15 กุมภาพันธ์ 2560

มิติที่ 6 | 14 คดีคู่รักสยองขวัญในวันวาเลนไทน์ !!!



วันแห่งความรัก ผู้คนมักจะนึกถึงวันเริ่มต้นชีวิตของคนมีคู่ แต่สำหรับคู่รักบางคู่ พวกเขากลับเลือกที่จะใช้วันนี้เป็นวันจบทุกสิ่งทุกอย่าง และถึงบางคนจะไม่อยากจบ แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าอีกฝ่ายจะคิดเหมือนกันเสมอไป
มิติที่ 6 สัปดาห์นี้ เราจะพาท่านผู้ชมไปพบกับอีกด้านของวันวาเลนไทน์ กับชีวิตบั้นปลายของ 14 คู่รัก ที่บางคู่ก็ต้องการ บางคู่ก็ไม่ต้องการ ด้วยเหตุผลที่คนนอกอย่างเราไม่มีทางเข้าใจ !!!


คดีที่ 1 คู่รักสูงวัยตััดสินใจจบทุกสิ่งไว้ในวันแห่งความรัก

ในวันแห่งความรักของปี ค.ศ. 2015 ที่ผ่านมา หน่วยตำรวจนายอำเภอเมดิสันของรัฐอลาบามา ได้พบศพสองสามีภรรยาสูงอายุนอนเสียชีวิตอยู่ภายในบ้าน หลังจากตรวจสอบจุดเกิดเหตุ เจ้าหน้าที่ตำรวจคาดว่าน่าจะเกิดเหตุฆาตกรรมและฆ่าตัวตายตาม โดยหลักฐานในที่เกิดเหตุชี้ว่า สามีวัย 77 ปี เป็นผู้ลงมือใช้ปืนยิงภรรยาวัย 76 ปี จนแน่ใจว่าเธอเสียชีวิตแล้วจึงฆ่าตัวตายตาม จากรายงานของเว็บไซต์ AL.com ซึ่งเป็นเว็บไซต์ของรัฐอลาบามานั้น ได้เผยแพร่บันทึกของเจ้าหน้าที่ตำรวจเอาไว้ว่า ในเหตุการณ์นี้ไม่พบว่ามีร่องรอยการต่อสู้ใด ๆ และทั้งสามีภรรยาต่างก็มีโรคภัยรุมเร้ามาอย่างยาวนาน


ถ้าคดีนี้มันยังดูเป็นเรื่องทั่วไปที่สามารถพบได้ทุกวันในบ้านเราแล้วล่ะก็ ลองมาดูคดีที่สองกันบ้างว่ามันจะมีแง่มุมไหนที่ทำให้เราได้เห็นคุณค่าของความรักเพิ่มมากขึ้น



คดีที่ 2 ออสก้า พิสโทเรียส กับคดีฆาตกรรมแฟนสาว

ออสก้า พิสโทเรียสเขาขาพิการทั้งสองข้างและเป็นนักกีฬาพาราลิมปิกประเภทวิ่งแข่ง โดยเมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2013 ออสก้าได้ลั่นไกสังหารแฟนสาวผู้มีอาชีพเป็นนางแบบชื่อรีวา สทีนแคมพ์ ภายในบ้านที่เปรโตเรียประเทศอัฟริกาใต้ โดยในตอนแรกนั้นออสก้าถูกจับในข้อหาฆาตกรรม แต่ภายหลังจากการเบิกความในศาลออสก้าพูดซ้ำ ๆ กันว่า ทุกอย่างที่เกิดขึ้นมันคืออุบัติเหตุ เขาเพียงเข้าใจว่าภรรยาของเขานอกใจเท่านั้น


โดยเหตุการณ์นี้ทำให้เหล่าสปอนเซอร์ของเขา ไม่ว่าจะเป็นค่ายมือถือ แว่นตานักกีฬา และรองเท้านักกีฬายี่ห้อดัง ต่างก็ออกมาแสดงความเสียใจและตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น


เจ้าหน้าที่ตำรวจเองก็พยายามหาสาเหตุว่า ออสก้าเข้าใจอะไรผิดในตัวภรรยาจนถึงขนาดต้องตัดสินใจทำแบบนี้ พวกเขาก็พบว่าก่อนที่นักกีฬาพาราลิมปิกประเภทวิ่งแข่ง 200 และ 400 เมตร เจ้าของฉายาใบมีดลมกรดจะตัดสินใจสังหารภรรยาตัวเองนั้น มันก็เพียงเพราะเขาไปพบข้อความที่รีวาโพสต์เอาไว้ในเฟซบุ๊กว่า “พรุ่งนี้คุณจะเอาแรงที่ไหนมาใช้ยกแขนกอดคนที่คุณรักได้”


โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจเองก็ยังไม่ปักใจว่าสิ่งนี้คือสาเหตุที่แท้จริง และมองว่าบางทีในช่วงเวลาที่ก่อเหตุนั้น ออสก้าอาจกำลังเมาสุราจนขาดสติก็ได้


คดีที่สองที่จบไปมันก็ไม่ต่างอะไรกับบ้านเราสักเท่าไหร่ งั้นมาดูเลิฟสตอรี่ที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นได้ง่าย ๆ ในคดีที่ 3 กันบ้าง



คดีที่ 3 เอารักเก่าหั่นเก็บไว้ ส่วนรักใหม่ไปหาในคุก !


"สตีเฟน แกรนท์" และ "ท่ารา" ภรรยาสาว

ในวันวาเลนไทน์ของปี ค.ศ. 2007 ณ สถานีตำรวจเมืองมาคอมบ์รัฐวอชิงตันประเทศสหรัฐอเมริกา สตีเฟน แกรนท์ เดินเข้ามาแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจว่าภรรยาของเขาหายไป แต่สามสัปดาห์ต่อมาศพของเธอก็ถูกพบในโรงรถของสตีเฟนนั่นเอง ภรรยาของเขาชื่อทารา ลินน์ อายุ 34 ปี ซึ่งถ้ามองกันด้วยตรรกะแบบตำรวจแล้ว คนร้ายมันก็ไม่น่าจะใช่ใครที่ไหนไกล เพราะลองเธอเสียชีวิตในโรงรถของบ้านสามีแบบนั้น คนร้ายก็ต้องไม่พ้นสตีเฟนนั่นเอง
แต่สิ่งที่ยิ่งกว่านั้นก็คือ ในช่วงเจ้าหน้าที่ตำรวจสอบสวนสตีเฟนก่อนจะมาพบศพนั้น เขาบอกว่านอกจากภรรยาของเขาจะหายไปแล้ว ก็ยังมีแม่และลูก ๆ อีกสองคนที่หายไปตั้งแต่วันที่ 9 กุมภาพันธ์ด้วยเช่นกัน และเขาก็ยังบอกกับเจ้าหน้าที่ตำรวจอีกว่า ภรรยาของเขาน่าจะแอบกลับไปทำงานเดิมที่บ้านเกิดในเปอโตริโก้ และยังทะเลาะกับเขาก่อนที่เจ้าตัวจะขึ้นรถลึกลับสีดำสนิทจากไป


