หากท่านผู้ชมเคยทราบมาบ้างแล้วว่า ในช่วงยุคสงครามโลกครั้งที่ 2 นั้น เหล่ากลุ่มประเทศมหาอำนาจทางสงคราม ได้พยายามคิดหาทุกวิถีทางเพื่อให้ได้มาซึ่งชัยชนะ ท่านผู้ชมก็จะทราบดีว่า พวกเขาเหล่านั้นได้ซุ่มทำการทดลองบางอย่างในมนุษย์ ด้วยความโหดร้ายทารุณโดยไม่คิดถึงความเป็นคน เพื่อจะค้นหาคำตอบจากสมมติฐานต่าง ๆ แล้วนำสิ่งเหล่านั้นมาใช้ประโยชน์ในสงคราม โดยท้ายที่สุดแล้ว มันก็จบลงด้วยชัยชนะของบางประเทศ และผู้แพ้ก็ต้องชดใช้กับสิ่งที่เกิดขึ้น
ภาพประกอบทั้งหมดไม่เกี่ยวกับเนื้อหา
มนุษย์ที่ถูกนำมาทดลองนั้นก็คือ นักโทษการเมืองของฝ่ายศัตรูในช่วงระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 นั่นเอง ทุก ๆ อย่างค่อนข้างจะไปได้ดีในช่วง 5 วันแรก ไม่มีใครบ่นอะไรมากมายกับเรื่องคำสัญญาที่ว่า พวกเขาจะได้รับการปล่อยตัวหลังจากเข้าร่วมการทดลองนี้ โดยมีกฎห้ามนอนหลับเป็นเวลา 30 วัน ซึ่งการสนทนาพูดคุยและกิจกรรมต่าง ๆ ของพวกเขา จะถูกเฝ้าสังเกตการณ์ตลอดเวลา โดยบันทึกผลการทดลองในช่วงนี้ได้บันทึกไว้ว่า ทุกคนเริ่มพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องราวอันน่าสลดใจในอดีตของแต่ละคนตลอดเวลา และน้ำเสียงการในการสนทนาของทุกคน ก็เริ่มจะหม่นหมองลงไปเรื่อย ๆ เมื่อเวลาผ่านไป 4 วัน
จนผ่านวันที่ 5 ไป พวกเขาเริ่มจะบ่นเกี่ยวกับสภาวะรอบตัว และเหตุการณ์ที่ทำให้พวกเขาต้องมาอยู่ที่แห่งนี้ และเริ่มที่จะแสดงอาการหวาดระแวงอย่างรุนแรงให้เห็น และในที่สุดพวกเขาก็หยุดพูดคุยกัน โดยเริ่มจะพูดพึมพำใส่ไมโครโฟน และบ่นใส่กระจกด้านเดียวของช่องหน้าต่างสำหรับเฝ้าสังเกตการณ์นั้น และที่เริ่มจะแปลกไปก็คือ ดูเหมือนว่าพวกเขาทั้งหมดจะเริ่มคิดว่า พวกเขาสามารถผ่านพ้นการทดลองนี้ไปได้ ด้วยการหักหลังเพื่อน ๆ ร่วมห้องเสียอย่างนั้น ซึ่งตอนแรกทีมวิจัยเข้าใจว่าสิ่งนี้น่าจะเป็นผลจากปฏิกิริยาของแก๊สก็เป็นได้
หลังจากผ่านไป 9 วัน ก็มีคนหนึ่งเริ่มกรีดร้องขึ้นมา เขาวิ่งไปทั่วห้องวนไปวนมาพร้อมกับตะโกนสุดเสียง จนเวลาผ่านไปกว่า 3 ชั่วโมง เขาก็ยังคงกรีดร้องแบบนั้นต่อไป เพียงแต่ว่าตอนนี้ กลับมีแต่เสียงเล็กแหลมดังออกมาเป็นระยะ ๆ แทน ทีมนักวิจัยคาดว่าตอนนี้กล่องเสียงในคอของเขาน่าจะเสียไปแล้ว ซึ่งสิ่งที่น่าตกใจไปกว่านั้นก็คือ ปฏิกิริยาของคนอื่น ๆ ในห้อง พวกเขากลับไม่แสดงอาการใด