25 กรกฎาคม 2560

มิติที่ 6 เปิดปมปริศนาสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า และสามเหลี่ยมทะเลปีศาจ ดินแดนพิศวงจากฝีมือของใครกันแน่ !?


บนโลกใบนี้ยังมีปริศนาอีกมากมายที่ทำให้เราต้องนอนไม่หลับ บางเรื่องก็มีคำตอบ บางเรื่องก็เกินกว่าจะหาคำอธิบายได้ ซึ่งมันก็แล้วแต่ว่าเราจะเชื่อไปในทิศทางไหน !

กดเพื่อดูคลิปที่นี่

มิตที่ 6 สัปดาห์นี้ เราจะพาท่านผู้ชมไปรู้จักกับเรื่องราวลึกลับทางทะเล ดินแดนสามเหลี่ยมลึกลับสองแห่ง ที่ถูกขนานนามว่าเป็นพื้นที่ต้องห้าม ไม่ว่าจะเรือหรือเครื่องบินที่เดินทางผ่านก็มีอันต้องสูญหายไปอย่างไร้ร่องรอย... มันเกิดขึ้นได้อย่างไร ? และใครกันแน่ที่ทำให้เรื่องเล่าของพวกมันถูกพูดถึงมาจนถึงทุกวันนี้ !?

วันนี้เราจะลงไปดูกันที่ใต้ทะเลสู่ดินแดนสุดอันตราย ที่ไม่ว่าจะเรือหรือเครื่องบินที่ต้องผ่านดินแดนแห่งนี้ น้อยรายนักจะได้กลับออกมา พวกมันหายไปไหน ?
บางคนเชื่อว่า "สามเหลี่มเบอร์มิวด้า" แห่งนี้มีฝาแฝดของมันอยู่อีกที่นั่นก็คือ "สามเหลี่ยมทะเลปีศาจ" ของประเทศญี่ปุ่น จุดเล็ก ๆ ที่ธรรมชาติสามารถบงการให้เรือน้อยใหญ่ต้องพบกับการผจญภัยที่สุดแสนจะอันตราย
และบางคนเชื่อว่าสถานที่เหล่านี้มันน่าจะมีใครสักคนคอยบงการเพื่อกระทำการบางอย่าง บางทีมันอาจจะหมายถึงการกวาดล้างเหล่านักเดินทางผู้ชะตาขาด ให้หายไปจากพื้นผิวทะเลของโลกใบนี้ !!!


สามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า (The Bermuda Triangle)

มันคือสถานที่ ๆ คนทั่วโลกต้องรู้จัก เกี่ยวกับเหตุการณ์แปลกประหลาดหลาย ๆ อย่าง มันคือดินแดนที่เชื่อมต่อกันรูปเป็นสามเหลี่ยม จาก "ไมอามี่" ไปยัง "เกาะเบอร์มิวด้า" และ "เปอร์โตริโก้"

(ภาพจาก: Getty Image)
ทุกวันจะต้องมีการขนส่งสินค้า ทั้งทางเรือและทางอากาศมากมาย ผ่านบริเวณเหล่านี้กันเป็นเรื่องปกติ แต่กลับกลายเป็นว่า มันยังมีอีกเรื่องราวที่พูดถึงพลังงานบางอย่าง สามารถดึงทั้งเครื่องบินและเรือเดินสมุทรให้ต้องจมลงสู่ก้นบึ้งแห่งใต้ทะเลลึก จนแทบจะเรียกได้ว่ามันคือสุสานแห่งท้องทะเลกันเลยทีเดียว !


รูปแบบที่เรารับรู้กันเกี่ยวกับสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้าในทุกวันนี้ ส่วนใหญ่มาจากรายการสารคดีทางโทรทัศน์ หนังสือ และสื่ออินเตอร์เน็ต ที่ส่วนใหญ่ก็พยายามจะใช้หลักการณ์ทางวิทยาศาสตร์ มาหาคำตอบเกี่ยวกับปรากฏการณ์ลี้ลับเรื่องนี้ แต่พอชมกันไปเรื่อย ๆ คำอธิบายก็จะเริ่มกลับไปอ้างถึงด้านพลังงานลี้ลับกันอยู่ดี
บ้างก็อ้างว่ามันเกี่ยวข้องกับเมืองลึกลับแอทแลนติส เอเลี่ยนลักพาตัว บ้างก็มองไปที่พลังแห่งธรรมชาติที่ปกติมันก็ลึกลับมากพอดูอยู่แล้วอย่างเช่น คลื่นยักษ์ การระเบิดของก๊าซมีเทนจากใต้ทะเล ไปจนถึงความผิดปกติทางด้านภูมิศาสตร์ ซึ่งก็มีหลาย ๆ รายการได้จัดทำแบบจำลองเหตุการณ์ขึ้นมาในหลายรูปแบบ