ต่อมาเจ้าหน้าที่ก็พบศพเพิ่มเติมอยู่ภายในบ้านของเขา ซึ่งศพที่ว่านี้ก็มีแต่เพียงชิ้นส่วนของร่างกายบางส่วน และพบอีกหลายส่วนอยู่ในบริเวณป่าใกล้ ๆ สวนสาธารณะสโตนีครีคเมโทรพาร์ค ซึ่งสตีเฟนเองก็ยังไม่ยอมรับสารภาพ ทั้ง ๆ ที่พบซากศพอยู่ทนโท่แบบนั้น เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงต้องควบคุมตัวของเขาเอาไว้ก่อน
เพราะก่อนที่พวกเขาจะพบศพเหล่านี้ สตีเฟนนั้นดูเหมือนกับสามีผู้รักภรรยาเป็นอย่างมาก มันทำให้พวกเขาเองก็ยังไม่แน่ใจว่าสตีเฟนจะเป็นคนร้ายจริง ๆ หรือเปล่า แถมยังพบจดหมายติดต่อจากภรรยาหลังที่เธอทิ้งเขาไป ว่ามันมาจากสถานที่หนึ่งในเปอโตริโก้ ซึ่งแน่นอนว่าในภายหลังเจ้าหน้าที่ตำรวจก็พบว่าทั้งหมดนั้น มันเป็นเพียงจดหมายที่สตีเฟนทำปลอมขึ้นมาเพื่อใช้เป็นหลักฐานปลอมทั้งสิ้น



แถมสตีเฟนยังบอกกับเจ้าหน้าที่ตลอดในช่วงการสอบสวนว่า เขารู้ว่าภรรยาของเขานั้นกำลังแอบมีกิ๊ก ซึ่งกิ๊กคนนั้นก็คือชายหนุ่มที่ทำงานที่เดียวกับเธอ แถมยังพูดยืนยันกับตำรวจอีกว่า ให้เอาหัวของเขาเป็นประกันกับเรื่องนี้ได้เลย นั่นก็ยิ่งทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจเริ่มสับสน มองว่ามันก็เป็นไปได้ที่ทาร่าภรรยาของเขาจะแอบเดินทางกลับมา แล้วเกิดไปพบกับคนร้ายตัวจริงเข้าที่บริเวณใกล้บ้าน ซึ่งก็เป็นไปได้ว่าเธอถูกคนร้ายฆ่าแล้วซ่อนศพเอาไว้ เพียงแต่มันก็ยังมีพิรุธที่จะต้องพิสูจน์กันต่อ


แต่เพราะสตีเฟนยืนยันกันขนาดนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงใจอ่อนพาตัวเขาไปตรวจสอบภายในบ้านอีกครั้ง แล้วอยู่ดี ๆ สตีเฟนก็เผ่นหนีไปเลยเสียดื้อ ๆ เจ้าหน้าที่ตำรวจก็เลยต้องเหนื่อยตามหาตัวเขาจนทั่วบริเวณ ไม่ว่าจะพยายามติดต่อกับญาติพี่น้องรวมไปถึงบ้านเพื่อน ไม่เว้นแม้แต่บ้านของทนายความของเขา

และทางเจ้าหน้าที่นายอำเภอมาร์ค แฮ็กเคลเองก็ยังบอกกับนักข่าวว่า “ทุก ๆ สิ่งที่สตีเฟนกระทำ รวมไปถึงสิ่งที่เจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจพบ มันก็ไม่ได้หมายความว่าสตีเฟนจะเป็นคนร้ายเสียหน่อย” ซึ่งสิ่งที่ท่านนายอำเภอกล่าวนั้น ก็ดูไม่ค่อยจะสอดคล้องกับหลักฐานชิ้นส่วนของศพที่พบในบ้านเลยแม้แต่น้อย


แต่สุดท้ายสตีเฟนก็ถูกตามจับตัวกลับมาได้ และสารภาพทุกอย่างออกมาว่า เขาเป็นคนสังหารทุกคนในบ้านจริง ๆ และต่อมาเขาก็ถูกนำตัวไปฝากขังไว้ที่เรือนจำในเมืองมาคอมพ์ เพื่อรอพิพากษาโทษกันต่อไป


แต่ไหน ๆ สตีเฟนก็ดูจะเป็นชายผู้ภักดีในความรักจนต้องสังหารภรรยา รวมถึงแม่และลูกของตัวเองแล้ว ก็ยังมีรายงานอีกว่าในช่วงที่เขาติดคุกอยู่นั้น เขาได้ส่งจดหมายรักหานักโทษหญิงคนหนึ่งชื่อเจนนิเฟอร์ ที่ต้องคดีฆาตกรรมเด็กหญิงอเล็กซานเดรีย อายุ 8 ปี และเด็กหญิงแอชลีย์ อายุ 5 ปี พร้อมกับสุนัขพันธ์ุปอมเมอเรเนียนอีกสามตัวในเมืองมาคอมบ์เช่นเดียวกัน โดยคดีนั้นเธอสารภาพว่า มีปีศาจบอกให้เธอสังหารเด็ก ๆ พร้อมกับสุนัข


สตีเฟนได้ส่งจดหมายหาเจนนิเฟอร์มากกว่าสิบฉบับ และที่มากกว่านั้นก็คือเขาเขียนชื่อตัวเองที่หน้าซองว่าซาร่า ซึ่งถ้าจะถามว่าทางเจ้าหน้าที่ตำรวจทราบได้อย่างไรว่าสตีเฟนเป็นคนเขียนจดหมายเหล่านี้ คำตอบมันก็ได้มาจากจดหมายตอบกลับของเจนนิเฟอร์ ที่เธอจ่าหน้าซองถึงสตีเฟน แกรนท์อย่างเจาะจงนั่นเอง

"เจนนิเฟอร์ คูคลา" ฆาตกรฆ่าลูกสาว 2 ศพ !!!

และข้อความจากจดหมายฉบับหนึ่งที่สตีเฟนส่งถึงเจนนิเฟอร์นั้น เขาได้เขียนเอาไว้ว่า “แล้วพบกันที่หน้าตู้เปลี่ยนเสื้อผ้านะจ๊ะ :)” ตามด้วยเครื่องหมายตัวอักษรแทนใบหน้ายิ้มหวาน


อีกฉบับที่ถูกเจ้าหน้าที่เปิดอ่านก่อนส่งนั้น เขาก็เขียนเล่าถึงชีวิตอันแสนจะอาภัพของตัวเอง ไม่ว่าจะถูกภรรยาทิ้ง ลูกหาย แม่ไม่รัก และยังบอกอีกว่าเขาคิดถึงทุกคนมาก แถมยังเขียนอีกว่าเจนนิเฟอร์นั้นเป็นคนแรกที่เขาบอกเรื่องนี้ให้รู้


พอกลับมาถามกับเจนนิเฟอร์ว่าทำไมเธอถึงยอมส่งจดหมายคุยกับสตีเฟนเยอะแยะขนาดนี้ เธอก็ตอบกับเจ้าหน้าที่ว่า เธอแค่อยากรู้ว่าชายคนนี้จะกล้าเล่าไหมว่าตัวเองไปทำอะไรมา ถึงได้มาติดคุกเหมือนกับเธอ


