15 มิถุนายน 2559

มิติที่ 6 ซากศพลึกลับปริศนา ที่สามารถหาคำตอบได้แล้ว

หลายครั้งหลายหนที่เราเปิดเวบไซต์อ่านข่าวเรื่องราวปริศนาลึกลับ ก็มักจะพบกับเรื่องราวมากมายถูกรายงานข่าวออกมาอย่างครึ่ง ๆ กลาง ๆ โดยหลายเรื่องนั้นก็มักจะทำให้เรารู้สึกสงสัยกันต่อว่ามันเป็นเรื่องจริงหรือไม่ ? แล้วเรื่องราวเหล่านั้น ได้มีใครพยายามพิสูจน์จนถึงที่สุดแล้วหรือยัง ?


มิติที่ 6 สัปดาห์นี้ เราจะพาท่านไปพบกับเรื่องราวซากศพสัตว์ประหลาดลึกลับ ที่เคยทราบกันมาก็เป็นเพียงเรื่องราวในครึ่งแรก จนทำให้เราต้องตามหาเรื่องราวในครึ่งหลังว่า แท้ที่จริงแล้วซากศพปริศนาเหล่านั้นมันคืออะไรกันแน่ !!


โดยเรื่องราวที่มิติที่ 6 จะขอเล่านั้น มิได้มีเจตนาที่จะทำลายความเชื่อส่วนบุคคลของผู้ใด เราเพียงต้องการนำเสนอเรื่องราวที่ถูกถ่ายทอดมาเพื่อให้ได้รับทราบความจริงมากที่สุดเท่านั้น ซึ่งการนำเสนอครั้งนี้ หากสร้างความไม่พอใจให้กับท่านผู้ชมท่านใด ทางทีมงานมิติที่ 6 กราบขออภัยมา ณ ที่นี้


มัมมี่เจ้าหญิงแห่งเปอร์เซีย


เมื่อวันที่ 19 ตุลาคม ค.ศ. 2000  เจ้าหน้าที่ในเมืองบาโลคิสถาน ประเทศปากีสถาน ได้รับวิดีโอเทปม้วนหนึ่งมาจากนายอาลี อัคบาร์ โดยในวีดีโอเทปม้วนนี้ได้ปรากฎภาพของมัมมี่โบราณที่อาลีอ้างว่า เขาพบมัมมี่ร่างนี้จากตลาดมืดค้าวัตถุโบราณ โดยมันถูกขายในราคา 20 ล้านดอลล่าห์ ซึ่งหลังจากได้ข้อมูลดังกล่าว เจ้าหน้าที่ตำรวจก็ได้ส่งกำลังไปยังพื้นที่หมู่บ้านของนายวาลี มูฮัมหมัดรีกี้ ที่อยู่ในเมืองคารานใกล้ชายแดนของอัฟกานิสถานนั่นเอง จากการสอบสวนนายมูฮัมหมัดนั้น เขาได้บอกกับเจ้าหน้าที่ตำรวจว่า เขาได้ซื้อมัมมีร่างนี้มาจากชาวอิหร่านชื่อ "ชารีฟ ชฮาร์ บากี" โดยเขาพบร่างมัมมี่นี้หลังจากเหตุแผ่นดินไหวในเมืองกัตต้า

โดยในงานแถลงข่าววันที่ 26 ตุลาคม ค.ศ. 2000  นั้น มีนักโบราณคดีจากกรุงอิสลามาบัดของมหาวิทยาลัยเกวดอีอะแซม ได้ประกาศกับสื่อว่า มัมมี่ดังกล่าวนี้คือร่างของเจ้าหญิงองค์หนึ่งที่เสียชีวิตมาแล้วกว่า 2,600 ปี

