19 มกราคม 2561

มิติที่ 6 ไขปริศนางานวิจัยตัดเส้นประสาททั้งหมด เพื่อให้มองเห็นในสิ่งที่มองไม่เห็น !!!



วันที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560 เว็บไซต์ Spokedark.tv ได้เผยแพร่บทความน่ากลัวเรื่องหนึ่ง ตั้งหัวข้อของเรื่องเอาไว้ว่า

พูดถึงเรื่องราวการทดลองอันน่าเหลือเชื่อ ที่ทำให้มีท่านผู้ชมสอบถามกับมิติที่ 6 ผ่านทางช่องทางต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นข้อความในแฟนเพจมิติที่ 6 บนเฟสบุค ไปจนถึงบนความเห็นใต้คลิปของเราว่าเรื่องราวนี้มันคืออะไร ? มันใช่เรื่องจริงหรือไม่ ?




มิติที่ 6 ศุกร์สยองขวัญ กับเรื่องราวเบา ๆ ในวันศุกร์สะดวกสัปดาห์นี้ เราจะเล่าเรื่องราวของงานวิจัยปริศนาชิ้นนี้ ความพยายามในการติดต่อกับพระเจ้า ของเหล่านักวิทยาศาตร์ผู้ยึดมั่นในศาสนาของพวกเขา ว่าแท้ที่จริงแล้ว... มันคืออะไรกันแน่ !?



โดยเรื่องราวนั้นมีอยู่ว่า...
Gateway


ในปี ค.ศ. 1983 มีกลุ่มนักวิทยาศาสตร์ที่เชื่อมั่นเกี่ยวกับการมีอยู่ของพระเจ้าอย่างมากกลุ่มหนึ่ง ได้ทำการทดลองอะไรบางอย่าง อยู่ภายในสถานที่ ๆ ไม่อาจเปิดเผยได้ เหล่านักวิทยาศาสตร์กลุ่มนี้ได้ตั้งข้อสันนิษฐานว่า มนุษย์เรานั้นหากปราศจากการรับรู้สัมผัสทุกด้านแล้ว คน ๆ นั้นจะสามารถรับรู้ถึงการมีอยู่ของพระเจ้าได้


พวกเขาเชื่อว่าประสาทสัมผัสทั้งห้านั้น ก็คือสิ่งที่ครอบงำการเข้าถึงอันนิรันดร์ ซึ่งถ้าหากละทิ้งมันไปได้ มันก็จะสามารถทำให้มนุษย์สามารถติดต่อกับพระเจ้าผ่านทางการนึกคิด ซึ่งก็มีชายชราคนหนึ่งที่ยืนยันว่าตัวของเขานั้น หมดสิ้นแล้วกับเหตุผลที่จะต้องมีชีวิตต่อไป ได้เข้ามาเป็นอาสาสมัครในการทดลองนี้เพียงคนเดียว


โดยการลบล้างสัมผัสทั้งหมดของชายคนนี้ นักวิทยาศาสตร์จะต้องปฎิบัติการผ่าตัดอันซับซ้อน ให้กับเส้นประสาทสัมผัสทุก ๆ ส่วนที่ติดต่อกับสมอง โดยปฏิบัติการนี้จะเกิดผลกระทบกับระบบการควบคุมกล้ามเนื้อทุกส่วน เขาจะไม่สามารถมองเห็น ได้ยิน สัมผัสรสชาติ กลิ่น แม้แต่ความรู้สึก และด้วยความที่มันเป็นไปไม่ได้ที่จะสื่อสารหรือใช้ประสาทสัมผัส เขาจึงได้อยู่เพียงลำพังกับความคิดของตัวเองเท่านั้น


นั่นจึงทำให้นักวิทยาศาสตร์ต้องเฝ้ามองพฤติกรรม และคอยฟังเสียงพูด ที่เขาจะต้องเป็นผู้ตะโกนออกมาเอง ซึ่งนั่นก็จะเป็นตอนที่สมองของเขากำลังสับสน และประโยคต่าง ๆ ที่เขาพูดออกมาก็จะฟังดูผิดไปจากการพูดปกติ เพราะตัวเขาเองไม่สามารถได้ยินนั่นเอง จนเวลาผ่านไป 4 วัน ชายคนนี้ก็เริ่มพูดว่าเขาได้ยินเสียง ทั้ง ๆ ที่เขาไม่ควรจะได้ยินอะไร มันเป็นเสียงที่เขาเองก็ไม่สามารถฟังเข้าใจได้ ซึ่งบางทีมันอาจจะเป็นอาการเริ่มต้นของคนกำลังจะเป็นโรคจิต โดยเหล่านักวิทยาศาสร์เองก็ดูเหมือนยังจะไม่ให้ความสำคัญกับสิ่งที่ชายคนนี้บอก


