VIDEO
บนโลกนี้มีข้อห้ามมากมาย ที่ว่ากันว่าหากใครได้ล่วงละเมิด ไม่ว่าจะเป็นการทำร้ายบิดามารดา ใช้วาจาลบหลู่ผู้มีพระคุณ ล่วงเกินพระสงฆ์องค์เจ้า แอบขโมยของเซ่นของถวาย และอีกหลายอย่างที่เราได้กระทำลงไปทั้ง ๆ ที่รู้ว่าผิด บาปกรรมเหล่านั้นมันจะส่งผลให้เราต้องพบกับความทรมานในโลกหน้า
มิติที่ 6 ศุกร์สยองขวัญกับเรื่องราวเบา ๆ ในวันศุกร์สะดวกสัปดาห์นี้ เราจะนำท่านไปรู้จักกับตำนานผีระดับนานาชาติอีกประเภทหนึ่ง ที่เกิดจากบาปกรรมหรือการกระทำที่ไม่รู้สำนึกในบุญคุณของผู้ให้ผู้ยิ่งใหญ่ ที่จะทำให้การกลับมาจากโลกความตายของเรา ต้องพบกับความทุกข์ทรมานไปชั่วกัปชั่วกัลป์ ว่าผีตัวนั้น... มันคืออะไรกันแน่ !?
โดยเรื่องราวนั้นมีอยู่ว่า
เปรต เป็นคำที่มีรากศัพท์มาจากภาษาสันสกฤตว่า "เปรตา" (प्रेत) หมายถึง “คนตายและความตาย” มีความหมายตามตัวอักษรว่า “การจากไป และการออกเดินทาง” ซึ่งมันก็เน้นไปที่เรื่องราวของจิตวิญญาณของคนตายที่จากไปแล้วไม่สามารถกลับมาเกิดใหม่ได้
ตามปกติแล้วมนุษย์ธรรมดาจะไม่สามารถมองเห็นเปรตได้ด้วยตาเปล่า นั่นก็หมายความว่าการที่เราจะเห็นเปรตได้นั้น เราจะต้องอยู่ในสภาพที่เหมาะสม ซึ่งตามคำบอกเล่านั้นเปรตในทุกประเทศที่มีตำนานของมันจะระบุว่ามันมีรูปร่างเหมือนกับมนุษย์ แต่ดูผอมแห้ง ผิวหนังไร้ชีวิต ไม่มีน้ำมีนวล แขนขาลีบ พุงโร ลำตัวเล็กยาว คอเล็กลีบ
ซึ่งสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ก็มีผลมาจากบาปกรรมที่มันเคยก่อเอาไว้ ทำให้ไม่สามารถพ้นทุกข์ได้ง่าย ๆ อย่างพุงโรที่ต้องการอาหารจำนวนมากแบบนั้น มันกลับมีคออันเรียวเล็กและปากที่เท่ากับรูเข็ม นอกจากจะทำให้มันกินอะไรได้ยากแล้ว มันก็ยังไม่สามารถร้องขออาหารเป็นภาษาพูด จะทำได้ก็เพียงส่งเสียงแหลมเล็กเหมือนคนผิวปากออกมาให้ได้ยินเท่านั้น
ในประเทศญี่ปุ่นมีภาพวาดของเปรตออกมาให้เห็นกันตั้งแต่ในสมัยเฮอัน ในรูปลักษณ์เหมือนมนุษย์พุงโร มีปากและลำคอลีบเล็กเช่นกัน พวกมันมักจะปรากฏตัวออกมาเพื่อเลียน้ำภายในวัดกิน ไม่ก็ปรากฏตัวออกมาในรูปลักษณ์ของปีศาจผู้หิวโหย บางทีก็ปรากฏตัวออกมาเป็นลูกไฟ ไม่ก็เห็นเป็นควันของวิญญาณ
ผีเปรตของญี่ปุ่น (กาคิ) มีลักษณะพุงโร ปากและลำคอเล็ก