ในที่สุดสตีเฟนก็ถูกศาลพิพากษาลงโทษจำคุก 50 - 80 ปี มีความผิดในคดีฆาตกรรมภรรยาของตัวเอง และยังถูกย้ายตัวไปยังคุกอีกแห่งที่ไม่มีเจนนิเฟอร์อยู่ ก็คงต้องเรียกได้ว่านิยายรักของเขากับเจนนิเฟอร์นั้น จบลงทั้ง ๆ ที่ยังไปไม่ถึงไหนอย่างไร้ปราณีกันเลยทีเดียว หลังจากได้รับทราบเรื่องราวกุ๊กกิ๊กกันมาแล้ว คราวนี้มิติที่ 6 อยากให้มาดูคดีต่อไป



คดีที่ 4 มิชชันนารีหัวงู กับคดีสังหารภรรยาตัวเอง

"ครอบครัวลุทโธลด์"

นาธาน ลุทโธลด์ กับภรรยาชื่อเดนนิส ได้พบกับนักเรียนสาวชาวลิธัวเนียคนหนึ่งในช่วงที่ทั้งสองได้ออกเดินทางไปเผยแผ่ศาสนาที่ยุโรปตะวันออก จนเมื่อเวลาผ่านไปเด็กสาวก็อายุได้ 18 ปี สองสามีภรรยาบ้านลุทโธลด์ก็ตัดสินใจพาเธอมาเลี้ยงดูอยู่ที่รัฐอิลินอยซ์ประเทศสหรัฐอเมริกา และสิ่งนี้มันก็ได้ทำให้นาธานเริ่มตกหลุมรักเด็กสาว จนสองปีต่อมาเขาจึงได้ตัดสินใจลงมือสังหารภรรยาของตัวเอง เพื่อที่จะได้อยู่กับเด็กสาวตลอดไป
โดยในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2013 นั้น นาธานได้แจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจว่า ภรรยาของเขาถูกนักย่องเบาลอบเข้ามาฆ่า ด้วยการใช้ปืนยิงที่ศีรษะของเธอ แต่หลังจากที่เจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าตรวจสอบที่เครื่องคอมพิวเตอร์ของนาธานแล้วก็พบว่า เขาได้เข้าไปในเว็บไซต์กูเกิลแล้วค้นหาข้อมูลจากคำค้นว่า “วิธีทำปืนเก็บเสียง” ตามด้วย “ตีใครสักคนที่หัวให้สลบ” และ “การฉีดยาให้ตาย” ซึ่งทั้งสามคำค้นนี้ก็ได้กลายเป็นกุญแจสำคัญของการสืบสวนในคดีนี้ทันที


สิ่งนี้ก็ได้ทำให้นาธานถูกจับกุมตัว โดยในช่วงการต่อสู้คดีอยู่นั้นทางอัยการได้ยกหลักฐานคำค้นในกูเกิล พร้อมทั้งข้อความในอินบ็อกของนาธานที่ถูกส่งมาจากภรรยาของเขา ที่เขียนเอาไว้ว่าเธอนั้นรู้ว่านาธานอยากจะฆ่าเธอ และยังถามนาธานว่าทำไมเขาถึงต้องการจะฉีกหน้าเธอด้วยการวิ่งตามเด็กสาวอายุ 20 ปีแบบนี้ โดยทนายของนาธานได้พูดปกป้องลูกความของตัวเองว่า เรื่องนี้มันเอามาใช้เป็นหลักฐานไม่ได้ และในที่เกิดเหตุเองก็ไม่มีใครเป็นพยานรู้เห็นกับเรื่องราวนี้เลย และมันจะมีประโยชน์อะไรที่นาธานจะฆ่าภรรยาของตัวเองเพื่อที่จะได้อยู่กับเด็กสาววัยรุ่นในวันวาเลนไทน์ ดังนั้นศาลควรจะต้องยกประโยชน์ให้จำเลยมันถึงจะถูกต้อง

"ไม่ถงไม่ถามฉันหน่อยหรือ ?" สาว 20 ถาม

หลังจากศาลพิจารณาหลักฐาน วัตถุพยาน รวมถึงข้อแก้ตัวทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว นาธานจึงได้รับโทษจำคุกไป 45 ปี เพราะสิ่งที่ทนายพูดไว้ในประโยคสุดท้ายว่า เขาจะฆ่าภรรยาของตัวเองเพื่อจะได้อยู่กินกับเด็กสาวในวันวาเลนไทน์ทำไม ว่าสิ่งเหล่านี้มันก็คือคำตอบอยู่ในตัวแล้วนั่นเอง จบจากคดีรักไม่สมหวัง พังเพราะทนายไปแล้ว ก็ลองมาดูคดีต่อไป



คดีที่ 5 เพราะฆ่าแฟนในวันนี้ เลยได้เพิ่มปีติดคุก !!!


"กิ๊บสัน พอล"

กิบสัน พอล ใช้ชีวิตคู่กับโทมิกก้า ปีเตอร์สัน อยู่แถวเมืองเวสต์ปาล์มบีชรัฐฟลอริด้าประเทศสหรัฐอเมริกามานาน แต่แล้วในวันแห่งความรักของปี ค.ศ. 2011 โทมิกก้าก็ตัดสินใจที่จะหยุดความสัมพันธ์ของเธอกับกิบสันลง และสิ่งนี้ก็คือสาเหตุที่ทำให้ภาพถ่ายผู้ต้องหาของเขานั้นอยู่ในสภาพร้องไห้ตาบวม ดูแล้วน่าสงสารเป็นอย่างมาก


โทมิกก้าบอกกับกิบสันว่า เธอเองยังคงจะอาศัยอยู่กับเขาต่อไปอีกสักระยะ และจะย้ายออกไปทันทีหลังจากที่เธอหาใครสักคนมาช่วยแชร์ค่าที่พักแห่งใหม่ได้แล้ว จนวันนั้นมาถึงโทมิก้าก็เดินออกจากอพาร์ทเม้นไปพร้อมกับเพื่อนของเธอที่เดินทางมารับ แต่แทนที่ทุกอย่างจะจบลงด้วยดี ในชั่วอึดใจนั้นกิบสันก็หยิบปืนของเขาขึ้นมา แล้วลั่นไกไปยังรถที่โทมิกก้านั่งอยู่ ภายในนั้นนอกจากจะมีโทมิกก้าแล้วก็ยังมีคนขับรถผู้ชาย ผู้โดยสารหญิงอีกสองคน และเด็กหญิงอายุ 3 ปีอีกหนึ่งคนหนึ่ง หนึ่งในเพื่อนหญิงของโทมิกก้าถูกกระสุนเฉี่ยวถากไปได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย ส่วนโทมิกก้านั้นถูกยิงเข้าอย่างจังถึง 5 นัด จนเสียชีวิตไปในที่เกิดเหตุทันที