อีกสองวันต่อมาชายคนนี้ก็เริ่มร้องไห้ และบอกว่าเขาสามารถได้ยินเสียงของภรรยาที่ตายไปแล้ว กำลังพูดให้เขาได้ยินอยู่ในหัว และนอกจากนี้เขาเองก็ยังสามารถตอบโต้กับเธอได้ด้วย นั่นจึงทำให้พวกนักวิทยาศาสตร์รู้สึกแปลกใจกับคำบอกเล่านี้ เพียงแต่พวกเขาก็ยังไม่ได้เชื่ออะไร จนกระทั่งหัวข้อการพูดคุย เริ่มมีการเอ่ยชื่อเหล่าญาติ ๆ ของนักวิทยาศาสตร์ที่ตายไปแล้ว ซึ่งชายคนนี้ได้บอกรายละเอียดต่าง ๆ ออกมาซ้ำแล้วซ้ำเล่า อย่างเช่นข้อมูลที่มีเฉพาะคนรัก หรือพ่อแม่ของพวกเขาที่ตายไปแล้วเท่านั้นที่จะรู้ ซึ่งพอมาถึงตรงนี้มันก็ส่งผลทำให้นักวิทยาศตร์ส่วนใหญ่ เริ่มตัดสินใจขอถอนตัวออกจากการศึกษาไป
หลังจากสัปดาห์แรกของการสนทนากับกลุ่มคนตายผ่านทางความคิด ทุกอย่างก็เริ่มเปลี่ยนไปในทางลบ เขาบอกว่าตอนนี้เสียงที่ดังขึ้นมามันเริ่มจะมากจนเกินไป โดยในชวงเวลาที่กำลังตื่นอยู่นั้น จิตสำนึกของเขาก็ถูกถล่มอย่างหนัก โดยเสียงของคนมากมายที่ไม่ยอมให้เขาได้สงบใจในสภาพไร้ทุกสิ่ง เขาร้องขอยากล่อมประสาท จากเหล่านักวิทยาศาสตร์ที่เหลืออยู่ ซึ่งมันก็ทำให้เขาสามารถ หนีไปจากเสียงพวกนั้นได้ด้วยการนอน ซึ่งวิธีนี้มันก็ได้ผลอยู่สามวันเท่านั้น เพราะตอนนี้เขาก็เริ่มได้พบกับความน่าสพรึงกลัวในเวลาที่หลับด้วย และตอนนี้หัวข้อที่เขาพูดอยู่ซ้ำ ๆ ก็คือ เขาสามารถมองเห็นและได้ยินเสียงของคนตายในความฝันแล้ว


และในวันต่อมาหัวข้อการศึกษามาอยู่ตรงที่ชายคนนี้เริ่มกรีดร้อง และใช้เล็บข่วนไปที่ดวงตาอันบอดสนิทของเขา ราวกับอยากจะกลับมามองเห็นโลกจริง ๆ กันอีกครั้ง ในส่วนทางด้านจิตใจเขาบอกว่าได้ยินเสียงคนตายเริ่มส่งเสียงดังและดูไม่เป็นมิตร พูดจาออกมาแต่เรื่องราวของนรกและจุดจบของโลก และมีอยู่จุดหนึ่ง ชายคนนี้ตะโกนว่า
“ไม่มีสวรรค์ ! ไม่มีการให้อภัย !!!”
ติดต่อกันยาวนานถึง 5 ชั่วโมง ตามด้วยการร้องขอความตายให้กับตัวเอง ซึ่งสิ่งเหล่านี้มันก็ได้ทำให้พวกนักวิทยาศาสตร์เชื่อว่า ชายคนนี้กำลังจะสามารถติดต่อกับพระเจ้าได้แล้ว


ในวันต่อ ๆ มาคำพูดทุก ๆ อย่างก็ไม่สามารถจะฟังเข้าใจได้อีกต่อไป ตอนนี้เขาดูเหมือนคนบ้า เขาเริ่มกัดแขนแล้วดื่มเลือดตัวเอง นั่นจึงทำให้พวกนักวิทยาศาสตร์ต้องรีบวิ่งเข้าไปยังห้องทดลอง รีบจับตัวเขามัดติดกับโต๊ะ นั่นจึงทำให้เขาไม่สามารถฆ่าตัวตายได้อีกต่อไป
จนเวลาผ่านไปประมาณสองชั่วโมง เขาก็ได้รับการแก้เชือกที่มัดออก ไม่มีการอาละวาดอะไรอีกต่อไป เขากลับมานั่งเฉย ๆ อยู่ในห้อง ที่ใบหน้ามีน้ำตาไหลอาบไปทั่ว และในที่สุดเขาก็หันศีรษะกลับมามอง ทั้ง ๆ ที่สายตาของเขาบอดสนิทไปแล้วแบบนั้น แต่ตอนนี้สายตาของเขากลับจ้องมองไปที่นักวิทยาศาสตร์ ราวกับว่าเขายังคงมองเห็นเป็นปกติเหมือนช่วงวันแรกของการทดลอง แล้วเขาก็พูดขึ้นมาด้วยเสียงแผ่วเบาว่า
“ผมได้คุยกับพระเจ้า พระองค์ทิ้งพวกเราไปแล้ว !”
แล้วสัญญาณชีวิตของเขาก็หยุดลง... ไม่มีอะไรสามารถระบุสาเหตุการเสียชีวิตครั้งนี้ได้