เปรตมีแหล่งพักพิงอยู่ในสถานที่แห้งแล้ง ซึ่งจะเป็นที่แห่งไหนบ้างก็แล้วแต่กรรมที่มันได้ก่อเอาไว้ บางตัวแม้จะไม่ได้เป็นพวกเห็นแก่กิน แต่ที่ ๆ มันอยู่ก็จะแร้นแค้นเกินกว่าที่มันจะทน และถึงแม้มันจะหาอาหารมาได้ แต่มันก็จะไม่สามารถกินเข้าไปได้ง่าย ๆ เลย ดังนั้นถึงมันจะเห็นอาหารอยู่ตรงหน้า มันก็จะต้องใช้เวลากินอย่างยาวนาน นานจนอาหารเน่าเสียไปต่อหน้าต่อตา และสุดท้ายก็ต้องทนหิวโหยต่อไป
นอกจากมันจะหิวโหยแล้ว เปรตก็จะต้องทนทุกข์ทรมานจากอากาศร้อนและหนาว เพราะถึงแม้จะเป็นตอนกลางคืน ดวงจันทร์ในหน้าร้อนก็สามารถทำให้มันไหม้เกรียม หากเป็นหน้าหนาวแม้แต่แสงแดดยามกลางวันก็สามารถทำให้ตัวของมันถูกแช่แข็งได้ ซึ่งความทุกข์ทรมานเหล่านี้ก็ไม่ได้แตกต่างอะไรกับนรกอเวจี จนบางทีก็มีคนมองว่าการเป็นเปรตมันก็เหมือนกับตกนรก แต่จริง ๆ แล้วมันก็มีบางอย่างที่ต่างกันเล็กน้อย นั่นก็คือในนรกนั้นวิญญาณคนบาปจะต้องถูกชำระอยู่ภายในภิภพแห่งนั้น แต่กับเปรตแล้วก็ถือว่ามันมีอิสระจะไปที่แห่งไหนก็ได้
การพบเห็นเปรตนั้นถือเป็นเรื่องน่ารำคาญใจสำหรับมนุษย์ เพราะเมื่อเห็นมันขึ้นมาทีไร นั่นก็หมายความว่ามันต้องการจะขออะไรบางอย่างจากเรา ซึ่งก็มีบางแห่งบอกว่ามันต้องการเลือด บางแห่งก็บอกว่าเปรตจะสามารถดลใจเราด้วยการสร้างภาพหลอน ไม่ก็ปลอมตัวเป็นคนที่เรารู้จักเพื่อพูดขอให้เรามอบสิ่งที่มันต้องการ บางตัวก็สามารถหายตัวและเปลี่ยนใบหน้าของมันให้ดูน่ากลัวและน่ารักก็ได้
แต่ไม่ว่ามันจะมีอิทธิฤทธิ์มากมายแค่ไหน เปรตก็ยังถูกจัดอยู่ในกลุ่มของผีที่น่าสงสารอยู่ดี เพราะในวัดของชาวพุทธนั้น พระมักจะมอบอาหาร เงินทอง และดอกไม้ให้กับพวกมันก่อนที่ท่านจะฉันท์ภัตตาหาร เพื่อทำให้พวกมันไม่ต้องทนหิวโหยจนต้องออกไปรบกวนใครนั่นเอง
ในประเทศญี่ปุ่นนั้น เขาจะเรียกชื่อเปรตว่า กาคิ (餓鬼, Gaki) ซึ่งก็แปลว่าผีผู้หิวโหยเช่นกัน โดยคำศัพท์คำนี้มาจากภาษาจีนที่ออกเสียงว่า เอ้อก่วย ที่ถึงแม้จะออกเสียงต่างกัน แต่ก็ใช้ตัวอักษรและให้ความหมายเอาไว้ในรูปแบบเดียวกัน
โดยในสมัยโบราณ ชาวพุทธบางนิกายในประเทศญี่ปุ่นจะตั้งวันพิเศษในช่วงกลางเดือนสิงหาคมเพื่อระลึกถึงกาคิ ซึ่งเทศกาลดังกล่าวนั้นมีชื่อเรียกว่า "เทศกาลเซกาคิ" โดยเชื่อกันว่ากิจกรรมนี้จะทำให้เหล่ากาคิผู้หิวโหยสามารถหลุดพ้นจากความทุกข์ทรมานนี้ได้
"พิธีเซกาคิ" หรือพิธีให้อาหารผีเปรตของญี่ปุ่น