ต่อมากิบสันก็ถูกจับตัวในข้อหาฆาตกรรม จนเป็นเหตุทำให้มีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิต และยังทำให้เสียทรัพย์สินเป็นรถยนต์อีกหนึ่งคัน กิบสันร้องขอผ่านทางทนายให้ศาลช่วยรีบพิจารณาคดีให้จบลงไปเร็ว ๆ นั่นจึงทำให้หลังจากการพิพากษาจบลง กิบสันได้รับโทษจำคุก 20 ปี ในข้อหาฆาตกรรม และถูกเพิ่มโทษไปอีก 15 ปี ในข้อหาทำให้ผู้อื่นได้รับบาดเจ็บและเสียทรัพย์ จากการที่ใช้ปืนยิงไปที่รถจนเสียหาย จนทำให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บ


เจอแต่คดีที่คนร้ายเป็นฝ่ายชายมามากแล้ว คราวนี้เราลองมาดูคดีที่คนร้ายเป็นฝ่ายหญิงกันดูบ้าง



คดีที่ 6 ลูกสาวอดีตผู้พิพากษาฆ่าสามีตัวเอง


"แอนเดรีย คอนซาเลส"

แอนเดรีย คอนซาเลส อายุ 59 ปี เธอเป็นทั้งคุณครูและลูกสาวของอดีตผู้พิพากษาของเมืองที่เสียชีวิตไปแล้ว เธอถุกจับกุมตัวในข้อหาฆาตกรรมหลังจากที่เธอทุบศีรษะของจีโอวานนี จูเลียโน่ สามีอายุ 44 ปี ของเธอจนเสียชีวิต ภายในบ้านที่ถนนอาร์ลิงตันรัฐนิวเจอร์ซี่ประเทศสหรัฐอเมริกาในวันแห่งความรักของปี ค.ศ. 2014


ในรายงานแจ้งผลการชันสูตรศพออกมาว่า แอนเดรีย คอนซาเลสนั้นทุบตีสามีของเธอที่ใบหน้า ศีรษะและทั่วร่างกายด้วยความรุนแรง โดยในช่วงการพิจารณาคดีนั้นเธอบอกกับคณะลูกขุนว่า ทั้งหมดมันเกิดจากสามีของเธอหกล้มเองเพียงแต่หลักฐานทุกอย่างชี้ชัดว่ามันคือการฆาตกรรม โดยศาลยังได้ตั้งวงเงินประกันตัวของเธอไว้สูงถึงหนึ่งล้านห้าแสนเหรียญ และปัจจุบันยังอยู่ในระหว่างสู้คดี โดยเป็นไปได้ว่าเธออาจจะถูกพิพากษาลงโทษจำคุกอย่างน้อย 7 ปี


สำหรับคดีต่อไปนี้ ถือว่าเป็นคดีที่เปลี่ยนอนาคตของผู้คนในรัฐคอนเน็กติคัตกันเลยทีเดียว



คดีที่ 7 สามีโหดสังหารภรรยาต่อหน้ากล้องวงจรปิด !!!


"เทียน่า โนทิส"

เทียน่า โนทิส หญิงสาวอายุ 25 ปี เธอทำงานในระหว่างเรียนปริญญาเอกสาขาสื่อสารมวลชนที่มหาวิทยาลัยฮาร์ทฟอร์ดรัฐคอนเน็กติคัตประเทศสหรัฐอเมริกา เธอคบหาเป็นแฟนกับเจมส์ คาร์เตอร์ที่สองคนถึงขั้นอยู่กินด้วยกันมาระยะหนึ่ง แต่ในปี ค.ศ. 2008 นั้น ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ก็จบลงโดยตัวของเทียน่าเป็นคนบอกเลิกเจมส์ นั่นหมายความว่าเจมส์ไม่ได้มีความสุขกับเรื่องนี้แน่ ๆ และมันก็ได้ทำให้เขาแสดงอาการไม่พอใจออกมาอย่างชัดเจน


เทียน่าเห็นแบบนั้นก็เลยสั่งห้ามไม่ให้เจมส์ทำกิริยาแย่ ๆ กับเธอ ซึ่งมันก็แน่นอนว่าเจมส์ยิ่งไม่พอใจหนักขึ้นไปอีก


สำหรับคดีนี้ทางด้านแคธี เลวิส ซึ่งเป็นคุณแม่ของเทียน่า โนทิสนั้น เธอเคยทราบพฤติกรรมของเจมส์ผู้เป็นลูกเขยมาจากลูกสาวว่าเขาเป็นคนที่น่ากลัว และมีพฤติกรรมชอบคุกคามจนเทียน่าเคยแจ้งตำรวจให้ช่วยมาจัดการอะไรบางอย่าง ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ตำรวจนั้นก็ไม่ได้สนใจจะจัดการอะไรให้ เทียน่าจึงขอให้คุณพ่อแอบนำกล้องวงจรปิดมาติดตั้งไว้ที่บริเวณภายนอกที่พักของเธอ ซึ่งในกล้องตัวนั้นก็ได้บันทึกเหตุการณ์น่าสลดหดหู่หลังจากที่เทียน่าและเจมส์บอกเลิกกันเอาไว้

"เจมส์ คาร์เตอร์" ที่ 2

ในกล้องนั้นเผยให้เห็นภาพของเทียน่ากรีดร้องเพราะถูกเจมส์ใช้มีดไล่ฟันเธอตั้งแต่นอกที่พัก และยังเห็นภาพเธอกำลังพยายามวิ่งหนีจากเจมส์ที่ตอนนี้กลายเป็นนักฆ่า เพียงแต่ภาพในช่วงลงมือใช้มีดแทงนั้น ไม่ได้อยู่ในมุมที่กล้องสามารถบันทึกภาพเอาไว้ได้


เทียน่าได้โทรศัพท์เรียกเจ้าหน้าที่ตำรวจโดยบอกว่าเธอถูกแฟนหนุ่มใช้มีดแทง ก่อนที่เธอจะเสียชีวิตเพราะเสียเลือดไป นั่นจึงทำให้ทั้งบันทึกการแจ้งความและภาพจากกล้องวงจรปิดกลายมาเป็นหลักฐานมัดตัวเจมส์ในช่วงพิจารณาคดี และนอกจากนั้นคุณพ่อของเทียน่าก็ยังได้นำบทกวีที่เทียน่าได้เขียนเอาไว้มาอ่านให้ฟังต่อหน้าคณะลูกขุนอีกด้วย


โดยตัวบทกวีนั้นชื่อว่า “ปิดฉาก” มีเนื้อหาพูดถึงเจมส์แฟนของเธอว่า "เธออยากรอดพ้นออกมาจากอารมณ์ ความรุนแรง ความเชื่อ ความอิจฉา และความไม่ปลอดภัยที่เจมส์ได้มอบให้กับเธอตลอดมา" และยังได้กล่าวอีกว่า "บ้านที่ว่างเปล่ามันน่าจะเหมาะสมสำหรับเจมส์แล้ว" จากนั้นก็จบบทกวีด้วยประโยคที่ว่า "เธอมั่นใจว่าตัวเธอนั้นเป็นคนสวย เก่ง และมีเส้นทางชีวิตของตัวเอง"


เจมส์ถูกพิพากษาให้ได้รับโทษจำคุก 60 ปีจากคดีฆาตกรรม และคดีนี้ก็ยังมีผลทำให้รัฐคอนเน็กติคัตต้องเปลี่ยนแปลงกฏหมายเกี่ยวกับความรุนแรงในครอบครัวอีกด้วย ซึ่งคดีนี้มันก็ได้ทำให้เห็นว่า ความรุนแรงนั้นไม่เคยมีบทสรุปที่ดีเลยแม้แต่ครั้งเดียว


คราวนี้เรามาดูคดีคู่รักทะเลาะกันในวันแห่งความรักที่พบจุดจบต่างออกไปกันบ้าง



คดีที่ 8 ย้ายบ้านจบ ก็ลบสามีทิ้งไปจากชีวิตเสียเลย !!!


