12 มกราคม 2561

มิติที่ 6 | Enfield Poltergeist ไขปริศนาบ้านผีดุแห่งเอ็นฟิลด์ - ละเอียดที่สุด !!!



มีเสียงแหบ ๆ ของผู้ชายร้องครางออกมาด้วยความเย็นยะเยือก มันดังออกมาจากที่แห่งนั้น มันเป็นการส่งข้อความอันสุดสยองขวัญมาจากสุสาน เพื่ออธิบายให้เห็นภาพชีวิตหลังความตายของเขา


ชมบนยูทูป

มิติที่ 6 ศุกร์สยองขวัญ กับเรื่องราวเบา ๆ ในวันศุกร์สะดวกสัปดาห์นี้ เราจะเล่าเรื่องที่เกิดจริง ! เหตุการณ์ของบ้านผีสุดเฮี้ยนหลังหนึ่ง ซึ่งครั้งนี้เราจะตามรอยไปให้สุดทางกันแบบสุด ๆ ว่าเรื่องนี้... มันคืออะไรกันแน่ !?
“ก่อนที่ฉันจะตาย ฉันมองอะไรไม่เห็น ฉันกระอักเลือดก่อนที่จะสลบลง แล้วฉันก็ตายอยู่บนเก้าอี้ที่มุมข้างบันไดตรงนั้น !”
เสียงที่ฟังดูน่าขนลุกนี้ก็ยังคงได้ยินออกมาจากเทปบันทึกเสียงม้วนเดิม ที่บันทึกเหตุการณ์เมื่อหลายสิบปีก่อน ซึ่งการบันทึกครั้งนั้นเป็นที่รู้กันดีว่ามันถูกบันทึกมาจากบ้านหลังหนึ่ง ที่อยู่ในเมืองเอ็นฟิลด์ทางตอนเหนือของกรุงลอนดอนประเทศอังกฤษ

โดยผู้ที่บันทึกเสียงดังกล่าวนั้นก็คือ บิล วิลกินส์ ที่ได้บันทึกเอาไว้ตั้งแต่เมื่อช่วงปี 70 ก่อนที่เขาจะเสียชีวิตไปในไม่กี่ปีต่อมา
ซึ่งความสยองขวัญที่สุดนั้น ก็คือเสียงนั้นมันดังออกมาจากร่างของเด็กหญิงวัย 11 ปี เธอชื่อ เจเน็ต ฮ็อจสัน ที่ตอนนั้นทุกคนเชื่อว่าเธอถูกผีเข้า โดยมีภาพถ่ายเป็นหลักฐานเก็บเอาไว้ที่ดูไปก็เหมือนกับฉากในภาพยนตร์สยองขวัญเรื่องดิเอ็กซอซิสต์ เพียงแต่ภาพนี้ได้ถูกยืนยันว่ามันเกิดขึ้นมาแล้วจริง ๆ กับเด็กคนนี้

"เจเน็ต ฮ็อจสัน" (ช่วงอายุ 11 ปี) กับเหตุการณ์ที่ดูเหมือนภาพยนตร์ในเรื่อง ดิเอ็กซอซิสท์ !

มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ? ซึ่งเรื่องนี้ก็คือคดีที่ชื่อว่า เอ็นฟิลด์โพลเตอร์ไกสต์ (Enfield Poltergeist) ที่ทำให้ผู้คนในประเทศอังกฤษ ต้องตกตะลึงกันมาแล้วเมื่อ 30 ปีก่อน คดีที่ทำให้ตำรวจต้องถึงกับงง ทั้งนักวิทยาศาสตร์ ผู้เชี่ยวชาญ ไปจนถึงนักข่าวที่เกี่ยวข้อกับเรื่องนี้ ต่างก็ตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกันทั้งสิ้น


มีรายงานว่าข้าวของในบ้านหลังนี้ลอยไปมาในอากาศได้เอง วัตถุบางชิ้นก็ลอยหมุนเคว้งคว้าง บรรยากาศในบริเวณนั้นก็หนาวเย็นผิดปกติ ทั้งลมเย็น ๆ ร่องรอยบาดเจ็บบนร่างกาย ตัวอักษรปริศนา น้ำที่เปี่ยกโชกอยู่บนพื้น และร่องรอยของการเกิดไฟลุกไหม้ขึ้นมาได้เอง ต่างก็เกิดขึ้นภายในบ้านหลังนี้ทั้งสิ้น
บ้านที่เกิดเหตุ กับเหตุการณ์ประหลาดที่เกิดขึ้น

