7 ธันวาคม 2559

มิติที่ 6 เปิดปมปริศนา การหายตัวไปของชาวหมู่บ้านเอสกิโมริมทะเลสาบอันจิคุนิ !!!




ผู้คนมากมายบนโลกใบนี้ล้วนเชื่อว่า พวกเราไม่ได้เป็นสิ่งมีชีวิตพวกเดียวที่อาศัยอยู่ในจักรวาลแห่งนี้ ข้างนอกนั้นยังมีสิ่งมีชีวิตจากดาวดวงอื่นมากมาย สิ่งมีชีวิตที่มีเทคโนโลยีสูงส่งกว่าเรา คอยเดินทางแวะเวียนมาเยี่ยมเยียนเราอยู่เสมอ ด้วยวัตถุประสงค์ต่าง ๆ กันไป บางแห่งมีรายงานการพบยูเอฟโอ บางแห่งรายงานว่ามีผู้คนถูกมนุษย์ต่างดาวลักพาตัวไป ซึ่งเรื่องเหล่านี้มันได้ทำให้ผู้คนบนโลกอย่างเรา รู้สึกหวาดวิตกกับจุดประสงค์ของมนุษย์ต่างดาวว่า พวกเขาตั้งใจจะทำอะไรกับพวกเรากันแน่ ?
มิติที่ 6 สัปดาห์นี้ เราจะขอเปลี่ยนบรรยากาศนำท่านไปรู้จักกับเรื่องราวที่ถูกผู้ชมขอมาอย่างมากมายเรื่องหนึ่ง เรื่องราวเกี่ยวกับปริศนาลึกลับที่ถูกเล่าสืบต่อกันมายาวนานจากสื่อสิ่งพิมพ์ในอดีต มาจนถึงสื่อเว็บไซต์ในปัจจุบัน เรื่องราวของการหายตัวไปอย่างปริศนาของคนทั้งหมู่บ้าน ว่าพวกเขาเหล่านั้นถูกบางสิ่งบางอย่างลักพาตัวไป และถูกลักพาตัวไปทำไม ?

โดยก่อนจะเล่าเรื่องราวนี้ มิติที่ 6 อยากจะบอกกับท่านผู้ชมก่อนว่า ทางรายการไม่ได้มีเจตนาจะสนับสนุน หรือลดความน่าเชื่อถือของเว็บไซต์ที่ได้เคยนำเรื่องราวเรื่องนี้ออกเผยแพร่แต่อย่างใด มิติที่ 6 ต้องการเพียงจะนำเสนอข้อมูลอีกด้านที่เราพบ ให้ท่านผู้ชมได้ใช้วิจารณญาณในการคิดจากข้อมูลอีกด้านเพียงเท่านั้น


โดยเรื่องราวนี้เริ่มต้นจากการมีเว็บไซต์หลายแห่งได้นำเสนอบทความที่อ้างว่าเป็นเรื่องจริงเรื่องหนึ่ง เกี่ยวกับการหายตัวไปของชาวเอสกิโมทั้งหมู่บ้าน ที่อาศัยอยู่ในบริเวณทะเลสาบอันจิคุนิ ซึ่งมีเนื้อหาโดยสรุปดังต่อไปนี้

ในปี ค.ศ. 1930  ณ สถานที่แห่งหนึ่ง มันคือทุ่งน้ำแข็งอันรกร้างทางตอนเหนือของประเทศแคนาดา เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในช่วงเดือนพฤศจิกายนซึ่งเป็นปลายฤดูใบไม้ร่วง สถานที่แห่งนี้เป็นทุ่งกว้างใหญ่ที่ถูกปกคลุมไปด้วยหิมะและลมแรง

โจ ลาเบลล์ นายพรานผู้เลี้ยงชีพด้วยการจับสัตว์ขนปุยเพื่อนำไปทำเครื่องแต่งกาย เขาได้เดินทางไปยังหมู่บ้านของชาวเอสกิโมที่เขารู้จักเป็นอย่างดี เพื่อที่จะได้นำสิ่งที่จับมาได้ ให้ชาวบ้านนำไปแปรรูปเป็นสินค้าออกจำหน่ายกันต่อไป ซึ่งการเดินทางครั้งนี้มันก็ดูจะไม่มีอะไรผิดปกติไปจากที่เคย และเมื่อเขาได้มาถึงยังหน้าหมู่บ้าน โจก็ได้ส่งเสียงตะโกนทักทายไปตามธรรมเนียมของที่นี่ แต่ทว่ามันกลับไม่มีเสียงของใครตอบรับเขาเลย