จากการติดตามผลการศึกษา ในปี ค.ศ. 2000 ของดร. จี.เอฟ. จากภาควิชาจิตวิทยาของโรงพยาบาลแห่งหนึ่งในซานฟรานซิสโกรัฐแคลิฟอร์เนีย ระบุผลล่าสุดของการศึกษา "โรคเสื่อมถอยทางด้านการรับรู้" ที่จะนำไปสู่อาการเห็นภาพหลอนของคนตาย เซลสมองและสารเคมีในจุดสำคัญของสมอง คือสาเหตุที่นำไปสู่การสูญเสียสัมผัสในการดมกลิ่น รวมไปถึงสัมผัสอื่น ๆ สาเหตุของโรคไม่สามารถระบุได้
โดยภาพหลอนนั้นถูกพบในกลุ่มผู้ป่วยถึง 39.8% ที่ต้องตกอยู่ในอาการสามประเภทดังนี้
  1. รู้สึกถึงการปรากฏตัวของบุคคลที่จากไป
  2. รู้สึกว่ามีคนยืนอยู่ข้าง ๆ ซึ่งถือเป็นปกติของสัตว์โลกทุกชนิด
  3. มองเห็นภาพลวงตา

โดยในคนไข้ 25.5% จากที่แยกออกมา จะมองเห็นภาพหลอนอยู่ 22.2% และมีคนไข้เกิดอาการหลอนทางหูอยู่ 9.7 % ซึ่งการศึกษานั้นยังคงดำเนินต่อไปในซานฟรานซิสโก แคลิฟอร์เนีย ตั้งแต่ปี ค.ศ. 2003 ถึงปัจจุบัน


-- จบ --


เกตเวย์ออฟเดอะไมนด์ (Gateway of the Mind) คือเรื่องเล่าสยองขวัญออนไลน์หรือครีบปี้พาสต้า ที่พูดถึงกลุ่มนักวิทยาศาสตร์กลุ่มหนึ่ง ที่พยายามหาทางสื่อสารกับพระเจ้าด้วยการนำชายคนหนึ่งมาทำการทดลอง โดยการผ่าตัดเอาสัมผัสทั้งห้าของของเขาทิ้งไป โดยเชื่อว่ามันเป็นการรบกวนในการติดต่อกับพระเจ้า

จนเวลาผ่านไปชายคนดังกล่าวก็เริ่มพูดกับคนที่ตายไปได้ ก่อนที่จะเริ่มพบกับสภาพความเจ็บปวดทรมาน โดยในตอนจบชายคนนี้ก็บอกกับนักวิทยาศาสตร์ว่าพระเจ้าได้ทอดทิ้งโลกไปแล้ว ก่อนที่จะเสียชีวิตไปในทันที


โดยที่มาของเรื่องนี้ถูกโพสต์ต้นฉบับเอาไว้เมื่อวันที่ 9 สิงหาคม ค.ศ. 2010 บนเว็บไซต์ ครีบปี้พาสต้าวิกิ โดยสมาชิกระดับผู้ดูแลที่ใช้ชื่อว่า StabbyStab ซึ่งตัวเขาเองก็ไม่ได้บอกว่านำเรื่องนี้มาจากไหน และตั้งชื่อเรื่องจากชื่อจากภาพยนตร์เชิงการศึกษาของอเมริกาว่า "Gateways to the Mind" ที่ออกฉายเมื่อช่วงปี ค.ศ. 1958 โดยดัดแปลงเพียงคำว่า ทูเดอะมายน์ มาเป็นคำว่า ออฟเดอะมายน์


กดเพื่อเข้าดูเนื้อเรื่องของ StabbyStab

โดยหลังจากที่เรื่องนี้ถูกโพสต์มาได้ 2 ปี วันที่ 15 กรกฎาคม ค.ศ. 2012 ก็มียูทูปเบอร์ชื่อ creepypaste ได้โพสต์คลิปวิดีโอชื่อ Gateway of the Mind และได้พิมพ์เนื้อเรื่องทั้งหมดเอาไว้ที่ส่วนรายละเอียด โดยเปิดหัวประเด็นเอาไว้ว่า I HAVE SPOKEN TO GOD, AND HE HAS ABANDONED US. ซึ่งมันก็คือประโยคของชายในเรื่องเล่าที่ได้พูดเอาไว้ก่อนที่จะเสียชีวิต ตามด้วยเรื่องราวที่มิติที่ 6 ได้เล่าไปแล้วนั่นเอง

