สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ในโลกอินเตอร์เน็ตอ้างว่ามันคือคำทำนายของสุดยอดนักพยากรณ์ตาบอดผู้หนึ่ง ที่พูดถึงอนาคตของโลกไปจนถึงวันสุดท้าย
- 2008: ผู้นำ 4 ประเทศถูกลอบสังหาร กรณีพิพาทในอินโดสถาน เป็นปัจจัยหนึ่งที่นำไปสู่สงครามโลกครั้งที่ 3
- 2010: เริ่มสงครามโลกครั้งที่ 3 ( พฤศจิกายน 2010 - ตุลาคม 2014 ) ตอนแรกก็ใช้อาวุธธรรมดา ต่อมาก็ตามด้วยนิวเคลียร์และอาวุธเคมี การนำอาวุธนิวเคลียร์มาใช้ทำให้ซีกโลกเหนือจะไม่เหลือทั้งพืชและสัตว์ จากนั้นพวกมุสลิมจะใช้อาวุธเคมีเข้าจัดการกับชาวยุโรปที่ยังหลงเหลืออยู่ ผู้คนจะป่วยเป็นฝีหนองและมะเร็งผิวหนังกันมากจากผลของอาวุธเคมี
- 2016: ยุโรปแทบจะร้างผู้คน
- 2018: จีนเป็นมหาอำนาจของโลกรายใหม่ ประเทศกำลังพัฒนากลับกลายจากประเทศผู้ถูกกดขี่มาเป็นผู้กดขี่เสียเอง
- 2023: วงโคจรของโลกเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย
- 2028: เกิดแหล่งพลังงานใหม่ (คาดว่าน่าจะเป็นเทอร์โมนิวเคลียร์รีแอ็คชั่น ) โลกเริ่มเอาชนะปัญหาความอดอยากได้ มนุษย์เริ่มเดินทางไปยังดาวศุกร์
- 2033: น้ำแข็งขั้วโลกละลาย ระดับน้ำทะเลสูงขึ้น
- 2043: เศรษฐกิจโลกรุ่งเรือง มุสลิมปกครองยุโรป
- 2046: มนุษย์ปลูกอวัยวะได้ทุกอย่าง การเปลี่ยนอวัยวะเป็นวิธีการรักษาโรคที่ดีที่สุด
- 2066: สหรัฐโจมตีกรุงโรมของพวกมุสลิมด้วยอาวุธใหม่ คืออาวุธสภาพอากาศซึ่งทำให้อากาศหนาวเย็นลง
- 2076: สังคมไร้ชนชั้น (คอมมิวนิสต์)
- 2084: ธรรมชาติได้รับการฟื้นฟู
- 2088: เกิดโรคใหม่ โรคแก่ติดจรวด (แก่ในไม่กี่วินาที)
- 2097: เอาชนะโรคแก่ติดจรวดได้
- 2100: ดวงอาทิตย์เทียมให้แสงส่างกับโลกส่วนที่มืด
- 2111: มนุษย์กลายเป็นมนุษย์ไซบอร์ก (หุ่นยนต์มีชีวิต)
- 2125: โลกได้รับสัญญาณจากอวกาศ
- 2130: โลกไปตั้งอาณานิคมใต้น้ำ (จากคำแนะนำของมนุษย์ต่างดาว)
- 2164: สัตว์กลายเป็นสัตว์กึ่งมนุษย์
- 2167: เกิดศาสนาใหม่
- 2183: อาณานิคมบนดาวอังคารมีอาวุธนิวเคลียร์ และต้องการเป็นเอกราชจากโลก
- 2187: โลกหยุดยั้งการระเบิดของภูเขาไฟขนาดใหญ่ 2 ลูก
- 2195: อาณานิคมใต้น้ำเลี้ยงตัวเองได้โดยสมบูรณ์ทั้งอาหารและพลังงาน
- 2196: ชาวเอเชียผสมกับชาวยุโรปโดยสมบูรณ์
- 2221: ในการติดตามหาชีวิตนอกโลก มนุษย์ต้องเจอกับอะไรบางอย่างที่น่ากลัว
- 2256: ยานอวกาศนำโรคร้ายกลับมายังโลก
- 2262: วงโคจรของโลกเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอด ดาวหางเกือบชนดาวอังคาร
- 2273: การผสมปนเปกันของคนผิวขาว ผิวเหลือง และผิวดำ ก่อเกิดเป็นคนสีผิวใหม่