ๆ ออกมาเลย แต่ทุกคนที่เหลือกลับยังคงกระซิบกระซาบใส่ไมโครโฟนอยู่อย่างนั้น แล้วจู่ ๆ อีกคนก็เริ่มกรีดร้องออกมาบ้าง ส่วนคนที่เหลือก็เริ่มเดินไปหยิบหนังสือออกมากันคนละเล่ม แล้วทำการฉีกหน้าหนังสือออกทีละหน้าเพื่อมาเช็ดกองอุจจาระ จากนั้นก็นำมันมาแปะไว้ที่หน้ากระจกสังเกตการณ์ สักพักเสียงกรีดร้องก็หยุดลง เหลือแต่เพียงเสียงพึมพำหน้าไมโครโฟน
สามวันต่อมา ทีมวิจัยทำการตรวจสอบไมโครโฟนทุกชั่วโมง เพื่อให้แน่ใจว่ามันยังคงทำงานได้อยู่ เพราะตลอดเวลานั้น ไม่มีเสียงใด ๆ ดังออกมาจากผู้เข้ารับการทดลองทั้ง 5 คน ที่อยู่ในห้องนั้นเลย แต่ปริมาณการใช้ออกซิเจนในห้องนั้นกลับแสดงผลว่าทั้ง 5 คน นั้นยังคงมีชีวิตอยู่ ซึ่งจริง ๆ แล้วปริมาณการใช้อ็อกซิเจนของทั้ง 5 คน ในตอนนี้ อยู่ในระดับสูงราวกับทุกคนกำลังออกกำลังกายกันอย่างหนัก จนรุ่งเช้าของวันที่ 14 มาถึง ทีมวิจัยได้พยายามหาทางทำอะไรสักอย่าง เพื่อให้เกิดปฏิกิริยาโต้ตอบจากในห้องออกมาบ้าง ด้วยการใช้อินเตอร์คอมสื่อสารเข้าไปในห้อง โดยหวังว่าน่าจะได้รับการตอบสนองอะไรสักนิด ที่จะยืนยันว่าคนข้างในห้องนั้นยังไม่เสียชีวิตหรือสลบกันไปหมดแล้ว โดยนักวิจัยประกาศเข้าไปว่า
“พวกเราจะเปิดประตูเข้าไปในห้องเพื่อตรวจสอบไมโครโฟน จงถอยห่างจากประตูแล้วหมอบราบลงไปกับพื้น ไม่งั้นพวกคุณจะถูกยิง คนที่ทำตามคำสั่งจะได้รับอิสระอย่างแน่นอน”
แล้วพวกเขาก็ต้องแปลกใจกับน้ำเสียงอันเยือกเย็นเสียงหนึ่งที่ตอบกลับออกมาว่า
ได้มีการโต้เถียงไปมาระหว่างทีมวิจัยกับทางกองทัพที่สนับสนุนการวิจัยนี้ขึ้น เพราะตอนนี้พวกเขาไม่สามารถจะใช้อินเตอร์คอมตรวจสอบปฎิกิริยาอะไรได้อีกแล้ว จนในที่สุด พวกเขาจึงตัดสินใจเปิดประตูห้องในกลางดึกของวันที่ 15 ไปเลยดีกว่าเมื่อครบเวลา 15 วัน ระหว่างที่ทำการระบายแก๊สกระตุ้นดังกล่าวออกจากห้อง ทันใดนั้นก็มีเสียงจากไมโครโฟนในห้องดังขึ้น โดยมีเสียงคน 3 คน พูดร้องขอราวกับกำลังขอความรักบอกให้พ่นแก๊สนั้นกลับมา แต่ทว่าในที่สุดประตูห้องก็ถูกเปิดออก เหล่าทหารรัสเซียได้เข้าไปเพื่อช่วยเหลือเหยื่อข้างใน ทันใดนั้นก็มีเสียงกรีดร้องที่ดังกว่าทุกครั้งขึ้นมา และสิ่งที่เหล่าทหารได้เห็นภายในห้องนั้นก็คือ 4 ใน 5 คนที่ร่วมทดลองนั้นยังไม่ตาย แต่ทว่ามันกลับไม่มีใครสักคนที่สามารถจะเรียกได้ว่ายังมีชีวิตอยู่ !!
