7 กรกฎาคม 2560

มิติที่ 6 ไขปริศนา | เสียงปริศนาจากฟากฟ้า, The Bloop เสียงจากท้องทะเล และนางหมา !!!


สวัสดีครับ พบกันอีกครั้งกับช่วงตอบคำถามปริศนาที่ส่งถามกันมาในอินบ็อกซ์เฟซบุ๊กครับ ต้องบอกก่อนว่าเราเองก็ไม่ได้รู้คำตอบไปทุกอย่าง แต่เพราะท่านผู้ชมอยากทราบเราก็เลยไปหาคำอธิบายมาเล่าให้ฟังกันครับ ซึ่งอาจจะตอบถูกหรือไม่ถูก อันนี้ก็ขอให้ท่านผู้ชมใช้วิจารณญาณประกอบด้วยนะครับ
เสียงปริศนาจากฟากฟ้า



ช่วงเวลาไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ มีเว็บไซต์ในประเทศไทยบางแห่งได้เปิดประเด็นเกี่ยวกับเสียงปริศนาจากฟากฟ้า ซึ่งก็มีหลักฐานเป็นคลิปวิดีโอจากเว็บไซต์ยูทูปหลายคลิป (https://skeptoid.com/episodes/4526) ที่อ้างว่าบันทึกเสียงปริศนาคล้าย ๆ กับเสียงแตรยักษ์ มีเสียงก้องกังวาลเป็นวงกว้าง แถมยังเกิดขึ้นหลาย ๆ แห่งทั่วโลกไม่ว่าจะเป็นในประเทศจีน อินโดนีเซีย โอคลาโฮมาในอเมริกา ในโมร็อกโคก็ได้ยินกันในคาซาบลังก้า โดยมีคลิปยืนยันจากหลาย ๆ คนที่บันทึกได้

ซึ่งถ้าถามว่าในเมืองไทยมีใครเคยบันทึกเสียงแบบนี้ได้ไหม เราเองพบว่าในเว็บไซต์พันทิปเคยมีสมาชิกโพสต์บอกว่าได้ยินเหมือนกันในโพสต์ ด่วน!!! จ.สระแก้ว ได้ยินเสียงดังครื่มมม คล้ายเสียงระเบิด กันทั้งจังหวัด ซึ่งเป็นในช่วงเวลาประมาณห้าโมงเย็น และก็มีการยืนยันว่าได้ยินไปไกลอีกหลายจังหวัด แต่กรณีนี้ดูเหมือนจะไม่ใช่เสียงแตรแต่เป็นเสียงดังตูมจากอุกาบาตตก ซึ่งก็มีหลายคนที่สามารถถ่ายคลิปเอาไว้ได้ด้วย ดังนั้นเราจึงต้องตัดออกไปเพราะไม่ใช่เสียงแบบที่ได้ยินกันทั่วโลกแน่ ๆ

ที่ต่างประเทศก็มีบางคนก็บอกว่ามันคือสัญญาณของวันสิ้นโลก ซึ่งเรื่องนี้ก็เป็นความพยายามจะใช้คำสอนจากศาสนามาอธิบาย เราก็มองว่าไม่เหมาะที่จะยืนยันเช่นนั้น
มิติที่ 6 เลยลองค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมว่ามันพอจะเป็นอะไรได้บ้าง ซึ่งได้ตั้งสมมติฐานขึ้นมาเพื่อดูว่าจะเป็นไปได้หรือเปล่า ?

อันดับแรกให้เราสังเกตที่บรรยากาศในหลาย ๆ คลิปจะเห็นมีบางคลิปบันทึกเสียงได้ในช่วงเวลามีพายุ ซึ่งมันก็เป็นไปได้ว่าจะเกิดจากเสียงลมหรือเปล่า ? ซึ่งใครที่อาศัยอยู่ในตึกหรืออยู่ในอาคารตอนช่วงเวลาแบบนี้ ลมที่พัดอาจแรงมากพอที่จะทำให้เกิดเสียงเรโซแนนซ์ที่เหมือนกับเป่าแตร ผู้บรรยายเองก็เคยได้ยินบ่อย ๆ เวลาพายุพัดแรง ๆ เรียกว่าได้ยินเกือบทุกวันที่มีพายุ ซึ่งมันก็อาจไม่ใช่คำตอบที่ท่านผู้ชมต้องการก็ได้