โจเดินตรวจสอบไปรอบ ๆ หมู่บ้าน เขาก็เริ่มรู้สึกถึงบรรยากาศที่แปลกประหลาด เพราะตอนนี้โจไม่พบชาวบ้านเลยแม้แต่คนเดียว ทั้งที่จริง ๆ แล้วหมู่บ้านแห่งนี้น่าจะมีชาวเอสกิโมอาศัยอยู่ประมาณ 2,000 คน และช่วงเวลาที่โจไปถึง มันก็น่าจะเป็นช่วงเวลาที่ชาวเอสกิโมกำลังกลับจากการทำงานข้างนอกแล้ว


ที่ท่าน้ำมีเรือคายัคจอดอยู่ แต่ก็กลับไม่มีสัญญาณของสิ่งมีชีวิตใดๆ เลย โจจึงลองเดินไปยังกระท่อมของชาวเอสกิโมทีละหลัง ซึ่งมันก็เหมือนเดิม คือไม่มีใครอยู่ที่นี่หรืออยู่ในบริเวณไหนเลย ทั้ง ๆ ที่เขายังเห็นว่าภายในบ้านแต่ละหลังนั้นยังมีอาหารบางส่วนถูกเก็บไว้ แม้แต่เสื้อผ้าที่ทำจากขนแมวน้ำ มันก็ยังคงแขวนอยู่ในที่ของมัน

โจเห็นประกายไฟอยู่ห่างออกไปจากจุดที่เขายืนอยู่ เขาจึงค่อย ๆ เดินไปยังที่จุดนั้นด้วยความระมัดระวัง เพราะตอนนี้เขาเริ่มสัมผัสได้ถึงบางสิ่งบางอย่าง บางอย่างที่ทำให้เขานึกถึงปีศาจแห่งรัตติกาล มันอาจกำลังร่ายรำอยู่ใต้แสงจันทร์อยู่ตรงบริเวณจุดนั้นก็ได้ แต่พอโจเดินเข้าไปถึงบริเวณดังกล่าว เขาก็พบแต่กองไฟที่มีหม้อต้มเนื้อจนไหม้เกรียมคาอยู่ อย่าว่าแต่คนเลย ที่นี่ไม่มีแม้แต่เงาของสิ่งมีชีวิตให้เขาเห็นแม้แต่น้อย

มันเกิดอะไรขึ้นกับชาวบ้านกว่า 2,000 คน ของหมู่บ้านแห่งนี้กันแน่ ? หลังจากที่โจครุ่นคิดอยู่ครู่ใหญ่ เขาจึงตัดสินใจรีบวิ่งอย่างไม่หยุดพัก เพื่อจะได้ไปยังศูนย์ส่งโทรเลขที่ใกล้ที่สุด และรีบส่งข้อความบอกสิ่งที่เขาได้พบครั้งนี้ให้กับกองตำรวจม้าของประเทศแคนาดาทราบทันที

ไม่กี่ชั่วโมงต่อมา เจ้าหน้าที่ตำรวจก็ได้เดินทางมายังที่เกิดเหตุ และพวกเขาก็ต่างรู้สึกงุนงงกับการหายไปของชาวบ้านทั้งหมู่บ้านแห่งนี้เช่นกัน หลายหน่วยงานช่วยกันรวบรวมผู้คน ตั้งกลุ่มเพื่อออกสำรวจตามหาชาวบ้านกันอย่างเต็มที่ และสิ่งที่พวกเขาพบเพิ่มเติมก็คือ ซากรถเลื่อนที่ใช้สุนัขลากจำนวนหนึ่ง ถูกฝังอยู่ใต้พื้นหิมะกว่า 12 ฟุต โดยจุดที่พบนี้มันก็อยู่ห่างออกไปจากบริเวณหมู่บ้านไม่มากนัก ซึ่งก็แน่นอนว่าสุนัขที่ติดอยู่กับรถเลื่อนนั้นล้วนนอนแข็งตายไปหมดแล้ว