- 2279: พบพลังที่ไม่ได้มาจากอะไรเลย (คาดว่าอาจจะมาจากสภาพสูญญากาศหรือไม่ก็หลุมดำ )
- 2288: มีการเดินทางไปกับกาลเวลา การติดต่อครั้งใหม่กับมนุษย์ต่างดาว
- 2291: ดวงอาทิตย์เริ่มเย็นลง มีความพยายามที่จะจุดมันขึ้นมาใหม่
- 2296: เกิดระเบิดครั้งใหญ่บนดวงอาทิตย์ สถานีอวกาศและดาวเทียมเก่าเริ่มตก
- 2299: ในฝรั่งเศสเกิดการจลาจลต่อต้านมุสลิม
- 2302: เปิดกฏใหม่เรื่องความลับของจักรวาล
- 2304: พบความลับของดวงจันทร์
- 2354: เกิดความผิดพลาดกับดวงอาทิตย์เทียม ก่อให้เกิดความแห้งแล้ง
- 2371: เกิดปัญหาความอดอยากครั้งใหญ่
- 2480: ดวงอาทิตย์เทียม 2 ดวงชนกัน
- 3005: สงครามบนดาวอังคาร
- 3010: ดาวหางชนดวงจันทร์ เศษซากที่กระจายพากันโคจรรอบโลก
- 3797: ไม่มีสิ่งมีชีวิตใดเหลือบนโลก แต่มนุษย์ได้ไปวางสิ่งจำเป็นพื้นฐานสำหรับการดำรงชีวิตบนดาวดวงอื่นแล้ว
กดเพื่อดูคลิปที่นี่ |
มิติที่ 6 สัปดาห์นี้ เราจะพาท่านไปรู้จักกับแม่เฒ่าพยากรณ์บาบาวานก้า เธอเป็นใคร ? มีที่มาอย่างไร ? และคำทำนายมากมายของเธอเหล่านี้มันไปอยู่ที่ไหนมา ? ถึงเพิ่งจะถูกเปิดเผยให้เราทราบเมื่อไม่นานมานี้ !!!
"บาบาวานก้า (Baba Vanga)" (ภาพจาก: Favorit Film) |
แม่เฒ่าวานก้า หรือ บาบาวานก้า ชื่อเดิมของเธอคือ วานกีเลีย ปันดีวา ดิมิโตรวา (Vangeliya Pandeva Dimitrova) เกิดเมื่อวันที่ 31 มกราคม ค.ศ. 1911 (106 ปีก่อน) ที่เมืองสตรูมิซะแห่งจักรวรรดิ์อ็อตโตมาน ในปัจจุบันคือเมืองแห่งหนึ่งที่อยู่ทางตะวันออกของสาธารณรัฐมาซิโดเนีย เธอเกิดมาในภาวะคลอดก่อนกำหนดจนเป็นเหตุทำให้มีอาการป่วยแทรกซ้อนแสดงออกมาจนเห็นได้ชัดในวัยเด็ก
ชื่อของเธอถูกตั้งขึ้นมาตามประเพณีของคนในท้องถิ่น ที่ระบุเอาไว้ว่าเด็กที่เกิดมาจะยังไม่ได้รับการตั้งชื่อจนกว่าทุกคนจะแน่ใจว่าเด็กคนนั้นจะมีชีวิตรอด ซึ่งสิ่งที่ทำให้พวกเขาแน่ใจนั้นก็คือเสียงร้องไห้ของเด็กน้อยที่เกิดมานั่นเอง ดังนั้นเมื่อหมอตำแยได้ยินเสียงเด็กร้องไห้ก็จะรีบวิ่งออกไปยังท้องถนน แล้วขอให้ใครก็ได้ที่เดินผ่านมาแถวนั้นให้ช่วยตั้งชื่อให้
ซึ่งกรณีของวานก้านั้นคนแปลกหน้าผู้โชคดีได้เสนอชื่อให้กับเด็กน้อยในตอนแรกว่า "อันโดรมาฮา" แต่ก็ถูกทางบ้านปฎิเสธไปเพราะชื่อแบบนั้นมันดูเหมือนกับชาวกรีก ซึ่งครอบครัวของวานก้าที่มีเชื้อชาติเป็นชาวบัลแกเรียจะไม่ชอบอะไรที่บ่งบอกว่าเหมือนชาวกรีกนั่นเอง