ซึ่งในความเป็นจริงนั้นเราเองก็รับชมกันไปโดยไม่รู้ว่าแบบไหนมันจะถูกหรือจะผิด ซึ่งเรื่องนี้ก็มี ไบรอัน ดันนิ่ง นักวิทยาศาสตร์ที่สนใจในเหตุการณ์เหนือธรรมชาติ และเป็นหนึ่งในนักสืบปริศนาอีกท่านที่มิติที่ 6 ติดตามรายงานของเขาเสมอมา ได้บอกเล่าถึงสิ่งที่เขาค้นคว้าเอาไว้ว่า

"ไบรอัน ดันนิ่ง" นักวิทยาศาสตร์และนักไขปริศนา

การนำเสนอแนวทางการสืบสวนเกี่ยวกับสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้าที่เราดูในรายการสารคดีบางชิ้นนั้น จะนำเสนอออกจะไปในทิศทางการตั้งสมมติฐานว่ามันคืออะไรเป็นหลักใหญ่ จนบางแนวคิดก็ออกจะดูเกินจริงมากไป เพราะถ้าจะสืบสาวราวเรื่องให้ถูกต้องตามหลักวิทยาศาสตร์แล้ว เราควรจะต้องเริ่มกันที่การสังเกต แล้วค่อยทดสอบหาสมมติฐานเพื่อหาคำอธิบาย ซึ่งในรายการสารคดีทุกวันนี้จะไม่สังเกต แต่ตั้งสมมติฐานไปเลย จึงทำให้ไม่สามารถหาข้อสรุปให้คนดูได้จริง ๆ กันสักที

คุณไบรอันแนะนำว่าสิ่งแรกที่เราจะต้องรู้ก่อนก็คือ การวิจัยสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้านั้น เราต้องตัดความแปลกประหลาดที่เราเคยรับรู้มาจากรายการในทีวีทิ้งไปเสียก่อน จากนั้นค่อยไปดูที่ตัวเลขสถิติของอุบัติเหตุว่ามันเกิดขึ้นมากน้อยแค่ไหน ซึ่งคุณไบรอันก็บอกว่าจริง ๆ แล้วอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นในบริเวณสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้านั้น มันไม่ได้มีอัตราสูงกว่าจุดเดินเรือหรือการบินที่อื่น ๆ สักเท่าไหร่
และยิ่งถ้าเจาะลึกลงไปในกรณีที่เกิดเหตุการณ์ลึกลับ จนไม่สามารถหาคำอธิบายได้ มันก็ไม่ได้มีเยอะแยะอย่างที่ในรายการทีวีเขาย้ำกัน และไบรอันก็สรุปว่า ตัวเลขสถิติที่ยืนยันได้ว่ามันไม่มีอาถรรพ์สามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า แต่ที่ทุกอย่างมันกลายเป็นตำนานก็เพราะหนังสือกับรายการทีวีที่มุ่งนำเสนอในด้านนี้กันบ่อย ๆ เท่านั้นเอง !

แต่ถ้าจะให้ฟังเพียงคำอธิบายของไบรอันกันอย่างเดียวก็คงไม่ถูก เพราะคนที่จะตอบเรื่องสถิติเรื่องนี้ได้จริง ๆ มันก็ควรจะเป็นคนที่มีหน้าที่ทางทะเล และก็ควรจะเป็นหน่วยงานที่ดูแลพื้นที่ตรง ๆ ซึ่งก็มีข้อสรุปมาจาก "หน่วยรักษาการชายฝั่งของประเทศสหรัฐอเมริกา (USCG)" ที่สรุปออกมาได้ว่า