เมื่อได้สำรวจสภาพในห้องพบว่า อาหารตั้งแต่วันที่ 5 นั้นแทบจะไม่พร่องลงไปแม้แต่น้อย และมีก้อนชิ้นเนื้อต้นขาและหน้าอกจากศพของผู้เข้ารับการทดลองที่เสียชีวิตอุดอยู่ตรงปากท่อระบายน้ำกลางห้องจนทำให้มีน้ำท่วมขังในห้องสูงถึง 4 นิ้ว ซึ่งจริง ๆ แล้วก็ไม่รู้ว่าระหว่างน้ำกับเลือด อันไหนจะมากกว่ากัน ตอนนี้ทั้งสี่คนที่รอดชีวิตนั้น ทั้งกล้ามเนื้อและผิวหนังล้วนถูกฉีกออกมาจากร่างกายของพวกเขา และตรงผิวหนังที่เปิดออกจนกระดูกโผล่มาจากปลายนิ้วนั้น มันบ่งชี้ชัดว่าบาดแผลต่าง ๆ นั้น ล้วนเกิดมาจากการใช้มือ ไม่ได้เกิดจากการใช้ฟันกัดอย่างที่นักวิจัยคาดเอาไว้ในตอนแรก และจากการตรวจสอบจุดและมุมของบาดแผลอย่างละเอียดนั้น ก็บ่งชี้ว่าเกิดจากพวกเขาได้ลงมือทำร้ายตัวเองทั้งสิ้น
อวัยวะภายในตั้งแต่ส่วนล่างของซี่โครงของทั้ง 4 คน ล้วนถูกควักออกมา ยกเว้นหัวใจ ปอด และกระบังลมยังคงอยู่ที่เดิม ผิวหนังและกล้ามเนื้อที่ยึดบริเวณชายโครงนั้นถูกฉีกออก จนเห็นปอดที่อยู่ภายในช่องซี่โครงนั้น เส้นเลือดและอวัยวะภายในยังคงทำงานอยู่ พวกเขาเพียงควักมันออกมาแล้ววางไว้บนพื้น กระจัดกระจายไปรอบๆ โดยที่ร่างกายของผู้เข้ารับการทดลองยังคงหายใจอยู่ ระบบทางเดินอาหารของทั้ง 4 คน ก็ยังคงทำงานและย่อยอาหารได้ เห็นได้ชัดว่ากระเพาะของพวกเขานั้น กำลังทำการย่อยชิ้นเนื้อของตัวเอง ที่พวกเขาได้ฉีกมากินในช่วงตลอดการทดลองที่ผ่านมา !!
ทุกคนต่างแปลกใจที่เหล่าผู้เข้ารับการทดลองนั้น พยายามขัดขืนไม่ยอมออกจากห้อง ทหารรัสเซียคนหนึ่งต้องเสียชีวิตเพราะถูกกัดที่ลำคอจนลูกกระเดือกหลุดออกมา และเส้นเลือดที่ขาของเขาก็ถูกผู้เข้ารับการทดลองคนหนึ่งกัด ถ้าจะนับคนที่อาสามาตายในสัปดาห์นี้ล่ะก็ เรียกได้ว่ามีทหารรัสเซียเสียชีวิตไปถึง 5 นายแล้ว
จู่ ๆ ผู้เข้ารับการทดลองที่รอดชีวิตคนหนึ่งก็เกิดม้ามแตกจนเลือดทะลักออกมาจำนวนมาก เหล่าแพทย์วิจัยพยายามที่จะทำให้เขาสงบลงแต่มันก็ไร้ผล เขาได้รับการฉีดมอร์ฟีนในปริมาณมากกว่าปกติถึง 10 เท่า แต่ก็ยังคงอาละวาดขัดขืนราวกับเป็นสัตว์ป่า จนซี่โครงและแขนของหมอคนหนึ่งถึงกับหัก และเมื่อหัวใจของเขาเต้นอย่างรุนแรงถึงขีดสุด จนเลือดสาดกระเซ็นไปบนอากาศมากกว่าที่จะไหลเวียนอยู่ในกระแสเลือด จนกระทั่งเลือดหมดไปเขาก็ยังคงกรีดร้องและอาละวาดต่ออีกกว่า 3 นาที ทุบตีคนที่อยู่ใกล้ ๆ อีกทั้งยังพูดแต่คำว่า “ขออีก” ซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนน้ำเสียงค่อย ๆ เบาลง และในที่สุดเสียงก็เงียบไป