ซึ่งมัมมี่ร่างนี้ถูกบรรจุอยู่ในโลงที่ลงรักปิดทองเป็นอย่างดี มีอักษรคูนีฟอร์มสลักอยู่บนแผ่นอก บรรจุอยู่ในโลงหินอีกชั้น โดยศพถูกทำเป็นมัมมี่ด้วยกรรมวิธีอาบด้วยขี้ผึ้งลงบนตัวศพ ซึ่งเจ้าหญิงมีพระนามว่า "โรดูกูเน่แห่งเปอร์เซีย" ทำให้เรื่องนี้กลายเป็นการค้นพบครั้งสำคัญเลยทีเดียว เพราะตลอดมานั้นยังไม่มีใครพบกับมัมมี่ในเปอร์เซียมาก่อน ทั้งกระบวนการทำให้ศพเป็นมัมมี่นั้นก็ไม่เหมือนกับของอียิปต์เลย ซึ่งหลังจากการตรวจสอบจบลง ทางรัฐบาลของอิหร่านกับปากีสถานถึงกับต้องทะเลาะกันเพื่อแย่งกรรมสิทธิ์ในความเป็นเจ้าของมัมมี่ร่างนี้กันเลยทีเดียว

ด้วยเรื่องราวของมัมมี่เจ้าหญิงแห่งเปอร์เซียร่างนี้ ทำให้มีนักโบราณคดีมากมายพยายามสืบหาประวัติความเป็นมาของเธอ ซึ่งในที่สุดพวกเขาก็พบกับความผิดปกติบางอย่างบนตัวอักษรคูนิฟอร์มที่สลักอยู่บนแผ่นอกของมัมมี่ร่างนี้ สิ่งนั้นก็คือการใช้ไวยากรณ์ที่ผิดจากภาษาจริง ๆ จึงทำให้เกิดการนำมัมมี่ไปเอ็กซเรย์หาเบาะแสเพิ่มเติม โดย "ศาสตราจารย์อาเม็ด ดานี่" จากปากีสถาน ได้พยายามตรวจสอบวัตถุที่ติดมากับมัมมี่ก็พบว่า มันไม่ได้มีอายุเก่าแก่แต่อย่างใดเลย

นายอิบราฮิมก็ได้ข้อสรุปออกมาว่า มัมมี่เจ้าหญิงแห่งเปอร์เซียร์ร่างนี้ แท้ที่จริงแล้วเป็นร่างของหญิงสาวอายุประมาณ 21 - 25 ปี ที่เสียชีวิตไปเมื่อปี ค.ศ. 1996 นี่เอง โดยเธอถูกสังหารด้วยของแข็งบางอย่างที่บริเวณลำคอ

ในที่สุดเมื่อวันที่ 5 สิงหาคม ค.ศ. 2005  ก็ได้มีการประกาศว่าศพของเธอนั้น สมควรที่จะได้รับการทำพิธีฝังศพอย่างถูกต้อง แต่ว่าพอเอาเข้าจริง ๆ เวลาได้ล่วงเลยมาจนถึงปี ค.ศ. 2011  ศพของเธอก็ยังไม่ได้รับการทำพิธีแต่อย่างใด เนื่องจากความล่าช้าของระบบราชการที่หมดความสนใจในมัมมี่ร่างนี้ไปแล้วนั่นเอง


ชีลีนบล็อบ



ในเดือนกรกฎาคมของปี ค.ศ. 2003  มีการพบร่างเน่าเปื่อยของสัตว์ประหลาดยักษ์สีเทาบนชายหาดพินุโน่ ในลอสมัวมอสของประเทศชิลี โดยซากของมันมีขนาดกว้าง 5.8 เมตร ยาว 12.5 เมตร ซึ่งการค้นพบซากของมันในครั้งนี้ กลายเป็นข่าวใหญ่ขึ้นมาเพราะนักชีววิทยานั้น ไม่สามารถจะระบุได้ว่ามันคือตัวอะไรกันแน่ มีการคาดเดากันไปว่า เจ้าซากนี้มันอาจจะเป็นสัตว์ทะเลสายพันธุ์ปลาหมึกยักษ์ที่ไม่เคยมีใครพบมาก่อน ซึ่งต่อมาซากของมันก็ถูกทำลายจากสารฟอร์มาดีไฮด์โดยไม่ได้ตั้งใจ ในช่วงทำการทดลองหาที่มาของมันนั่นเอง