หน่วยรักษาการชายฝั่งสหรัฐฯ

หน่วยรักษาการชายฝั่งไม่เคยระบุว่ามีพื้นที่ที่เรียกว่าเบอร์มิวด้าไทรแองเกิล พวกเขาไม่เคยบันทึกรูปพรรณของสัญลักษณ์พื้นที่สามเหลี่ยมที่เคยมีเหตุเรือจมหรือเครื่องบินหายไป และจากการตรวจสอบเกี่ยวกับเหตุเครื่องบินตกหรือเรือจมในบริเวณดังกล่าวในรอบหลายปีที่ผ่านมา ก็ยังไม่เคยมีเหตุการณ์ไหนที่เกิดขึ้น และไม่สามารถหาคำอธิบายถึงสาเหตุการหายไปหรือเกิดเหตุการณ์ผิดปกติได้ชัดเจน

ซึ่งสิ่งที่สรุปได้จากหน่วยรักษาการชายฝั่งก็ไม่ได้หมายความว่ามันไม่เคยมีเหตุลึกลับเกิดขึ้น เพราะพวกเขาเองก็ยอมรับว่ามันมีเหมือนกัน เพราะหลาย ๆ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมันก็ต้องมีบ้างที่อธิบายไม่ได้ เพียงแต่คำว่าอธิบายไม่ได้ของเขานั้นมันไม่ได้หมายถึงอธิบายไม่ได้เลย
พวกเขาบอกว่าที่มันอธิบายไม่ได้ก็เพราะมันขาดหลักฐานแวดล้อม จนไม่ได้ออกมายืนยันว่าเกิดจากอะไรกันเสียมากกว่า แต่ที่พวกเขาบอกได้แน่ ๆ ก็คือทุกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับทั้งเรือเดินทะเล ไปจนถึงเครื่องบินที่หายไปในบริเวณดังกล่าว มันจมลงไปใต้ท้องทะเลทั้งหมด

เรียกได้ว่าเป็นคำตอบแบบกำปั้นทุบดินจากหน่วยรักษาการชายฝั่งฯ แล้วแบบนี้ทำไมเรื่องลึกลับจากสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้ามันยังคงถูกเล่ากันอยู่ ?

คำถามแบบนี้มันไม่เคยมีคำตอบจนกระทั่งในปี ค.ศ. 1945 ตอนนั้นมีเที่ยวบินฝึกหัด 5 ลำ ของกองทัพเรือสหรัฐอเมริกา หรือเที่ยวบิน Flight 19 พวกเขาบินอย่างยาวนานจนน้ำมันหมด และหายไปโดยไม่มีใครพบเห็นอีกเลย

"ชาร์ส เทลเลอร์" ครูฝึกสูญหายพร้อมลูกเรือ
(ภาพโดย: US Navy)




ซึ่งเหตุการณ์นี้ต่อมาก็มีนักเขียนชื่อ วินเซนต์ แก็ดดิส ได้นำมาแต่งเป็นนิยายลงในนิตยาสารชื่ออาร์กอสซี่ ในปี ค.ศ. 1964 ด้วยชื่อเรื่องว่า "The Deadly Bermuda Triangle" หรือสามเหลี่ยมมรณะเบอร์มิวด้า ซึ่งถือว่าน่าจะเป็นครั้งแรกที่มีการใช้ชื่อสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้าออกมาให้เห็น แต่ในสมัยนั้นก็ยังไม่ได้โด่งดังมากนัก

"วินเซนต์ แก็ดดิส"
จนมาถึงปี ค.ศ. 1974 ตอนนั้นมีนักเขียนแนวเรื่องลี้ลับชื่อ ชาร์ล เบอร์ลิทซ์ ได้ออกหนังสือชื่อ "The Bermuda Triangle" ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นหนังสือที่พลิกวงการของยุคนั้นเลยทีเดียว ซึ่งมันก็ได้ทำให้ชื่อสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้ากลายมาเป็นตำนานจนถึงทุกวันนี้ !

"ชาร์ล เบอร์ลิทซ์"

ต่อมาก็มีนักวิจัยเหตุการณ์ปริศนาท่านหนึ่งชื่อว่า ลาร์รี่ คัสช์ ได้ออกมาเปิดเผย ซึ่งจริง ๆ น่าจะเรียกว่าแฉมากกว่า คือคุณลาร์รี่กล่าวต่อหน้าสาธารณชนว่า ชาร์ล เบอร์ลิทซ์นั้นเขียนเล่าเรื่องสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้าเอาไว้ดีมาก แต่มันเป็นเพียงงานเขียนที่เอามาจากนิยายของคุณวินเซนต์อีกทีเท่านั้นเอง !

