหลกคริสตัลของเขาใหม่ว่า
“มันน่าจะเป็นของที่ถูกสร้างขึ้นในยุโรปยุคศตวรรษที่ 19” (probably European, 19th century)
และย้ำว่า “มันไม่ใช่ของที่สร้างจากยุคก่อนโคลัมเบียน”


ส่วนหัวกะโหลกคริสตัลของปารีสที่ถูกระบุว่าได้มาจากยูจีนเช่นกันนั้น มันก็ได้ถูกตรวจสอบเช่นเดียวกันในปี ค.ศ. 2008 ซึ่งผลก็ระบุออกมาไม่ต่างกันก็คือ มันถูกสร้างขึ้นด้วยเครื่องมือสมัยใหม่ และจากการทดสอบด้วยการเร่งอนุภาคมีการพบร่องรอยของน้ำที่ใช้ในระหว่างการตัดและขัด ประทับอยู่อย่างชัดเจนในเนื้อหินควอร์ซ ที่ยืนยันว่ามันถูกสร้างขึ้นในช่วงระหว่างปี ค.ศ. 1867 ถึง ค.ศ. 1886 ด้วย


นั่นก็รวมไปถึงเจ้าของคนปัจจุบันที่ครอบครองกะโหลกคริสตัลชื่อ บิล ฮอร์แมนน์ ที่ยอมส่งกะโหลกคริสตัลที่เขาได้มาจากแอนนา มิตเชลล์เฮจส์ ไปตรวจสอบด้วยเครื่องมือสมัยใหม่

"บิล ฮอร์แมนน์" เจ้าของคนล่าสุด
และเจ้าของกะโหลกคริสตัลอีกคนที่อยู่ในเท็กซัส ที่เราทราบเพียงแค่เธอชื่อว่า แม็กซ์ เธอระบุว่ากะโหลกคริสตัลของเธอนั้นได้มาจากการประชุมผู้นิยมเวทย์มนต์แห่งหนึ่ง เพียงแต่ผลการตรวสอบกะโหลกคริสตัลทั้งสองชิ้นนั้นไม่เป็นที่เปิดเผยออกมาให้รู้กันทั่วไป นั่นทำให้เราก็เลยไม่รู้เช่นกันว่า หัวกะโหลกคริสตัลของบ้านมิตเชลล์เฮจส์นั้นได้ผลการตรวจสอบออกมาเป็นอะไรกันแน่

"แม็กซ์" (นามแฝง) เจ้าของล่าสุดอีกคน


ถึงแม้กะโหลกคริสตัลของสองพ่อลูกเฟรเดอริคและแอนนา มิตเชลล์เฮจส์ จะไม่ถูกเปิดเผยว่ามันเป็นของโบราณจริง ๆ หรือจะเป็นเพียงของที่ถูกทำขึ้นมาจากช่างฝีมือยุคปี ค.ศ. 1870 แต่เราก็ทราบกันไปหมดแล้วว่ามันเป็นของที่ได้มาจากซิดนีย์ เบอร์นี่เมื่อปี ค.ศ. 1933 และถึงจะไม่มีพยานยืนยันว่าจริง ๆ แล้วมันเป็นของจากยุคไหนกันแน่ !

"แอนนา มิตเชลล์เฮจส์" (เสียชีวิตเมื่อ ค.ศ. 2007)
เราก็ได้คำตอบมาอย่างหนึ่งก็คือ เฟรเดอริคและแอนนา มิตเชลเฮจส์ไม่ได้พบมันจากสุสานของชาวมายัน การผจญภัยของสองพ่อลูกไม่เคยเกิดขึ้นจริง มีแต่ความเป็นจริงก็คือเขาได้มันมาจากการประมูลของบริษัทโซเธอบี้ ผ่านทางผู้ค้าชื่อซิดนีย์ เบอร์นี่ นั่นเอง


จากข้อมูลทั้งหมดมันก็ทำให้มิติที่ 6 ไม่อยากจะฟันธงว่า เรื่องราวปริศนาของกะโหลกคริสตัลแห่งมายันนั้น มันเป็นของชาวมายันหรือชาวแอตแลนติส หรือเป็นของมนุษย์ต่างดาวกันแน่ เพราะสิ่งที่เราค้นหามาจากวิกิพีเดียนั้นมีอยู่เท่าที่เห็น

หรือมันจะเป็นเพียงเรื่องราวที่เฟรเดอริคสร้างขึ้นเพื่อให้แอนนาลูกสาวของเขาได้รับความภาคภูมิใจ ว่าเธอพบของโบราณล้ำค่าชิ้นนี้ มันก็จะใจร้ายเกินไปหรือเปล่าที่จะบอกแบบนั้น
บางทีโลกของเราอาจจะมีพลังลี้ลับอยู่จริง ๆ หรือว่าทุกอย่างมันเป็นเพียงแค่จินตนาการ หรือกะโหลกคริสตัลแห่งมายันจะเป็นแค่ของจากยุคใหม่ มันก็ขึ้นอยู่กับวิจารณญาณของท่านผู้ชมเพียงเท่านั้น !
อย่างไรแล้วก็อย่าลืมบอกให้เราทราบ ผ่านการโหวตด้วยแบบสอบถามของยูทูป ด้วยการกดที่เครื่องหมายนี้ ( i ) ที่บริเวณมุมบนขวาของคลิปกันด้วยนะครับ
ท่านคิดว่าใครสร้างกะโหลกคริสตัลชิ้นนี้ ?
- ชาวมายัน เมื่อ 3,600 ปีก่อน !!!
- ชาวแอสเท็ค เมื่อ 3,600 ปีก่อน !!!
- มนุษย์ต่างดาว เมื่อนานมากกกก !!!
- ชาวเยอรมัน เมื่อ 100 ปีก่อน !!!


หลังจากจบรายการมิติที่ 6 แล้ว อย่าลืมกดสับสไครป์ กดไลก์ กดแชร์ และอย่าลืมทิ้งคอมเมนต์กันไว้ด้วยนะครับ ยังมีเรื่องราวต่าง ๆ อีกมากมายรอคุณอยู่ สำหรับวันนี้... สวัสดี !


แปลและเรียบเรียงโดย นิวัฒน์ อ่ำแสง
ขอบคุณที่มา: Skeptoid, Wikipedia และ Farlang.com


แท็ก: Crystal Skull, กะโหลกคริสตัล, แห่งมายัน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

ประกาศ

เพื่อเป็นกำลังใจเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้กับเรา ขอความร่วมมือจากผู้ที่นำเรื่องราวจากมิติที่ 6 ไปใช้ในที่ของท่าน กรุณาลงเครดิตกลับมาที่เราจะเป็นพระคุณอย่างสูงครับ