22 พฤศจิกายน 2560

มิติที่ 6 เปิดปมปริศนาแอตแลนติส ดินแดนแห่งนี้มีอยู่จริงหรือเป็นแค่ตำนาน !?



"แอตแลนติส (Atlantis)" เกาะที่ถูกเล่าขานว่าเคยมีอยู่จริงในมหาสมุทรแอตแลนติค ซึ่งเคยตั้งอยู่แถบช่องแคบยิบรอลต้า และจมหายไปยังใต้ท้องทะเลจากเหตุแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ ที่ทำให้เกิดคลื่นยักษ์ถาโถมจนซัดเอาเกาะแห่งนี้จมหายไป เมื่อ 9,000 ปีก่อนคริสตกาล
ก่อนที่เพลโตนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่จะบันทึกเรื่องราวพูดถึงมันเอาไว้ในหนังสือชื่อ "ทีเมอุส" และ "ครีเทียส" !!!

มิติที่ 6 สัปดาห์นี้ เราจะเล่าถึงเรื่องราวของชนชาติในตำนาน กับข้อมูลทุกด้านที่ถูกกล่าวอ้างว่ามันเคยมีอยู่จริง ประเทศที่มีอารยะธรรมสูงส่งกว่าใครในโลกโบราณ สถานที่ ๆ เพลโตนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่เคยเล่าเอาไว้ว่ามันเคยมีอยู่จริง ว่าที่แห่งนี้... มันคืออะไรกันแน่ !?


"แอตแลนติส (Atlantis)"
ภาพจาก: WIKIMEDIA


ในการถกเถียงของกลุ่มสมาคมชาวยูโทเปียครั้งนั้น เพลโตได้ยืนยันว่า ตอนนั้นมีนักบวชชาวอียิปต์ได้เล่าเรื่องราวของแอตแลนติส ให้กับโซลอนเพื่อนนักปราชญ์ผู้มีชื่อเสียงอีกคนหนึ่งของเขาฟัง และนั่นจึงทำให้ตัวของเพลโตเองไม่สามารถที่จะระบุสถานที่ตั้งจริง ๆ ของมันได้ นอกจากบอกเอาไว้เพียงแค่เรื่องเล่าที่เขาได้รับฟังมานั้นมันเป็นเรื่องจริง


"เพลโต (Plato)" อ้างว่าแอตแลนติสมีอยู่จริง

วัตถุประสงค์ในการบอกเล่าเรื่องราวนี้ เพลโตก็เน้นย้ำด้วยข้อความที่อ้างอิงไปในด้านศีลธรรม ซึ่งก็เรียกได้ว่ามันเป็นวิธีการที่เขานิยมใช้ในการเพิ่มน้ำหนักของเรื่องราวต่าง ๆ และในความเป็นจริงที่เคยเกิดขึ้นกับชาวกรีกเมื่อ 9,000 ปีก่อนนั้น ก็ไม่มีบันทึกอื่นใดระบุว่าเคยมีการสู้รบระหว่างกรุงเอเธนกับแอตแลนตีสมาก่อน

นั่นจึงทำให้มีการถกเถียงในยุคปัจจุบันว่า เพลโตนั้นอาจกำลังยืนยันในสิ่งที่ไม่เคยมีอยู่ก็เป็นได้ ซึ่งจากบันทึกนั้นบอกว่า เพลโตมักจะอ้างถึงสถานที่ที่เรียกว่าแอตแลนติสอยู่ในเอกสารงานเขียนเกี่ยวกับการสู้รบของเขาอยู่เสมอ


แต่ถ้าจะมองกันให้ละเอียดกว่านี้ เรามาลองฟังข้อความที่เพลโตได้บันทึกเอาไว้ ข้อความจากปากคำของโซลอน ที่เพลโตอ้างว่าเพื่อนของเขาคนนี้ ได้ฟังเรื่องราวของแอตแลนติสมาจากนักบวชชาวอียิปต์ท่านหนึ่ง แล้วมาเล่าให้เขาฟังอีกทีว่า...