"ลาร์รี่ คัสช์" กับงานแฉของเขา
แต่ก็เป็นที่น่าเสียดายที่เรื่องแบบนี้กลับไม่ได้เป็นที่พูดถึงเหมือนกับเรื่องแต่ง นั่นจึงทำให้เรื่องราวที่มาจากหนังสือของชาร์ล เบอร์ลิทซ์นั้น ยังคงถูกเล่าต่อกันมาจนกลายเป็นตำนานถึงทุกวันนี้

ซึ่งเหตุการณ์แฉที่ว่านี้ เคยมีนักวิจัยชื่อ โรเบิร์ต แครอล สรุปออกมาว่า...

"โรเบิร์ต แครอล"
หลังจากการตรวจสอบเอกสารทางการ ของกองทัพเรือของสหรัฐอเมริกากว่า 400 หน้า เกี่ยวกับเหตุการณ์หายไปของเครื่องบินกองทัพเรือในปี ค.ศ. 1945 ซึ่งก็หมายถึงเที่ยวบินในตำนานของเรื่องนี้ ลาร์รี่ คัทช์พบว่าทางกองทัพไม่ได้มองว่าเป็นเรื่องแปลกประหลาดแต่อย่างใด ไม่มีรายงานการส่งข้อความมาจากวิทยุสื่อสารจากคนบนเครื่องว่าเจออะไรแปลก ๆ เหมือนกับที่ในตำนานเล่าเอาไว้เลย !

และถึงแม้มันจะเป็นการสูญเสียที่หาคำอธิบายไม่ได้ แต่มันก็เป็นเหตุสุดวิสัยที่สามารถเกิดขึ้นได้ทุกที่ทุกเวลา และนั่นก็อาจจะทำให้หมายความได้ว่า สามเหลี่ยมเบอร์มิวด้านั้นเป็นเพียงเรื่องที่ถูกสร้างขึ้นมาจากจินตนาการของนักเขียนหรือไม่ ?

ซึ่งข้อความข้างต้นนั้นเป็นข้อความจากนักวิจัยชื่อคุณโรเบิร์ต แครอล อย่างไรแล้วท่านผู้ชมก็ต้องใช้วิจารณญาณกับบทสรุปนี้เช่นกัน ซึ่งท่านผู้ชมคิดว่าสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้าคืออะไร ? เป็นเรื่องจริงหรือเป็นเรื่องที่ถูกแต่งขึ้นมา ก็อย่าลืมโหวตผ่านระบบสอบถามกันนะครับ


สามเหลี่ยมทะเลปีศาจ (The Devil's Sea)


ทะเลแห่งปีศาจ หรือ The Devil's Sea นอกจากชื่อนี้ก็ยังมีคนเรียกมันว่า สามเหลี่ยมแห่งมังกร และสามเหลี่ยมแห่งไต้หวัน ซึ่งก็เหมือนกับสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้าที่มีบางคนเรียกมันว่าสามเหลี่ยมปีศาจ ที่ตั้งของมันขึ้นอยู่กับนักเขียนคนไหนจะระบุ แต่จุดที่น่าจะชี้ชัดนั้นมักจะเริ่มจากเกาะไต้หวันขึ้นไปทางภูเขาไฟมิยาเกะจิมะ ที่อยู่ทางตอนใต้ของโตเกียวเชื่อมกับอิโวจิมะหรือบริเวณใกล้เคียง

มิยาเกะจิมะและอิโวจิมะนั้นอยู่ในแถบแนวภูเขาไฟอิซูโบนิน ซึ่งเป็นแนวภูเขาไฟใต้น้ำและเป็นส่วนหนึ่งของหมู่เกาะที่แยกตัวออกมาจากเกาะญี่ปุ่น กินอาณาเขตประมาณ 2,500 กิโลเมตรไปทางเกาะกวม และที่นี่ก็มีความอันตรายใกล้เคียงกับสิ่งที่ชาร์ล เบอร์ลิทซ์ได้บอกไว้ว่า "สามเหลี่ยมทะเลปีศาจ" มีความลึกลับและน่ากลัวพอ ๆ กับ "สามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า"