พอหมอตำแยไปขอชื่อกับคนแปลกหน้าคนที่สองก็ยังเสนอชื่อแบบกรีกให้อยู่ดี เพียงแต่ชื่อที่สองนี้มันได้รับความนิยมในกลุ่มสังคมชาวบัลแกเรียนอยู่ไม่น้อย นั่นจึงทำให้เด็กน้อยได้ชื่อว่า "วานกีเลีย" ที่แปลงมาจากคำว่า "อีวานกีลอส" ซึ่งเป็นชื่อของผู้ชายที่แปลว่า "ผู้นำข่าวดีมาให้"
พอหมอตำแยไปขอชื่อกับคนแปลกหน้าคนที่สองก็ยังเสนอชื่อแบบกรีกให้อยู่ดี เพียงแต่ชื่อที่สองนี้มันได้รับความนิยมในกลุ่มสังคมชาวบัลแกเรียนอยู่ไม่น้อย นั่นจึงทำให้เด็กน้อยได้ชื่อว่า "วานกีเลีย" ที่แปลงมาจากคำว่า "อีวานกีลอส" ซึ่งเป็นชื่อของผู้ชายที่แปลว่า "ผู้นำข่าวดีมาให้"
ในตอนวัยเยาว์วานกีเลียก็เหมือนกับเด็กทั่ว ๆ ไป เธอมีตาสีน้ำตาลผมสีบลอนด์ พ่อของเธอเป็นนักเคลื่อนไหวแห่งองค์กรปฏิวัติภายในของมาซิโดเนีย ถูกเกณฑ์ไปเป็นทหารในกองทัพของบัลแกเรียในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 ต่อมาคุณแม่ของเธอก็เสียชีวิตไป ปล่อยทิ้งวานก้าไว้ให้ครอบครัวเพื่อนบ้านช่วยดูแล
จนสงครามจบลงเมืองสตรูมิซะถูกเปลี่ยนจากประเทศบัลแกเรียไปสู่ประเทศเซอร์เบีย พ่อของเธอก็ถูกทางการของประเทศเซอร์เบียจับตัวไป เพราะว่าเขาเป็นพวกนักเคลื่อนไหวทางการเมือง และถูกยึดทรัพย์จนทำให้ครอบครัวต้องยากลำบากอยู่หลายปี
จนสงครามจบลงเมืองสตรูมิซะถูกเปลี่ยนจากประเทศบัลแกเรียไปสู่ประเทศเซอร์เบีย พ่อของเธอก็ถูกทางการของประเทศเซอร์เบียจับตัวไป เพราะว่าเขาเป็นพวกนักเคลื่อนไหวทางการเมือง และถูกยึดทรัพย์จนทำให้ครอบครัวต้องยากลำบากอยู่หลายปี
ส่วนวานก้านั้นก็เติบโตขึ้นมาเป็นเด็กฉลาด และเริ่มเผยให้เห็นถึงพรสวรรค์ในสิ่งที่เธอชอบออกมา โดยสำหรับเธอแล้วมันเป็นเพียงเกมที่เธอชอบเล่น เธอเรียกมันว่า "เกมการรักษา"
เธอชอบจัดสมุนไพรแจกจ่ายให้กับเพื่อน ๆ ที่เจ็บป่วย ส่วนพ่อของเธอที่ถูกปล่อยตัวแล้วก็ต้องกลายเป็นพ่อม่ายอยู่พักหนึ่ง และด้วยความต้องการหาแม่ใหม่ให้กับลูก เขาจึงตัดสินใจแต่งงานใหม่ในเวลาต่อมา
เธอชอบจัดสมุนไพรแจกจ่ายให้กับเพื่อน ๆ ที่เจ็บป่วย ส่วนพ่อของเธอที่ถูกปล่อยตัวแล้วก็ต้องกลายเป็นพ่อม่ายอยู่พักหนึ่ง และด้วยความต้องการหาแม่ใหม่ให้กับลูก เขาจึงตัดสินใจแต่งงานใหม่ในเวลาต่อมา
ตามคำบอกเล่าของวานก้านั้นเธอบอกว่า ชีวิตของเธอต้องพลิกผันไปเมื่อตอนที่เกิดพายุทอร์นาโดพัดเอาร่างเธอลอยขึ้นไปในอากาศ ซึ่งกว่าจะหาตัวเจอเพื่อนบ้านก็ใช้เวลาหากันอยู่นาน โดยพยานที่เห็นเหตุการณ์เล่าว่า... ตอนนั้นมันน่ากลัวมาก ดวงตาของวานก้ามีแต่ฝุ่นทรายเกาะอยู่เต็มไปหมด เธอลืมตาไม่ขึ้นเพราะความเจ็บปวด เงินทองที่มีก็พอช่วยรักษาให้เธอได้เพียงบรรเทา ซึ่งหลังจากเหตุการณ์นั้นมันก็ทำให้วานก้าต้องกลายเป็นคนตาบอดไปตลอดชีวิต !