ผ้าที่ลอยได้เอง



มีตำรวจหญิงนายหนึ่งถึงกับต้องลงนามในหนังสือของเธอ เพื่อยืนยันว่าเธอเองก็ได้เห็นเก้าอีกตัวหนึ่งสามารถขยับเองได้ และก็ยังมีพยานกว่า 30 ปาก ที่ร่วมลงนามยืนยันเช่นกันว่า พวกเขาเองก็เคยได้เห็นปรากฏการณ์เหนือคำอธิบายนี้มาแล้วเช่นกัน
เก้าอี้ที่ขยับได้เอง กับคนและของที่ลอยไปมา
ภาพจาก: Graham Morris
และที่สร้างความสับสนมากที่สุดนั้น ก็คือเด็กหญิงที่อยู่ท่ามกลางเหตุการณ์ทั้งหมด ที่่ถ่ายทอดเรื่องราวทุกอย่างให้กับบิล วิลกินส์ ที่ได้เสียชีวิตไปในบ้านของตัวเองเมื่อหลายปีก่อนได้รับฟัง ซึ่งลูกชายของเขาก็ได้ยืนยันกับนักสืบว่า เรื่องราวเหล่านี้เป็นความจริงทั้งหมด !
เหตุการณ์ทั้งหมดเกิดขึ้นเป็นเวลามากกว่าหนึ่งปี ภายใต้หลังบานประตูบ้านแฝดธรรมดาหลังนั้น บ้านที่อยู่บนถนน ที่ยังมีบ้านเหมือน ๆ กันถูกสร้างไว้เรียงรายอีกหลายหลัง กับผู้คนที่ถูกความหวาดกลัวครอบงำในช่วงเวลานั้นก็ยังคงอยู่อาศัยอยู่ที่นี่สืบต่อกันมาจนถึงทุกวันนี้
ซึ่งมันก็เป็นเรื่องธรรมดาที่มีผู้คนอีกส่วนมองว่าเรื่องราวทั้งหมดอาจเป็นแค่เรื่องที่ถูกสร้างขึ้น เพียงแต่คำอธิบายอื่น ๆ ที่นอกเหนือจากเรื่องอาถรรพ์เหนือธรรมชาติ มันก็ยังคงมีแค่การตั้งข้อสงสัยเพียงเท่านั้น
แล้วทีนี้เรื่องราวที่เกิดขึ้นดังกล่าว มันก็ได้กลายมาเป็นฉากหนึ่งในภาพยนตร์ที่ออกฉายไปเมื่อไม่นานมานี้กันแล้ว นั่นก็คือ "เดอะคอนเจอริ่ง 2"
ได้กลายเป็นหนึ่งเรื่องใน "เดอะคอนเจอริ่ง 2"
แล้วในตลอดช่วงปีตอนนั้น เหตุการณ์ที่เมืองเอ็นฟิลด์มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ? ครอบครัวฮ็อจสันไปอยู่ที่ไหนกันหมด ? พวกเขาย้ายบ้านหนีผีกันจริง ๆ หรือ ? พวกเขาสร้างเรื่องขึ้นมาทั้งหมดใช่ไหม ? และตอนนี้ใครกันที่อาศัยอยู่ในบ้านเลขที่ 284 ถนนกรีนสตรีทแห่งนี้ ?
เรื่องราวที่ครอบครัวฮอจสันเคยบอกเล่านั้นเริ่มขึ้นตั้งแต่ปี ค.ศ. 1977 โดย เป็กกี้ ฮ็อจสัน ที่พบเรื่องผิดปกติในช่วงเวลานั้น เธอเป็นคุณแม่ใบเลี้ยงเดียวของลูก ๆ 4 คน ได้แก่ มากาเร็ต อายุ 12 ปี เจเน็ต อายุ 11 ปี จอห์นนี่ อายุ 10 ปี และบิลลี่ลูกคนเล็ก อายุ 7 ปี ที่มีชีวิตอยู่กันเพียงลำพังเพราะเป็กกี้ตัดสินใจแยกทางกับสามี

"เป็กกี้ ฮ็อจสัน" และลูกๆ
ตอนนั้นคือช่วงหัวค่ำของวันที่ 30 สิงหาคม ค.ศ. 1977 ที่บางบันทึกก็บอกว่าจริง ๆ แล้วน่าจะเป็นวันที่ 31 มากกว่า นางเป็กกี้ ฮ็อจสัน กำลังรีบพาลูก ๆ ของเธอไปเข้านอน แล้วเธอได้ยินเสียงของเจเน็ต กำลังเอะอะมาจากทางบันได้ชั้นบน เธอพูดว่าที่นอนของเธอกับพี่สาวสั่นสะเทือนขึ้นมาได้เอง
เป็กกี้จึงบอกกับลูกสาวของเธอให้หยุดวุ่นวายกันได้แล้ว ซึ่งในเวลาต่อมาความวุ่นวายทุกอย่างก็ยิ่งทวีคูณมากขึ้น
เป็กกี้ได้ยินเสียงอะไรบางอย่างกระแทกกันจนเกิดเสียงจากชั้นบน ซึ่งก็ทำให้เธอต้องเดินขึ้นไปบอกเด็ก ๆ ให้หยุดทำเสียงดังกันเสียที
พอเธอเปิดประตูเข้าไปในห้องของเด็ก ๆ ที่ตรงกำแพงห้องมีภาพดาราแปะอยู่เต็มไปหมดนั้น เป็กกี้ถึงกับตกตะลึง เพราะสิ่งที่เธอเห็นก็คือลิ้นชักขยับออกมาจากตัวตู้ได้เอง นั่นจึงทำให้เธอผลักมันกลับเข้าที่ทันที แต่ยังไม่ทันที่เป็กกี้จะได้ทำอะไรต่อ เจ้าตู้ลิ้นชักทั้งใบก็เคลื่อนที่ไปชนกับบานประตู ราวกับมีพลังงานอะไรบางอย่างผลักมันออกไป

ซึ่งเหตุการณ์นี้ดูราวกับว่ามีพลังเหนือธรรมชาติ กำลังพยายามกักตัวทั้งสามเอาไว้ในห้อง ด้วยตู้ไม้โอ๊คที่มีน้ำหนักมากเลยทีเดียว
หลายปีผ่านไปเจเน็ตได้เล่าให้กับรายการสารคดีของช่อง 4 บอกว่าเหตุการณ์มันเริ่มต้นจากหลังที่นอน จากนั้นลิ้นชักก็ขยับเองได้ขึ้นมา และตอนนั้นคุณแม่ก็เดินเข้ามาปิดมัน ซึ่งเจเน็ตก็เล่าถึงคำพูดของคุณแม่ที่ตอนนั้นพูดว่า
"แม่อยากให้ลูกเก็บของให้ดี ๆ" เจเน็ตเล่าตามประสาเด็กต่อว่า
“พวกเราบอกคุณแม่แล้วว่ามันเกิดอะไรขึ้น และแม่ก็เลยขึ้นมาดูให้เห็นกับตา ซึ่งแม่ก็ได้เห็นลิ้นชักมันกำลังขยับอยู่ พอแม่พยายามจะดันมันกลับเข้าที่ แม่ก็ทำไม่ได้”