"ดอว์น ดิกสัน-เบย์"

หลังจากการย้ายที่อยู่ไปยังอพาร์ทเม้นใหม่ในวันวาเลนไทน์ ปี ค.ศ. 2015 ดอว์น ดิกซัน-เบย์ ก็ได้ลงมือใช้มีดแทงสามีของตัวเองไปสองแผลที่บริเวณหน้าอก ในขณะที่เขากำลังนอนเล่นอยู่ในห้องพักดิกซัน-เบย์ บอกว่าเธอทำไปเพราะป้องกันตัว แต่พยานหลายคนที่รู้เห็นเหตุการณ์กลับพูดในศาลว่า พวกเขาได้ยินเสียงเธอแทงสามีหลังจากการทะเลาะกันจบลงไปแล้วต่างหาก
สุดท้ายศาลจึงพิพากษาให้เธอได้รับโทษจำคุก 35 ถึง 70 ปีในคุก และศาลยังบอกเหตุผลกับเธอว่า เธอฆ่าสามีอย่างเลือดเย็น สิ่งนี้มันไม่ใช่อุบัติเหตุเพราะเธอแทงที่หัวใจของสามีถึงสองครั้งด้วยกัน ส่วนน้องสาวของสามีดิกซัน-เบย์นั้นบอกว่า จริง ๆ แล้วผู้ตายเป็นเสมือนกาวใจของครอบครัว และบอกว่าดอว์น ดิกซัน-เบย์ควรจะรู้สึกกลัวช่วงเวลาที่เธอใช้มีดแทงพี่ชายของเธอบ้าง แต่นี้เธอกลับไม่เคยแสดงอาการแบบนั้นออกมาให้เห็นเลย


ซึ่งเรายังมีอีกหนึ่งคดี ที่ทำให้ชีวิตครอบครัวต้องจบลงไปในวันแห่งความรัก พร้อมกับทิ้งแผลใจไว้ให้กับคนข้างหลังที่ยังมีชีวิตกันอยู่



คดีที่ 9 เด็กชายพยานสำคัญบอกว่า "ซอสมะเขือเทศเต็มไปหมดเลย"


"จวน แมนูเอล นาวาโร"

โดยเหตุการนี้เกิดขึ้นที่เมืองซานเบอนาดิโน รัฐแคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา อิกนาเซีย แมนริเกซเป็นคู่รักกับจวน แมนูเอล นาวาโร ทั้งคู่มีพยานรักเป็นลูก ๆ ถึง 3 คน เพียงแต่จวนผู้เป็นสามีตัดสินใจจะจบชีวิตคู่ลงอย่างกระทันหันในปี ค.ศ. 1993 โดยในช่วงแรกเหตุการณ์ทุกอย่างก็ดูปกติดี ตัวของอิกนาเซียเองก็ยังคงพยายามทำตัวปกติเพื่อลูก ๆ ของเธอ แล้ววันหนึ่งจวนก็เปลี่ยนใจอยากจะกลับมาคืนดี เพียงแต่อิกนาเซียยังเข็ดขยาดการใช้ชีวิตคู่กับผู้ชายคนนี้ ฝ่ายชายง้อเท่าไหร่เธอก็ไม่ยอมใจอ่อน จวนเจอแบบนี้เข้าไปก็ระแวงว่าอิกนาเซียกำลังจะหาคนใหม่ จวนจึงคิดว่า ในเมื่อฉันไม่ได้ ใคร ๆ ก็ต้องไม่มีสิทธิ์ นั่นจึงทำให้จวนตัดสินใจจะสังหารเธอ


"อิกนาเซีย แมนริเกซ"

โดยอัยการของศาลแขวงซานเบอนาดิโนชื่อมากาเรต บีแวนได้กล่าวว่า จวนได้แอบตามอิกนาเซียไปที่บ้านของเธอ ลูกคนหนึ่งของพวกเขาก็เปิดประตูให้จวนเพราะเห็นว่าเขาเป็นพ่อ แต่พอจวนเข้ามาในบ้าน ทั้งคู่ก็เริ่มทะเลาะกันอย่างรุนแรง อิกนาเซียหยิบเอาคำสั่งศาลออกมา แต่จวนพูดว่ากระดาษแผ่นไหนมันก็ช่วยเธอไม่ได้หรอก


จากนั้นจวนก็แอบตามอิกนาเซียที่ออกไปกับลูกชายอีกคน ไปจนถึงศูนย์การค้าที่อยู่ในย่านนั้นและทั้งสองก็จบความบาดหมางกันในบริเวณที่จอดรถ


พยานที่เห็นเหตุการณ์ครั้งนี้ออกมาให้การในศาลว่า เขาเห็นทั้งคู่ทะเลาะกันบริเวณใกล้ ๆ รถของอิกนาเซีย เขาเห็นเธอกำลังร้องไห้ หลังจากนั้นเขาก็เห็นแมนูเอล นาวาโรหยิบปืนเล็งไปที่ศีรษะของอิกนาเซีย และเปลี่ยนเป้าหมายมายิงที่บริเวณหน้าท้องของเธอจนเธอล้มลง จากนั้นเขาจึงยิงเข้าไปที่ศีรษะของเธอและยิงที่หน้าท้องไปอีกสองนัด ตามด้วยที่ศีรษะของเธออีกสองนัด


ที่น่าสลดหดหู่ก็คือ จวนยิงสังหารภรรยาตัวเองต่อหน้าจัวนิโต ลูกชายอายุ 4 ขวบของพวกเขา จากนั้นจวนก็อุ้มลูกชายวิ่งหนีหายไป โดย 17 วันต่อมามีผู้แจ้งว่าพบชายลึกลับนำจัวนิโตมาทิ้งไว้ที่หน้าบ้านของอิกนาเซีย พอเจ้าหน้าที่ตำรวจเดินทางมาสอบถามเด็กชาย เขาก็เล่าในสิ่งที่เขาเห็นในช่วงเวลาที่เกิดเหตุว่า “ซอสมะเขือเทศเลอะเต็มไปทั่วเลย” ส่วนป้าของเด็กชายได้ออกมาพูดในวันที่ตัวของเด็กอายุ 22 ปี เกี่ยวกับคดีนี้ว่า ตอนนี้จัวนิโตยังไม่สามารถรับกับสิ่งที่เขาเห็นในวันนั้นได้ จัวนิโต้ยังคงมีอาการทางจิตเรื่อยมา เขาเรียนไม่จบทั้ง ๆ ที่ตาและยายพยายามสนับสนุนให้เรียนต่อ และยังคงเห็นภาพแม่ของตัวเองเสียชีวิตอยู่ในหัวตลอดมา