เวอร์ชั่นภาษาอังกฤษ
ซึ่งคลิปนี้สามารถทำยอดผู้เข้าชมมาจนถึงปัจจุบันไปแล้วมากกว่า 185,000 วิวเลยทีเดียว โดยหลังจากการค้นหาว่าคลิปประกอบการเล่าเรื่องของยูทูเบอร์ท่านนี้ ได้นำคลิปของใครมาใช้ประกอบการเล่ากันแน่ เราก็พบว่าแท้ที่จริงแล้วมันคือคลิปการแสดงเชิงศิลปะของ Olivier de Sagazan ศิลปินชาวฝรั่งเศส ในชื่อว่า Transfiguration - performance Olivier de Sagazan เอามาตัดต่อให้เป็นภาพขาวดำโทนมืด ๆ นั่นเอง

เวอร์ชั่นต้นฉบับ


ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ในเวลาต่อมา Gateway of the Mind ได้ขึ้นแท่นเป็นเรื่องยอดฮิตติดอันดับท้อปเท็นของเว็บไซต์ครีปปี้พาสต้าวิกิมาจนถึงทุกวันนี้


ส่วนในประเทศไทยนั้น เว็บไซต์ Spokedark.tv ได้นำเรื่องนี้มาเสนอไว้เมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560 ที่เพิ่งผ่านมา โดยตั้งหัวข้อของเรื่องเอาไว้ว่า...




ซึ่งแม้รายละเอียดจะมีที่แตกต่างกันอยู่บ้าง แต่ใจความโดยรวมแม้แต่ประโยคเด็ด “ผมได้คุยกับพระเจ้า พระองค์ได้ทิ้งพวกเราไปแล้ว !” ก็ตรงกับเรื่องราวที่เรานำมาเล่านี้ และท้ายบทความก็ยังก็ได้นำคลิปชื่อ Portal de la mente ของ VampiroFumador มาใช้ประกอบการเล่าด้วย ซึ่งเรื่องดังกล่าวก็คือเวอร์ชั่นภาษาสเปนนั่นเอง !!!


เวอร์ชั่นภาษาเสปน


นั่นจึงทำให้เราต้องกลับมาพูดวลีเดิม ๆ กันอีกครั้ง ว่าถ้าหากมีใครนำเรื่องราวเกี่ยวกับงานวิจัยปริศนา การตัดเส้นประสาทรับรู้ทั้งหมดเพื่อให้มองเห็นสิ่งที่มองไม่เห็น มาเล่าสู่กันฟังในวงสนทนา มิติที่ 6 ก็อยากจะบอกกับท่านผู้ชมว่า ขอจงอย่าได้ไปทำอะไรที่จะทำให้การเล่านั้นต้องหยุดชะงักไปจะดีเป็นที่สุด นั่นก็เป็นเพราะว่าความจริงนั้น มันช่างไม่มีเสน่ห์... เอาเสียเลย !

"อิอิ"

แล้วอย่าลืมติดตามรายการมิติที่ 6 ศุกร์สยองขวัญ กับเรื่องราวเบา ๆ พร้อมกับที่มาของมันกันได้ทุกวันศุกร์สะดวก และหลังจากจบรายการแล้ว อย่าลืมกดสับสไครป์ กดไลก์ กดแชร์ และอย่าลืมทิ้งคอมเมนต์กันไว้ด้วยนะครับ ยังมีเรื่องราวต่าง ๆ อีกมากมายรอคุณอยู่ สำหรับวันนี้... สวัสดี !


แปลและเรียบเรียงโดย นิวัฒน์ อ่ำแสง
ขอบคุณที่มา:
Creepypasta Wiki - Gateway of the Mind
Youtube - Transfiguration - performance Olivier de Sagazan (ต้นฉบับ)
Youtube - Gateway of the Mind (เวอร์ชั่นภาษาอังกฤษ)
Youtube - Portal de la mente (เวอร์ชั่นภาษาสเปน)

แท็ก: Gateway of the Mind

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

ประกาศ

เพื่อเป็นกำลังใจเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้กับเรา ขอความร่วมมือจากผู้ที่นำเรื่องราวจากมิติที่ 6 ไปใช้ในที่ของท่าน กรุณาลงเครดิตกลับมาที่เราจะเป็นพระคุณอย่างสูงครับ