สมมติฐานที่ 2 ที่ได้ยินบ่อย ๆ ก็คือ เสียงเครื่องจักรทำงานอย่างเช่นพวกเลื่อยไม้หรือกบไฟฟ้า ซึ่งก็จะเห็นได้ว่าบางคลิปที่บันทึกเสียงได้จะอยู่บริเวณป่า ซึ่งก็น่าเป็นไปได้เช่นกัน

อีกกรณีหนึ่งที่มักจะเจอก็คือวัยรุ่นทำคลิปปลอมขึ้นมา ซึ่งผู้บรรยายเองลองฟังเสียงจากบางคลิปแล้วพบว่า เสียงปริศนามันดังออกมามีคุณภาพดีกว่าเสียงคนพูดในคลิปอันนี้ก็มีเยอะมาก บางคลิปได้ยินเป็นเสียงสังเคราะห์เล่นซ้อนกับเสียงลมก็มี

ส่วนคำอธิบายทางวิทยาศาสตร์ก็มีเว็บไซต์ Sign of the Times ซึ่งเป็นเว็บไซต์รวบรวมข่าวสารที่น่าเชื่อถือแห่งหนึ่งได้พูดถึงเรื่องเสียงปริศนานี้ไว้เช่นกัน โดยบอกว่ามีนักวิทยาศาสตร์ชื่อเอลชิน คาลิลอฟ ตั้งสมมติฐานเกี่ยวกับเรื่องนี้เอาไว้ว่า มันอาจเกิดจากลมสุริยะที่พัดมาเสียดสีกับชั้นบรรยากาศด้านบน ซึ่งเขาเรียกมันว่าชั้นแม็กนีโตสเฟียร์ และให้ข้อสังเกตว่าเสียงปริศนาเหล่านี้มันเริ่มถูกผู้คนได้ยินกันตั้งแต่ช่วงประมาณปี พ.ศ. 2554 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ลมสุริยะแผ่รังสีออกมาอย่างรุนแรง และก็น่าจะเป็นแบบนี้ต่อไปอีกหลายปี เรียกได้ว่าเป็นสมมติฐานที่ฟังดูมีเหตุผลเช่นกัน

ส่วนทาง องค์การนาซ่า ก็ออกมาบอกว่าเสียงแนว ๆ นี้พวกเขาได้ยินกันเป็นปกติจากดาวเคราะห์ดวงอื่น ๆ ในระบบสุริยะจักรวาล และก็บอกอีกว่าจริง ๆ บนโลกของเราก็มีคลื่นเสียงแบบนี้ดังออกมาตลอดเวลาเช่นกัน เพียงแต่ที่ผ่านมามันไม่ได้ส่งเสียงออกมาในความถี่ที่มนุษย์จะได้ยิน และเสียงของมันก็ไม่ได้ดังจนสามารถบันทึกได้ง่าย ๆ นาซ่าก็ยังบอกอีกว่า เสียงปริศนาเหล่านี้มันเป็นเพียงปรากฏการธรรมชาติที่มนุษย์เราจะได้ยินเสียงพวกนี้กันไปตลอดชั่วชีวิต ไปยันชั่วลูกชั่วหลาน เพียงแต่เขาก็ไม่ได้อธิบายว่ามันจะเกิดจากอะไรได้บ้าง นอกจากบอกว่ามันเป็นคลื่นเสียงเท่านั้น
มิติที่ 6 เองก็อยากให้ท่านผู้ชมมองปรากฏการณ์เหล่านี้ว่ามันเป็นปรากฏการธรรมชาติ หรือสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นจากเครื่องมือบางอย่างเช่นกัน เพราะมันดูสมเหตุผลกว่าความพยายามจะมองว่ามันเป็นสัญญาณของวันสิ้นโลก ที่ไปดึงความเชื่อมาเป็นเหตุผลรองรับ

คราวนี้ไหน ๆ เราพูดเรื่องเสียงกันแล้ว เรามาดูกันอีกเรื่องก็คือเสียงปริศนาจากใต้ท้องทะเลที่มีบางคนตั้งชื่อให้กับที่มาของเสียงนี้ว่า The Bloop

-------------
The Bloop

(ภาพจาก: JeffChangArt)