ตู้ลิ้นชักที่อ้างว่าเปิดได้เอง

ส่วนมากาเร็ตพี่สาวของเจเน็ตก็อธิบายเหตุการณ์ทุกอย่างเพิ่มเติมว่า...
“มันมีเสียงแปลก ๆ ดังขึ้นมาให้เราได้ยินในบ้านหลังนั้น คุณไม่มีทางเชื่อหรอกว่ามันเกิดอะไรขึ้น และตอนนั้นพวกเราก็ยังไม่มีใครหลับกันเลย... พวกเราสวมชุดเสื้อคลุมแล้วก็ใส่รองเท้า จากนั้นก็เดินไปดูที่ห้องข้าง ๆ ด้วย”
ครอบครัวฮ็อจสันในช่วงเวลานั้นก็ได้ร้องขอความช่วยเหลือจากเพื่อนบ้าน ซึ่งพวกเขาก็คือวิคและเป็กกี้ น็อตติงแฮม ซึ่งวิคนั้นเป็นช่างก่อสร้างที่ร่างกายกำยำ ได้อาสาที่จะเข้าไปตรวจสอบทุกอย่างให้วิคเล่าว่า...
“ผมเข้าไปในห้องนั้น แล้วก็ไม่เข้าใจว่าเสียงพวกนั้นมันดังมาจากไหน ผมได้ยินมันก็มีตั้งแต่เสียงเคาะตามกำแพง ในห้องนอน บนเพดาน ซึ่งมันก็ทำให้ผมรู้สึกกลัวขึ้นมา”
 จอห์นนี่ เจเน็ต และมากาเร็ต... "กลัั๊ั๊ั๊ั๊ว กลัว"
ผู้ที่พบเหตุการณ์มากที่สุดก็คือ เจเน็ต !
มากาเร็ตจึงพูดเสริมขึ้นว่า...
“เขาเคยบอกว่า ‘เขาไม่รู้จะทำยังไงดีเหมือนกัน’ ฉันไม่เคยเห็นผู้ชายตัวโตขนาดนี้เคยกลัวอะไรแบบนี้มาก่อน”
พอเป็กกี้ ฮ็อจสันโทรแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจ พวกเขาก็บอกว่าบางทีพวกเธออาจจะเข้าใจอะไรผิด จนกระทั่งเจ้าหน้าที่แครอลีน ฮีพส์ ได้มาเห็นเก้าอีกขยับได้นั่นแหละ เก้าอี้ตัวนั้นมีขนาดใหญ่แต่มันกลับเลื่อนไปตามพื้นได้ถึง 4 ฟุต ซึ่งเธอก็พยายามตรวจสอบ หาร่องรอยว่ามีการผูกสายเชือกอะไรเอาไว้หรือเปล่า แต่เธอก็ไม่สามารถหาคำอธิบาย กับสิ่งที่ตัวเองได้เห็นกับตาในตอนนั้น


จนในที่สุดเจ้าหน้าที่ตำรวจหญิงคนนั้นก็กลับไป โดยบอกกับครอบครัวฮ็อจสันว่าเหตุการณ์นี้มันไม่ใช่หน้าที่ของตำรวจ เพราะพวกเขาไม่พบว่ามีใครทำผิดกฏหมาย
นั่นจึงทำให้เป็กกี้ ฮ็อจสัน จำเป็นต้องติดต่อไปยังหนังสือพิมพ์แทน ซึ่งก็มี เกรแฮม มอริส ช่างภาพของหนังสือพิมพ์เดลี่มิเรอร์ ได้เดินทางมายังบ้านของเธอ และคำพูดที่เขาคิดออกในตอนนั้นก็คือ...

"มันวุ่นวายไปหมด ทุกสิ่งเริ่มลอยไปรอบ ๆ ผู้คนกรีดร้องกันระงม"
"เกรแฮม มอริส"
(ภาพจาก: The Filmreel)

มีบางเหตุการณ์ที่เขาสามารถจับภาพเอาไว้ได้ ซึ่งภาพถ่ายเหล่านั้น ก็ล้วนแต่ดูน่ากลัวทั้งสิ้น ซึ่งหนึ่งในหลาย ๆ ภาพนั้นเป็นภาพของเจเน็ตกำลังถูกพลังอะไรบางอย่าง จับโยนจนตัวลอยข้ามห้องไปได้แบบที่เห็น ส่วนภาพอื่น ๆ ก็จะเห็นใบหน้าของเธอบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวด !
ทางสำนักข่าว BBC เอง ก็เดินทางไปยังบ้านหลังนี้เช่นกัน ซึ่งเหล่าเจ้าหน้าที่ก็พบว่าวัสดุที่ทำด้วยโลหะ ที่อยู่ภายในเทปบันทึกภาพเกิดบิดงออย่างปริศนา ส่งผลทำให้สิ่งที่เขาถ่ายทำเอาไว้สูญหายไปทั้งหมด