ในปี ค.ศ. 1925 วานก้าถูกส่งตัวเข้าโรงเรียนคนตาบอดในเมืองซีมุนของราชอาณาจักรเซิร์ปส์โครแอทส์และสโลวีนซ์ เธอเรียนอยู่ที่นี่ 3 ปี จนสามารถอ่านภาษาเบรล เล่นเปียโน ถักนิตติ้ง ทำอาหารและทำความสะอาดได้ด้วยตัวเอง จนเวลาผ่านไปแม่เลี้ยงของเธอก็เสียชีวิตไปอีกคน นั่นจึงทำให้เธอต้องเดินทางกลับมาดูแลน้อง ๆ ที่บ้าน และด้วยความยากจนของครอบครัวเธอจึงต้องทำงานหนักตลอดทั้งวัน
ในปี ค.ศ. 1939 วานก้าเริ่มป่วยเป็นโรคเยื่อหุ้มปอดอักเสบเรื้อรัง ทางหมอก็วินิจฉัยว่าอีกไม่นานเธอจะต้องตาย แต่สุดท้ายอาการป่วยของเธอก็กลับดีขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 วานก้าในวัยประมาณ 30 กว่าปี ก็เริ่มมีผู้คนนับถือศรัทธาขึ้นมา เนื่องจากเธอสามารถรักษาอาการเจ็บป่วยของชาวบ้านได้ แต่เอาเข้าจริง ๆ ผู้คนส่วนใหญ่ที่มาหาเธอก็ล้วนมาหาด้วยความหวังว่าพวกเขาจะได้รับคำทำนายจากเธอ ว่าญาติของพวกเขาจะสามารถมีชีวิตรอดต่อไปได้หรือไม่ บางคนก็มาเพื่อขอคำชี้แนะว่าญาติของพวกเขาไปเสียชีวิตอยู่ที่ไหน
ซึ่งชื่อเสียงของเธอที่โด่งดังออกไปในช่วงนั้นถึงกับทำให้ ซาร์บอริสที่ 3 แห่งบัลแกเรีย (Boris III of Bulgaria) ที่ถือเป็นบุคคลสูงศักดิ์ของประเทศเดินทางมาหาเธอในวันที่ 8 เมษายน ค.ศ. 1942 เลยทีเดียว
ซึ่งชื่อเสียงของเธอที่โด่งดังออกไปในช่วงนั้นถึงกับทำให้ ซาร์บอริสที่ 3 แห่งบัลแกเรีย (Boris III of Bulgaria) ที่ถือเป็นบุคคลสูงศักดิ์ของประเทศเดินทางมาหาเธอในวันที่ 8 เมษายน ค.ศ. 1942 เลยทีเดียว
เดือนต่อมาในวันที่ 10 พฤษภาคม ค.ศ. 1942 วานก้าก็ได้แต่งงานกับดิมิตาร์ กุชเทรฟ เขาเป็นทหารชาวบัลแกเรียจากหมู่บ้านครันด์ซิลลิสซาในเทศบาลเมืองเปทริชประเทศบัลแกเรีย ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ที่เดินทางมาหาเธอเพื่อสอบถามหาคนที่ฆ่าพี่ชายของตัวเอง ซึ่งวานก้ามีเงื่อนไขว่าถ้าจะให้เธอบอกเขาต้องสัญญากับเธอก่อนว่าจะไม่ตามไปแก้แค้นคนผู้นั้น
วานก้าและดิมิตาร์ กุชเทรฟ (สามี) |
โดยในช่วงเวลาก่อนการแต่งงานวานก้าก็ได้ย้ายตามสามีไปอาศัยอยู่ในเมืองเปทริช (Petrich) ซึ่งที่แห่งนี้ก็ได้ทำให้เธอมีชื่อเสียงโด่งดังขึ้นไปกว่าเดิม ด้วยชื่อใหม่ของเธอ "วานกีเลีย กุชเชียโรวา"
บ้านของวานก้าที่เมืองเปทริช (ภาพจาก: Vasilmitov) |
ต่อมาดิมิตาร์ก็ถูกเกณฑ์ไปเป็นทหารกองทัพของบัลแกเรีย ประจำการอยู่ทางเหนือของกรีกซึ่งเป็นอาณาเขตที่สมัยนั้นอยู่ในการปกครองของบัลแกเรีย และต่อมาเขาก็ล้มป่วยลงในปี ค.ศ. 1947 ด้วยโรคพิษสุราเรื้อรัง จนเสียชีวิตไปในวันที่ 1 เมษายน ค.ศ. 1962
ส่วนวานก้าที่ต้องอยู่คนเดียวตอนนี้กลับมีแต่ผู้คนมาขอเข้าพบทุกชนชั้น ตั้งแต่ผู้มีอำนาจใหญ่โตเรื่อยไปจนถึงสามัญชนคนธรรมดา