มีเรื่องราวอันยิ่งใหญ่และน่าอัศจรรย์ใจมากมาย ที่เกิดขึ้นบนแผ่นดินของท่านในประวัติศาสตร์ของเรา ซึ่งหนึ่งในสิ่งที่ว่านั้นมันหลงเหลือเอาไว้เพียงความยิ่งใหญ่และกล้าหาญ
ซึ่งประวัติศาสตร์ในส่วนนี้ระบุว่า พลังอำนาจอันยิ่งใหญ่นั้นก็คือใบเบิกทาง เพื่อให้การเดินทางอันยิ่งใหญ่สามารถดำเนินต่อไปได้อย่างรวดเร็ว ไม่ว่าจะที่ยุโรปและเอเชียทะลุข้ามขีดจำกัดของดินแดนแผ่นภิพบอันยิ่งใหญ่แห่งนี้


มันคือพลังอำนาจที่ถูกส่งมาจากมหาสมุทรแอตแลนติค ที่ในทุกวันนี้พวกเราใช้มันเป็นเส้นทางเดินเรือ และมีเกาะแห่งหนึ่งตั้งอยู่ทางด้านหน้าของช่องแคบที่ท่านเรียกมันว่า "เสาหลักแห่งเฮอคิวลิส"
เกาะที่ว่านี้มีขนาดใหญ่กว่าลิเบียรวมกับทวีปเอเชียเข้าด้วยกัน มันคือจุดเชื่อมต่อสำหรับเดินทางไปยังเกาะแห่งอื่น และจากที่นี่ท่านสามารถเดินทางข้ามผ่านไปยังทวีปที่อยู่อีกด้านหนึ่งของโลก มันมีช่องแคบเฮอคิวลิสที่อยู่ตรงหน้าคือทางออก นอกนั้นก็คือทะเลที่ล้อมรอบเกาะ ที่สามารถเรียกได้ว่ามันคือดินแดนอันกว้างใหญ่ไร้ขอบเขต


ในตอนนี้เกาะแห่งแอตแลนติสก็คือ อาณาจักรอันยิ่งใหญ่ที่สามารถปกครองทุกเกาะแก่งที่เรียงรายอยู่โดยรอบ และเหนือจากแผ่นดินแห่งนี้ และไกลออกไปกว่านั้นชาวแอตแลนติสก็ได้ครอบครองดินแดนของลิเบีย ไปตลอดแนวของเฮอคิวลีสจนถึงอียิปต์ จากยุโรปไปจนถึงไทเรนเนีย

Unknown Source
อำนาจอันยิ่งใหญ่ในการรวมอาณาจักรของพวกเขา ก็ยังเคยได้พยายามบุกเข้ามายึดประเทศของเราและของท่าน รวมไปถึงดินแดนที่อยู่ในบริเวณช่องแคบทั้งหมด โซลอนท่านรู้บ้างไหม ในเวลาต่อมาประเทศของท่านนั้นช่างเจิดจรัส ด้วยความปราดเปรื่องของเทพธิดาแห่งศีลธรรมและความแข็งแกร่ง อีกทั้งความเป็นผู้นำอันสง่างามของชาวเฮลเลนส์...
และเมื่อความหลุดพ้นได้ถูกส่งมา หลังจากที่ผ่านช่วงเวลาอันตรายถึงที่สุดไปแล้ว ไม่ว่าจะเป็นชัยชนะหรือความพ่ายแพ้ ทั้งการก่อจราจลจากพวกทาสที่ยังไม่อาจปราบปราม มันก็ทำให้เราสามารถหลุดพ้นจากผู้รุกรานมาได้จนถึงในกาลนี้ - (Timaeus)


ซึ่งมิติที่ 6 ก็ต้องขออภัย ถ้าหากข้อความที่ถูกนำมาเสนอนี้จะฟังแล้วเข้าใจยากกันสักนิด เพราะต้นฉบับนั้นใช้ภาษาเขียนอลังการสุดจินตนาการ ซึ่งก็ต้องขอสรุปกันง่าย ๆ ว่า เรื่องที่เพิ่งถูกเล่าไปนั้น มันคือความทรงจำเกี่ยวกับมหาสงคราม ที่ชาวเอเธนต้องเผชิญหน้ากับอาณาจักเปอร์เซียอันยิ่งใหญ่ ในช่วงยุค 5 ปี ก่อนคริสต์ศตวรรษ


ส่วนการต่อสู้กับชาวแอตแลนติส ที่ถูกอ้างว่าเข้ามารุกรานเอเธนนั้น ก็น่าจะเกิดขึ้นในช่วง 8,000 ถึง 9,000 ปีก่อนคริสตกาล