"เจเน็ตและมากาเร็ต" ให้สัมภาษณ์ BBC

ต่อมาทางครอบครัวฮ็อจสันก็ได้รับความช่วยเหลือจากสมาคมวิจัยทางวิญญาณ ซึ่งพวกเขาได้ส่งนักสืบชื่อ มอริส กรอซ และกี ลีออง เพลย์แฟร์ ผู้เชี่ยวชาญด้านโพลเตอร์ไกส์ เจ้าของผลงานหนังสือชื่อ This House Is Haunted หรือในชื่อภาษาไทยก็น่าจะแปลว่า บ้านนี้ผีเฮี้ยน !
หนังสือ "This House Is Haunted"
ทางนักเขียนอีกท่านชื่อ วิล สตอร์ เขาเป็นเจ้าของผลงานหนังสือชื่อ Will Storr vs The Supernatural ได้พูดคุยกับมอริส กรอส แล้วนำสิ่งที่เขาได้รับทราบมาเขียนลงในหนังสือเล่มดังกล่าวด้วยว่า มอริสได้พูดบรรยายช่วงที่ไปถึงบ้านหลังนี้เอาไว้ โดยบอกว่าเมื่อเขาไปถึงที่นั่น เขาก็รู้เลยว่าคดีนี้มันของจริง เพราะครอบครัวฮ็อจสันกำลังตกอยู่ในสถาการณ์เลวร้าย ทุก ๆ คนดูวุ่นวายกันไปหมด
หนังสือ "Will Storr vs The Supernatural "
โดยตอนแรกที่ไปถึง กรอสยังไม่ได้พบอะไรผิดปกติสักเท่าไหร่ จนกระทั่งเขาได้เห็นชิ้นส่วนของเลโก้ กำลังบินลอยไปมาจากในห้อง และก็ยังมีลูกหิน และที่มากไปกว่านั้นก็คือ พอเขาใช้มือหยิบของเหล่านั้นขึ้นมาดู เขาก็สัมผัสได้ถึงความร้อนที่แผ่ออกมา มอริสเล่าว่า...
“ผมกำลังยืนอยู่ในห้องครัว แล้วเสื้อทีเชิ้ตตัวหนึ่งก็ลอยขึ้นมาจากบนโต๊ะไปยังอีกฝั่งของห้องต่อหน้าต่อตา !”
ลูกหินที่ลอยได้เอง
นักสืบทั้งสองพบว่าพวกเขาเอง ก็กำลังถูกกักอยู่ในบริเวณที่เกิดเรื่องน่ากลัวอยู่แน่ ๆ ทุก ๆ สิ่งที่ลอยไปมานั้น ต่างก็ถูกโยนเข้ามาหาพวกเขาทั้งสิ้น โซฟาที่ลอยได้ เฟอร์นิเจอร์หมุนรอบตัวเอง และลอยข้ามห้องออกมา คนในครอบครัวบางคนก็ถูกโยนออกมาจากที่นอนในตอนกลางคืนด้วย
ในวันหนึ่งมอริสกับเพื่อนที่แวะมาเยี่ยมอีกท่าน ก็พบว่ามีเด็กคนหนึ่งตะโกนขึ้นมาว่า...
“หนูขยับตัวไม่ได้ มันจับขาของหนูเอาไว้ !”
นั่นจึงทำให้พวกเขาต้องรีบรุดเข้าไปช่วยกันดึงเด็กคนนั้นออกมา จากมือที่พวกเขาเองก็มองไม่เห็น
"เกรแฮม มอริส" เข้าไปช่วยดึงเธอออกมา
ภาพจาก: Graham Morris
เสียงเคาะที่ดังอยู่ตลอดเวลานั้น ก็คืออีกหนึ่งในสิ่งที่น่ากลัวที่สุดของคดี มันดังไล่ลงมาจากทางกำแพง แล้วค่อย ๆ จางหายไปราวกับว่ากำลังเล่นสงครามประสาทกับคนในบ้าน ที่ตอนนี้เต็มไปด้วยความหวาดกลัว จนต้องย้ายมานอนรวมกันอยู่ในห้องเดียว และเปิดไฟทิ้งไว้ทั้งคืนด้วย
โดยทุกอย่างที่เกิดขึ้น น่าจะมีจุดศูนย์กลางมาจากเจเน็ต ฮ็อจสัน อายุ 11 ปี ซึ่งเธอก็คือลูกสาวคนรองของครอบครัว เธอถูกกระทำด้วยความรุนแรงและดูย่ำแย่มากที่สุด และมีอยู่ครั้งหนึ่ง เตาผิงเหล็กในห้องนอนของเธอ ถูกกระชากจนหลุดออกมาจากกำแพง ด้วยพลังงานลี้ลับอะไรบางอย่าง
ซึ่งคนในครอบครัวก็ยืนยันว่า พวกเขาเคยเห็นเจเน็ตกำลังลอยตัวอยู่ในห้อง ราวกับถูกอะไรสักอย่างยกตัวเธอขึ้นมา เจเน็ตเล่าให้กับทางช่อง 4 ฟังว่า...
“หนูล้มเพราะถูกพลังบางอย่างโจมตี แต่ไม่มีใครเข้าใจ หนูไม่อยากจะคิดถึงเรื่องนี้มากนัก หนูไม่แน่ใจว่าสิ่งที่เกิดขึ้นมันจะมาจากปีศาจหรือเปล่า มันทำเหมือนอยากจะเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวหนูด้วย...