จนกระทั่งสงครามโลกครั้งที่ 2 จบลง มีนักการเมืองของบัลแกเรียและผู้นำจากสหภาพโซเวียตอย่างเช่น ลีโอนิด เบรชเนฟ (Leonid Brezhnev) เลขาธิการคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์แห่งสหภาพโซเวียต ก็ยังเดินทางมาหาเธอเพื่อขอคำชี้แนะ
บาบาวานก้ามีผู้ศรัทธาแวะเวียนมามากมาย |
จนกระทั่งสงครามโลกครั้งที่ 2 จบลง มีนักการเมืองของบัลแกเรียและผู้นำจากสหภาพโซเวียตอย่างเช่น ลีโอนิด เบรชเนฟ (Leonid Brezhnev) เลขาธิการคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์แห่งสหภาพโซเวียต ก็ยังเดินทางมาหาเธอเพื่อขอคำชี้แนะ
"ลีโอนิด เบรชเนฟ" ก็มาขอคำชี้แนะ |
โดยในช่วงปี ค.ศ. 1990 บ็อกดาน โทเมเลฟสกี้ ก็ได้รวบรวมเงินจากผู้เลื่อมใสศรัทธา นำมาสร้างโบสถ์อุทิศให้กับเธอ
โบสถ์บาบาวานก้า "Sveta Petka" (Saint Paraskeva)
|
จนถึงวันที่ 11 สิงหาคม ค.ศ. 1996 วานก้าก็เสียชีวิตไปด้วยโรคมะเร็งเต้านมด้วยวัย 85 ปี สร้างความเสียใจให้กับผู้คนมากมาย รวมไปถึงบุคคลสำคัญต่างก็แห่มาร่วมพิธีศพของเธอกันอย่างเนืองแน่น
ด้วยคำสั่งเสียของแม่เฒ่าวานก้า บ้านของเธอจึงถูกแปรสภาพไปเป็นพิพิธภัณฑ์ เปิดให้บุคคลทั่วไปเดินทางเข้ามาเยี่ยมชมตั้งแต่วันที่ 5 พฤษภาคม ค.ศ. 200
ด้วยคำสั่งเสียของแม่เฒ่าวานก้า บ้านของเธอจึงถูกแปรสภาพไปเป็นพิพิธภัณฑ์ เปิดให้บุคคลทั่วไปเดินทางเข้ามาเยี่ยมชมตั้งแต่วันที่ 5 พฤษภาคม ค.ศ. 200
บ้านหลังสุดท้ายของแม่เฒ่าได้กลายเป็นพิพิธภัณฑ์ (ภาพจาก: Anton Lefterov) |
ถึงแม้เธอจะเสียชีวิตไปก็ยังมีคนทรงชื่อมาดามวานญา อ้างว่าเธอสามารถพาวิญญาณของแม่เฒ่ามาสื่อสารกับผู้เลื่อมใสศรัทธาได้ นั่นจึงทำให้ชื่อเสียงของบาบาวานก้ายังคงอยู่มาจนถึงทุกวันนี้
ในเรื่องความสามารถของเธอที่ถูกเล่าขานกันว่าสามารถมองอดีตเห็นอนาคตได้นั้น ก็มีบันทึกกล่าวอ้างจากปากคำของแม่เฒ่าว่า ความสามารถพิเศษของเธอนั้นมันมาจากสิ่งมีชีวิตลึกลับที่มองไม่เห็น เธอไม่สามารถอธิบายได้ว่าพวกเขาเป็นใคร เธอเล่าว่าพวกเขาเหล่านั้นคือผู้ที่คอยให้คำชี้แนะแก่ผู้คน ซึ่งเธอเองก็ทำได้แต่เพียงผู้รับสาสน์ ไม่สามารถเป็นผู้ติดต่อส่งข้อความใด ๆ ไปหาพวกเขาเหล่านั้นได้ เนื่องจากความต่างในระยะทางและเวลาที่ไม่เหมาะสมกัน
โดยแม่เฒ่าบอกว่าเธอเห็นชีวิตของทุกคนลอยอยู่เบื้องหน้า ราวกับภาพยนตร์กำลังฉายให้เธอดูตั้งแต่วันเกิดไปจนถึงวันตาย แต่ในภายหลังสิ่งที่เธอบอกเล่านี้ก็ได้ถูกคนรุ่นหลัง เปลี่ยนสาระให้เป็นพลังอำนาจที่เธอมีอยู่ในตัวแทน