ซึ่งนักประวัติศาสตร์เองก็ยังไม่ค่อยทราบเช่นกันว่า เรื่องราวเกี่ยวกับเมืองเอเธนในยุค 9,000 ปีก่อนคริสตกาลนั้น มันเคยเป็นเมืองขึ้นหรือปกครองตัวเองกันมาตั้งแต่แรก ซึ่งข้อเท็จจริงนี้ผู้ที่สนใจงานเขียนของเพลโตส่วนหนึ่งก็ไม่ทราบมาก่อน โดยสาเหตุนั้นก็อาจมาจากพวกเขาไม่เข้าใจว่า เพลโตนั้นไม่ได้ถ่ายทอดเรื่องราวประวัติศาสตร์ที่เคยเกิดขึ้นจริงไปเสียทุกเรื่อง !


นั่นจึงเป็นสาเหตุทำให้หลายคนเชื่อว่าในประวัติศาสตร์ของกรีกนั้น เคยมีเรื่องราวเกี่ยวกับแอตแลนติสเข้ามาเกี่ยวข้อง และเข้าใจว่ามันเคยมีประเทศแอตแลนติสอยู่จริง ๆ ตามที่พวกเขาได้อ่านกันมาแน่ ๆ
อีกทั้งยังมีหนังสืออีกเล่มที่เขียนโดย ไฮน์ริช ชลีแมน ที่ได้เล่าถึงเมืองทรอยในตำนานงานเขียนโบราณว่า ทรอยนั้นไม่ใช่เมืองในจินตนาการ แต่มันมีอยู่จริง ๆ

ไฮน์ริช ชลีแมน (Heinrich Schriman)
"ทรอยนั้นไม่ใช่เมืองในจินตนาการ... แต่มันมีอยู่จริง !"
ก็ยิ่งทำให้เรื่องราวของเพลโตเกี่ยวกับแอตแลนติสนั้น ยิ่งดูมีน้ำหนักมากพอที่จะเชื่อว่า มันน่าจะเคยมีประเทศนี้อยู่จริงเช่นกัน โดยมองข้ามวัตถุประสงค์ที่แท้จริงที่ทำให้เพลโตเขียนเรื่องราวของแอตแลนติสลงในหนังสือของเขาว่า...
สิ่งที่เขาต้องการถ่ายทอดนั้นคือเรื่องของคุณธรรม ไม่ใช่เรื่องการมีอยู่ของแอตแลนติสเป็นแกนหลัก ดังเช่นที่เคยมีผู้คนสนใจกันว่า กษัตริย์พระองค์แรกของเมืองเอเธนนั้นคือเซครอพส์ ผู้ที่มีท่อนบนเป็นคน ท่อนล่างเป็นงู และเชื่อกันว่านั่นคือหลักฐานบ่งชี้ว่าเทพโพไซดอนนั้นเคยมีอยู่จริง ทั้ง ๆ ที่ข้อเท็จจริงนั้น ทุกอย่างเป็นงานเขียนจากจินตนาการของคนโบราณทั้งสิ้น
1669 map by Athanasius Kircher. Map has south at the top.
นั่นจึงเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้มีนักผจญภัยบางกลุ่มเริ่มตั้งทฤษฎีกันว่า สถานที่ในตำนานอย่างแอตแลนติสนั้น น่าจะอยู่ตรงกลางของมหาสมุทรแอตแลนติค อาจจะเป็นเกาะคิวบาไม่ก็แอนดิสเรื่อยไปอีกหลายแห่ง
บางคนเชื่อว่า เกาะเธร่า ก็คือแอตแลนติส ซึ่งเกาะเธร่านั้นคือเกาะภูเขาไฟของกรีก ที่อยู่ในแถบทะเลอีเจียน ตั้งอยู่ตรงกลางระหว่างประเทศกรีกกับตุรกี และเคยระเบิดครั้งใหญ่ไปเมื่อ ค.ศ. 1625 ปีก่อนคริสตกาล จนต่อมามันถึงได้เป็นแหล่งวัฒนธรรมของชาวมิโนน แห่งเกาะครีตของกรีกในปัจจุบัน