พอมาถึงเดือนมิถุนายน ค.ศ. 2004  ก็ได้มีการรายงานว่า พวกเขาสามารถสืบหาที่มาของซากนี้ได้จากดีเอ็นเอที่เหลืออยู่ ซึ่งพวกเขาก็พบว่าแท้ทีจริงแล้ว มันคือเสปิร์มของวาฬที่พ่นออกมา ซึ่งในวาฬที่โตเต็มที่นั้นจะสามารถพ่นเสปิร์มออกมาได้ขนาดใหญ่มากถึงกว่า 20.5 เมตร และมีน้ำหนักกว่า 57,000 กิโลกรัมเลยทีเดียว


ทรุนโก้


เมื่อวันที่ 25 ตุลาคม ค.ศ. 1924  มีผู้คนแถวชายหาดควาซูลูนาทาล เมืองมาเกท ประเทศอาฟริกาใต้ ได้เห็นการต่อสู้กันในทะเลระหว่างสัตว์ยักษ์ตัวหนึ่งเป็นสัตว์ทะเลสีขาวกับวาฬสองตัว ซึ่งหนึ่งในผู้เห็นเหตุการณ์ชื่อ "ฮิวจ์ บาลานซ์" บอกว่า เจ้าสัตว์ตัวนั้นมันดูคล้าย ๆ กับหมีขั้วโลกขนาดยักษ์ โดยมันใช้หางที่มีรูปร่างเหมือนหางกุ้งร็อบสเตอร์ ฟาดใส่พวกวาฬก่อนจะหนีหายไป ซึ่งระหว่างการต่อสู้นั้น มันได้กระโดดขึ้นมาเหนือน้ำสูงกว่า 6 เมตร โดยการต่อสู้ครั้งนี้กินเวลายาวนานกว่า 3 ชั่วโมง แล้วในคืนนั้นเอง ก็มีชิ้นส่วนของสัตว์ทะเลตัวนั้นลอยมาเกยฝั่ง โดยซากของมันนั้นกลับไม่มีเลือดใด ๆ ติดมาเลย

ชิ้นส่วนของเจ้าสัตว์ทะเลลึกลับนี้ไม่มีส่วนหัว รูปร่างคล้ายกับงวงช้างยาวประมาณเมตรครึ่ง กว้างประมาณ 40 เซ็นติเมตร ซึ่งภายหลังได้มีการตั้งชื่อเจ้าชิ้นส่วนนี้ว่า "ทรุนโก้" โดยตลอด 10 วันนั้น กลับไม่มีนักวิทยาศาสตร์แขนงใดมาตรวจสอบเจ้าซากนี้เลย จนสุดท้ายคลื่นชายฝั่งก็ดูดมันหายกลับไปในท้องทะเล โดยเหตุการณ์นี้ได้ถูกเผยแพร่ทางหนังสือพิมพ์ของลอนดอนในวันที่ 27 ธันวาคม พาดหัวข่าวว่า มันเป็นปลาที่มีรูปร่างคล้ายหมีขั้วโลก และเมื่อเวลาผ่านมาจนถึงเดือนกันยายนของปี ค.ศ. 2010  นักชีวลึกลับวิทยาชาวเยอรมันชื่อว่า "มาคัส เฮมมเลอร์" ก็ได้พยายามค้นหาภาพต่าง ๆ ของเจ้าทรุนโก้ตัวนี้จากแหล่งต่าง ๆ ในที่สุดเขาได้ก็พบกับภาพของมันที่มีลักษณะเป็นสัตว์ใหญ่สีขาว ที่เคยลอยมาติดชายหาดเมื่อปี ค.ศ. 1924 ตัวนี้

ผู้คนมากมายต่างก็พยายามจะระบุให้ได้ว่าเจ้าซากลึกลับนั้นมันคืออะไรกันแน่ ซึ่งแท้ที่จริงแล้วก็มีคำอธิบายที่สมเหตุผลมากที่สุดก็คือ เจ้าทรุนโก้นั้นน่าจะเป็นวาฬขนาดใหญ่ ไม่ก็ปลาฉลามบาสกิ้น หรือไม่ก็ฉลามวาฬ และที่ดูเป็นสีขาวนั้นก็เป็นเพราะการสะท้อนแสงของน้ำมากกว่า และก็อาจเป็นไปได้ว่าเจ้าทรุนโก้นั้น อาจจะเป็นวาฬสายพันธุ์ใหม่ก็ได้ หรือไม่ก็เป็นสิงโตทะเลพันธ์ุไหนสักพันธุ์ ไม่ก็แมวน้ำ และหนึ่งในคำอธิบายที่น่าเชื่อถือก็คือ เจ้าซากลึกลับนั้นอาจเป็นช้างน้ำเผือกที่มีลักษณะใกล้เคียงคำบอกเล่าของพยานในที่เกิดเหตุมากที่สุด