โดยเรื่องนี้มาจากหนังสือชื่อ "The Dragon's Triangle" หรือ "สามเหลี่ยมมังกร" ที่ถูกตีพิมพ์ไว้เมื่อปี ค.ศ. 1989 ของชาร์ส เบอร์ลิทซ์ โดยเขาเล่าว่า ประเทศญี่ปุ่นเองก็เคยต้องสูญเสียเรือของกองทัพไปถึง 5 ลำ ตั้งแต่ช่วงปี ค.ศ. 1952 ถึง 1954 ไพร่พลที่ต้องหายสาปสูญไปก็มากกว่า 700 นาย

ในหนังสือ Curses, Hexes & Spells ของแดน โคเฮน ที่ถูกตีพิมพ์เมื่อปี ค.ศ. 1974 เล่าถึงตำนานอันตรายแห่งสามเหลี่ยมทะเลมังกรนี้ โดยย้อนเวลากลับไปประมาณร้อยปีก่อน เคยมีอุบัติเหตุที่ค่อนข้างโด่งดังในญี่ปุ่นก็คือเรือ "ไคโยมารุ หมายเลข 5" เป็นเรือวิจัยทางวิทยาศาสตร์ที่หายสาปสูญไปอย่างไร้ร่องรอย วันนั้นตรงกับวันที่ 24 กันยายน ค.ศ. 1953 ซึ่งก็มีบางรายงานระบุเป็นปี ค.ศ. 1952 ไม่ก็ปี ค.ศ. 1958

"เรือไคโยมารุ หมายเลข 5" ที่หายไป
(ภาพจาก: Wikipedia)

ด้วยประวัติศาสตร์ที่เกิดขึ้นนี้ มันก็ดูน่าตื่นเต้นจนทำให้เราคิดกันว่า ข่าวนี้มันจะต้องถูกพูดถึงเป็นวงกว้างในญี่ปุ่นแน่ ๆ แต่ในความเป็นจริงนั้นกลับไม่มีหนังสือหรือนิตยสารใดในสมัยนั้นพูดถึงเรื่องนี้กันเลย
จนเวลาผ่านไป 20 ปีเต็ม ๆ เรื่องราวการหายสาปสูญไปของเรือไคโยมารุถึงได้เริ่มมีการพูดถึงกันบ้าง แต่มันก็ไม่ได้ถูกพูดถึงกันเหมือนกับสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้าเลย เรื่องมันเกิดขึ้นที่ไหน ? อย่างไร ? แทบจะไม่มีใครสนใจเสียด้วยซ้ำ จนมาถึงเร็ว ๆ นี้ เรื่องราวของมันถึงค่อยถูกเปิดเผยกันจริงจัง

อีวาน ที แซนเดอร์สัน นักสัตว์ลึกลับวิทยาและผู้เชี่ยวชาญด้านอาถรรพ์ เขามีชื่อเสียงในกรณีการค้นหาบิ๊กฟุต แต่กับสังคมนักสืบแนวปริศนาสมัยนั้นเขากลับไม่ค่อยจะเป็นที่รู้จักสักเท่าไหร่ ตั้งแต่ช่วงปี ค.ศ. 1960 ถึง ค.ศ. 1970 นั้น ฟาร์มของเขามักจะมีเหล่านักผจญปริศนาแวะเวียนมาเยี่ยมเยียน เนื่องจากเขาอ้างว่ามันคือส่วนหนึ่งของดินแดนสามเหลี่ยมอาถรรพ์จุดหนึ่ง ที่เขาได้เคยตั้งสมมติฐานเอาไว้

"อีวาน ที แซนเดอร์สัน" 
เนื่องจากในปี ค.ศ. 1971 อีวานได้เขียนเรื่องราวเกี่ยวกับบางสิ่งที่เขาเรียกว่า วิลวอร์ทิซ มันคือจุด 12 แห่งที่ปรากฏกระจายไปทั่วโลก โดยเขาเชื่อว่าเจ้าจุดเหล่านี้ก็คือช่องทางที่จะพาเราไปยังมิติอื่น ๆ ซึ่งในปี ค.ศ. 1972 เรื่องราวนี้ก็ได้ถูกตีพิมพ์ซ้ำในนิตยสารชื่อ "Saga" พาดหัวเรื่องไว้ชื่อ "The Twelve Devil's Graveyards Around the World" หรือ 12 สุสานปีศาจทั่วโลก และในการตีพิมพใหม่รอบนี้ได้มีการเพิ่มเติมจุดที่บ่งบอกว่า