"เกาะเธร่า" ถูกอ้างว่าเคยเป็นแอตแลนติส
มีผู้คนมากมายยืนยันว่า แอตแลนติสไม่ได้เป็นแค่ทวีปที่สูญหายไป แต่มันเป็นมหาอาณาจักรอันยิ่งใหญ่ที่สาปสูญ และเชื่อกันว่าจริง ๆ แล้ว ชาวแอตแลนติสนั้นเป็นมนุษย์ต่างดาว ที่ตัดสินใจทำลายตัวเองด้วยระเบิดนิวเคลียร์ ไม่ก็อาวุธอะไรสักอย่างที่อานุภาพสูงกว่านั้น และยืนยันว่าแอตแลนติสนั้นคือสถานที่ที่เต็มไปด้วยประชากรผู้ทรงปัญญา มีเทคโนโลยีก้าวล้ำเหนือประเทศใด ๆ ในโลกยุคโบราณ


ซึ่งก็มี เลวิส สเปนซ์ นักมายาวิทยาของประเทศสก็อตแลน ได้ใช้แนวคิดที่ว่านี้ร่วมกับแนวทางวิทยาศาสตร์ สรุปว่าภาพเขียนบนผนังถ้ำโครแม็กนอนในอิตาลีนั้น จริง ๆ แล้วมันถูกเขียนโดยชาวแอตแลนติสผู้พลัดถิ่นนั่นเอง

เลวิส สเปนซ์ (Lewis Spence)
"ภาพเขียนบนผนังถ้ำโครแม็กนอนในอิตาลี เขียนโดยชาวแอตแลนติส !"
เฮเลน่า บลาวัตสกี้ กับนักเทวปรัชญาอีกกลุ่มที่มีชีวิตอยู่ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 19 นั้น ได้สร้างแนวคิดขึ้นมาว่า ชาวแอตแลนติสก็คือผู้คิดค้นเครื่องบินและวัตถุระเบิด ไปจนถึงนำข้าวสาลีไปปลูกกันที่นอกโลก

เฮเลน่า บลาวัตสกี้
"ชาวแอตแลนติสคือผู้คิดค้นเครื่องบิน วัตถุระเบิด ไปจนถึงนำข้าวสาลีไปปลูกนอกโลก !"
นักเทวนิยมอีกกลุ่มร่วมกับ เจมส์ เชิร์คเวิร์ด ก็ได้สร้างนิยามของชาวมิวกับทวีปที่สูญหายไปกลางมหาสมุทรแปซิฟิกขึ้นมาอีกเรื่อง

"เจมส์ เชิร์คเวิร์ด" กับนิยามใหม่ของชาวมิว


นักพลังจิตบำบัดชื่อ เอ็ดการ์ เคย์ซี ก็ยืนยันว่าเขาได้ใช้พลังจิตในการหยั่งรู้ทะลุทะลวงเข้าไปอ่านตำราการรักษาจากชาวแอตแลนติส และนำมันมาใช้ร่วมกับวิชาการบำบัตด้วยพลังจิตของเขา

"เอ็ดการ์ เคย์ซี" อ้างว่าใช้พลังจิตเข้าไปอ่านตำราแพทย์ของแอตแลนติส


จูดี ซีบรา ไนท์ หรือเจซี ไนท์ ก็ได้ยืนยันว่า แรมธาซึ่งเป็นชื่อเรียกของพลังจิตจากวิญญาณของเธอนั้น มันก็คือสิ่งที่เธอได้มาจากแอตแลนติสนั่นเอง

"เจซี ไนท์" อ้างว่าได้พลังวิเศษมาจากแอตแลนติส !


ในหนังสือของ อิกเนเทียส ดอนเนลลี่ ที่ถูกตีพิมพ์ไว้เมื่อปี ค.ศ. 1882 ระบุว่าเขาไม่สนใจตำนานของนักปราชญ์เพลโตแต่อย่างใด นั่นจึงทำให้เขานำตำนานที่ถูกบันทึกอยู่ในพระคัมภีร์ไบเบิล ที่กล่าวถึงโนอาห์กับน้ำท่วมโลกครั้งใหญ่มาอธิบายว่า...
มันคือสาเหตุที่ทำให้แอตแลนติสจมลงไปกลางมหาสมุทรแอตแลนติคเสียมากกว่า และในช่วงระหว่างน้ำท่วมใหญ่ก่อนหน้าที่มันจะหายไปนั้น ชาวแอตแลนติสก็ได้เป็นผู้ให้ความรู้แก่ชาวอียิปต์โบราณ ไปจนถึงชาวมายา รวมไปถึงกลุ่มชาติพันธุ์อารยัน ที่มีดวงตาสีฟ้าและผมแดงแห่งประเทศไอร์แลนด์อีกด้วย

Ignatius Donnelly
ดอนเนลลี่ ปฏิเสธเรื่องแอตแลนติส...
"เรื่องโนอาห์กับน้ำท่วมโลก คือสาเหตุทำให้แอตแลนติสจมลงในมหาสมุทรแอตแลนติค !"