มันไม่ต้องการจะทำร้ายพวกเรา มันเคยหลับอย่างสงบที่นี่และต้องการอยู่แบบนั้นต่อไป ซึ่งทางเดียวที่มันเลือกใช้ก็คือ การสื่อสารผ่านตัวหนูกับพี่สาว !”
ซึ่งเรื่องนี้ก็ยังมีบางคนสงสัยกับสิ่งที่เกิดขึ้นเหมือนกัน เพราะทางนักสืบทั้งสองท่านเอง ก็จับพิรุธได้บางอย่าง บางทีเด็ก ๆ อาจจะคิดก่อการณ์ขึ้นมาเองก็ได้ ซึ่งพวกเขาก็ได้ตั้งคำถามขึ้นมาว่า ทำไมถึงไม่มีใครได้รับอนุญาติให้อยู่ในห้องเดียวกันกับเจเน็ต ในช่วงที่เธอส่งเสียงร้องแปลก ๆ ออกมาในเทปบันทึกเสียง เพราะในบางทีเสียงที่ได้ยินอาจจะเป็นเสียงของบิล วิลกินส์ ซึ่งเขาก็คือผู้ตั้งเครื่องบันทึกเสียงเหตุการณ์ผีเข้าสิงเจเน็ตมาเล่าชีวิตหลังความตายในครั้งนั้น  
และก็เป็นเช่นนั้นจริง ๆ เมื่อเจเน็ตออกมายอมรับว่า พวกเธอสร้างเหตุการณ์บางอย่างขึ้นมาจริง ๆ โดยเจเน็ตบอกกับทางช่องข่าว ITV ว่า...
“ใช่แล้ว ! มันก็มีอยู่ครั้งสองครั้งนะ ซึ่งคุณกรอสกับคุณเพลย์แฟร์ก็จับได้ว่าพวกเราเป็นคนทำเอง”
ในวัย 45 ปี ตอนนี้เจเน็ตอาศัยอยู่ในมณฑลเอสเส็กซ์กับสามี อดีตพนักงานส่งนมวัยเกษียณอายุ เธอเล่าให้เราฟังว่า...
“ฉันไม่สบายใจเป็นอย่างมาก ที่ได้ยินเรื่องพวกนี้อีก ฉันไม่รู้อะไรเกี่ยวกับมัน พ่อของฉันเพิ่งจะเสียชีวิต และมันก็ทำให้ฉันไม่สบายใจ ที่จะมานั่งคิดถึงว่าเรื่องนี้ถูกขุดขึ้นมาอีก”
ซึ่งเธอก็ได้อธิบายถึงเหตุการณ์โพลเตอร์ไกส์ครั้งนั้น ราวกับมันเป็นแผลใจครั้งใหญ่ให้เราฟังต่อว่า...
“มันเป็นคดีที่ไม่ปกติ มันคือหนึ่งในคดีเหนือธรรมชาติที่รู้จักกันมากที่สุดในโลก แต่สำหรับฉันมันค่อนข้างจะสยองขวัญ ฉันว่ามันทิ้งตราบาปเอาไว้ให้ ทั้งสิ่งที่เกิดขึ้น ทั้งพวกหนังสือพิมพ์ ผู้คนมากมายที่เข้ามาและออกไปจากบ้าน มันไม่ใช่ชีวิตปกติของเด็กเลยนะ”
กับคำถามว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่ถนนกรีนสตรีทครั้งนั้น มีกี่ครั้งที่เป็นของปลอม เจเน็ตก็ตอบมาว่า
“ฉันเคยบอกไปแล้วว่า 2 เปอร์เซ็นต์”
เจเน็ตยอมรับว่าเธอเคยเล่นกระดานวีจีกับพี่สาว ก่อนที่ทุกอย่างจะเกิดขึ้นในบ้านหลังนั้น
เธอเล่าว่าตัวเองไม่คิดว่าจะต้องเดินเข้าไปในวังวนของเรื่องพวกนี้ จนกระทั่งเธอถูกนำรูปถ่ายไปลงหนังสือพิมพ์
เธอจำได้ว่าตัวเองเคยมีความสุขกับรูปถ่ายมาตั้งแต่เด็ก แต่ภาพนี้มันทำให้เธอรู้สึกแย่มาก
เธอรู้ว่าเมื่อเสียงนั้นดังขึ้นมา มันก็ทำให้เธอจะต้องรู้สึกได้ทันทีว่า เหมือนมีบางอย่างกำลังยืนอยู่ข้างหลังของเธอตลอดเวลาด้วย เธอบอกว่า...
“พวกเขาทดสอบฉันทุกอย่าง เช่นเอาน้ำกรอกใส่ปากของฉัน และกระทำอะไรอีกหลายอย่างเพื่อพิสูจน์ว่าฉันเป็นคนส่งเสียงนั้นออกมาเอง แต่หลังจากที่พวกเขาทำแย่ ๆ แบบนั้นไป เสียงที่ว่าก็ยังคงดังออกมาให้ได้ยินอยู่ดี”

เจเน็ตเล่าต่อว่า...
“มันหนักมาก ฉันถูกกักตัวอยู่ที่โรงพยาบาลโรคจิตในลอนดอน พวกเขาเอาไฟฟ้ามาช็อตที่หัวของฉัน แต่ผลมันก็ออกมาว่าฉันปกติ”

“เรื่องลอยได้มันก็น่ากลัวมาก เพราะคุณจะไม่รู้เลยว่าจะถูกพาไปที่ไหน ฉันจำได้ว่าตอนนั้นมันมีผ้าม่านลอยมาพันอยู่ที่คอด้วย ฉันถึงกับร้องกรี๊ดออกมา เพราะคิดว่าตัวเองจะต้องตายแน่ ๆ”

“คุณแม่ของฉันต้องใช้กำลังทั้งหมดเพื่อดึงมันออก ผู้ชายที่พูดกับฉันตอนนั้นก็น่าจะเป็นบิล เขาดูโกรธมาก เพราะพวกเราอาศัยอยู่ในบ้านของเขา”
ซึ่งสิ่งที่เธอเล่าตอนนี้ มันหมายถึงสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมด ได้ส่งผลกระทบกับทุกคนในครอบครัวอย่างมาก เจเน็ตยังบอกอีกว่า...
“ฉันถูกทำร้ายที่โรงเรียน พวกเขาเรียกฉันว่ายัยเด็กผี จากนั้นก็หยิบเอาแมงมุมมายัดใส่หลังของฉันด้วย”

“ฉันกลัวที่จะต้องกลับมาที่บ้าน ประตูหน้าบ้านจะต้องเปิดอยู่ แล้วก็มีผู้คนมากมายเดินเข้าออก คุณไม่รู้หรอกว่าฉันกังวลเรื่องคุณแม่มากแค่ไหน เพราะสุดท้ายคุณแม่ก็กลายเป็นโรคประสาทเพราะความกังวลมากจนเกินไป...