ส่วนเรื่องคำทำนายต่าง ๆ นั้น มาจากหนังสือ The Weiser Field Guide to the Paranormal ได้เขียนเอาไว้ว่า แม่เฒ่าวานก้าได้ทำนายไปถึงการล่มสลายของอาณาจักรโซเวียต, เหตุระเบิดในโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ที่เมืองเชอร์โนบิล, วันตายของสตาลิน, เรือรัสเซียล่มในเมืองเคิร์ส, เครื่องบินชนตึกเวิร์ลเทรดเมื่อวันที่ 11 กันยายน และชัยชนะในการแข่งขันหมากรุกของโทพาลอฟ
แต่ในทางกลับกัน แหล่งข่าวจากผู้ใกล้ชิดของแม่เฒ่าวานก้า ให้สัมภาษณ์สื่อต่างๆ ในประเทศบัลแกเรียว่า "เธอไม่เคยทำนายเหตุการณ์เหล่านี้มาก่อน" และยังยืนยันว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่ลือกันในอินเตอร์เน็ตทุกวันนี้มันไม่ใช่เรื่องจริง และบอกว่าข่าวแบบนี้มันได้ทำลายความน่าเชื่อถือของแม่เฒ่าวานก้าที่ได้สร้างสมมาตลอดชีวิต
แต่ในทางกลับกัน แหล่งข่าวจากผู้ใกล้ชิดของแม่เฒ่าวานก้า ให้สัมภาษณ์สื่อต่างๆ ในประเทศบัลแกเรียว่า "เธอไม่เคยทำนายเหตุการณ์เหล่านี้มาก่อน" และยังยืนยันว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่ลือกันในอินเตอร์เน็ตทุกวันนี้มันไม่ใช่เรื่องจริง และบอกว่าข่าวแบบนี้มันได้ทำลายความน่าเชื่อถือของแม่เฒ่าวานก้าที่ได้สร้างสมมาตลอดชีวิต
Elena, Boyka และ Mary เพื่อนบ้านให้สัมภาษณ์ว่าวานก้าไม่เคยทำนายวันสิ้นโลก (ภาพโดย: Tony Maskrachka and Archive) |
"เธอไม่เคยทำนายเหตุการณ์เหล่านี้ และทุกสิ่งทุกอย่างที่ลือกันในอินเตอร์เน็ตทุกวันนี้มันไม่ใช่เรื่องจริง!" (ที่มา: 24chasa.bg) |
เพราะแม่เฒ่าวานก้านั้นไม่ค่อยจะรู้หนังสือมากนัก และที่สำคัญที่เรารู้กันดีก็คือแม่เฒ่าวานก้านั้นตาบอด ดังนั้นเธอจึงไม่สามารถเขียนหนังสือได้ด้วยตัวเอง แต่หนังสือชีวประวัติและคำทำนายของเธอที่ถูกตีพิมพ์ออกมาหลายเล่มนั้น ล้วนอ้างว่าถ่ายทอดมาจากคำพูดของเธอโดยตรง ซึ่งพอเป็นแบบนี้เราจึงไม่สามารถระบุได้ว่าเรื่องไหนเป็นเรื่องที่แม่เฒ่าทำนายไว้บ้าง เรื่องไหนทายถูก เรื่องไหนทายผิด หรือเรื่องไหนเธอไม่ได้ทายเอาไว้ มันก็ไม่มีหลักฐานใด ๆ ยืนยันได้ชัดเจน
แต่ก็มีคำทำนายทายทักอยู่เรื่องหนึ่งที่มีชื่อเสียงจริง ๆ และดูน่าขนลุกที่สุดที่มิติที่ 6 ขอยกให้เป็นสุดยอดคำทำนายของเธอก็คือ ในช่วงต้นเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1996 ซึ่งเป็นช่วง 2 สัปดาห์ก่อนที่แม่เฒ่าวานก้าจะเสียชีวิต มีนักร้องและนักแสดงชาวยูโกสลาเวียชื่อซิลวาน่า อาร์เมนูลิค ได้เดินทางมายังบัลแกเรีย และตัดสินใจที่จะเดินทางไปหาบาบาวานก้า ซึ่งถือเป็นการพบกันที่ไม่ค่อยจะสะดวกสักเท่าไหร่ เพราะแม่เฒ่าเอาแต่นั่งหันหน้าออกไปทางนอกหน้าต่าง ปล่อยให้ซิลวาน่านั่งมองเพียงแผ่นหลังของเธอเท่านั้น ไม่มีการพูดคุยกันจนกระทั่งเวลาผ่านไปนานมาก แล้วจู่ ๆ แม่เฒ่าวานก้าก็พูดออกมาว่า...