ส่วนจวน แมนูเอล นาวาโรได้หนีออกไปทางประเทศเม็กซิโก และหลบซ่อนตัวอยู่ถืง 19 ปี แต่ในปี ค.ศ. 2012 จวนก็ถูกจับตัวได้ และถูกนำตัวมาขึ้นศาลในคดีฆาตกรรมภรรยาของตัวเอง ได้รับโทษจำคุกไป 30 ปี ส่วนคดีต่อไปนี้เกิดขึ้นราวกับเป็นฉากหนึ่งในภาพยนต์แอคชั่น



คดีที่ 10 เซอร์ไพรซ์ด้วยความตายในวันวาเลนไทน์ !!!

"ทิฟฟานี่ บาร์นฮิล"

ชอว์น วอร์ริค อายุ 32 ปี เขาเพิ่งจะออกเดทกับทิฟฟานี บาร์นฮิลได้ไม่นาน เขาก็ยิงเธอในระยะเผาขนพร้อมกับญาติของเธอต่อหน้าต่อตาเพื่อนหญิงของเธออีกสองคน ชอว์นเปิดฉากสังหารด้วยการเตะประตูบ้านของทิฟฟานีให้เปิดออก จากนั้นก็ใช้ปืนยิงใส่เธอทันที  พยานที่เห็นเหตุการณ์บอกกับศาลว่า ตอนนั้นวอร์วิคพูดกับทิฟฟานี่ว่า “ไปตายซะ!!!”


"ชอว์น วอร์ริค"

ศพของทิฟฟานีถูกพบในอพาร์ทเมนท์ของครอบครัวบาร์นฮิล โดยมีศพของ เมอซิเดซ ไอเวอรี่ ญาติของเธอนอนอยู่ข้าง ๆ และเวลาต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจพบปืนของวอร์วิคตกอยู่ในที่เกิดเหตุ และแน่นอนว่าวันนั้นตรงกับวันวาเลนไทน์ของปี ค.ศ. 2011


ในช่วงการพิจารณาคดีของศาลนั้น วอร์ริคพยายามให้การปฏิเสธในคดีตลอด และพยายามชี้นำคณะลูกขุนว่าตัวของเขานั้นมีอาการของผู้ป่วยจิตเภท ซึ่งสิ่งเหล่านี้มันก็เกือบจะทำให้เขาต้องได้รับโทษประหารชีวิตกันเลยทีเดียว จนสุดท้ายวอร์ริคก็ตัดสินใจเปลี่ยนทนายคนใหม่มาช่วยสู้คดีแทน
และสิ่งนี้ก็ได้ทำให้ศาลพิจารณาโทษแก่ชอว์น วอร์ริคให้ติดคุกตลอดชีวิตไปสองชั่วอายุคน

หลังจากดูคู่รักฆ่ากันเองมาหลายศพแล้ว คราวนี้เรามาดูคู่รักที่ต้องจบชีวิตคู่ในคุก เพียงเพราะโซเชียลมีเดียกันบ้าง
คดีที่ 11 แผนวาเลนไทน์เลือด แต่ยังไม่ทันได้ละเลง !!!

"ลินเซย์ เค. ซูวานนารัธ"
ลินเซย์ เค. ซูวานนารัธ และแรนดอลล์ สตีเวน เชฟเฟิร์ด คู่รักคู่นี้ได้วางแผนที่จะทำลายบรรยากาศวันวาเลนไทน์ของเมืองฮาลิแฟกซ์ประเทศคานาดาเมื่อปี ค.ศ. 2015 ด้วยการวางแผนที่จะก่อเหตุสังหารหมู่อย่างสนุกสนานในศูนย์การค้าฮาลิแฟกซ์ช็อปปิ้งเซ็นเตอร์ แต่โชคดีที่ยังไม่มีใครได้รับบาดเจ็บหรือล้มตาย เพราะลินเซย์ ซูวานนารัทได้โพสต์ประกาศเรื่องนี้ให้เพื่อนๆ ของเธอได้รับรู้ก่อนจะก่อเหตุ

"สตีเวน เชฟเฟิร์ด"

โดยก่อนที่เธอจะถูกจับตัวนั้น ไม่เพียงแต่เธอจะโพสต์ภาพหทารนาซีและภาพเหตุการณ์สังหารหมู่ในโรงเรียนมัธยมโคลัมบายน์ที่เคยเกิดขึ้นมาก่อนหน้าลงในเว็บไซต์ทัมบเลอร์ เธอก็ยังได้ทวีตข้อความที่ทวีตเตอร์ไว้ประมาณว่า “วันวาเลนไทน์ กำลังจะร่วงโรย” นั่นจึงทำให้ทั้งลินเซย์และคู่หูถูกตำรวจบุกเข้าควบคุมตัวด้วยข้อหาเตรียมตัวก่อการฆาตกรรมและลอบวางเพลิง โดยในแผนการนั้นยังพบว่าพวกเธอตั้งใจจะใช้อาวุธอันตรายและผิดกฏหมายหลายชนิด ซึ่งทั้งหมดนี้ล้วนถูกฝ่ายหญิงโพสต์อวดเพื่อน ๆ เอาไว้ในเว็บโซเชียลมีเดียนั่นเอง

คดีที่ 12 คดีล่อสามีมาฆ่าหวังเงินประกัน !!!

"ริชาร์ด และสเตซี่ สโคเอค"
ริชาร์ด สโคเอค วางแผนที่จะนัดพบภรรยาของตัวเองที่เบลตันบริดจพาร์ครัฐจอเจียประเทศสหรัฐอเมริกา ในวันวาเลนไทน์ปี ค.ศ. 2010 เพื่อแลกเปลี่ยนการ์ดวาเลนไทน์ตามประสาหนุ่มสาว
เพียงแต่เมื่อถึงเวลาประมาณสามทุ่ม เจ้าหน้าที่ตำรวจได้รับโทรศัพท์แจ้งความจากสเตซี่ สโคเอคผู้เป็นภรรยาและเป็นคุณแม่ลูกสามบอกว่า เธอพบสามีของเธอนอนเสียชีวิตอยู่ในรถบรรทุกของเขา และพบว่าถูกใครบางคนยิงที่ท้องถึงสามนัด และอีกสองนัดที่ใบหน้า
ในตอนแรกเจ้าหน้าที่ตำรวจก็ยังไม่ได้สงสัยใคร จนกระทั่งหลังจากที่เจ้าหน้าที่สืบสวนเริ่มตรวจสอบจนพบว่า มียอดเงินจากบริษัทประกันชีวิตรอที่จะโอนเข้าบัญชีของฝ่ายหญิงอยู่ถึงห้าแสนหกหมื่นเหรียญ ซึ่งมันเป็นกรมธรรม์ที่ถูกทำไว้เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ ก่อนวันเกิดเหตุเพียง 13 วันเท่านั้น และเมื่อตรวจสอบรายละเอียดจากบริษัทประกันก็ยังพบว่า มีการระบุชื่อของสเตซีให้เป็นผู้รับสินไหมนี้แต่เพียงผู้เดียวอีกด้วย และยังระบุอีกว่าทุกอย่างจะต้องอยู่ในเงื่อนไขว่าสเตซีจะต้องยังเป็นคู่รักกับริชาร์ดอยู่