ฉันไม่ใช่คนที่จะมีชีวิตจมอยู่กับอดีต ฉันต้องการก้าวเดินต่อไปข้างหน้า แต่มันก็กลับมาหาฉันอีกอยู่ดี ฉันฝันถึงมัน และมันก็มีผลกับฉันมาก ฉันคิดอยู่ว่าทำไมเรื่องพวกนี้มันต้องเกิดขึ้นกับพวกเราด้วย ?”


'I was bullied at school. They called me Ghost Girl and put crane flies down my back,' said Janet (pictured above: A scene from the 1973 horror The Exorcist)
เจเน็ต...“ฉันถูกทำร้ายที่โรงเรียน พวกเขาเรียกฉันว่าเด็กผี แล้วก็เอาแมงมุมมายัดใส่หลังด้วย”
(ภาพจาก: ภาพยนตร์ดิเอ็กซอร์ซิส, 1973)

น้องชายทั้งสองของเธอถูกเรียกว่า...
“เด็กประหลาดจากบ้านผีสิง !” ก่อนที่ชาวบ้านจะผลักพวกเขาลงไปบนถนน
ตัวของเจเน็ตเองก็ถูกนำภาพไปขึ้นปกของหนังสือพิมพ์ เดย์ลี่สตาร์ พร้อมกับพาดหัวข่าวว่า
“ถูกสิงโดยปีศาจ !”
แล้วเธอก็ตัดสินใจออกจากบ้านตั้งแต่อายุ 16 ไปแต่งงานทั้ง ๆ ที่อายุเพียงเท่านั้น เธอเล่าว่า...
“ฉันสูญเสียหมดสิ้นทุกสิ่ง ทุก ๆ อย่างถูกเอาไปลงไว้ในหนังสือเรื่องแปลกพวกนั้น คุณแม่ของฉันรู้สึกได้ว่า ผู้คนที่เข้ามาหาเธอในตอนนั้น ล้วนต้องการผลประโยชน์จากเราทั้งสิ้น”

"กี มอริส กรอส" กับ "เจเน็ต"
ภาพจาก: Graham Morris / www.cricketpix.com

และในช่วงเวลาสั้น ๆ หลังจากที่ข่าวของพวกเธอถูกแพร่สะพัดออกไป น้องชายคนโตของเจเน็ตชื่อว่าจอห์นนี่ก็เสียชีวิตไปด้วยโรคมะเร็งในวัย 14 ปี คุณแม่ของเธอก็เริ่มป่วยเป็นมะเร็งในทรวงอก และเสียชีวิตไปเมื่อปี ค.ศ. 2003 ส่วนเจเน็ตก็ต้องสูญเสียลูกชายวัย 18 ปีไป ทั้ง ๆ ที่เขากำลังนอนหลับอยู่
และเธอยังได้ปฎิเสธทุกคำแนะนำที่บอกให้เธอยอมรับว่าเรื่องราวทั้งหมดนั้น เป็นเรื่องที่ถูกทำขึ้นมาเพื่อแลกกับเงินก้อนใหญ่ เธอให้เหตุผลว่า...
“ฉันไม่ต้องการจะกลับมาแบกมันไว้ในช่วงที่แม่ยังอยู่ แต่ตอนนี้ฉันอยากจะพูดเรื่องของฉัน ฉันไม่สนว่าจะมีใครเชื่อหรือไม่ เพราะฉันเคยผ่านมันมาแล้วทั้งหมด และมันก็เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริง !”
กับคำถามว่าเธอคิดว่าบ้านหลังนั้นมันคือบ้านผีสิงหรือเปล่า เจเน็ตก็ตอบว่า...
“เมื่อหลายปีก่อนตอนที่คุณแม่ยังอยู่ มันก็ยังคงอยู่ที่นั่นตลอดมา บางสิ่งที่กำลังมองเราอยู่จากภายในนั้น