ในภาษาญี่ปุ่นยุคปัจจุบันคำว่า "กาคิ" จะถูกใช้เรียกพวกเด็ก ๆ ที่ถูกเลี้ยงอย่างตามใจ ไม่ก็พวกเด็กซนคล้าย ๆ กับที่ในบ้านเราที่เรียกเด็ก ๆ สายนี้ว่า "พวกเด็กเปรต"
ทางลัทธิฮินดูนั้น จะเชื่อว่าเปรตมีจริงและมีตัวตนให้เห็นอยู่ในอากาศยามค่ำคืน เพียงแต่รูปร่างของมันจะแตกต่างกันไปตามกรรมที่มันได้ก่อเอาไว้ แต่ไม่ว่ามันจะถูกวางตัวไว้ที่ตำแหน่งใดของโลกใบนี้ เปรตของฮินดูก็ไม่ได้ต่างจากของใคร เพราะมันก็ไม่สามารถดื่มกินอาหาร เป็นวิญญาณผีผู้หิวโหยดังเช่นของประเทศอื่น ๆ อยู่ดี
ในประเทศไทยนั้น เปรตก็ไม่ได้ต่างจากที่อื่น ๆ มันเป็นผีผู้หิวกระหายตามความเชื่อของคนไทยพุทธ โดยบรรยายลักษณะเด่นเอาไว้ว่า มันเป็นผีตัวสูงใหญ่ มือเท่าใบลาน ปากเท่ารูเข็ม ผอมแห้งพุงโร ส่งเสียงเหมือนคนผิวปากในเวลาค่ำคืนเพื่อร้องเรียกขอส่วนบุญ
มีการบอกเล่าจากปากต่อปากแต่โบราณว่า หากเราพูดจาดูหมิ่นเหยียดหยามอาฆาตมาตร้ายแก่บิดามารดา หรือทำร้ายพวกท่านให้ได้รับบาดเจ็บ รวมไปจนถึงการลบหลู่พระสงฆ์องค์เจ้า แอบกินของถวายโดยตั้งใจ สิ่งเหล่านี้ก็สามารถทำให้เราต้องกลายเป็นเปรตได้เช่นกัน
แต่ในทางพุทธศาสนานั้นกลับระบุเอาไว้อีกอย่างว่า การที่คนจะกลับมาเกิดเป็นเปรตได้นั้นพวกเขาจะต้องเป็นผู้ประพฤติชั่วทั้งทางกายวาจาและใจ ที่เรียกกันว่า "อกุศลกรรมบท 10 ประการ" ได้แก่การฆ่าสัตว์ตัดชิวิต ลักขโมยทรัพย์สิน ประพฤติผิดในเรื่องกามตัณหา พูดจาโกหก ส่อเสียด หยาบคาย เพ้อเจ้อ ไปจนถึงโลภมากอยากได้ของคนอื่น คิดหมายจะทำร้าย มองเห็นสิ่งผิดเป็นเรื่องที่ควรกระทำ
โดยในประเทศไทยนั้นได้แบ่งชนิดของเปรตไว้ถึง 12 ตระกูล 19 จำพวก ตามลักษณะพิกลพิการที่ถูกพบเห็นกันมาแต่โบราณ ไม่ว่าจะเป็นเปรตที่มีขนเป็นเข็ม บางตัวมีขนเป็นกรด บ้างมีเท้าข้างเดียว บ้างมีเท้าหลายเท้า บางตัวมีมือข้างเดียว บางตัวก็มีมือหลายข้าง บางตัวมีดวงตาดวงเดียว ในขณะที่บางตัวจะมีดวงตาหลายดวง บ้างก็กินของแสลง บ้างก็มีผมหยิกหยอง บางตัวเอาแต่นอนกลิ้งไปมา บางพวกก็โผล่จากพื้นมาเพียงครึ่งตัว ช่วงล่างถูกไฟนรกเผาไหม้ บางตัวก็เอาแต่ไถนาทั้งวันทั้งคืน บางตัวมีกลิ่นเหม็น บางตัวก็มีต้นไม้เหล็กไฟลุกโชนรัดอยู่บนศีรษะ บางพวกก็ไม่สวมเสื้อผ้าอาภรณ์ บางพวกเนื้อตัวก็เต็มไปด้วยเส้นเอ็นและความสกปรก บางตัวมีร่างกายสีดำ ซึ่งทั้งหมดก็ล้วนแล้วแต่เกิดจากกรรมที่มันได้ก่อเอาไว้ทั้งสิ้น