ผู้เข้ารับการทดลองที่รอดชีวิตทั้ง 3 คนนั้น ต่างถูกควบคุมตัวอย่างเข้มงวดเพื่อส่งตัวไปยังสถานรักษาพยาบาล สองคนที่เหลือนี้ยังมีเสียงอยู่ พวกเขาต่างร้องขอแก๊สเพื่อจะได้ทำให้ตัวเองไม่ต้องหลับอยู่ตลอดเวลา
ผู้รอดชีวิตคนที่ 2 นั้นก็คือคนแรกที่เริ่มกรีดร้องในช่วงการทดลองนั่นเอง กล่องเสียงของเขาถูกทำลายจนไม่สามารถจะพูดขอหรือปฏิเสธการผ่าตัดได้ เขาทำได้เพียงแสดงทีท่าส่ายหัวไปมาในการบอกปฏิเสธ จนเมื่อแก๊สยาสลบถูกนำมาใกล้ ๆ เขาก็ส่ายหัวแสดงความไม่เต็มใจ จนพวกเขาต้องทำการผ่าตัดโดยไม่ใช้ยาสลบแทน เวลาผ่านไป 6 ชั่วโมง กับอาการนิ่งเฉยของเขานั้น กระบวนการผ่าตัดนำอวัยวะภายในกลับเข้าไปในร่างยังดำเนินต่อไป แพทย์ได้พยายามเย็บปิดแผลด้วยเนื้อหนังที่ยังพอมีเหลืออยู่ โดยแพทย์ผ่าตัดพูดซ้ำ ๆ ว่า การรักษานี้น่าจะทำให้ผู้ป่วยมีชีวิตต่อไปได้ พยาบาลที่กำลังช่วยการผ่าตัดอยู่นั้นก็เกิดอาการหลอนขึ้นมา เมื่อเธอสังเกตเห็นที่ปากคนไข้นั้นหันมายิ้มมาให้เธออยู่ตลอด
เมื่อการผ่าตัดจบสิ้นลง ผู้รอดชีวิตคนนี้ก็มองมาที่แพทย์ผ่าตัด และเริ่มส่งเสียงหวีดร้องออกมาอย่างดัง เหมือนกับพยายามจะพูดอะไรบางอย่าง ซึ่งมันอาจจะเป็นเรื่องสำคัญมากก็ได้ ทีมผ่าตัดที่มีปากกาจึงส่งปากกากับกระดาษให้เขาเขียน ซึ่งข้อความนั้นกลับเป็นประโยควลีง่าย ๆ บอกว่า
“ผ่าตัดต่อไป”
ส่วนคนที่เหลืออีก 2 คน ก็ล้วนได้รับการผ่าตัดแบบไม่ใช้ยาสลบเช่นกัน เพียงแต่พวกเขาต้องใช้ยาชาแทน โดยตลอดการผ่าตัดนั้น แพทย์ผ่าตัดแทบจะทำงานไม่ได้เพราะว่าคนไข้ได้หัวเราะอยู่ตลอดเวลา แถมในช่วงที่กำลังผ่าตัดนั้น เหยื่อทดลองก็ยังใช้สายตามองตามแพทย์อยู่ตลอดทั้ง ๆ ที่ฉีดยาชาเข้าไปแล้ว และยาชานั้นก็หมดฤทธิ์ไปอย่างรวดเร็ว ทำให้พวกเขาสามารถพยายามจะดิ้นหนีกันต่อได้อีก ในช่วงที่เขาสามารถจะเริ่มพูดได้นั้น ทั้งสองต่างก็ร้องขอแก๊สกระตุ้นกันทันที ทีมวิจัยเองก็พยายามจะสอบถามพวกเขาว่า ทำไมถึงต้องทำร้ายตัวเองขนาดนั้น ทำไมถึงกล้าทำ และทำไมถึงต้องการจะรับแก๊สกันอีก คนหนึ่งได้ตอบออกมาว่า
“ผมต้องการตื่นต่อไป”