เจ้าหน้าที่ตรวจสอบพบอีกว่า บางสิ่งบางอย่างมันดูผิดปกติออกไป อย่างเช่นชาวเอสกิโมที่นี่ทิ้งถิ่นฐานไปโดยไม่ได้นำอาหารใด ๆ ไปเลย  แถมบริเวณที่ชาวเอสกิโมใช้ทำเป็นสุสานฝังศพ ก็พบว่ามันได้ถูกใครบางคน ไม่ก็อะไรบางอย่างขุดศพไป เหลือทิ้งไว้เพียงหลุมอันว่างเปล่า

หลังจากค่ำคืนแห่งความผิดปกตินี้ผ่านพ้นไป เจ้าหน้าที่ได้ทำการออกตรวจสอบไปยังหมู่บ้านใกล้เคียงหลายแห่ง มีชาวเขาบริเวณใกล้เคียงล้วนบอกกับเจ้าหน้าที่ว่า พวกเขาพบเห็นปรากฏการณ์ประหลาดมีลักษณะเป็นลำแสงสีน้ำเงิน ส่องพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้าอยู่เหนือบริเวณหมู่บ้านแห่งนั้นในคืนดังกล่าว ซึ่งพวกเขาล้วนมั่นใจว่าสิ่งที่พวกเขาเห็นนั้น มันไม่ใช่แสงเหนือที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติอย่างแน่นอน เพราะลำแสงที่พวกเขาเห็นมันมีลักษณะฉายออกไปนิ่ง ๆ  ดูแล้วมันน่าจะถูกบางสิ่งบางอย่างสร้างขึ้นมาเสียมากกว่า ซึ่งต่อมาลำแสงดังกล่าวก็ค่อย ๆ จางหายไป

เรื่องนี้ก็ได้ทำให้หนังสือพิมพ์ทั่วโลก นำเสนอข่าวการหายตัวไปของชาวเอสกิโมทั้งหมู่บ้านกว่า 2,000 คน และมันก็ได้ทำให้ผู้คนมากมายเชื่อกันว่า ลำแสงดังกล่าวนั้นน่าจะเป็นสาเหตุของการหายตัวไปของชาวบ้าน และเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ มันก็ได้กลายเป็นเหตุการณ์ปริศนาอีกเรื่อง ที่ไม่มีใครสามารถหาคำตอบได้มาจนถึงทุกวันนี้ และมันก็ถือเป็นปรากฏการณ์ลึกลับที่ประเทศแคนาดาจารึกเอาไว้ในประวัติศาสตร์

สำหรับเหตุการณ์การหายตัวไปของชาวบ้านเอสกิโมบริเวณทะเลสาบอันจิคุนิเรื่องนี้ มีท่านผู้ชมหลายท่านได้แนะนำกับมิติที่ 6 ให้ลองหารายละเอียดเพิ่มเติม ว่าเรื่องราวของหมู่บ้านเอสกิโมเรื่องนี้มันคืออะไรแน่ ? โจ ลาเบลล์ผู้แจ้งเหตุคนนี้มีตัวตนจริงหรือไม่ ? และเรื่องทั้งหมดมันคือเรื่องจริง หรือเป็นเพียงเรื่องที่ถูกแต่งขึ้นมา ? เพราะในปัจจุบันมีเว็บไซต์หลายแห่งทั้งต่างประเทศและประเทศไทย หยิบยกมานำเสนอกันเพียงส่วนของเรื่องเล่า แต่ไม่มีที่แห่งใดค้นหาข้อมูลอื่น ๆ มาประกอบเลย ซึ่งมิติที่ 6 ก็ได้พยายามสืบหารายละเอียดข้อมูลที่น่าจะอธิบายความเป็นมาและความน่าจะเป็นที่ถูกต้อง เพื่อให้ท่านผู้ชมได้รับทราบกันดังนี้

...........................

