ใคร ๆ ก็อยากได้รักแท้ ใคร ๆ ก็อยากมีคู่ครองที่แสนดี แต่จะมีสักกี่คนที่สามารถหาคู่แท้แสนดีให้กับตัวเองได้แบบในนิยายรักที่เคยอ่านกันมาตามหนังสือ !
มิติที่ 6 สัปดาห์นี้ เราจะพาคุณไปยังประเทศสหรัฐอเมริกา กับเรื่องราวชีวิตของหญิงคนหนึ่งที่ค้นหารักแท้แบบในนิยายที่เธอชอบ ด้วยวิธีการที่ไม่ธรรมดาและไม่สมควรนำมาเป็นแบบอย่าง ในการค้นหารักแท้ !!!
แนนนี่ ดอสส์ เธอเกิดเมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน ค.ศ. 1905 ในเมืองบลูเมาเทนรัฐอลาบามา (ปัจจุบันถูกยุบรวมกับเมืองแอนิสตัน) ชื่อเดิมในตอนนั้นของเธอคือ แนนซี่ แฮซเซล ครอบครัวของเธออาศัยอยู่กับคุณพ่อชื่อเจมส์ เอฟ แฮซเซล ที่แต่งงานใหม่กับลูอิสซา หรือลูว์ เธอมีพี่น้องทั้งหมด 5 คน เป็นชาย 1 คน ที่เหลือเป็นหญิงทั้งหมด ซึ่งหนูน้อยแนนซี่และแม่เลี้ยงของเธอก็ดูจะไม่ชอบหัวหน้าครอบครัวคนนี้สักเท่าไหร่ เพราะเจมส์มักใช้ความรุนแรงปกครองคนในบ้านอยู่เสมอ
ตัวของแนนซี่เองก็มีชีวิตในวัยเด็กที่ไม่ค่อยจะมีความสุขนัก เธออ่านหนังสือไม่ออกเพราะค่อยไม่ได้เรียนหนังสือ สาเหตุเกิดจากพ่อแท้ ๆ ที่บังคับให้ลูกทำงานในฟาร์มของครอบครัวมากกว่าการหาความรู้
ช่วงที่เธออายุย่างเข้า 7 ปี ทุกคนในบ้านได้ขึ้นรถไฟไปเที่ยวบ้านญาติที่อลาบามา ในขณะที่รถไฟกำลังวิ่ง อยู่ดี ๆ ก็เกิดอุบัติเหตุทำให้ตัวรถหยุดอย่างกระทันหัน แนนซี่ถึงกับหัวคะมำไปฟาดกับเก้าอี้ด้านหน้าที่ทำจากเหล็ก และสิ่งนี้ก็ได้ทำให้ 5 ปีต่อมา หนูน้อยแนนซี่ต้องทนทุกข์ทรมานด้วยอาการปวดหัวและอยู่ในภาวะซึมเศร้า ซึ่งในภายหลังเธอเองก็ออกมาบอกว่า อาการทางจิตของเธอทุกอย่างมันน่าจะเกิดจากอุบัติเหตุครั้งนั้นแน่ ๆ
อย่างไรก็ดีอย่างน้อยแนนซี่ก็พอที่จะได้ฝึกอ่านหนังสืออยู่บ้าง งานอดิเรกของเธอก็คือการนั่งมีความสุขไปกับการอ่านนิตยาสารแนวโรแมนติกของคุณแม่ อ่านไปก็จิ้นไปว่ามันคงจะดีถ้าเรื่องในนิยายพวกนี้มันจะเกิดขึ้นกับเธอบ้าง โดยคอลัมน์ที่เธอชอบก็เป็นคอลัมน์จำพวกศาลาคนเหงา หรือไม่ก็แนวมาลัยเสี่ยงรัก
แต่ในโลกแห่งความจริงทั้งตัวเธอและพี่น้องฝ่ายหญิงทุกคน ก็ล้วนถูกพ่อของเธอดูแลด้วยความเข้มงวด ห้ามแต่งหน้าฉูดฉาด เสื้อผ้าแนวเปิดเผยก็ลืมกันไปได้เลยเพราะเขาไม่อยากให้ลูกสาวต้องถูกพวกผู้ชายลวนลาม และนอกจากความเข้มงวดเหล่านี้ พ่อของเธอก็ยังได้ห้ามการออกไปเต้นรำตามงานรื่นเริงในเมืองอีกด้วย