“ไม่มีอะไร เธอไม่ต้องจ่ายอะไร ฉันไม่อยากจะคุยกับเธอตอนนี้ กลับไปก่อนแล้วค่อยมาใหม่ในสามเดือนข้างหน้านะ”
และเมื่อซิลวาน่าหันหลังเตรียมจะเดินจากไป แม่เฒ่าวานก้าก็ทักกับเธอว่า...
“เดี๋ยวก่อน จริง ๆ แล้วเธอต้องไม่กลับมาที่นี่อีก ไป ๆ แต่ถ้าอีกสามเดือนเธอกลับมา มันก็จะเป็นเหมือนเดิมแบบนี้แหละ”
"ซิลวาน่า อาร์เมนูลิค" กลับไปอย่าง งงๆ |
ซิลวาน่าจึงเก็บคำของแม่เฒ่าเอาไว้ในใจ จนเวลาผ่านไปเธอก็ได้เดินทางกลับมาที่บ้านของแม่เฒ่าวานก้าเพื่อมาร่วมพิธีศพด้วยน้ำตานองหน้า และสองเดือนต่อมาซิลวาน่าก็ตายตามไปในวันที่ 10 ตุลาคม ค.ศ. 1996 ด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์พร้อมกับเมียร์จานาน้องสาวของเธอ ซึ่งเรียกได้ว่าแม่เฒ่าวานก้าได้ทำนายอนาคตล่วงหน้าไว้ถึงสองชั้น และมันก็เกิดขึ้นจริง ๆ อย่างน่าตกใจ แต่อย่างไรแล้วมิติที่ 6 ก็อยากให้ท่านผู้ชมใช้วิจารณญาณกันให้มาก ๆ นะครับ
โดยเรื่องราวของบาบาวานก้าแม่เฒ่านักพยากรณ์ชื่อดังท่านนี้ ได้กลายเป็นข่าวดังไปทั่วโลกขึ้นมา เนื่องจากรายการสารคดีชื่อ Vanga: The Visible and Invisible World ที่นำเสนอบทสัมภาษณ์จากผู้คนที่เคยพบกับเธอมาก่อน ได้แก่ เซอเก้ เมดเวเดฟ ซึ่งเป็นถึงเลขานุการของอดีตประธานาธิบดีบอริส เยลท์ซิน, เนชก้า โรเบวา โค้ชยิมนาสติลีลาของประเทศบัลแกเรีย, เซอร์เก้ มิคาลคอฟ นักเขียนชาวรัสเซีย, เกียซาน อิลยุมชินอฟ มหาเศรษฐีและนักการเมือง
โดยในสารคดีได้นำเสนอว่าบาบาวานก้าเคยทำนายผลการเลือกตั้งในรัสเซียเมื่อปี ค.ศ. 1995 ไว้ว่า บอริส เยลท์ซิน จะชนะการเลือกตั้งและได้เตือนให้เขาระวังโรคหัวใจ ซึ่งสิ่งที่เธอได้ทำนายนี้ก็เป็นความจริงขึ้นมาในภายหลังทุกประการ
โดยในสารคดีได้นำเสนอว่าบาบาวานก้าเคยทำนายผลการเลือกตั้งในรัสเซียเมื่อปี ค.ศ. 1995 ไว้ว่า บอริส เยลท์ซิน จะชนะการเลือกตั้งและได้เตือนให้เขาระวังโรคหัวใจ ซึ่งสิ่งที่เธอได้ทำนายนี้ก็เป็นความจริงขึ้นมาในภายหลังทุกประการ
"บอริส เยลท์ซิน" ถูกแม่เฒ่าทำนายว่าชนะการเลือกตั้งอย่างแม่นยำ |
ในปัจจุบันมีกลุ่มนักวิจัยบางกลุ่มพยายามศึกษาหาข้อสรุปกันว่า คุณยายวานก้าเธอมีความสามารถพิเศษในการทำนายทายทักจริงหรือเปล่า ? โดยหนึ่งในการศึกษานั้นถูกริเริ่มโดยรัฐบาลของประเทศบัลแกเรียในปี ค.ศ. 1977 ได้ผลสรุปออกมาว่าการทำนายของบาบาวานก้านั้นถูกต้องถึง 80 เปอร์เซนต์เลยทีเดียว แต่นั่นก็หมายความว่า อีก 20 เปอร์เซนต์นั้นเธอทำนายผิด