ทะเลสาบอันจิคุนิ เป็นทะเลสาบที่เกิดขึ้นอยู่ทางตอนเหนือสุดของประเทศแคนาดา โดยสถานที่แห่งนี้ถูกเรียกว่า "แถบนูนาวุต" ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีอากาศหนาวเย็นและมีประชากรอาศัยอยู่เบาบาง โดยถ้าจะประมาณการเป็นอัตราส่วนต่อพื้นที่ 50 ตารางกิโลเมตรแล้ว ภายในนั้นจะมีแต่ทุ่งก้อนหินและหิมะ ไม่สามารถใช้ทำประโยชน์อะไรได้ จำนวนประชากรก็น้อยกว่าประเทศกรีนแลนด์กว่าครึ่งหนึ่ง


ผู้คนที่นี่ล้วนใช้ภาษาอินุกทิทุต หรือภาษาเอสกิโม มีเมืองหลักชื่ออกาลุท (Iqaluit) ที่มีประชากรน้อยกว่า 7,000 คน ตั้งอยู่ทางเหนือจากบริเวณที่ตั้งของทะเลสาบอันจิคุนิแห่งนี้ไปไกลมาก ดังนั้นแถบนุนาวุตมันก็ควรจะเรียกได้ว่า เป็นภูมิภาคที่ไม่มีคุณสมบัติในการจะใช้ชีวิต และน่าจะถือเป็นดินแดนที่ไร้ประโยชน์อย่างสิ้นเชิงของประเทศแคนาดาเลยทีเดียว

เมือง "อกาลุท (Iqaluit)" ปัจจุบัน

ส่วนทะเลสาบอันจิคุนิมันก็คือทะเลสาบที่เกิดขึ้นมาจากแอ่งน้ำหลาย ๆ แห่ง เชื่อมโยงเข้าด้วยกันเป็นเวลานาน โดยเริ่มจากก้อนน้ำแข็งจากโลกโบราณ ค่อย ๆ ละลายไหลมารวมตัวกัน ไม่ใช่ทะเลสาบที่เกิดขึ้นจากน้ำทะเลไหลเข้ามาขังในแอ่ง จนเกิดเป็นบ่อทะเลสาบดังเช่นที่อื่น ๆ ดังนั้นมันก็ไม่น่าจะมีสิ่งมีชีวิตประเภทปลาหรือแมวน้ำใด ๆ เข้ามาอาศัยอยู่ได้แน่ ๆ

ทีนี้เรื่องราวที่ถูกเล่าขานกันมาเกี่ยวกับโจ ลาเบลล์ ที่ไปพบเหตุการณ์ประหลาด ณ ที่แห่งนี้ จริง ๆ แล้วมันถูกเล่ามาจากใคร ? และที่ไหนเป็นแห่งแรกกันแน่ ?

จากข้อมูลที่พอจะหามาได้นั้น มิติที่ 6 พบว่าเรื่องราวการหายตัวไปของชาวหมู่บ้านเอสกิโมในแถบทะเลสาบอันจิคุนิเรื่องนี้ มันได้ถูกเล่าไว้ในหนังสือชื่อสเตรนเจอร์แดนไซแอนซ์ ที่ได้ตีพิมพ์ออกจำหน่ายในช่วงปี ค.ศ. 1959 โดยนักเขียนชื่อแฟรงค์ เอ็ดเวิร์ด ซึ่งเรื่องดังกล่าวนี้ปรากฏอยู่ที่หน้า 303 มีความยาว 3 หน้ากระดาษ โดยในเรื่องราวนี้แฟรงค์ได้เขียนเอาไว้ว่า...


"กองตำรวจม้าของประเทศแคนาดาได้เดินทางไปยังหมู่บ้านแห่งนี้กับโจ ลาเบลล์ และได้ยืนยันว่าทุก ๆ อย่างที่โจเล่านั้นเป็นความจริง นั่นก็คือเกิดเหตุชาวบ้านทั้งหมู่บ้านหายไปอย่างไร้ร่องรอยโดยทิ้งข้าวของทุกอย่างไว้เบื้องหลัง ไม่ว่าจะเป็นอุปกรณ์ยังชีพ เรือคายัคที่ยังคงตั้งไว้ริมหาด อาหารที่ถูกแขวนและทำค้างไว้"