และในปี ค.ศ. 2010  หลังจากที่ภาพเจ้าทรุนโก้ถูกเผยแพร่ออกไปนั้น ก็มีการสันนิษฐานว่ามันอาจจะเป็นสเปิร์มของวาฬก็ได้เช่นกัน ไม่ก็เป็นแค่ก้อนไขมันของวาฬที่หลุดออกมาจากร่างของมันที่เน่าเปื่อยก็เป็นได้



สัตว์ประหลาดคิตเชนูเมกูสิบ



เมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม ค.ศ. 2010  มีผู้หญิงสองคนกำลังเดินเล่นคุยกันอยู่แถวทะเลสาปบิ๊กเทร้าท์ ในแถบตะวันตกเฉียงเหนือของออนตารีโอ้ประเทศคานาดา ทั้งสองตกตะลึงเมื่อเจ้าสุนัขของพวกเธอไปดึงซากศพของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมขนาดเล็กที่มีความยาวประมาณ 1 ฟุต มาจากไหนก็ไม่รู้ ทั้งสองจึงตัดสินใจถ่ายภาพของมันเอาไว้ โดยในภาพนั้นดูเหมือนกับสัตว์ประหลาดอะไรบางอย่าง ก่อนที่ทั้งคู่จะตัดสินใจรีบออกจากพื้นที่นั้น

ซึ่งหลังจากตรวจสอบภาพดังกล่าวก็พบว่า มันเป็นภาพของซากสัตว์อะไรบางอย่าง ที่ดูคล้ายหนูไม่ก็ตัวนาก แต่ลักษณะมันก็แปลกประหลาดอยู่ดี โดยเมื่อเวลาผ่านไปอีกหลายวันหญิงสาวทั้งสองก็ได้กลับไปดูที่เกิดเหตุอีกครั้ง พวกเขาก็พบว่าตอนนี้มันได้หายไปแล้ว ซึ่งต่อมาเรื่องราวนี้ก็ไปถึงนักข่าว ทำให้การพบซากสัตว์ประหลาดนี้ได้ถูกกล่าวขานออกไปเป็นวงกว้างเลยทีเดียว

โดยข่าวที่ถูกเขียนออกไปนั้น บ้างก็บอกว่ามันเหมือนกับเจ้าตัวคิทเชนูเมกูสิบ ไม่ก็เจ้าตัวโอมาจินาอากูส์ ที่แปลว่าเจ้าตัวน่าเกลียด ซึ่งเป็นสัตว์ในนิทานของชาวพื้นเมืองในแคนนาดานั่นเอง ว่ากันว่าเจ้าตัวโอมาจินาอากูส์นั้น เป็นสัตว์ในเรื่องเล่าที่มีตัวตนจริงแต่ไม่เคยมีใครพบมาก่อน จนกระทั่งสองสาวนี้ได้พบและถ่ายภาพเก็บเอาไว้

แต่นักวิเคราะห์ที่ได้เห็นภาพถ่ายของมัน กลับบอกว่าแท้ที่จริงแล้วหน้าตามันค่อนข้างจะเหมือนกับตัวมิงค์อเมริกันมากกว่า แต่สาเหตุที่ใบหน้าของมันไม่มีขนและดูน่ากลัวแบบนั้นก็เพราะว่ามันตายจนเนื้อเริ่มเน่า ทำให้ขนหลุดออกจากบริเวณหน้าเท่านั้นเอง


คดี "ทาแมนชูด"