ไม่มีการบันทึกว่าแนนซี่เปลี่ยนชื่อมาเป็นแนนนี่เมื่อไหร่ แต่ชีวิตของเธอก็ดำเนินแบบนี้เรื่อยมาจนกระทั่งอายุได้ 16 ปี แนนนี่ก็แต่งงานครั้งแรกกับชาร์ลี แบรกส์ ทั้งสองพบกันที่โรงงานปั่นด้ายลินินที่พวกเขาทำงานอยู่ พ่อของเธอก็อนุญาติให้ทั้งคู่ได้แต่งงานกันหลังจากที่คบหาดูใจมาได้ 4 เดือน
ชาร์ลี แบร็กส์นั้นมาจากครอบครัวของคุณแม่ใบเลี้ยงเดี่ยว ที่เลี้ยงดูเขามาจนโตด้วยลำแข้งของเธอเพียงคนเดียว นั่นจึงทำให้หลังจากการแต่งงานแม่ของชาร์ลีก็ยังคงอาศัยอยู่ร่วมกับลูกชายต่อไป ซึ่งภายหลังทางแนนนี่ก็ได้เขียนบันทึกเกี่ยวกับเรื่องนี้เอาไว้ว่า
![]() |
แนนนี่และสามีคนแรก "ชาร์ลี แบรกส์" |
“ฉันแต่งงานตามที่พ่อต้องการในปี ค.ศ. 1921 กับเด็กผู้ชายคนหนึ่ง ฉันรู้จักเขาแค่สี่หรือห้าเดือน เขาไม่มีครอบครัว มีแต่คุณแม่ของเขาที่มาคอยควบคุมชีวิตของฉันจนแทบจะขยับตัวไม่ได้ พอเราแต่งงานแม่ผัวคนนี้ก็ทำให้ฉันเห็นว่า ลูกชายของเธอไม่เคยทำอะไรผิดสักอย่าง เธอเอาแต่บ่นแถมยังไม่ยอมให้แม่ของฉันมานอนพักค้างคืนด้วย”
ซึ่งเรื่องนี้หมายความว่า คุณแม่ของชาร์ลี แบร็กส์นั้นมัวแต่เอาอกเอาใจลูกชาย ส่วนกับสะใภ้อย่างแนนนี่ กลับเอาแต่เข้มงวดทุกอย่าง
ภายหลังการแต่งงาน ชาร์ลีและแนนนี่ก็ได้ให้กำเนิดลูกสาวมา 4 คน เรียงหัวปีท้ายปีตั้งแต่ปี ค.ศ. 1923 ถึง 1927 ตอนนั้นจึงทำให้คุณแม่วัยใสอย่างแนนนี่ต้องหันมาใช้สุราเป็นเครื่องบำบัดความเครียด เธอเริ่มสูบบุหรี่จนติดอย่างหนัก ชีวิตครอบครัวก็เริ่มระหองระแหง ต่างฝ่ายต่างก็สงสัยว่าอีกคนจะนอกใจ เพราะชาร์ลีก็ชอบหายหัวไปเป็นวัน ๆ
จนกระทั่งถึงปี ค.ศ. 1927 ทั้งสองก็ต้องสูญเสียลูกสาวคนกลางไป 2 คน เนื่องจากอาหารเป็นพิษ มีการตั้งข้อสงสัยว่าบางทีแนนนี่อาจจะเป็นคนลงมือสังหารลูกของตัวเอง ชาร์ลีก็เลยตัดสินใจพาเมลวิน่าลูกสาวคนโตหนีจากไป ทิ้งฟลอรีนลูกสาวคนเล็กไว้ให้อยู่กับแนนนี่ ต่อมาคุณแม่ของชาร์ลีก็เสียชีวิต ส่วนแนนนี่ก็ได้งานทำในโรงงานผ้าฝ้ายแห่งหนึ่งและเลี้ยงดูลูกคนเล็กของเธอต่อไป