โดยยังเล่าอีกว่า "เจ้าหน้าที่ตำรวจได้พบกับซากของสุนัขนอนแข็งตาย อย่างไม่เข้าใจว่าทำไมมันถึงไม่ถูกผู้คนพาไปด้วย โดยเอ็ดเวิร์ดได้เขียนไว้อีกว่า หลังจากการสอบถามไปยังชาวบ้านที่เคยอาศัยอยู่ในที่แห่งนี้ จากสถานที่ใกล้เคียงต่าง ๆ เป็นเวลาครึ่งเดือน ก็ไม่มีใครสามารถอธิบายหรือให้เบาะแสใด ๆ แก่เจ้าหน้าที่ตำรวจได้เลย จนสุดท้ายพวกเขาก็ไม่สามารถหาข้อสรุปเหตุการณ์ได้มาจนถึงทุกวันนี้"


"แฟรงค์ เอ็ดเวิร์ด"
หนังสือ "สเตรนเจอร์แดนไซแอนซ์" ของแฟรงค์ เอ็ดเวิร์ด
ทีนี้มันก็เลยต้องมาให้ความสำคัญเกี่ยวกับเรื่องราวหลาย ๆ จุด อย่างเช่นช่วงเวลาที่เกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น นั่นก็คือในช่วงเดือนพฤศจิกายน ซึ่งมันเป็นช่วงเวลาที่บริเวณทะเลสาบอันจิคุนิแห่งนี้ น่าจะมีอุณหภูมิประมาณ -13 องศาเซลเซียส เรียกได้ว่าเป็นอุณหภูมิที่ต่ำกว่าจุดเยือกแข็ง น้ำในทะเลสาบมันก็น่าจะกลายเป็นน้ำแข็งไปหมดแล้ว ดังนั้นเรือคายัคของชาวเอสกิโมที่ถูกระบุว่ามันยังคงถูกวางตั้งไว้ริมทะเลสาบ มันก็น่าจะไม่ได้ถูกใช้งานแน่ ๆ และมันก็ควรจะต้องถูกเก็บไว้ตามบ้านของชาวเอสกิโมหรือเปล่า ? 
เพราะตามสามัญสำนึกของคนทั่วไป ของสำคัญหรือยานพาหนะที่ยังไม่สามารถจะนำมาใช้งานตอนนี้ได้ มันก็ควรจะต้องเก็บรักษาไว้ใช่หรือไม่ ? และที่สำคัญเรือคายัคของชาวเอสกิโมนั้นเอาไว้ใช้ล่ากวางคารีบู และก็มีบางท้องที่เอาไว้ใช้ล่าแมวน้ำ แต่ในบริเวณทะเลสาบอันจิคุนิมันไม่ได้ตั้งอยู่ในแถบที่มีสัตว์ดังกล่าวอาศัยอยู่เลย นั่นหมายความว่าถ้าหมู่บ้านเอสกิโมแห่งนี้มีจริง ชาวบ้านที่นี่ก็ไม่ควรจะมีเรือคายัคไว้ล่าปลาหรือแมวน้ำหรือเปล่า ?

อีกจุดหนึ่งที่แฟรงค์ เอ็ดเวิร์ดได้เขียนบอกไว้ในต้นฉบับ ก่อนที่จะมาเป็นเวอร์ชั่นที่เรารู้กันทุกวันนี้ก็คือ โจรู้จักหมู่บ้านเอสกิโมที่เป็นมิตรแห่งนี้ และที่นี่มีประชากรอยู่ประมาณ 25 คน ที่เขาอ้างว่ารู้จักมาหลายปีแล้ว ซึ่งตัวเลขนี้มันกลับไม่ใช่จำนวนประชากรที่ถูกเล่าในเวอร์ชั่นปัจจุบัน นั่นก็คือ 2,000 คน นั่นเอง

ในความเป็นจริงกองตำรวจม้าที่ในเรื่องนี้ได้กล่าวอ้าง กลับให้ข้อมูลจริง ๆ ออกมาว่า มันไม่เคยมีหมู่บ้านอะไรอยู่ในบริเวณดังกล่าวมาก่อน ส่วนรายละเอียดที่เขียนไว้ว่า ชาวบ้านยังได้ทิ้งชุดหนังสัตว์ที่ทำจากหนังแมวน้ำเอาไว้นั้น มันเป็นไปไม่ได้เพราะบริเวณที่แมวน้ำอาศัยอยู่นั้น มันควรจะอาศัยอยู่ที่บริเวณรอบนอกของแผ่นดิน อยู่ริมทะเลไม่ใช่ริมทะเลสาบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับทะเลสาบที่เกิดขึ้นจากการละลายของก้อนน้ำแข็งอย่างอันจิคุนิแห่งนี้ เพราะทะเลสาบแห่งนี้ไม่ได้เกิดจากน้ำทะเลอย่างที่แห่งอื่น แสดงว่าเรื่องเล่านี้มีจุดผิดพลาดอย่างแรง ที่ผู้เล่าไม่ได้วิเคราะห์ถึงสภาพภูมิศาสตร์ที่แท้จริงของที่นี่เลย