ในเวลาต่อมาทั้งสามถูกพากลับไปยังห้องเดิม เพื่อรอดูว่าจะต้องทำอย่างไรกับพวกเขากันต่อไป ทีมวิจัยต้องเผชิญหน้ากับกองทัพที่ให้การสนับสนุน เพื่อรายงานผลความล้มเหลวของโครงการ และขอกระทำการการุณยฆาตให้แก่ผู้รอดชีวิต แต่ทางผู้บัญชาการและเจ้าหน้าที่พิเศษของเคจีบีนั้น กลับเห็นประโยชน์อะไรบางอย่าง โดยพวกเขาอยากรู้ว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นอีกบ้าง ถ้านำผู้เข้าร่วมการทดลองที่เหลือนี้กลับไปรมแก๊สต่อ โดยทีมวิจัยก็ได้ปฏิเสธไปอย่างแข็งขันแต่มันก็ไม่เป็นผล
การเตรียมห้องทดลองจึงถูกจัดขึ้นมาอีกครั้ง ผู้เข้ารับการทดลองทุกคนถูกต่อเข้ากับเครื่องตรวจวัดคลื่นสมอง และพันธนาการพวกเขาไว้กับเตียงอย่างแน่นหนา ทุกคนที่นั่นล้วนแปลกใจที่ทั้งสามคนกลับไม่มีการต่อต้านเลยเมื่อรู้ว่าตัวเองจะต้องกลับไปถูกรมแก๊สอีก นี่แสดงว่าทั้งสามนั้นรู้สึกดีใจมากที่จะไม่ต้องหลับ คนหนึ่งที่สามารถพูดได้นั้นก็ฮัมเพลงจนเสียงดัง คนที่พูดไม่ได้ก็พยายามสะบัดขาให้หลุดจากที่รัดหนังอย่างแรง ซ้ายทีขวาทีอย่างตั้งอกตั้งใจ อีกคนที่เหลือก็พยายามยกหัวออกจากหมอนและกระพริบตาถี่ยิบ และเมื่อทีมวิจัยตรวจสอบไปที่คลื่นสมอง พวกเขาก็ถึงกับตกตลึงก็เพราะว่า คลื่นสมองของทุกคนกลับดูเป็นปกติมาก และบางครั้งก็กลายเป็นเส้นตรงอย่างไม่น่าเชื่อ ราวกับว่าพวกเขากำลังจะสมองตายแล้วก็สามารถกลับมาเป็นปกติได้ และในขณะที่กำลังตรวจสอบคลื่นสมองในกระดาษรายงานผลอยู่นั้น พยาบาลคนหนึ่งสังเกตเห็นว่าดวงตาของเหยื่อปิดลงพร้อม ๆ กับช่วงที่ศีรษะของเขาฟาดลงไปที่หมอน คลื่นสมองของเขาก็เปลี่ยนเป็นหลับลึกจากนั้นก็กลายเป็นเส้นตรงในตอนท้าย แล้วหัวใจของเขาก็ค่อย ๆ หยุดเต้นไป
คนที่เหลือที่ยังสามารถพูดได้ก็เริ่มกรีดร้อง คลื่นสมองของเขากลายเป็นเส้นตรงเหมือนกับคนที่เพิ่งเสียชีวิต แต่เขาแค่สลบไปเท่านั้น ผู้บัญชาการจึงสั่งให้ทำการปิดตายห้องนั้นเสีย โดยจะปล่อยให้ผู้ร่วมการทดลองสองคนอยู่ในนั้นกับนักวิจัยอีก 3 คนด้วย โดยนักวิจัยหนึ่งในสามคนนั้นก็ได้ชักปืนออกมายิงเข้ากลางแสกหน้าผู้บัญชาการทันที จากนั้นก็หันปืนไปทางเหยื่อทดลองคนที่พูดไม่ได้ แล้วเหนี่ยวไกระเบิดสมองใส่ทันที เขาได้หันปืนไปยังเหยื่อทดลองคนที่เหลือ ซึ่งในขณะนั้นคนอื่น ๆ ในทีมหนีก็ได้วิ่งหนีออกจากห้องจนหมดแล้ว เขาตะคอกเสียงใส่ชายที่ถูกมัดอยู่กับโต๊ะว่า
“ฉันไม่อยากจะถูกขังอยู่ที่นี่กับนายหรอก !!”
“แกเป็นอะไรกันแน่ ?” เขาถาม
“ฉันต้องรู้ให้ได้”
เหยื่อทดลองส่งยิ้มตอบมาที่เขาแล้วพูดว่า
“นี่คุณลืมง่ายแบบนี้เลยเหรอ ?”