“ตอนนั้นถ้ามันไม่มีใคร เข้ามาขัดขวางการเล่นกระดานวีจีของพวกเรา ทุกอย่างมันก็น่าจะสงบสุข ตอนฉันยังเด็กมันสงบกว่านี้เพราะมันยังไม่ตื่นขึ้นมา และตอนนี้มันก็ยังอยู่ที่นั่น”
เจเน็ตบอกว่า ทุกอย่างมันสงบลงไป ตั้งแต่มีนักบวชท่านหนึ่งแวะมาที่บ้านหลังนั้น ในช่วงฤดูใบไม้ร่วงปี ค.ศ. 1978 แต่มันก็ไม่ได้สงบลงแบบสิ้นเชิง เพราะคุณแม่ยังคงได้ยินเสียงของมันดังขึ้นมาอยู่เสมอ
ส่วนน้องชายของฉันตั้งแต่วันที่เขาออกไปจากที่นั้นหลังคุณแม่เสียชีวิต เขาพูดว่า...
“มันยังคงมีอะไรบางอย่างอยู่ที่นั้น เธอรู้ใช่ไหมว่าเธอต้องลองแวะกลับไปดู”
เจเน็ตเล่าว่า เธอยังคงเชื่อในเรื่องของโพลเตอร์ไกส์ โดยเธอพูดว่า...
“มันอาศัยอยู่กับฉัน ใช้พลังชีวิตของฉัน จะบอกว่าฉันบ้าก็ได้ แต่เรื่องพวกนั้นก็มันเกิดขึ้นมาแล้ว โพลเตอร์ไกส์มันอยู่กับฉัน และฉันก็รู้สึกได้ว่าเขายังอยู่”
แล้วตอนนี้ใครอยู่ในบ้านเลขที่ 284 บนถนนกรีนสตรีทต่อกันแน่ ?
หลังจากเป็กกี้ ฮ็อจสันเสียชีวิตไป แคลร์ เบ็นเนตต์กับลูกชายทั้งสี่คนก็ย้ายเข้ามาอยู่ที่นี่
โดยแคลร์เล่าว่า เธอไม่เคยเห็นอะไรเลย แต่ก็รู้สึกว่าไม่สบายใจสักเท่าไหร่ มันเหมือนกับมีอะไรบางอย่างอยู่ในบ้านหลังนี้ ซึ่งเธอเองก็รู้สึกเหมือนมีใครบางคน กำลังจ้องมองอยู่ตลอดเวลาเหมือนกัน
ลูกชายทุกคนของเธอต้องตื่นขึ้นมากลางดึก พวกเขาได้ยินเสียงผู้คนพูดคุยกันอยู่ที่ชั้นล่าง ซึ่งต่อมา แคลร์ก็พบว่าบ้านหลังนี้มันมีประวัติน่ากลัวมาก่อน โดยเธอบอกให้เราทราบว่าทันทีที่รู้ก็รีบย้ายออกจากที่นั่น ทั้ง ๆ ที่อยู่กันมาได้เพียงสองเดือนเท่านั้น
ลูกชายคนหนึ่งของเธอชื่อ ชาก้า อายุ 15 ปีเล่าว่า ในตอนกลางคืนก่อนที่พวกเขาจะย้ายออก เขาตื่นขึ้นมากลางดึก แล้วก็เห็นชายคนหนึ่งเดินเข้ามาในห้อง ชาก้าเห็นแบบนั้นก็รีบวิ่งเข้าไปที่ห้องของคุณแม่ แล้วบอกกับเธอว่า
“พวกเราต้องรีบย้ายบ้าน” ซึ่งวันต่อมาทุกคนก็พร้อมใจกันย้ายออกทันที
ในปัจจุบันบ้านหลังนี้ก็มีครอบครัวอื่นอาศัยกันต่อ พวกเขาไม่เจออะไรผิดปกติ โดยคนที่เป็นแม่บอกแบบชิว ๆ ว่า เธอมีลูก ๆ และพวกเขาก็ไม่รู้เรื่องพวกนี้ และเธอก็ไม่อยากจะทำให้พวกเขากลัวด้วย
ซึ่งพอได้ยินอะไรแบบนี้ มันก็ต้องมีเหมือนกันใช่ไหม ที่จะมีใครพูดเยาะเย้ยกับเรื่องนี้ว่า บ้านผีสิงในเอนฟิลด์ คงสิ้นพลังความหลอนไปหมดแล้วเสียกระมัง




- จบ -

Enfield Poltergeist หรือ บ้านผีดุแห่งเอ็นฟิลด์ คือเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นจริงในประเทศอังกฤษ มันไม่ใช่ครีบปี้พาสต้า แต่เป็นบทความของ โซ เบรนแนน ที่เขียนลงไว้ในเว็บไซต์ เดลี่เมล์ (เว็บนี้โดนแบนในไทย) ถ่ายทอดเรื่องราวที่เขาได้ตามรอยเรื่องนี้มาตั้งแต่วันแรกที่เกิดเหตุจนถึงปี ค.ศ. 2015 ที่ทิ้งท้ายให้เราได้ขบคิดกันต่อว่า จริง ๆ แล้วเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในตอนนั้นมันเป็นเรื่องของบ้านผีสิงจริง หรือเป็นแค่การเล่นละครตบตาจากเด็กหญิงวัยเพียง 11 ปีเพียงเท่านั้น
บทความ Enfield Poltergeist ของ "โซ เบรนแนน" ในเว็บไซต์เดลี่เมล์


โดยเรื่องนี้ทาง กี ลีออง เพลย์แฟร์ นักสืบเรื่องเหนือธรรมชาติ ได้เคยให้ทัศนเกี่ยวกับเรื่องนี้เอาไว้หลังจากที่เขาจับผิดในบางเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น อย่างเช่นเหตุผีดึงขาเด็กตรงบันไดที่เขาสังเกตเห็นได้ว่า เจเน็ตใช้ขาข้างหนึ่งเกี่ยวกับซี่กรงบันไดเอาไว้ ในขณะที่มากาเร็ตพี่สาวแอบยืนมองอยู่ใกล้ ๆ และในช่วงที่เขาตัดสินใจหลอกล่อให้ทุกคนออกไปนอกบ้าน แล้วตัวเองมาอยู่โยงเฝ้าบ้านเพียงลำพัง มันก็ไม่มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นให้เขาเห็นเลย

แต่ในทางกลับกันในขณะที่ทั้งเจเน็ตกับมากาเร็ตแยกกันอยู่ในบ้านสองแห่ง มันก็มีเรื่องแปลกประหลาดเกิดขึ้นทั้งสองที่ในเวลาไล่เลี่ยกัน นั่นจึงทำให้กี ลีออง เพลย์แฟร์สรุปในเบื้องต้นว่า บางทีเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นอาจเป็นฝีมือของเจเน็ตและมากาเร็ต พี่น้องสองสาวที่ร่วมมือกันจัดฉากทุกอย่างขึ้นมาอย่างแนบเนียน !