ส่วนเรื่องราวชีวประวัติของบาบาวานก้าเคยถูกนำเสนอผ่านรายการสารคดีชื่อ วานกีเลีย มีความยาว 24 ตอน เนื้อหาเน้นไปที่ด้านเวทย์มนต์คาถาของเธอ ออกฉายเมื่อปี ค.ศ. 2013 ในช่องวันของประเทศรัสเซีย
สารคดีวานกีเลีย (Vangelia) (ภาพจาก: FavoritFilm) |
มีรายการมากมายได้นำเสนอการทำนายของเธอที่เกี่ยวข้องกับเรื่องการเมืองออกมา ผ่านทางสื่อต่าง ๆ ในทุกภาษา ซึ่งก็อย่างที่ทราบกันก่อนหน้าแล้วว่าคำทำนายบางเรื่องนั้นถูกนำมาจากหนังสือที่ไม่สามารถนำมาใช้อ้างอิงได้ เนื่องจากทางฝ่ายของผู้ใกล้ชิดของบาบาวานก้าเองก็ได้ออกมาปฎิเสธไปแล้วทั้งหมด รวมถึงข้อเท็จที่บอกว่าแม่เฒ่านักพยากรณ์ท่านนี้เธอตาบอดเขียนหนังสือเองไม่ได้ แถมยังเสียชีวิตไปแล้ว ดังนั้นใครจะคิดอะไรหรือเขียนไว้แบบไหนก็ไม่สามารถพิสูจน์ได้แม้แต่เรื่องเดียว
ซึ่งถ้าท่านผู้ชมอยากทราบว่าแท้ที่จริงแล้วคำทำนายต่าง ๆ ของบาบาวานก้านั้นมีอะไรบ้าง ปัจจุบันก็มีทางสำนักพิมพ์ของประเทศรัสเซียได้จัดทำโครงการสุดยอดสารานุกรมวานก้า (The Great Encyclopedia of Vanga) ออกเผยแพร่ในโลกออนไลน์ โดยท่านผู้ชมสามารถเข้าชมได้ผ่านทางยูอาร์แอล http://vanga.ru/ ที่นำเสนอข้อมูลและข่าวสารทุกอย่างเป็นภาษารัสเซียนะครับ
สุดท้ายแล้วไม่ว่าการทำนายของบาบาวานก้าจะเป็นเรื่องจริงหรือไม่ เราก็รู้กันเพียงแค่ว่าเธอมีตัวตนจริง แต่ในด้านของคำทำนายก็ยากที่จะพิสูจน์ได้ว่า มันเกิดจากเธอมองเห็นอนาคตจริง ๆ หรือว่ามันเกิดจากคนปัจจุบันพยายามเชื่อมโยงเหตุการณ์ที่ผ่านมาให้เข้ากันกับคำทำนายของเธอ
ดังนั้นเราควรใช้สติ และวิจารณญาณในการแยกแยะข้อมูลที่ถูกต้องด้วยความสุขุมรอบคอบ สิ่งที่เราทำได้นั้นก็อาจเป็นแค่เพียงทำวันนี้ให้ดีที่สุด เพราะคงไม่มีใครอยากถูกครอบงำชีวิตด้วยคำทำนายอันเลวร้ายอย่างแน่นอน !!!
(ภาพจาก: Clubbrain.ru) |
อย่าลืมกดสับสไครป์ กดไลก์ กดแชร์ หรือทิ้งคอมเมนต์กันไว้ด้วยนะครับ ยังมีเรื่องราวต่าง ๆ อีกมากมายรอคุณอยู่ สำหรับวันนี้... สวัสดี
เรียบเรียงและบรรยายโดย นิวัฒน์ อ่ำแสง
แท็ก: Baba Vanga, บาบา, วานก้า, บาบาวานก้า, วันสิ้นโลก, แม่เฒ่า, พยากรณ์, วันสิ้นโลก
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น