“พวกเราก็คือพวกคุณนั่นแหละ พวกเราคือความบ้าคลั่งที่ถูกซ่อนอยู่ภายในของพวกคุณทุกคน คอยเฝ้าเพ้อร้องขออิสระกันอยู่ตลอดเวลา จากส่วนลึกของสันดานดิบตัวเอง พวกเราก็คือสิ่งที่พวกคุณซ่อนมันไว้ใต้ที่นอนทุก ๆ คืน พวกเราก็คือพวกคุณที่ซ่อนอยู่ในความเงียบยามที่ขยับตัวไม่ได้ และยามที่พวกคุณได้ขึ้นสวรรค์ มันก็จะเป็นที่ ๆ พวกเรา ไม่มีทางจะได้เหยียบย่างเลย”
นักวิจัยคนนั้นถึงกับอึ้ง จากนั้นก็เล็งปืนเข้าไปที่หัวใจของเหยื่อแล้วก็ยิง คลื่นสมองกลายเป็นเส้นตรง เหยื่อทดลองค่อย ๆ กระอักออกมาว่า
“เกือบ… จะ.. อิสระ..อยู่แล้วเชียว...”
ซึ่งถ้าตอนจบไม่ได้มีประโยคการสนทนาแบบนี้ เราก็คงจะเชื่อกันไปแล้วว่า เรื่องราวนี้คือเรื่องจริง !!
ตอนนี้เป็นที่ทราบกันดีแล้วว่า มันเป็นเรื่องที่ถูกแต่งขึ้นมา เพียงแต่ว่าเรื่องราวนี้มันถูกเผยแพร่ขึ้นมาจริง ๆ ตั้งแต่เมื่อไหร่ ซึ่งมิติที่ 6 จะค่อย ๆ นำท่านผู้ชมมาร่วมค้นหาสิ่งนี้ไปด้วยกันครับ
เรื่องราวการทดลองการอดนอนของรัสเซีย หรือการทดลองการนอนหลับของชาวรัสเซีย ที่มาจากชื่อภาษาอังกฤษว่า "Russian Sleep Experiment" นั้น มีหลักฐานอ้างอิงที่เก่าที่สุดมาจากเวบบล็อกชื่อ "Rip747" บนเวบไซต์เวิร์ดเพรสผู้ให้บริการบล็อกสำหรับเขียนบันทึกเรื่องราวบนอินเตอร์เน็ต เมื่อวันที่ 8 สิงหาคม ค.ศ. 2009 นั่นเอง โดยเนื้อหาในเอ็นทรี่นั้นได้เขียนบอกเอาไว้ว่า เจ้าของบล็อกได้นำเรื่องราวนี้มาจากฟอร์เวิร์ดเมล์ของพี่ชายของเขา
เว็บบล็อก "Rip747" |
ซึ่งต่อมาเรื่องราวดังกล่าวก็ถูกนำไปเผยแพร่ในเวบบอร์ดชุมชนนักเพาะกายชื่อ "bodybuilding.com" ในหมวดเรื่องทั่วไป เมื่อวันที่ 20 สิงหาคม ค.ศ. 2009 โดยสมาชิกชื่อฟาลคอลพันช์ จนเวลาผ่านไป 1 ปี เรื่องราวนี้จึงได้ถูกเขียนลงบนเวบไซต์วิเกีย ครีบปี้พาสต้า ในวันที่ 16 สิงหาคม ค.ศ. 2010 จนในวันที่ 24 พฤศจิกายน ค.ศ. 2011 มันก็ได้ถูกนำไปอ่านลงในคลิปบนเวบไซต์ยูทูป โดยผู้โพสต์ชื่อว่า "MrCreepyPasta" จนมีผู้เข้าชมมากมายกว่าแปดแสนวิว และความคิดเห็นมากกว่าหกพันในช่วงสามปี จนเมื่อวันที่ 26 ตุลาคม ค.ศ. 2012 สมาชิกเวบไซต์เร็ดดิทชื่อ "Griffin23" ก็ได้โพสต์ลิงค์ของเรื่องราวนี้ในหมวด "/r/WTF" ทำให้เขาได้รับการโหวตสูงถึง 1,700 โหวต จนได้เป็นกระทู้ทรงคุณค่าเก็บเข้าคลัง และเมื่อถึงวันที่ 7 มีนาคม ค.ศ. 2013 เรื่องราวนี้จึงได้ถูกสร้างเป็นเวบไซต์แบบหน้าเดียวขึ้นมาในชื่อ "RussianSleepExperiment.com" โดยใช้เนื้อหาจากครีปปี้พาสต้ามาเขียนนั่นเอง ซึ่งปัจจุบันเวบไซต์ดัง