ผีเปรตไทย
โดยเปรตของไทยนั้นเกิดจากผู้คนในสมัยที่ยังมีชีวิตอยู่ ได้ก่อบาปสร้างกรรมเอาไว้ต่าง ๆ นา ๆ ดังเช่นในเรื่องเล่าขุนช้างขุนแผนนั้น มีตอนหนึ่งพูดถึงคราวที่พระพันวษาสั่งประหารชีวิตนางวันทอง พอนางตายไปก็กลายมาเป็นผีเปรตหัวขาด พอเวลาผ่านไปผีเปรตนางวันทองก็ทราบข่าวว่าลูกชายของนางที่ถือบรรดาศักดิ์เป็นพระไวยวรนาถ กำลังจะต้องไปรบกับขุนแผนพ่อของตัวเอง ผีเปรตนางวันทองก็กลัวว่าสองพ่อลูกจะต้องฆ่าฟันกัน นางจึงตัดสินใจแปลงกายเป็นสาวงาม โดยทำทีเป็นนั่งเล่นชิงช้าดักอยู่ตรงช่วงระหว่างทาง เพราะรู้ดีว่าพระไวยวรนาถนั้นมีเชื้อสายชีกอเหมือนขุนแผนผู้เป็นพ่อ และมั่นใจว่าถ้าเขาเดินทางมาพบหญิงงามที่ไหนก็จะต้องหยุดทักทายแน่ ๆ
"ผีเปรตนางวันทอง" แปลงร่างมาดักรอลูกชาย
ซึ่งก็เป็นเช่นนั้นจริง ๆ เมื่อพระไวยวรนาถมาเห็นร่างจำแลงของเปรตนางวันทอง เขาก็หยุดพักการเดินทางเพื่อแวะจีบหญิงงามตามนิสัยที่ฝังอยู่ในเมตาบอลิซึ่ม พอพระไวยเดินเข้ามาถึงตัว นางวันทองจึงบอกความจริงว่าตัวเองเป็นแม่ที่จำแลงกายมา แต่พระไวยก็ไม่เชื่อพยายามจะจีบหญิงสาวต่อ จนเปรตแม่นางวันทองต้องตัดสินใจคืนร่างเดิม ซึ่งลักษณะของเปรตไร้หัวแบบนั้นก็ทำให้พระไวยวรนาถถึงกับสลดใจ เพราะนอกจากจะเห็นแม่ของตัวเองกลายเป็นผีเปรตตัวสูงใหญ่ ร่างกายผอมโซจนเป็นโครงกระดูกแล้ว แม่ของตัวเองก็ยังเป็นผีไม่มีหัว ซึ่งถ้าใครสนใจรายละเอียดมากกว่านี้ มิติที่ 6 ขอแนะนำให้ไปลองหาอ่านในหนังสือเรื่องขุนช้างขุนแผน
และก็มีตำนานที่ว่ากันว่า เมื่อถึงเวลาที่เปรตจะได้ไปเกิด ตอนนั้นจะต้องมีเปรตตัวใหม่มาสืบทอดก่อน โดยเรื่องราวนั้นเล่าเอาไว้ว่า
ในสมัยก่อนมีชายหนุ่มชื่อว่ามิตตวินทุก เกิดอยากจะออกท่องเที่ยวทางทะเลไปกับพ่อค้าเรือสำเภา จึงได้ไปขอเงินจากมารดาของตน ซึ่งมารดานั้นก็เป็นห่วงลูกชายมาก นางจึงไม่ยอมอนุญาตให้มิตตวินทุกเดินทางไปไหน นั่นจึงทำให้ชายหนุ่มเกิดบันดาลโทสะ ใช้เท้าถีบแม่ของตนจนล้มลงแล้วหนีออกไป แต่ในขณะที่กำลังล่องเรือสำเภาอยู่กลางทะเล ก็เกิดเหตุพายุพัดจนเรือแตก มิตตวินทุกรีบว่ายน้ำไปยังเกาะแห่งหนึ่ง เขาไม่ได้รู้เลยว่าบนเกาะแห่งนั้นเป็นที่อยู่ของเปรต พอขึ้นฝั่งไปเขากลับเห็นพวกมันเป็นชาวเกาะที่มีความสุข บนศีรษะของพวกมันมีมงกุฎดอกบัวสวมประดับเอาไว้ ตามร่างกายสวมสายสร้อยสังวาล กำลังล้อมวงร้องรำทำเพลงกันอย่างสนุกสนาน