พอหน่วยสืบสวนเห็นแบบนี้พวกเขาก็สรุปได้ทันทีว่า สเตซีน่าจะวางแผนทำประกันชีวิตให้สามีและลวงเขามาฆ่าทิ้งเพื่อเอาเงินประกันก้อนโตอย่างแน่นอน และเธอก็ไม่น่าจะก่อเหตุนี้เพียงลำพัง โดยหลังจากการสืบสวนก็พบว่า สเตซี่ได้จ้างอดีตคนงานชื่อลินนิต้า รอสส์ และเทรนเนอร์ส่วนตัวชื่อริจินัลด์ โคลแมน นั่นจึงทำให้ทั้งสามคนถูกจับกุมตัวในข้อหาปลอมแปลงเอกสารทางการเงินและก่อเหตุฆาตกรรม



ในคำฟ้องของอัยการได้บอกเอาไว้ว่า สเตซี สโคเอ็คคือผู้นำในการวางแผน ส่วนริจินัลด์ โคลแมนเทรนเนอร์ส่วนตัวของเธอคือผู้ลงมือ และลินนิต้า รอสส์ก็คือนายหน้าจัดจ้างมือปืนในคราบเทรนเนอร์ ในช่วงพักเที่ยงของคลีนิคที่สเตซีไปออกกำลังกายนั่นเอง
และจากการตรวจสอบการใช้โทรศัพท์รวมไปถึงกิจกรรมต่าง ๆ ที่ถูกบันทึกไว้ตั้งแต่ที่พักไปจนถึงบริเวณจุดเกิดเหตุ มันก็ได้เป็นหลักฐานบ่งชี้ว่าจำเลยทั้งหมดมีการติดต่อหากันตลอดเวลาในช่วงก่อนเกิดเหตุ 20 ถึง 30 นาที
สุดท้ายศาลจึงพิพากษาให้สเตซีและผู้สมรู้ร่วมคิดทั้งหมดได้รับโทษจำคุกตลอดชีวิต และต่อมาสื่อก็เริ่มตีข่าวถึงประวัติชีวิตของสเตซีว่า ก่อนที่เธอจะได้พบกับริชาร์ดสามีคนสุดท้ายนั้น เธอเคยมีสามีมาก่อนถึง 4 คน ส่วนลูก ๆ สามคนของเธอนั้นก็ไม่ใช่ลูกของริชาร์ดแต่อย่างใด พวกเขาล้วนแต่เป็นลูกจากสามีเก่าที่ติดมา ทั้งนี้สื่อไม่ได้รายงานว่าสามีเก่าของเธอยังมีชีวิตกันอยู่หรือเปล่า
ดังนั้นก่อนจะตกลงแต่งงานกับใคร มิติที่ 6 ก็อยากจะให้ท่านผู้ชมเช็คประวัติคู่รักของท่านกันสักนิด ทีนี้เรามาดูคดีที่ 13 กันต่อ


คดีที่ 13 หมออำมหิต เวอร์ชั่นวันวาเลนไทน์

"จอห์น" และ "ซูซาน แฮมิลตัน"
จอห์น แฮมิลตัน หมอใหญ่แห่งเมืองโอคลาโฮมา ออกมาอวดภาพซูซานภรรยาของเขาที่ถ่ายพร้อมกับรถปอร์เช่ที่เขาซื้อให้เธอ เพื่อเป็นของขวัญครบรอบวันแต่งงาน ซึ่งเรื่องนี้มันก็ถือเป็นการแสดงออกที่ดีของคู่รักที่มีชีวิตแต่งงานอันราบรื่นจนน่าอิจฉา และในสายตาของคนสนิทก็ล้วนมองว่าคู่รักคู่นี้สมกันราวกับกิ่งทองใบหยก ที่ทุกคนบนโลกใบนี้ควรจะดูเป็นตัวอย่างเอาไว้
เพียงแต่ในวันวาเลนไทน์ของปี ค.ศ. 2001 จอห์นเดินทางกลับมาบ้านในช่วงพัก แล้วมาพบกับภรรยานอนหมดสติอยู่บนพื้นห้องน้ำ ที่คอมีเนคไทของจอห์นรัดคออยู่สองเส้น ส่วนบริเวณศีรษะมีร่องรอยการถูกกระแทกกับพื้นอย่างรุนแรงจนแตกเห็นมันสมองบางส่วนไหลออกมา จอห์นเห็นดังนั้นจึงรีบหาทางช่วยเหลือภรรยาทันที
เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจและรถพยาบาลมาถึงมันก็สายเกินไปเสียแล้ว เพียงแต่เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจมาถึงอย่างน้อยพวกเขาก็จำเป็นจะต้องตรวจสอบทุกอย่างเช่นกัน โดยต่อมาตำรวจก็ได้สอบสวนไปยังเพื่อนของซูซานก็พบว่า ก่อนหน้าที่เธอจะเสียชีวิตนั้นซูซานเคยเล่ากับเพื่อนคนนี้ว่า สามีของเธอมีกิ๊กเป็นนักเต้นระบำเปลื้องผ้า และสาเหตุที่ซูซานรู้มันก็เพราะเธอไปพบหลักฐานการโทรศัพท์ไปหาแดนเซอร์คนดังกล่าวอยู่หลายครั้งในโทรศัพท์ของสามี และซูซานยังเคยเล่าว่าเธอคิดจะขอหย่ากับสามีอีกด้วย
นั่นจึงทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจเริ่มปะติดปะต่อเรื่องราวกับสภาพศพของซูซานที่ถูกเนคไทของสามีรัดคอถึงสองเส้น ก่อนจะถูกคนร้ายกดศีรษะกระแทกกับพื้นห้องน้ำจนเสียชีวิตว่า คนร้ายมันจะเป็นใครไปไม่ได้ นอกจากตัวของจอห์น แฮมิลตันสามีของเธอเท่านั้น


จอห์นจึงถูกควบคุมตัวในข้อหาฆาตกรรมภรรยาของตัวเองทันที โดยในระหว่างสู้คดีทีมทนายของจอห์นได้ว่าจ้างนักสืบชื่อทอม เบเวลมาเป็นพยานคนสำคัญ ซึ่งเบเวลคนนี้เป็นผู้เชี่ยวชาญในเรื่องการตรวจสอบวิถีของรอยเลือดในที่เกิดเหตุ เขาบอกกับคณะลูกขุนว่าถ้าจอห์นจะฆ่าคนรักจริง ๆ ล่ะก็ บนเสื้อเชิ้ตของจอห์นจะต้องมีรอยเลือดอยู่แน่ ๆ และทอม เบเวลจึงได้ร้องขอให้มีการตรวจสอบนี้เพื่อยืนยันความบริสุทธิ์ของจอห์นอีกด้วย

พอตรวจสอบด้วยเครื่องมือทันสมัยเข้า ก็ปรากฏว่าที่เสื้อเชิ้ตของจอห์นมีร่องรอยของเลือดเลอะอยู่จริง นั่นจึงทำให้ความหวังดีของทอมที่คิดว่าสิ่งนี้น่าจะทำให้จอห์นรอดจากคดี ก็กลายเป็นหลักฐานชิ้นสำคัญที่บ่งชี้ว่าเขาคือคนร้ายตัวจริงไปแบบไม่คาดคิด สุดท้ายจอห์น แฮมิลตันจึงได้รับโทษจำคุกตลอดชีวิตเพราะผู้เชี่ยวชาญที่ทนายของตัวเองจ้างมา


คดีที่ 14 หนุ่มสาววัยใส กับรักที่ไร้โอกาส !!!