ซึ่งสาเหตุที่เรียกเสียงนี้ว่า The Bloop ก็เพราะในช่วงฤดูร้อนของปี พ.ศ. 2540 ทางองค์การสมุทรและบรรยากาศแห่งชาติ หรือ NOAA ของประเทศสหรัฐฯ สามารถตรวจจับคลื่นเสียงความถี่ต่ำมากได้ในมหาสมุทรแปซิฟิก บริเวณเส้นศูนย์สูตรจากระบบฟังเสียงใต้น้ำของนาวิกโยธินอเมริกา ที่จริง ๆ แล้วพวกเขากำลังใช้เครื่องมือนี้ตรวจหาเรือดำน้ำของสหภาพโซเวียต แต่กลายเป็นว่าพวกเขาสามารถจับเสียงของบลุป (Bloop) ได้เป็นจำนวนหลายครั้ง

ทาง NOAA ออกมาบอกว่าเจ้าเสียงเดอะบลุปมันมีความถี่สูงขึ้นเรื่อย ๆ เป็นเวลากว่าหนึ่งนาที และเป็นเสียงดังในบริเวณกว้างพอที่เซนเซอร์ในระยะกว่า 5,000 กิโลเมตรจะสามารถตรวจจับได้

และมีการระบุว่าเจ้าเดอะบลุปที่ว่านี้มันน่าจะเป็นมาจากสัตว์ยักษ์ใต้ทะเลที่ยังไม่มีใครรู้จักมาก่อน โดยคาดว่าถ้าเป็นแบบนั้นจริง ๆ เจ้าสัตว์ที่ว่านี้มันจะต้องมีขนาดใหญ่กว่าวาฬสีน้ำเงินหลายเท่าตัวกันเลยทีเดียว

โดยในเว็บไซต์ของไทยหลาย ๆ แห่งก็นำข้อมูลนี้มาเสนอให้พวกเราทราบกันในระบบก็อปแปะเหมือนกันทุกตัวอักษร โดยไม่แน่ใจว่ามีที่มามาจากไหนกันแน่ ?

พอเราไปดูที่ วิกิพีเดียไทย ก็พบว่าข้อมูลที่เล่ามานี้ถูกเขียนเอาไว้เหมือนกันเป๊ะ ๆ อีก ทำให้เราต้องลองไปดูในวิกิพีเดียของต่างประเทศบ้าง เผื่อจะมีคำอธิบายอะไรที่มันอัพเดตกว่านี้

แล้วก็เป็นไปตามที่คิดไว้จริง ๆ ใน วิกิพีเดีย ของต่างประเทศมีการปรับปรุงข้อมูลล่าสุดไว้เมื่อช่วงต้นปี พ.ศ. 2560 นี้เอง โดยเขาบอกว่าหลังจากที่มีบางคนออกมาอธิบายว่าน่าจะเป็นเสียงสัตว์น้ำขนาดใหญ่ ทาง NOAA ก็ได้ทำการสำรวจไปรอบ ๆ รัศมีกว่า 5,000 ตารางกิโลเมตร เพื่อหาข้อมูลเพิ่มเติมว่ามันจะมีปัจจัยอะไรอีกหรือเปล่าที่จะทำให้เกิดคลื่นเสียงต่ำขนาดนี้ได้ เพราะเขาเป็นถึงองค์กรการสมุทรและบรรยากาศแห่งชาติของสหรัฐฯ จะให้ทุกอย่างมันมาจบด้วยสิ่งลี้ลับก็ใช่เหตุ โดยเบื้องต้นพวกเขาวิเคราะห์จากคลื่นเสียงผ่านระบบสเป็กโตรแกรมกันแล้วก็คาดว่าน่าจะเป็นเสียงของก้อนภูเขาน้ำแข็งในมหาสมุทร

ที่บอกว่าเป็นเสียงของสัตว์ใต้ทะเลลึกขนาดยักษ์มาจากใคร ?

ในวิกิพีเดียของต่างประเทศระบุว่า คนที่ออกมาตั้งสมมติฐานว่าเจ้าเดอะบลุฟแห่งมหาสมุทรแปซิฟิก คือสัตว์ยักษ์ใต้ทะเลก็คือคุณ David Wolman ซึ่งเขาเป็นนักข่าวและนักเขียนเกี่ยวกับเรื่องแปลกประหลาดนั่นเอง และเหตุการณ์ก็ไม่ได้เกิดที่เส้นศูยน์สูตร แต่มันเกิดที่ขั้วโลกใต้ครับ

งั้นเรากลับมาดูกันต่อว่า NOAA เขาจะได้ข้อมูลอะไรเพิ่มเติมกันหรือเปล่า ?