จนกระทั่งถึงปี ค.ศ. 1927 ทั้งสองก็ต้องสูญเสียลูกสาวคนกลางไป 2 คน เนื่องจากอาหารเป็นพิษ มีการตั้งข้อสงสัยว่าบางทีแนนนี่อาจจะเป็นคนลงมือสังหารลูกของตัวเอง ชาร์ลีก็เลยตัดสินใจพาเมลวิน่าลูกสาวคนโตหนีจากไป ทิ้งฟลอรีนลูกสาวคนเล็กไว้ให้อยู่กับแนนนี่ ต่อมาคุณแม่ของชาร์ลีก็เสียชีวิต ส่วนแนนนี่ก็ได้งานทำในโรงงานผ้าฝ้ายแห่งหนึ่งและเลี้ยงดูลูกคนเล็กของเธอต่อไป
ในเวลาต่อมาชาร์ลีสามีของเธอก็พาเมลวิน่าลูกสาวคนโตกลับมาในปี ค.ศ. 1928 แต่ที่กลับมาครั้งนี้ก็เป็นเพราะเขาตั้งใจจะมาขอหย่ากับแนนนี่ ซึ่งหลังจากที่ทั้งคู่หย่ากันเสร็จแนนนี่ก็พาลูกสาวทั้ง 2 คนกลับมาเลี้ยงดูเองที่บ้านแม่ ซึ่งทางชาร์ลีนั้นมักจะยืนยันอยู่เสมอว่าเขาทิ้งแนนนี่ไปเพราะกลัวเธอมาก !
หลังจากที่แนนนี่กลับมาใช้ชีวิตและทำงานที่เมืองแอนิสตัน เธอมักจะบำบัดความเหงาของตัวเองด้วยการนั่งอ่านเรื่องราวแนวโรแมนติกอยู่เสมอ เธอกลับมาอ่านคอลัมน์ศาลาคนเหงามาลัยเสี่ยงรักเหมือนเดิม แถมยังชอบเขียนจดหมายส่งไปหาพวกผู้ชายที่มาลงประกาศหาคู่เอาไว้ด้วย และหนึ่งในชายผู้ว้าเหว่ที่เขียนลงประกาศหาคู่ที่เธอสนใจนั่นก็คือ นายโรเบิร์ต แฟรงค์ลิน หรือแฟรงค์ ฮาร์เรลสัน ชายคนนี้อายุ 23 ปี เป็นคนงานในโรงงานแห่งหนึ่งจากเมืองแจ็กสันวิลล์
พอแนนนี่ส่งจดหมายไปหาแฟรงค์ก็มักจะตอบกลับมาเป็นบทกวีหวานซึ้งโรแมนติก พอนานเข้าทั้งคู่จึงตัดสินใจมาพบกัน และตกลงใจแต่งงานกันในปี ค.ศ. 1929 ตอนนั้นแนนนี่เองก็เพิ่งจะอายุ 24 ปี หย่ากับชาร์ลีมาแค่เพียง 2 ปี เธอยังสาวและสวยก็เลยทำให้แฟรงค์สามีใหม่พาเธอกับลูกติดทั้งสองไปอยู่ด้วยกันที่แจ็กสันวิลล์ แต่เวลาผ่านไปไม่กี่เดือนแนนนี่ก็พบว่าแฟรงค์เป็นพวกขี้เหล้า แถมยังเคยมีประวัติอาชญากรรมก่อเหตุรุนแรง อย่างไรเธอก็แต่งงานกันแล้ว ชีวิตคู่ของทั้งสองจึงอยู่ต่อกันมาได้นานถึง 16 ปี
พอแนนนี่ส่งจดหมายไปหาแฟรงค์ก็มักจะตอบกลับมาเป็นบทกวีหวานซึ้งโรแมนติก พอนานเข้าทั้งคู่จึงตัดสินใจมาพบกัน และตกลงใจแต่งงานกันในปี ค.ศ. 1929 ตอนนั้นแนนนี่เองก็เพิ่งจะอายุ 24 ปี หย่ากับชาร์ลีมาแค่เพียง 2 ปี เธอยังสาวและสวยก็เลยทำให้แฟรงค์สามีใหม่พาเธอกับลูกติดทั้งสองไปอยู่ด้วยกันที่แจ็กสันวิลล์ แต่เวลาผ่านไปไม่กี่เดือนแนนนี่ก็พบว่าแฟรงค์เป็นพวกขี้เหล้า แถมยังเคยมีประวัติอาชญากรรมก่อเหตุรุนแรง อย่างไรเธอก็แต่งงานกันแล้ว ชีวิตคู่ของทั้งสองจึงอยู่ต่อกันมาได้นานถึง 16 ปี