"กี ลีออง เพลย์แฟร์" นักสืบเรื่องเหนือธรรมชาติ


เพียงแต่ทาง กี มอริส กรอส นักสืบที่เข้าไปสืบเหตุการณ์คู่กับกี ลีออง เพลย์แฟร์กลับให้ความเห็นออกไปในทางตรงข้ามว่า ถ้าเจเน็ตเป็นคนทำเรื่องนี้จริง รายละเอียดในการเกิดเรื่องมันก็ดูจะยากเกินไป สำหรับเด็กผู้หญิงอายุ 11 ปีคนหนึ่งจะสามารถทำได้ เพราะในบางเหตุการณ์อย่างเช่น เก้าอี้ที่มีน้ำหนักมากมันเคลื่อนที่ได้เองนั้น มันก็ไม่น่าจะเป็นฝีมือของเด็กผู้หญิงอายุแค่นั้นจริง ๆ
"กี มอริส กรอส" นักสืบเรื่องเหนือธรรมชาติ


ซึ่งหลังจากที่บทความนี้ได้ถูกเผยแพร่ออกไป ก็ได้มีนักสืบแนวปริศนาชื่อดังอย่าง โจ นิคเคล ให้ความเห็นว่าเรื่องราวที่เคยเกิดขึ้น เมื่อวันที่ 30 สิงหาคม ค.ศ. 1977 ไปในทิศทางเดียวกันกับกี ลีออง เพลย์แฟร์ว่า มันอาจเกิดจากฝีมือของเจเน็ตลูกสาวคนรองเป็นคนต้นคิด และมีมากาเร็ตพี่สาวคนโตคอยให้การสนับสนุนในบางครั้งด้วยหรือเปล่า ?
"โจ นิคเคล (Joe Nickell)" นักสืบแนวปริศนาชื่อดัง
และดีไม่ดีทั้งบิล วิลกินส์ เจ้าของบ้านเช่าที่เป็นผู้บันทึกเสียงปีศาจ กับช่างภาพชื่อเกรแฮม มอริส ที่ถ่ายภาพช่วงเวลาที่เจเน็ตลอยอยู่บนอากาศได้นั้น พวกเขาก็น่าจะมีส่วนรู้เห็นในการประโคมเรื่องนี้ให้เป็นข่าวใหญ่ เพราะภาพถ่ายที่อ้างว่าเจเน็ตถูกผียกลอยขึ้นไปในอากาศนั้น มันก็เป็นเพียงเทคนิคการถ่ายภาพนิ่งแบบทั่วไปที่สมัยนี้ใคร ๆ ก็ทำเล่นกันได้เช่นกัน เพียงแต่ในสมัยปี ค.ศ. 1977 นั้น คนที่มีกล้องถ่ายภาพเท่านั้นถึงจะทำแบบนี้ได้ ซึ่งนั่นก็เลยดูน่าตกใจสำหรับคนสมัยนั้น


ซึ่งจากความเห็นของทั้งสองฝ่ายที่ต่างก็มีน้ำหนักและเหตุผลไม่แพ้กันนี้ มันก็ทำให้เราไม่อยากจะสรุปอะไรให้มันชัดเจน และให้ทุกอย่างตกมาอยู่ที่วิจารณญาณของท่านผู้ชมจะดีกว่า


แต่สิ่งหนึ่งที่มิติที่ 6 ได้จากเรื่องนี้ก็คือ ถ้าสิ่งที่เกิดขึ้นกับครอบครัวฮ็อจสันทั้งหมด มันเป็นเรื่องจริงที่เจเน็ตเป็นผู้รับเคราะห์ มันก็ได้สร้างตราบาปอันยิ่งใหญ่ให้กับทุกคนในบ้านอย่างใหญ่หลวง ชนิดที่ไม่สามารถจะเรียกอะไรกลับมาแก้ไขได้อีกแล้ว

"มากาเร็ตและเจเน็ต" ไม่มีใครรู้ดีไปกว่าพวกเธอ !


แต่ถ้าเจเน็ตโกหก เรื่องนี้มันก็จะทำให้เธอต้องพูดโกหกกันต่อไปทั้งชีวิต และสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเธอไม่ว่าจะเป็นการสูญเสียคุณพ่อคุณแม่ น้องชาย ไปจนถึงลูกชายของตัวเองนั้น มันก็น่าจะมาจากผลของการโกหกด้วยหรือไม่ ?


ซึ่งเราก็จะไม่อยากจะตอกย้ำให้ใครต้องเสียใจกันไปมากกว่านี้ เพราะคดีนี้ไม่มีใครได้ผลประโยชน์อะไรกันแบบอิ่มหนำ นอกจากคนที่เข้ามาฉกฉวยโอกาสกับเรื่องสยองขวัญแบบนี้แน่ ๆ นั่นก็เป็นเพราะว่าความจริงนั้น มันช่างไม่มีเสน่ห์... เอาเสียเลย !
แล้วอย่าลืมติดตามรายการมิติที่ 6 ศุกร์สยองขวัญ กับเรื่องราวเบา ๆ พร้อมกับที่มาของมันกันได้ทุกวันศุกร์สะดวก และหลังจากจบรายการแล้ว อย่าลืมกดสับสไครป์ กดไลก์ กดแชร์ และอย่าลืมทิ้งคอมเมนต์กันไว้ด้วยนะครับ ยังมีเรื่องราวต่าง ๆ อีกมากมายรอคุณอยู่ สำหรับวันนี้... สวัสดี !
แปลและเรียบเรียงโดย นิวัฒน์ อ่ำแสง
ขอบคุณที่มา: Daily MailsCSI Corp และ Wikipedia

แท็ก: บ้านผีดุแห่งเอ็นฟิลด์

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

ประกาศ

เพื่อเป็นกำลังใจเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้กับเรา ขอความร่วมมือจากผู้ที่นำเรื่องราวจากมิติที่ 6 ไปใช้ในที่ของท่าน กรุณาลงเครดิตกลับมาที่เราจะเป็นพระคุณอย่างสูงครับ