ซึ่งในที่สุด NOAA ก็พบว่า เสียงที่ว่านี้มันมาจากก้อนน้ำแข็งหรือภูเขาน้ำแข็งที่ลอยอยู่ในมหาสมุทร ระบุชื่อของมันเป็นตัวอักษรและตัวเลขว่า A53a ที่อยู่ทางหมู่เกาะจอร์เจียใต้ พอพบที่มาที่แท้จริงแบบนี้ ทาง NOAA ก็เลยเปิดเผยเพิ่มเติมว่า นักวิทยาศาสตร์ที่ระบุว่ามันน่าจะเป็นก้อนน้ำแข็งในทะเลก็คือ Dr. Yunbo Xie (ด็อกเตอร์เหยินโบว ฉี) เขาเป็นผู้เชี่ยวชาญทางด้านคลื่นเสียง ก็ต้องชั่งน้ำหนักกันดูระหว่างนักวิทยาศาสตร์ผู้เชี่ยวชาญกับนักเขียนข่าวแปลกว่าเราจะเลือกเชื่อใครมากกว่ากัน แต่ที่แน่ ๆ ก็คือ วิกิพีเดียภาษาไทยทุกวันนี้ เราไม่สามารถนำข้อมูลในบางเรื่องมาใช้อ้างอิงได้เลย !

-------------

จ้อนางคำ!! หรือ นางหมา!!
ก่อนจะจากกันไป มิติที่ 6 ก็มีภาพแปลก ๆ มาฝากกันเช่นเคย คราวนี้เป็นภาพที่มาจากคำถามของคุณประมาณ ธูปทอง ที่ถามเรามาเกี่ยวกับเรื่องของ จ้อนางคำ!! หรือ นางหมา กับเรื่องราวที่ถูกเล่ากันว่ามันเป็นภาพของนางจ้อ ที่เมื่อก่อนก็เป็นมนุษย์ร่างกายเหมือนคนทั่วไป แต่ห้าปีต่อมาร่างของเธอก็กลายมาเป็นนางหมาแบบนี้ เพราะไปทำร้ายบุพการีจนถูกท่านสาปแช่งให้กลายเป็นนางหมา


ขอบอกเลยว่าการทำร้ายบุพการีนั้นถือเป็นเรื่องเลวร้าย ไม่ควรกระทำอย่างที่สุดแต่กับภาพนางหมานี้ แท้ที่จริงแล้วเขาเอาภาพมาจากงานศิลปะของศิลปินชาวออสเตรเลีย ชื่อคุณแพทรีเซีย พิซชินีนี่ (Patricia Piccinini) โดยมันถูกจัดแสดงชื่อ LEATHER-LANDSCAPE, 2003 อยู่ที่หอศิลปะ Roslyn Oxley ในเมืองซิดนีย์ ประเทศออสเตรเลีย โดยข้อมูลเปิดเผยนี้เราได้มาจากเว็บไซต์ ดราม่าแอดดิค ของจ่าพิชิต ขจัดพาลชนนี่เองครับ

"แพทรีเซีย พิซชินีนี่" และผลงานของเธอ

(ภาพจาก: Patricia Piccinini และ Avax News)
หลังจากจบรายการมิติที่ 6 แล้ว อย่าลืมกดสับสไครป์ กดไลก์ กดแชร์ หรือทิ้งคอมเมนต์กันไว้ด้วยนะครับ ยังมีเรื่องราวต่าง ๆ อีกมากมายรอคุณอยู่ สำหรับวันนี้... สวัสดี

ดำเนินรายการโดย นิวัฒน์ อ่ำแสง
ขอบคุณที่มา:
http://drama-addict.com/2013/06/03/จ้อนางคำ/
แท็ก: เสียงปริศนาจากฟากฟ้า, HAARP, บลุป, เดอะบลุป, The Bloop, เสียงจากท้องทะเล, จ้อนางคำ!!, นางหมา, ตอบคำถาม

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

ประกาศ

เพื่อเป็นกำลังใจเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้กับเรา ขอความร่วมมือจากผู้ที่นำเรื่องราวจากมิติที่ 6 ไปใช้ในที่ของท่าน กรุณาลงเครดิตกลับมาที่เราจะเป็นพระคุณอย่างสูงครับ