เห็นแบบนั้นมิตตวินทุก จึงตัดสินใจเดินเข้าไปพูดคุยกับชาวเกาะ เพื่อขอสวมใส่มงกุฎดอกไม้และสายสร้อยสังวาลบ้าง ชาวเกาะได้ยินแบบนั้นเข้าก็ดีใจ รีบยกเครื่องประดับต่าง ๆ ให้กับมิตตวินทุกสวมใส่ทันที แต่พอเขาสวมใส่ทุกอย่างเสร็จ ภาพลวงตาตรงหน้าก็สลายหายไป มงกุฎดอกบัวกลายเป็นกงจักรบั่นหัวชายหนุ่มทันที สายสร้อยสังวาลเครื่องประดับ ที่แท้ก็คือเลือดที่ไหลลงมาอาบตามร่างกาย ส่วนชาวเกาะก็กลายเป็นพวกเปรต ที่กำลังทำท่าดีอกดีใจเพราะตัวเองได้หมดเคราะห์กรรมกันแล้ว ดังเช่นคำพังเพยที่ว่า คนชั่วนั้นจะเห็นกงจักรเป็นดอกบัว เห็นของน่ากลัวเป็นของน่ารัก สุดท้าย ผีเปรตกลุ่มเก่าก็จากไปเกิดใหม่ เหลือทิ้งไว้แต่เปรตมิตตวินทุกต้องถูกกงจักรบั่นหัวต่อไป เพื่อรอคอยให้มีเปรตตัวใหม่มารับตำแหน่งแทน
กลับมาที่พวกเรา ถ้าใครได้พบเจอหรือได้ยินเสียงของเปรต ก็จงอย่าได้หวาดกลัวจนทำอะไรไม่ถูก เพราะทุกอย่างที่มันกระทำล้วนบอกเจตนาเพียงเพื่อขอให้เราช่วยอุทิศส่วนกุศล ให้มันได้พ้นจากความทุกข์ทรมานจากบาปกรรมที่มันได้เคยก่อเอาไว้
และกับผู้คนสมัยใหม่ เปรตก็เป็นเพียงตำนานเรื่องเล่าของคนโบราณ ที่มีบางคนระบุว่าเปรตนั้นมันไม่ใช่ภูตผีที่ไหน มันเป็นเพียงเงาร่างของต้นไม้สูงใหญ่ บ้างก็ว่าเป็นเงาของต้นตาลผสมกับจินตนาการของคนสมัยก่อน ที่ต้องเห็นอะไรผิดปกติในยามค่ำคืนกันอยู่เสมอ
ไม่ว่าเปรตมันจะมีจริงหรือไม่ เราที่เป็นคนกันอยู่ทุกวันนี้ก็จงอย่าได้ลืมกระทำความดีกันบ้าง อย่าเถียงพ่อแม่ให้ท่านเสียใจ อย่าทำร้ายผู้มีอุปการะคุณ ตอบแทนเลี้ยงดูพวกท่านตามที่ควรกระทำ เพราะอย่างน้อยวันใดที่เราตายไป จะได้ไม่ต้องมานั่งลุ้นว่าจะได้ไปผุดไปเกิดหรือจะต้องกลับมาเวียนว่ายกลายเป็นเปรต ออกเที่ยวร้องเรียกขอส่วนบุญกันไปตลอดกาล เหมือนกับตำนานเรื่องเล่าก็น่าจะดี
อย่าลืมติดตามรายการมิตที่ 6 ศุกร์สยองขวัญ กับเรื่องราวเบา ๆ พร้อมกับที่มาของมันกันได้ทุกวันศุกร์สะดวก และหลังจากจบรายการแล้ว อย่าลืมกดสับสไครป์ กดไลก์ กดแชร์ หรือทิ้งคอมเมนต์กันไว้ด้วยนะครับ ยังมีเรื่องราวต่าง ๆ อีกมากมายรอคุณอยู่ สำหรับวันนี้... สวัสดี
เรียบเรียงและบรรยายโดย นิวัฒน์ อ่ำแสง
แท็ก: Preta, प्रेत, เปรต, ผี เปรต, เปรตา, กาคิ, 餓鬼, Gaki, Slender Man