"เรือโนอาห์ (Noah's Ark)" หนีน้ำท่วมโลกในพระคัมภีร์ไบเบิล
โดยทฤษฎีของดอนเนลลี่เหล่านี้ ก็ได้ทำให้ในเวลาต่อมามีการพูดถึงเกี่ยวกับสถานที่ตั้งของแอตแลนติส ว่ามันคือผืนแผ่นดินใหญ่ที่ตั้งอยู่กลางมหาสมุทรแอตแลนติค และจมหายไปใต้ท้องทะเลอย่างไร้ร่องรอย จากปรากฏการณ์แผ่นเปลือกโลกเคลื่อนตัว ในช่วงปลายยุคปี ค.ศ. 1960

ซึ่งที่เราเล่าไปทั้งหมดนั้น ก็เรียกได้ว่าเป็นเชื้อเพลิงแห่งจินตนาการของแต่ละบุคคล ไม่ว่าจะเป็นแนวคิดของเฮเลน่า บลาวัตสกี้, รูดอล์ฟ สเตนเนอร์, เจมส์ เชิร์คเวิร์ด, เอ็ดการ์ เคซี และเกรแฮม แฮนค็อก ที่ต่างก็ถูกนำเอาไปใช้เป็นแนวทางในการเขียนบทภาพยนตร์ในปี ค.ศ. 2009 ชื่อเรื่องนั้นก็คือเรื่อง ค.ศ. 2012 กำกับโดยโรแลนด์ เอ็มเมอริช

"รูดอล์ฟ สเตนเนอร์" และภาพยนตร์เรื่อง "2012"


ด้วยความโด่งดังของตำนานแอตแลนติสตามที่ได้ยกมา มันก็ได้ทำให้มีนักเขียนชื่อดังในสมัยนั้นอย่างเช่น นักเขียนชาวไอริชชื่อ จอห์น วิคเตอร์ ลูซ ได้นำข้อมูลมาใช้เป็นพล็อตในหนังสือปี ค.ศ. 1970 ของเขาชื่อว่า "The End of Atlantis"

 "จอห์น วิคเตอร์ ลูซ" กับหนังสือของเขา


ชาร์ล เบอร์ลิซ นักเขียนที่โด่งดังจากหนังสือเรื่องสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า ก็ได้เขียนหนังสือเกี่ยวกับแอตแลนติสและน้ำท่วมโลก ให้ผูกพันธ์กับเรือโนอาห์ในพระคัมภีร์ไบเบิลในหนังสือปี ค.ศ. 1981 ชื่อ "Doomsday, 1999 A.D." ที่วางจำหน่ายพร้อมกับหนังสือแผนที่ฉบับสมบูรณ์ของแอตแลนติส วาดโดย J. Manson Valentine ซึ่งก็เป็นนักเขียนแนวตำนานลึกลับที่มีดีกรีระดับด็อกเตอร์

"ชาร์ล เบอร์ลิซ" นักเขียนหนังสือแนวลึกลับ
เกรแฮม แฮนคอก ก็เป็นอีกท่านที่นำเรื่องราวของแอตแลนติสมานำเสนอในแนวทางที่ต่างออกไป เกี่ยวกับด้านของตำนานชนเผ่าโบราณ ซึ่งทฤษฎีของเขานั้นนักวิทยาศาสตร์สายหลักรวมไปถึง BBC เอง ก็ได้ออกมาบอกว่า แนวคิดของเกรแฮมนั้นน่าจะเกิดจากความคิดมากของเขาเสียส่วนใหญ่