ต่อมาในปี ค.ศ. 1943 เมลวินา ลูกสาวคนโตของแนนนี่ก็ได้มีหลานให้กับแม่ของเธอ หลานชายคนนี้ชื่อโรเบิร์ต ลี เฮนส์ และสองปีต่อมาเธอก็ได้ลูกอีกคน แต่เด็กคนนี้ก็เสียชีวิตไปในเวลาไม่นาน
ซึ่งสาเหตุการตายของลูกคนที่สองนั้นเมลวิน่าคิดว่า เธอเห็นแม่ของเธอซึ่งก็คือแนนนี่ ดอสส์ ที่ตอนนั้นแวะมาเยี่ยมพวกเธอที่บ้าน ได้ใช้ปิ่นปักหมวกแทงเข้าไปที่ศีรษะลูกของเธอ ซึ่งเธอเองก็ถามสามีกับน้องสาวของเขาเพื่อให้แน่ใจกับสิ่งที่เธอสงสัยนี้ ทั้งสองก็บอกได้เพียงแค่ ตอนนั้นแนนนี่บอกว่าเด็กตายแล้ว และเห็นแนนนี่ถือปิ่นปักหมวกอยู่ในมือ ส่วนทางแพทย์ก็ไม่มีคำอธิบายดี ๆ ให้กับเมลวิน่าอีก และเรื่องนี้มันก็ทำให้ชีวิตคู่ของเมลวิน่าต้องจบลง
ต่อมาเมลวิน่าก็พบรักใหม่กับทหารคนหนึ่ง แต่แนนนี่แม่ของเธอกลับไม่ยอมรับชายคนนี้อีก และในช่วงที่เมลวิน่าเดินทางกลับมาจากการไปเยี่ยมชาร์ลีพ่อของเธอ เธอก็ต้องทะเลาะกับแนนนี่อย่างรุนแรง จนมาถึงวันที่ 7 กรกฎาคม ค.ศ. 1945 โรเบิร์ต ลี เฮนส์ ลูกชายคนโตของเมลวิน่า ก็เสียชีวิตอย่างปริศนาภายใต้การดูแลของแนนนี่ ดอสส์ ผลการชันสูตรบอกว่าเขาตายเพราะสำลักอะไรบางอย่าง และสองเดือนต่อมาแนนนี่ก็ได้รับเงินค่าประกันชีวิตจำนวน 500$ จากการประกันชีวิตที่เธอทำไว้ให้โรเบิร์ต
ในปี ค.ศ. 1945 ช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 มีอยู่วันหนึ่งแฟรงค์ ฮาร์เรลสันเมาหนักกลับมาที่บ้าน แล้วก็ไปข่มขืนแนนนี่ภรรยาของตัวเอง วันรุ่งขึ้นแนนนี่ก็นำเหยือกวิสกี้ของแฟรงค์ไปฝังไว้ที่สวนกุหลาบ เธอบอกว่าการข่มขืนในวันนั้นมันเป็นฟางเส้นสุดท้าย ! เพราะเธอนำยาเบื่อหนูมาหยดใส่วิสกี้ก่อนที่แฟรงค์สามีของเธอจะดื่มมัน และเสียชีวิตไปด้วยความทรมานตั้งแต่เมื่อเย็นวาน
ต่อมาแนนนี่ก็ได้สามีคนที่สาม เขาชื่ออาร์ลี แลนนิ่ง สามีคนนี้เธอได้มาจากคอลัมน์มาลัยเสี่ยงรักของนิตยาสารฉบับหนึ่งในช่วงที่เธอไปเที่ยวแถวเมืองเล็กซิงตันน็อร์ธคาโรไลนา และแต่งงานกับชายคนนี้ในสามวันต่อมา ซึ่งก็เป็นไปตามคาด สามีใหม่คนนี้ก็เป็นพวกขี้เหล้าเจ้าชู้ตามสายเลือดของบรรพบุรุษไปเสียอีก
แต่อย่างไรก็ดีการแต่งงานรอบนี้แนนนี่กลับเป็นฝ่ายแอบหายตัวออกไปจากบ้านบ่อย ๆ จนผ่านไปประมาณหนึ่งเดือนทุกอย่างก็จบลง เพราะวันหนึ่งที่แนนนี่กลับมาบ้าน เธอก็ทำตัวเป็นแม่บ้านพราวเสน่ห์ ระดับทำให้สามีของตัวเองถึงกับช็อกตายเนื่องจากหัวใจล้มเหลว หลังจากที่อาร์ลีเสียชีวิตไปชาวบ้านในเมืองก็ช่วยกันทำพิธีศพให้สามีของเธอด้วยไมตรีจิต