เมื่อวันที่ 1 ธันวาคม ค.ศ. 1948  มีการพบศพชายนิรนามคนหนึ่งนั่งเกยโขดหินบนชายหาดโซเมอร์ตั้น ใน เมืองเอเดเลดประเทศออสเตรเลีย โดยผลการชันสูตรศพนั้น สามารถพิสูจน์ได้เพียงว่าชายคนนี้เป็นชาวอังกฤษ อายุประมาณ 40 - 45 ปี สูง 180 เซ็นติเมตร โดยศพนั้นสวมเสื้อเชิ้ตสีขาวผูกเนคไทใส่กางเกงขายาวสีน้ำตาล สวมถุงเท้ารองเท้า และยังพบเสื้อโค้ตแบบกระดุมสองแถวสีน้ำตาลใกล้ ๆ ศพ ซึ่งเครื่องแต่งกายทั้งหมดดูค่อนข้างจะมีราคา แต่ปรากฎว่าตรายี่ห้อต่าง ๆ ที่ควรจะพบอยู่บนเครื่องแต่งกายนั้น กลับถูกดึงออกไปทั้งหมด ในส่วนรูปลักษณ์ของเขาก็ดูเป็นคนสะอาดใบหน้าเกลี้ยงเกลา ที่บริเวณใบหูของเขาก็พบคราบควันบุหรี่และเศษบุหรี่ครึ่งมวนอยู่แถวไหล่ด้านขวาของเสื้อแจ็คเก็ต

เศษกระดาษที่พบในที่เกิดเหตุ

นอกจากเจ้าหน้าที่ชันสูตรจะไม่สามารถระบุตัวตนของเขาได้แล้ว ก็ยังพบว่าอวัยวะภายในของเขาค่อนข้างจะมีขนาดผิดปกติ ซึ่งในระหว่างการตรวจสอบนั้น พวกเขาก็พบแผ่นกระดาษชิ้นเล็ก ๆ ถูกตัดไว้อย่างปราณีต ม้วนสอดเก็บไว้ในกระเป๋าลับของกางเกงผู้ตายพิมพ์อักษรว่า “ทาแมนชูด” ซึ่งน่าจะแปลว่า “จุดจบ” โดยเป็นคำที่จะพบได้ในหน้าสุดท้ายของบทกวีรูไบยัตแห่งโอมาคายาม ซึ่งบทกวีนี้จะมีเนื้อหาเกี่ยวกับการใช้ชีวิตให้เต็มที่จนวาระสุดท้าย และยังพบกับเศษกระดาษอีกแผ่นที่เขียนโค้ดลับไว้อีกชุด ซึ่งไม่มีใครสามารถตีความรหัสเหล่านั้นได้ โดยมีการวิเคราะห์ไว้ว่า ตัวอักษรดังกล่าวน่าจะเป็นโค้ดเชาวเลขที่มีเพียงเจ้าของข้อความเท่านั้นจะสามารถเข้าใจข้อความนั้นได้
สุดท้ายตำรวจออสเตรเลียจึงได้ตัดสินใจดองศพลึกลับนี้ไว้ตั้งแต่วันที่ 10 ธันวาคม ค.ศ. 1948  ทำให้เป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องราวการพบศพลึกลับที่ถูกเผยแพร่ไปทั่วโลก

ต่อมาหลังจากข่าวการค้นพบกระดาษโน้ตดังกล่าวถูกแพร่กระจายออกไป ก็มีชายคนหนึ่งได้เฉลยเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า เขาพบที่มาของมันจากกวีรูไบยัต ที่แปลโดยเอ็ดเวิร์ด ฟิทซ์เจอราลด์ โดยบทกวีเล่มนั้นมันตกอยู่ในรถของเขา ที่จอดอยู่ในเกลเนลก์ คืนวันที่ 30 พฤศจิกายน ค.ศ. 1948  โดยหน้าสุดท้ายนั้นพบว่ามีส่วนที่ถูกตัดออกไป นั่นก็คือส่วนที่พิมพ์ไว้ว่า “ทาแมนชูด” นั่นเอง และยังพบอีกว่าในหนังสือเล่มนั้นมีเบอร์โทรศัพท์ของอดีตนางพยาบาลคนหนึ่งอยู่ด้วย เมื่อตรวจสอบกับพยาบาลคนดังกล่าวเธอกลับยืนยันว่าไม่เคยรู้จักกับชายคนนี้มาก่อน 