"เกรแฮม แฮนคอก" ออกมานำเสนออีกแนวคิด


แนวคิดอันแตกต่างอย่างสุดโต่งของกลุ่มนักโบราณคดีสายเหนือ ที่เรากำลังหมายถึงเหนือความคาดเดาได้นั้น ก็คือนักโบราณคดีสายแอนเชียนเอเลี่ยน หรือสายมนุษย์ต่างดาวโบราณ พวกเขาบอกว่าแท้ที่จริงแล้วชาวแอตแลนติสนั้นก็คือ ผู้ถ่ายทอดวิทยาการทุกอย่างให้กับชาวอียิปต์ รวมไปถึงชนชาติแถบเมโสอเมริกา ชาวแอตแลนติสสอนให้พวกเขาสร้างพีรามิด สอนให้รู้จักเขียนหนังสือและอื่น ๆ อีกมากมาย โดยหนึ่งในผู้ที่บอกเราเรื่องนี้ก็คือ อีริค เอนตัน พอล วอน เดนิเกน เขาคือผู้อยู่เบื้องหลังรายการสารคดีชื่อดังอย่างแอนเชียนเอเลี่ยน

อีริค วอน เดนิเกน (Erich von Däniken)
"ชาวแอตแลนติส คือผู้ถ่ายทอดวิทยาการให้กับชาวอียิปต์ รวมไปถึงชนชาติแถบเมโสอเมริกา !"
หนังสือ "Chariots of the Gods" ของ วิลเลี่ยม ดูฟริส บอกว่าชาวแอตแลนติสนั้นก็คือพวกมนุษย์ต่างดาว ซึ่งนั่นก็รวมไปถึงแหล่งอารยธรรมโบราณอันรุ่งเรืองในที่ต่าง ๆ มากมายทั่วโลก ก็ล้วนได้รับการสนับหนุนของพวกเอเลี่ยน พวกเขานำเทคโนโลยีใหม่ ๆ มาสอนให้กับมนุษย์ยุคโบราณกันทั้งนั้น

หนังสือของวิลเลี่ยม ดูฟริส อ้างว่า
 "ชาวแอตแลนติส คือมนุษย์ต่างดาว"

เขาบอกว่าชาวอียิปต์โบราณไม่มีทางที่จะออกแบบสร้างพีรามิดได้ ชาวมายาเองก็ไม่มีทางทำได้เช่นกัน และได้นำเสนอถึงจุดประสงค์ในการสร้างพีรามิดในทิศทางที่ต่างออกไป เขาบอกว่ามันไม่ได้ถูกสร้างขึ้นเพื่อฝังศพของใคร โดยยกเอาประเพณีของชาวมายา ที่อยู่ในเมโสอเมริกามาอ้างว่า...

จริง ๆ แล้วพวกเขาสร้างมันขึ้นมาเพื่อใช้บอกเส้นทางในการลงจอดของยานอวกาศ ซึ่งอันนี้ก็ต้องลองคิดตามกันให้ดีว่า ถ้าชาวอียิปต์ได้รับการสั่งสอนเทคโนโลยีออกแบบพีรามิด มาจากมนุษต่างดาวกันจริง ๆ แล้ว ทำไมในปัจจุบันเรายังเห็นซากของพีรามิดรุ่นเก่า ที่ถูกทิ้งเอาไว้เพราะความล้มเหลวในการออกแบบหรืออะไรสักอย่าง
นั่นหมายความว่าชาวอียิปต์ผ่านการลองผิดลองถูกในการสร้างสถาปัตยกรรมของพวกเขามาอย่างยาวนาน ไม่ได้มาจากการสอนสั่งของเอเลี่ยนที่ไหน หรือแม้แต่ชาวแอตแลนติสเองด้วยซ้ำ จริง ๆ แล้ว ชาวอียิปต์ใช้มันสมองของพวกเขา ค่อย ๆ พัฒนาพีรามิดจากรูปแบบขั้นบันได้ จนกลายมาเป็นรูปทรงพีรามิดอย่างที่เราเห็นทุกวันนี้ต่างหาก และมันก็คือความจริงเหนือทฤษฎีว่าใครสอนพวกเขามา