"นิโคลาส คันเซลแมน" และ "สเตฟานี่ ฮาร์กริซเซล"

สำหรับคดีที่ 14 นั้นเป็นคดีปริศนาที่เกิดขึ้นในวันวาเลนไทน์ปี ค.ศ. 2000 โดยนิโคลาส คันเซลแมน และสเตฟานี่ ฮาร์ตกริซเซลล์ ทั้งสองเป็นคู่รักในวัยเรียนที่เราสามารถพบเห็นกันได้ทั่วไป วันหนึ่งทั้งคู่นัดกันจะไปรับประทานแซนวิชที่ร้านข้างถนนโคลไมน์เอเวนิวของเจฟเฟอร์สันเคาตี้ที่รัฐโคโรลาโด้ ซึ่งเป็นร้านที่่ฝ่ายชายทำงานอยู่ โดยร้านนี้อยู่ห่างโรงเรียนมัธยมเซาท์โคลัมบายน์ไปไม่กี่บล็อก และหลังจากที่ทานแซนวิชกันเสร็จ สเตฟานี่ก็ยืนรอนิโคลาสปิดร้านเพื่อที่จะได้ออกเดินทางกลับบ้านไปพร้อม ๆ กัน
ไม่กี่นาทีหลังจากเที่ยงคืนนั้นมันก็ย่างเข้าสู่วันวาเลนไทน์ ขณะนั้นเพื่อนร่วมงานที่ออกกะไปก่อนได้เดินผ่านมาแถว ๆ ร้าน พวกเขากลับพบว่าไฟในร้านยังคงเปิดอยู่ทั้ง ๆ ที่มันควรจะปิดหมดแล้ว นั่นจึงทำให้พวกเขาลองแวะเข้ามาตรวจสอบดู
แล้วพวกเขาก็ได้พบกับศพของนิโคลาสและสเตฟานี่ถูกยิงนอนเสียชีวิตอยู่บนพื้น หลังจากเจ้าหน้าที่ตำรวจมาถึงที่เกิดเหตุก็มีพยานหลายคนบอกว่า พวกเขาเห็นชายหนุ่มคนหนึ่งเดินออกมาจากร้านในช่วงก่อนพบศพทั้งสอง
แปดปีต่อมาคดีนี้ก็ถูกเก็บเข้าแฟ้มเพราะการสืบสวนไม่คืบหน้า โดยฝ่ายประชาสัมพันธ์ของเจ้าหน้าที่นายอำเภอเจฟเฟอร์สันได้ออกมาให้เหตุผลว่า พวกเขาได้พยายามสืบสวนคดีนี้มาจนถึงที่สุดแล้ว แต่สัญญาว่าจะกลับมาสานต่อคดีนี้ทันทีที่พบหลักฐานอะไรเพิ่มเติม
โดยก่อนที่คดีจะถูกเก็บเข้ากรุนั้น ผลการสืบสวนทั้งหมดชี้ไปในเรื่องของยาเสพติดและอุบัติเหตุ เพราะบริเวณใกล้ ๆ ร้านแห่งนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจพบร่องรอยของโคเคนและกัญชา ส่วนในคืนเกิดเหตุนั้นไม่พบว่ามีสินค้าหรือเงินถูกปล้นหายไปเลยแม้แต่รายการเดียว
สเตฟานี่นั้นมีประวัติเกี่ยวกับกีฬา เธอเคยเป็นนักกีฬาว่ายน้ำของทีมฟุตฮิลส์รีครีเอชันนัลดิสทริค ส่วนนิโคลาสนั้นก็มีงานอดิเรกเป็นนักดนตรี เขาเป็นมือกีตาร์ ชอบฟังเพลง และยังเป็นนักกีฬาตีกอล์ฟรุ่นเยาว์ ซึ่งการเสียชีวิตของทั้งสองคนนี้ คงจะต้องรอดูกันต่อไปว่าจะมีใครมาเป็นตัวเชื่อมให้คดีสามารถเดินหน้าต่อไปได้สักวัน

R.I.P.
จากทั้งหมด 14 คดี ที่มิติที่ 6 ได้รวบรวมมาเล่าให้ฟังนั้น ทุกคดีแม้จะเกิดขึ้นในวันแห่งความรัก แต่รายละเอียดของแต่ละคดีก็ล้วนแตกต่างกันออกไป ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของความรุนแรงในครอบครัว ไปจนถึงการชิงรักหักสวาท และความไม่ซื่อสัตย์ต่อคู่รักของตัวเอง ซึ่งสิ่งเหล่านี้มันก็น่าจะเป็นอุทาหรณ์ให้พวกเรารู้ว่า ความรักมันเกิดขึ้นได้ตลอดเวลาฉันท์ใด มันก็สามารถจบลงได้ตลอดเวลาด้วยรูปแบบวิธีการแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับว่าสาเหตุมันจะมาจากอะไร และอยากฝากไปถึงคนที่ยังไม่มีคู่หรือคนที่มีคู่อยู่แล้วว่า ก่อนที่จะคิดกระทำการอะไรลงไปนั้น ก็ขอจงตรึกตรองให้ดีก่อนที่จะตัดสินใจลงมือ มิเช่นนั้นจุดจบของความรักมันก็อาจจะไม่สวย ดังเช่น 14 คดี คู่รักนี้นั่นเอง
หลังจากจบรายการมิติที่ 6 แล้ว อย่าลืมกดสัปสไครป์ กดไลก์ กดแชร์ หรือทิ้งคอมเมนต์กันไว้นะครับ ยังมีเรื่องราวต่าง ๆ อีกมากมายรอคุณอยู่ สำหรับวันนี้ สวัสดี
เรียบเรียงและบรรยายโดย นิวัฒน์ อ่ำแสง

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

ประกาศ

เพื่อเป็นกำลังใจเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้กับเรา ขอความร่วมมือจากผู้ที่นำเรื่องราวจากมิติที่ 6 ไปใช้ในที่ของท่าน กรุณาลงเครดิตกลับมาที่เราจะเป็นพระคุณอย่างสูงครับ