กล่าวได้หมดอายุลงไปเรียบร้อยแล้ว และในวันที่ 28 สิงหาคม ปีเดียวกัน เวบไซต์ "Snops.com" ก็ได้ขึ้นบัญชีเรื่องราวการทดลองการนอนหลับของชาวรัสเซียนี้ให้เป็นเรื่องโกหก โดยวันที่ 1 ตุลาคม ค.ศ. 2013 นั้น มียูทูปเบอร์ชื่อ "IReadCreepyPastas" ได้อัพโหลดเรื่องราวนี้อีกครั้ง พร้อมกับใช้ภาพประกอบการอ่านเป็นภาพน่ากลัวแบบขาวดำ โดยสามารถทำยอดวิวจากผู้ชมได้มากถึง 11 ล้านวิว และความคิดเห็นมากกว่า 18,000 เลยทีเดียว
กดเพื่อดูที่มาภาพนี้ในเว็บไซต์ Deviant Art |
ส่วนในประเทศไทยนั้น เรื่องราวนี้ก็ได้ถูกนำมาเล่าต่อมากมาย โดยหลาย ๆ แห่งก็ได้บอกความจริงไว้ในท้ายเรื่องว่ามันคือเรื่องที่ถูกแต่งขึ้นมา และหลาย ๆ แห่งก็ไม่ได้บอกความจริง ซึ่งก็มีผู้ทำคลิปอ่านเรื่องนี้ออกมามากมาย มีทั้งอ่านไม่จบและบอกไม่หมด จนทำให้ท่านผู้ชมเป็นจำนวนมากต้องเกิดความคลางแคลงใจ เพราะเรื่องราวของมันถ้านำไปเทียบกับการทดลองสุดสยองขวัญที่มิติที่ 6 เคยได้นำเสนอมาก่อนไม่ว่าจะเป็นการทดลองของอเมริกา ญี่ปุ่น หรือเยอรมัน ที่เกิดขึ้นจริงในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 นั้น เรื่องแบบนี้มันก็น่าจะเกิดขึ้นมาจริง ๆ กับรัสเซียก็เป็นได้
แต่ทีนี้เมื่อเรารู้กันแล้วว่า เรื่องราวนี้เป็นเพียงเรื่องที่ถูกแต่งขึ้นมา ทางมิติที่ 6 ก็อยากจะบอกกับท่านผู้ชมทุกท่านว่า เวลาที่มีใครหยิบยกเรื่องราวนี้ขึ้นมาเล่าในวงสนทนา เราก็จงอย่าไปทำอะไรที่จะทำให้การเล่านั้นต้องหยุดชะงักลงไปจะดีกว่านะครับ เพราะว่าความจริงนั้น มันช่างไม่มีสเน่ห์เอาเสียเลย
พบกับรายการมิติที่ 6 ศุกร์สยองขวัญกับเรื่องราวเบา ๆ จากพวกเราทุกวันศุกร์สะดวก ที่จะพาท่านผู้ชมไปพบกับเรื่องราวน่ากลัวสุดสยองขวัญพร้อมกับที่มาของเรื่องราวกันได้ทุกสัปดาห์นะครับ หลังจากอ่านจบแล้ว อย่าลืมกดไลค์ กดแชร์ และทิ้งคอมเม้นท์กันไว้นะครับ
แปลและเรียบเรียงโดย นิวัฒน์ อ่ำแสง
ที่มา
http://polyfresh.tumblr.com/post/348510379/russian-sleep-experiment
http://rohitbandaru.wordpress.com/the-russian-sleep-experiment/
http://rpgaming.prophpbb.com/topic4282.html
http://www.streetfighters.com.au/forum/topic.asp?TOPIC_ID=19496
http://kajina.deviantart.com/journal/29029762/
http://www.snopes.com/horrors/ghosts/russiansleep.asp
http://www.russiansleepexperiment.com/
http://forum.bodybuilding.com/showthread.php?t=118548141
http://rip747.wordpress.com/2009/08/08/russian-sleep-experiment-the-best-short-story-ive-read/
http://www.google.com/trends/explore?hl=en-US#q=russian+sleep+experiment
https://youtu.be/T1EW4r6Kiiw
https://youtu.be/MEwbfnCpKA4
http://knowyourmeme.com/memes/russian-sleep-experiment
Wikia Creepypasta : http://goo.gl/b5QGY
Reddit : https://goo.gl/y59Pdm
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น