นั่นจึงทำให้เราสรุปได้ว่า ชาวอียิปต์โบราณคือผู้สร้างพีรามิดด้วยตัวของพวกเขาเอง เพราะถ้าเป็นฝีมือของเอเลี่ยนหรือชาวแอตแลนติสจริง ๆ ทำไมพวกเขาถึงสอนให้ชาวอียิปต์และชาวมายา สร้างพีรามิดขึ้นมาด้วยวัตถุประสงค์ที่แตกต่างกัน ? เพราะชาวอียิปต์โบราณนั้นสร้างพีรามิดขึ้นมาเพื่อฝังพระศพฟาโรห์ ส่วนชาวมายาก็สร้างพีรามิดของเขาขึ้นมาเพื่อใช้ประกอบพิธีกรรม และทำไมรูปร่างที่ถึงแม้จะคล้ายกัน แต่ในรายละเอียดการก่อสร้างกลับไม่ได้มีอะไรเหมือนกันเลย เพราะภายในพีรามิดของชาวอียิปต์นั้น มีทั้งทางลับและห้องหับต่าง ๆ มากมาย ในขณะที่ของชาวมายานั้น เป็นเพียงแท่นสูงขึ้นไปเพื่อใช้ทำพิธี ไม่มีหลุมศพใครถูกฝังอยู่ข้างใต้นั้น
จุดสำคัญที่ทำให้เรารู้ว่าทฤษฎีที่กล่าวอ้างว่ามนุษย์ต่างดาวโบราณก็คือชาวแอตแลนติส ที่วอน ดานิเกน พยายามบอกเราผ่านรายการของเขานั้น มันเป็นเพียงข้อกล่าวอ้างทางทฤษฎีที่ผิดจากสิ่งที่เพลโตบันทึกเอาไว้ด้วย
นั่นก็คือวอน ดานิเกนเชื่อว่าชาวแอตแลนติสเป็นเอเลี่ยนผู้ใจดี คอยสั่งสอนเทคโนโลยีให้กับชาวอียิปต์และมายามากมาย แต่ในบันทึกของเพลโตนั้นกลับบอกเราว่า ชาวแอตแลนติสคือชนชาติผู้เย่อหยิ่ง และโหดร้ายชอบทำสงคราม ไปจนถึงรวบรวมอาณาจักรน้อยใหญ่ ให้มาเป็นเมืองขึ้นมากมายเพื่อความยิ่งใหญ่ของพวกเขา


แต่ถึงเราจะบอกแบบนั้น ในปัจจุบันก็มีนักโบราณคดีมากมายพยายามค้นหาแอตแลนติสอย่างไม่ลดละ ซึ่งผลที่ได้ก็ยังไม่สามารถยืนยันได้ชัดเจน ว่าเคยมีทวีปหรือประเทศแอตแลนติสอยู่จริง เพราะในปัจจุบันเองก็มีนักโบราณคดียืนยันว่า ตัวเองพบแอตแลนติสของจริงกันแล้วหลายท่าน ซึ่งแต่ละท่านที่พบนั้นก็ล้วนระบุที่ตั้งของมันเอาไว้ต่างกันอย่างสิ้นเชิง


แม้เรื่องราวของแอตแลนติสยังไม่มีความชัดเจน ไม่มีหลักฐานใด ๆ ที่สามารถชี้ชัดได้ว่าที่ไหนมันใช่ ! แต่มันก็ยังคงมีมนต์เสน่ห์อันน่าหลงไหล ที่จะทำให้พวกเขาค้นหากันต่อไป ซึ่งเราก็ต้องรอดูกันว่าเมื่อไหร่ พวกเขาจะสามารถยืนยันได้ชัดเจนว่าแอตแลนติสเคยมีอยู่บนโลกนี้จริง ๆ
หลังจากจบรายการมิติที่ 6 แล้ว อย่าลืมกดสับสไครป์ กดไลก์ กดแชร์ และอย่าลืมทิ้งคอมเมนต์กันไว้ด้วยนะครับ ยังมีเรื่องราวต่าง ๆ อีกมากมายรอคุณอยู่ สำหรับวันนี้... สวัสดี !


เรียบเรียงและบรรยายโดย นิวัฒน์ อ่ำแสง

แท็ก: แอตแลนติส, Atlantis

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

ประกาศ

เพื่อเป็นกำลังใจเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้กับเรา ขอความร่วมมือจากผู้ที่นำเรื่องราวจากมิติที่ 6 ไปใช้ในที่ของท่าน กรุณาลงเครดิตกลับมาที่เราจะเป็นพระคุณอย่างสูงครับ