ต่อมาบ้านของครอบครัวแลนนิ่งที่มีแนนนี่อยู่กับน้องสาวของสามีก็ถูกไฟเผาไปอย่างปริศนา น้องสาวของอาร์ลีเสียชีวิตในกองเพลิง ซึ่งเรื่องนี้ทางบริษัทประกันก็ได้จ่ายเงินชดเชยให้กับแนนนี่ทางธนาคารทันที ต่อมาแม่สามีก็เสียชีวิตตามไปในขณะหลับอีก แนนนี่จึงออกจากนอร์ธคาโรไลนาไปขออาศัยอยู่กับโดวี่น้องสาวแท้ ๆ ของเธอ พอแนนนี่ไปอยู่ด้วยไม่นานโดวี่เองก็เกิดป่วยหนักขึ้นมา สุดท้ายเธอก็เสียชีวิตไปอีกคน
มาถึงตรงนี้แนนนี่ก็ยังคงมองหาชายคนใหม่ เธอสมัครเข้าใช้บริการหาคู่ของเดอะไดมอนด์เซอร์เคิลคลับ แล้วเธอก็ได้พบกับริชาร์ด แอล มอร์ตัน ที่มาจากเมืองเจมส์ทาวน์รัฐนอร์ธคาโรไลนา ชายคนนี้ไม่มีปัญหาเรื่องสุราก็จริงแต่เขาเป็นคนเจ้าชู้ และเสียชีวิตไปในวันที่ 19 พฤษภาคม ค.ศ. 1953 และสามเดือนต่อมาลูอิสซาแม่เลี้ยงของเธอก็เดินทางมาอาศัยอยู่กับแนนนี่ที่บ้านหลังนี้ และเสียชีวิตตามไปอีกคนเนื่องจากถูกวางยาพิษ
ต่อมาแนนนี่ก็ไปแต่งงานกับแซมวล ดอสส์ จากเมืองทัลซ่ารัฐโอคลาโฮมา ซึ่งนามสกุลนี้คือนามสกุลล่าสุดของเธอ ทั้งคู่แต่งงานกันในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1953 แซมวลเป็นคนสะอาดสดใส ใจบุญ และไม่ชอบนิยายโรแมนติกเหมือนกับที่แนนนี่ชอบ ทั้งคู่อยู่ด้วยกันไม่นานแซมวลก็ถูกส่งตัวไปรักษาในโรงพยาบาลด้วยอาการป่วยคล้ายกับไข้หวัดใหญ่
ทางโรงพยาบาลวินิจฉัยว่าแซมวลน่าจะติดเชื้อในระบบทางเดินอาหาร จึงทำการรักษาและได้กลับออกมาในวันที่ 5 ตุลาคมปีนั้น และในตอนเย็นของวันเดียวกันนี้ แนนนี่ก็สังหารสามีของเธอเพื่อไปขอรับเงินจากบริษัทประกันชีวิตที่เธอทำไว้ให้สามีถึง 2 แห่ง และจากการตายอย่างกระทันหันนี้ แพทย์ที่เพิ่งจะรักษาแซมวลจนหายดีในตอนแรกก็แคลงใจร้องขอให้มีการผ่าตัดชันสูตรศพ และผลก็รายงานออกมาว่าพบสารหนูจำนวนมากปนเปื้อนอยู่ในระบบร่างกายของผู้ตาย นั่นจึงทำให้แนนนี่ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจบุกเข้าจับกุมตัวทันที
โดยในช่วงการจับกุมตัวนั้นมีบันทึกบอกเอาไว้ว่า พอเจ้าหน้าที่ขอเข้าจับกุมเธอก็ไม่ได้แสดงทีท่าอาการตกใจแต่อย่างใด แถมยังปั้นหน้ายิ้มพูดจาหัวเราะอารมณ์ดี ยอมให้จับกุมตัวไปแต่โดยดีเสียอีก