เรื่องจริงนั้นในปัจจุบันก็ยังไม่มีรายงานว่าบริเวณทะเลสาบอันจิคุนิเคยมีหมู่บ้านใด ๆ สร้างอยู่ ทั้ง ๆ ที่โจ ลาเบลล์ในฉบับของแฟรงค์ เอ็ดเวิร์ดกล่าวอ้างได้บอกไว้ว่า ชาวเอสกิโมได้ทิ้งหมู่บ้านไป ซึ่งมันก็ควรจะมีซากหมู่บ้านให้เห็น และก็ไม่เคยมีรายงานว่า มีการส่งใครไปเก็บกวาดหมู่บ้านทั้งหมด เพราะถ้ามันมี อย่างน้อยมันก็ยังยืนยันได้ว่าบริเวณทะเลสาบแห่งนี้เคยมีหมู่บ้านอยู่จริง



ภาพจริงบริเวณทะเลสาบในปัจจุบันก็ยังคงไม่มีผู้ใดอาศัยอยู่



แฟรงค์ เอ็ดเวิร์ดได้ข้อมูลเรื่องนี้มาจากไหน ?

หลังจากที่เรื่องราวการหายไปของชาวหมู่บ้านเอสกิโมริมทะเลสาบอันจิคุนิ ได้ถูกเผยแพร่ออกไปในปี ค.ศ. 1976 นั้น หนังสือพิมพ์ฮาลิแฟคเฮราลด์ได้นำเสนอรายละเอียดความเป็นไปเรื่องราวนี้ พร้อมกับลงภาพประกอบจากหนังสือของแฟรงค์ เอ็ดเวิร์ด ที่อ้างว่ามันเป็นภาพหลักฐานของปืนกระบอกหนึ่ง และศพของสุนัขที่ถูกพบในหมู่บ้านดังกล่าว ซึ่งจริง ๆ แล้วมันเป็นภาพถ่ายของช่างภาพและคอลัมนิสต์ชื่อ "เอ็มเม็ต อี. เคลล์เฮอร์" ที่เราพบว่าเขาก็คือ ต้นทางของเรื่องเล่าทั้งหมด ที่ได้เล่าเรื่องนี้พร้อมกับนำเสนอภาพถ่ายเอาไว้ในนิตยสารชื่อ FATE Magazine ที่ถูกวางขายอยู่ในช่วงเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1930 ซึ่งเป็นปีที่ถูกอ้างถึงในเรื่องเล่าเรื่องนี้นั่นเอง
ตัวอย่างหนังสือพิมพ์ "ฮาลิแฟคเฮราลด์" ซึ่งตอนนี้ไม่มีจำหน่ายแล้ว


โจ ลาเบลล์มีตัวตนจริงหรือไม่ ?

เรื่องราวจากเคลล์เฮอร์ในสมัยนั้น ได้มีการสืบหาความจริงกันไปตั้งแต่วันที่ 17 มกราคม ค.ศ. 1931 แล้ว โดยคอร์ตแลนด์ สตาร์เนส กรรมาธิการกองตำรวจม้าของประเทศแคนาดา ได้เคยเปิดเผยผลการสืบสวนเรื่องราวที่เอ็มเม็ต อี. เคลล์เฮอร์เขียนเอาไว้แล้วว่า โจ ลาเบลล์นั้นมีตัวตนจริง แต่เขาทำงานอยู่ในแถบทางเหนือของจังหวัดมานิโทบา ซึ่งจังหวัดนี้ตั้งอยู่ทางตอนกลางของประเทศแคนาดา และที่แน่ ๆ เขาไม่ได้เป็นนายพราน  และภาพหลักฐานที่เคลล์เฮอร์นำมาใช้นั้น มันก็ไม่ได้เป็นภาพถ่ายที่เขาถ่ายไว้ แต่มันเป็นเพียงภาพถ่ายที่ถูกนำมาจากแฟ้มคดีของกองตำรวจม้าในคดีอื่นเท่านั้นเอง