"วิลวอร์ทิซ"
เขาพบว่ามันยังมีสามเหลี่ยมอีก 10 แห่งกระจายอยู่ทั่วโลก ทุกแห่งมีขนาดเท่ากัน รูปร่างลักษณะเหมือน ๆ กับสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า อ้างอิงจุดต่าง ๆ จากกลุ่มดาวบนท้องฟ้าที่เรียกได้ว่าคนธรรมดาอย่างเรา ๆ ถ้าได้ไปอ่าน จะต้องทึ่งกับวิธีคำนวนว่าสามเหลี่ยมแต่ละแห่งอยู่ที่ไหน
แต่ที่พอจะสรุปเป็นภาษาชาวบ้านกันได้นั้นก็คือ เขาจะแบ่งสามเหลี่ยมทั้งสิบแห่งออกเป็นสองแถบ คือแถบด้านบนกับด้านล่างอย่างละ 5 แห่ง โดยนอกจากพื้นที่ในฟาร์มของเขาแล้วก็มีเจ้าสามเหลี่ยมทะเลปีศาจเป็นหนึ่งในสามเหลี่ยมที่ว่านี้ด้วย
โดยเจ้าวิลวอร์ทิซของอีวานนี้เป็นหนึ่งในทฤษฎีที่โด่งดังมาก ซึ่งต่อมาก็มีกลุ่มนักวิจัยปริศนารุ่นใหม่ใช้ทฤษฏีนี้ประกอบกับการมีอยู่ของสถานที่สำคัญของโลก ตั้งแต่เพ็นทากอน ปิรามิดกีซ่า มาชูพิกชู ที่เรามักจะได้ยินชื่อกันในด้านสถานที่ปริศนาของโลก ซึ่งรายละเอียดจริง ๆ ของเรื่องพวกนี้ เราเองก็ไม่ทราบมากมายไปกว่าที่เคยดูในรายการสารคดีเช่นกัน เพราะมันละเอียดมากจนจำกันไม่ไหวเลยนั่นเอง

คราวนี้เรากลับมาที่งานเขียนของอีวานที่ชาร์ล เบอริทซ์เขียนถึงในหนังสือเดอะเบอร์มิวด้าไทรแองเกิลของเขา โดยเนื้อหากล่าวถึงเจ้าวิลวอร์ทิซที่อีวานวาดไว้ มันทำให้เขานึกถึงทะเลปีศาจของญี่ปุ่น โดยมันถูกระบุว่าเป็นดินแดนลี้ลับแบบเดียวกับสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้าหรือไม่ ? และเรื่องนี้ก็ได้กลายเป็นประเด็นขึ้นมา
โดยถือว่ามันคืออาณาบริเวณปริศนาแห่งใหม่ ที่มีเรื่องเล่าเก่าแก่กว่า 100 ปี ทั้งที่จริง ๆ มันมีเรื่องเล่าพูดถึงเพียงเรื่องเดียว นั่นก็คือการหายสาปสูญของเรือไคโยมารุหมายเลข 5 นั่นเอง

ถ้าจะให้สรุปสั้น ๆ ก็น่าจะพูดว่า สามเหลี่ยมแห่งทะเลปีศาจนั้นมันไม่เคยมีมาก่อน จนกระทั่งคุณอีวาน แซนเดอร์สันกับนักเขียนหลาย ๆ ท่าน ได้นำมาเล่าไว้ในหนังสือ