ในระหว่างการสอบสวนแนนนี่เอาแต่เปิดหน้านิตยาสารโรแมนติกไปมา ปากก็พูดจาให้การวกวน พูดไปหัวเราะไปราวกับว่าตัวเธอนั้นไม่ได้ทำอะไรผิดมาก่อน พอเจ้าหน้าที่สอบสวนพยายามให้เธอรับสารภาพ ว่าเธอคือตัวการในการเสียชีวิตของแซมวล เธอก็หัวเราะแล้วปฏิเสธ พูดจายียวนเหมือนเธอไม่รู้เรื่องอะไรอีก จนเจ้าหน้าที่ต้องดึงหนังสือของเธอออกจากมือ และพูดจาหว่านล้อมให้เธอนึกละอายใจต่อวิญญาณของคนที่ตายไป นั่นจึงทำให้แนนนี่ยอมให้การกับตำรวจด้วยการเปิดประเด็นว่า “ก็ได้... ว่าแต่จะคืนหนังสือให้ฉันหรือเปล่า ?”
ซึ่งอาการหัวเราะอารมณ์ดีของแนนนี่ ดอสส์ตอนถูกจับกุมและสอบสวนนี้ ก็ได้ทำให้สื่อหนังสือพิมพ์ต่างขนานนามเธอว่า The Giggling Grandma หรือ คุณยายคิกคัก นั่นเอง
หลังจากที่แนนนี่รับสารภาพ ตำรวจจึงได้กลับไปตรวจสอบการเสียชีวิตของคนอื่น ๆ ที่ดูแล้วน่าจะมีเงื่อนงำว่าเธอมีส่วนเกี่ยวข้อง สุดท้ายแนนนี่จึงถูกส่งตัวไปขึ้นศาลในข้อหาฆาตกรรมสามีทั้ง 4 คน คุณแม่แท้ ๆ ของเธอ โดวี่น้องสาว โรเบิร์ตหลานชาย แม่ของแซมมวลสามีคนสุดท้าย และลูว์แม่เลี้ยงของเธอเอง (รวมเป็น 9 คดี)
แต่ทางศาลของเมืองโอคลาโฮมานั้น ได้ตัดสินใจดำเนินคดีกับเธอด้วยข้อหาฆาตกรรมแซมวล ดอสส์เพียงคดีเดียว โดยอัยการเบิกความว่าผลการชันสูตรศพของแซมวล พบสารหนูจำนวนมากพอที่จะล้มม้าได้ทั้งตัว โดยสารหนูเหล่านี้ถูกแนนนี่นำไปปนเปื้อนกับพายมันฝรั่งของโปรดผู้ตาย ซึ่งเธอให้แซมวลกินมันไปถึง 3 ชิ้น
ต่อมาทางหนังสือพิมพ์ก็นำรายงานนี้มาใช้ตั้งฉายาให้กับแนนนี่ว่า Arsenic Nannie หรือ แนนนี่สารหนู เพิ่มมาอีกหนึ่งชื่อ
ผลการพิจารณคดีก็ออกมาในวันที่ 17 พฤษภาคม ค.ศ. 1955 ระบุว่าแนนนี่นั้นมีความผิดจริงในข้อกล่าวหาดังกล่าว ได้รับโทษจำคุกตลอดชีวิต ซึ่งสาเหตุที่ศาลไม่ได้ตัดสินโทษประหารชีวิตก็เพราะว่าแนนนี่นั้นเป็นผู้หญิง ส่วนการเสียชีวิตของอดีตสามีที่เหลือและคนในครอบครัวของเธอนั้น ไม่ได้มีการนำมาพิจารณาแต่อย่างใด
แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตามผลการสอบสวนของตำรวจได้บันทึกเอาไว้ว่า แนนนี่ ดอสส์น่าจะสังหารหลานคนที่ 2 ลูกของเมลวิน่าด้วยปิ่นปักหมวก รวมไปถึงสังหารน้องสาวของอาร์ลี แลนนิ่ง ด้วยการเผาไฟไปพร้อมกับบ้านเพื่อเอาประกัน ซึ่งถ้านับจำนวนผู้เสียชีวิตกลุ่มแรกที่มีถึง 9 คน รวมกับกลุ่มหลังที่ถูกเพิ่มเข้าไปอีก 2 คนนี้ แนนนี่ ดอสส์ น่าจะฆาตกรรมคนใกล้ชิดของตัวเองไปทั้งหมด 11 คนเลยทีเดียว
แนนนี่ถูกจำคุกอยู่ในโอคลาโฮมา จนถึงปี ค.ศ. 1965 เธอก็เสียชีวิตไปด้วยโรคลูคีเมียที่โรงพยาบาลภายในคุกนั่นเอง
สำหรับเรื่องราวคดีฆาตกรรมของแนนนี่ ดอสเรื่องนี้ ถึงแม้ตัวเธอจะบอกว่ามันเกิดจากอาการทางจิตและความผิดหวังในความรักตลอดมา มันก็ไม่ได้หมายความว่าเราสามารถใช้วิธีการแบบเดียวกับเธอ เพื่อจะชดเชยในสิ่งที่ตัวเองต้องเสียเวลาไปกับคนที่ไม่ใช่
และอีกสิ่งที่เราได้เรียนรู้ก็คือ การวิ่งหาความรักที่ฉาบฉวยด้วยการมองหาคู่จากการลงประกาศ ไม่ว่าจะบนหนังสือหาคู่หรือในโลกโซเชียล มันก็มักจะได้ความรักที่ขาดการกลั่นกรองมองกันเพียงแต่ภายนอก ไม่คิดจะคบหาดูใจกันนาน ๆ และสุดท้ายก็ต้องเลิกราเหมือนกับที่เราเห็นกันอยู่บ่อย ๆ ซึ่งก็คงไม่มีใครอยากให้ความรักต้องจบลงด้วยความตายของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งอย่างเหี้ยมโหด เหมือนกับเรื่องของเธอคนนี้... "แนนนี่ แฮสเซล ดอสส์"
และอีกสิ่งที่เราได้เรียนรู้ก็คือ การวิ่งหาความรักที่ฉาบฉวยด้วยการมองหาคู่จากการลงประกาศ ไม่ว่าจะบนหนังสือหาคู่หรือในโลกโซเชียล มันก็มักจะได้ความรักที่ขาดการกลั่นกรองมองกันเพียงแต่ภายนอก ไม่คิดจะคบหาดูใจกันนาน ๆ และสุดท้ายก็ต้องเลิกราเหมือนกับที่เราเห็นกันอยู่บ่อย ๆ ซึ่งก็คงไม่มีใครอยากให้ความรักต้องจบลงด้วยความตายของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งอย่างเหี้ยมโหด เหมือนกับเรื่องของเธอคนนี้... "แนนนี่ แฮสเซล ดอสส์"
หลังจากจบรายการมิติที่ 6 แล้ว อย่าลืมกดสับสไครป์ กดไลก์ กดแชร์ หรือทิ้งคอมเมนต์กันไว้ด้วยนะครับ ยังมีเรื่องราวต่าง ๆ อีกมากมายรอคุณอยู่ สำหรับวันนี้... สวัสดี
แปลและเรียบเรียงโดย นิวัฒน์ อ่ำแสง
ที่มา: Wikipedia
แท็ก: แนนนี่ ดอสส์, Nannie Doss, The Giggling Grandma, Giggling Granny, คุณยายคิกคัก, คริคริ
แท็ก: แนนนี่ ดอสส์, Nannie Doss, The Giggling Grandma, Giggling Granny, คุณยายคิกคัก, คริคริ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น