"คอร์ตแลนด์ สตาร์เนส"

แต่กลายเป็นว่า ตลอดเวลาที่ผ่านมารายงานจากหนังสือพิมพ์ฮาลิแฟคซ์เฮราลด์นั้น ไม่ได้มีใครนำมาพูดถึงเลย ผิดกับหนังสือของแฟรงค์ เอ็ดเวิร์ด ที่ถูกพิมพ์ซ้ำแล้วซ้ำเล่า แถมเนื้อหาเกี่ยวกับเรื่องนี้ก็ถูกปรับเปลี่ยนไปบางส่วน อย่างเช่นจำนวนของชาวบ้านที่ตอนแรกบอกว่ามีเพียง 25 คน ก็ถูกเพิ่มขึ้นมาเป็น 30 คน ซึ่งตัวของแฟรงค์ เอ็ดเวิร์ดเองก็ไม่เคยบอกถึงแหล่งที่มาของเรื่องราวนี้ไว้ในหนังสือของเขาเลยแม้แต่ครั้งเดียว

ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานขนาดไหน เรื่องราวของแฟรงค์ เอ็ดเวิร์ดเรื่องนี้ ก็ยังคงถูกนำไปเล่าต่อในหนังสือแนวเรื่องลึกลับปริศนา โดยไม่มีข้อมูลนำเสนอเพื่อสนับสนุนอะไรเพิ่มเติมอีกเลย ยาวนานมาจนกระทั่งถึงปี ค.ศ. 1976

และในปี ค.ศ. 1977 นี่เอง ที่เรื่องราวนี้ได้ถูกนักยูเอฟโอวิทยาชื่อเบทตี้ ฮิลล์ หยิบยกมานำเสนอว่า เหตุการณ์หายไปของชาวบ้านเอสกิโมในแถบทะเลสาบอันจิคุนินั้น มันคือเหตุการณ์ที่เกิดจากมนุษย์ต่างดาว ได้เดินทางมาลักพาตัวชาวบ้านไป


จากจุดนี้มันก็ได้ทำให้เหล่านักเขียนคอลัมน์แนวยูเอฟโอและเอเลี่ยน เริ่มนำเสนอเรื่องราวนี้พร้อมกับสมมติฐานเกี่ยวกับการลักพาตัวของเอเลี่ยนกันตลอดมา ไม่ว่าจะเป็นหนังสือเดอะเวิลด์ เกรทยูเอฟโอ มิสเตอรี่ โดยไนเจล บลันเดลล์ และโรเจอร์ บอร์ แถมยังเพิ่มจำนวนประชากรให้มากขึ้นเป็น 1,200 คน รวมถึงเพิ่มพยานพบเห็นแสงประหลาด และยูเอฟโอบินอยู่เหนือทะเลสาบ และปรับเนื้อหาให้โจ ลาเบลล์รายงานเจ้าหน้าที่ตำรวจด้วยโทรเลข แทนที่จะเป็นการเดินทางแบบต้นฉบับ ทั้งที่จริง ๆ สถานที่แห่งนั้น มันไม่มีสถานีที่จะสามารถส่งโทรเลขได้เลย

หนังสือ"เดอะเวิลด์ เกรทยูเอฟโอ มิสเตอรี่"

ในปี ค.ศ. 1988 หนังสือชื่อมิสเตอเรียสแคนาดา ของจอห์น โรเบิร์ท โคลอมโบ ก็ได้นำเรื่องราวที่ถูกดัดแปลงนี้มานำเสนออีกครั้ง ซึ่งมันก็ได้ทำให้เรื่องราวต้นฉบับถูกลบเลือนไป และกลายเป็นเรื่องราวใหม่นี้แทน

หนังสือ "มิสเตอเรียสแคนาดา"