แต่ถ้าจะให้พูดกันจริง ๆ ตอนต้นเราบอกว่ามันมีเรืออีกสามสี่ลำที่หายไปอย่างปริศนา ที่ถูกเล่าจากหนังสือของชาร์ล เบอริทซ์ ที่อ้างถึงสามเหลี่ยมทะเลปีศาจในหนังสือของเขานั้น ก็มีลารี่ คัสช์ท่านเดิมที่ออกมาแฉโดยระบุว่า
จากบันทึกของชาร์ลส์ เบอริทซ์ ที่บอกว่ามีเรือของกองทัพญี่ปุ่นหายสาปสูญไปหลายลำนั้น แท้ที่จริงแล้วมันเป็นเรือหาปลาทั้งสิ้น และเรือหาปลาของญี่ปุ่นนั้นมักจะหายสาปสูญไปบ่อย ๆ ทั่วเกาะญี่ปุ่น และไม่ว่าวิลวอร์ทิซของอีวาน แซนเดอร์สันมันจะมีจริงหรือไม่ การหาปลาในแถบทะเลลึกมันก็อันตรายสุด ๆ อยู่แล้ว ซึ่งมันก็คงไม่ใช่เรื่องแปลกที่เรือหาปลาจะถูกเกลียวคลื่นยักษ์ในทะเลซัดหายไป โดยไม่จำเป็นต้องใช้ปริศนาอะไรมากล่าวอ้างเลย

และเรื่องราวการหายไปของเรือไคโยมารุหมายเลข 5 ที่เกิดขึ้นในช่วงปี ค.ศ. 1953 นั้น ไม่ได้เป็นเรื่องราวปริศนาตามที่คนญี่ปุ่นก็มองแบบนั้น ลูกเรือที่เป็นนักวิทยาศาสตร์ 9 ชีวิต และลูกเรือปกติอีก 22 ชีวิต ที่ออกเดินทางสำรวจแนวภูเขาไฟเมียวจินโช จนต้องพบกับเหตุการณ์อันน่าเศร้า ทุกอย่างเกิดขึ้นจากการกระทำของธรรมชาติ ไม่ว่าจะคลื่นยักษ์จากแรงลมและคลื่นยักษ์สึนามิกลางทะเล ที่เกิดขึ้นจากแผ่นดินเคลื่อนตัวในบริเวณสำรวจ

คณะสำรวจแนวภูเขาไฟใน "เรือไคโยมารุ"
โดยในภายหลังนั้นมีการพบเศษซากของเรือลำนี้ และมันก็คือหลักฐานที่ดีในการที่จะบอกเราว่า โลกอีกมิตินั้นมันอาจจะมีอยู่จริงเพียงในจินตนาการ ซึ่งข้อมูลทั้งหมดนี้ก็มาจากงานวิจัยของไบรอัน ดันนิ่ง ที่ค้นคว้ามาจากบันทึกต่าง ๆ ทั้งจากฝ่ายที่คิดค้นปริศนาและฝ่ายที่ออกมาคัดค้าน

ซากเรือไคโยมารุที่เคยสูญหาย

เพราะทั้งหมดนี้มันก็ขึ้นอยู่กับตัวเราเช่นกันว่าเลือกจะเชื่อถือเรื่องราวด้านใดกันมากกว่า เพราะในปัจจุบันก็ยังมีผู้คนมากมายเลือกที่จะเชื่อเช่นกันว่า "สามเหลี่ยมทะเลปีศาจ" มีความเร้นลับเช่นเดียวกันกับ "สามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า"
นั่นจึงทำให้มิติที่ 6 อยากจะถามท่านผู้ชมดีกว่าว่า สามเหลี่ยมทะเลปีศาจของญี่ปุ่นคืออะไร ? ระหว่างประตูมิติลี้ลับ กับเป็นเพียงเรื่องที่ถูกแต่งขึ้นมา ลองโหวตกันดูนะครับ !


หลังจากจบรายมิติที่ 6 แล้ว อย่าลืมกดสับสไครป์ กดไลก์ กดแชร์ หรืออย่าลืมทิ้งคอมเมนต์กันไว้ด้วยนะครับ ยังมีเรื่องราวต่าง ๆ อีกมากมายรอคุณอยู่ สำหรับวันนี้... สวัสดี

แปลและเรียบเรียงโดย นิวัฒน์ อ่ำแสง
ที่มา: Skeptoid

แท็ก: Bermuda Triangle, Devils Sea, สามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า, สามเหลี่ยมทะเลปีศาจ, ทะเลแห่งปีศาจ, สามเหลี่ยมแห่งมังกร, สามเหลี่ยมแห่งไต้หวัน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

ประกาศ

เพื่อเป็นกำลังใจเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้กับเรา ขอความร่วมมือจากผู้ที่นำเรื่องราวจากมิติที่ 6 ไปใช้ในที่ของท่าน กรุณาลงเครดิตกลับมาที่เราจะเป็นพระคุณอย่างสูงครับ