ต่อมาในปี ค.ศ. 2001 เว็บไซต์ Rense.com ได้เพิ่มจำนวนตัวเลขประชากรของหมู่บ้านนี้ขึ้นเป็น 2,000 คน และได้พิ่มรายละเอียดการพบซากศพของสุนัขที่ถูกฝังลึกลงไปใต้พื้นหิมะกว่า 12 ฟุต ในจุดห่างจากหมู่บ้านขึ้นมาอีกหนึ่งเรื่อง
ข้อมูลจากเว็บไซต์ "Rense.com"

มาจนถึงปี ค.ศ. 2006 หนังสือเดอะแคนาเดียนยูเอฟโอ ของรุตโควสกี้และดิทแมน ก็ได้นำเรื่องนี้มาตีพิมพ์ซ้ำ โดยเพิ่มเหตุการณ์ว่าหลุมศพในสุสานของหมู่บ้านแห่งนี้ ได้ถูกขุดศพหายไปอย่างปริศนาเข้าไปอีก

หนังสือ "เดอะแคนาเดียนยูเอฟโอ"

นั่นจึงทำให้ข้อมูลบนเว็บไซต์ในปัจจุบัน ได้นำเรื่องราวนี้มานำเสนอแตกต่างกันไปในเรื่องของรายละเอียดหลาย ๆ จุดจากต้นฉบับของแฟรงค์ เอ็ดเวิร์ด แต่ทุกอย่างที่ยังคงเหมือนเดิมอยู่นั้นก็คือ ชาวบ้านได้หายตัวไป

ซึ่งถ้าเราย้อนกลับไปยังต้นฉบับตั้งแต่แรก ไล่มาจนถึงแค่รายงานจริง ๆ จากกองตำรวจม้าของประเทศแคนาดา ไปจนถึงการสืบหาข้อมูลในช่วงสมัยนั้นตั้งแต่แรก และให้ความสำคัญกับมันมากกว่าหนังสือของ "แฟรงค์ เอ็ดเวิร์ด" เรื่องราวมันคงจะไม่เลยเถิดแบบผิด ๆ นี้มาจนถึงเว็บไซต์บ้านเราแน่ ๆ


จากเรื่องราวในหนังสือที่ไม่มีการอ้างอิงแหล่งข่าวอะไรในอดีต กลับทำให้คนปัจจุบันต้องหลงเชื่อว่าเคยมีเรื่องราวแบบนี้เกิดขึ้นจริง ในชนิดที่แม้แต่ในเรื่องราวปัจจุบันเองก็แตกต่างจากต้นฉบับมากมายหลายจุดขนาดนี้ และไม่มีทีท่าว่าจะมีใครสามารถหยุดเรื่องเล่าหลอกลวงซ้ำซากนี้ได้เลย มันทำให้ภาระทุกอย่างต้องตกมาอยู่ที่คำว่า "วิจารณญาณ" ของเรากันอีกครั้ง และมันก็ได้ทำให้เราได้ตระหนักถึงสัจธรรมที่ว่า สื่อที่ไร้จรรยาบรรณสามารถสร้างเรื่องราวที่ทำให้ผู้คนหลงเชื่อได้อยู่เสมอ ซึ่งสุดท้ายก็ไม่มีใครออกมารับผิดชอบอะไรอยู่ดี และคาดว่าในอนาคตเราก็ยังคงจะได้เห็นเรื่องราวการหายตัวไปอย่างปริศนา ของชาวหมู่บ้านเอสกิโมริมทะเลสาบอันจิคุนิแห่งนี้ ถูกนำเสนอซ้ำแล้วซ้ำเล่ากันไปอีกนานแสนนาน


หลังจากจบรายการแล้ว อย่าลืมกดสับสไครป์ กดไลก์ กดแชร์ หรือทิ้งคอมเมนต์กันไว้นะครับ ยังมีเรื่องราวต่าง ๆ อีกมากมายรอคุณอยู่ สำหรับวันนี้ สวัสดี

เรียบเรียงและบรรยายโดย นิวัฒน์ อ่ำแสง
ขอบคุณที่มา
Wikipdia - Angikuni
Creepypasta - The Missing Village




ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

ประกาศ

เพื่อเป็นกำลังใจเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้กับเรา ขอความร่วมมือจากผู้ที่นำเรื่องราวจากมิติที่ 6 ไปใช้ในที่ของท่าน กรุณาลงเครดิตกลับมาที่เราจะเป็นพระคุณอย่างสูงครับ