เมื่อเรื่องนี้ถูกทำเป็นสารคดีในโทรทัศน์ รายการดังกล่าวได้เรียกพยาบาลคนนี้ว่า "เจสติน" ซึ่งน่าจะเป็นเพียงชื่อที่ตั้งขึ้นเพื่อใช้เรียกในรายการ โดยชื่อนี้มาจากหน้าแรกของหนังสือบทกวีดังกล่าวเท่านั้น โดยการสืบสวนก็ต้องหยุดชะงักไปอีกครั้ง เมื่อพบว่าเจสตินได้เสียชีวิตไปในปี ค.ศ. 2007 ที่ผ่านมา ทำให้ต่อมาในปี ค.ศ. 2009  ภาพของชายที่เสียชีวิตคนนี้จึงถูกเรียกชื่อตามสถานที่พบศพนั่นก็คือ "เดอะโซเมอตันแมนแห่งครอบครัวเจสติน"


ลิวบา



ในเดือนมีนาคม ค.ศ. 2007  นักล่ากวางเรนเดียร์ชื่อว่า "ยูริ คูดี้" ได้พบซากแช่แข็งของช้างแมมมอธขนยาวจากแถบอาร์คติกยามาล เมืองเพนนินซูล่าของประเทศรัสเซีย ซึ่งต่อมาซากช้างแมมมอธตัวนี้ก็ได้ถูกตั้งชื่อว่า "ลิวบา" โดยซากของมันมีน้ำหนักประมาณ 50 กิโลกรัม และส่วนสูง 85 เซนติเมตร คาดกันว่าเจ้าแมมมอธตัวนี้น่าจะมีอายุประมาณหนึ่งเดือน และเสียชีวิตไปเมื่อ 42,000 ปีก่อน โดยร่างของมัน ถือว่าเป็นซากแมมมอธที่ค่อนข้างจะสมบูรณ์ที่สุดเท่าที่มีการพบสัตว์ชนิดนี้

ต่อมานักวิทยาศาสตร์ได้ตรวจพบว่าช้างแมมมอธตัวนี้ ยังมีคราบของนมแม่ของมันอยู่ในกระเพาะอาหาร และยังพบอุจจาระตกค้างในลำไส้ใหญ่อีกด้วย และยังพบอีกว่าลักษณะของมันเหมือนกับช้างในยุคปัจจุบันที่มีลักษณะของอุจจาระเหมือน ๆ กัน โดยสามารถระบุได้ว่าเจ้าลิวบาน่าจะเสียชีวิตในสถานที่ ๆ ค่อนข้างอุดมสมบูรณ์ และคาดว่ามันน่าจะเสียชีวิตจากการพลัดตกลงไปในบ่อโคลนดูด จึงทำให้สภาพของซากเจ้าลิวบ้าค่อนข้างจะสมบูรณ์

ต่อมานักวิทยาศาสตร์ทั่วโลกก็ได้พบกับความทึ่งอีกครั้งหนึ่ง เมื่อพวกเขาได้พบกับผลการทดสอบจากฟันของมัน โดยผลนั้นก็คือการประมาณอายุของซากที่แท้จริงนั่นเอง โดยผลแจ้งออกมาว่าซากนี้น่าจะมีอายุที่แท้จริงคือ 10,000 ปี ไม่ใช่ 42,000 ปี ตามที่คาดกันไว้ในตอนแรก และนักวิทยาศาสตร์ญี่ปุ่นก็พยายามจะสกัดเอาดีเอ็นเอของมันมาเพื่อทำการโคลนนิ่งเจ้าลิวบาให้เกิดใหม่อีกครั้ง โดยหวังจะได้ค้นคว้าในสิ่งที่ยังไม่รู้จากแมมมอธขนยาวชนิดนี้อย่างละเอียดต่อไปในอนาคต


สัตว์ประหลาด "มอนท็อก"



เจ้ามอนท็อกเป็นข่าวขึ้นมาหลังจากที่มีผู้พบซากของมัน ลอยมาติดอยู่ที่ชายหาดใกล้ย่านธุรกิจมอนท็อกของกรุงนิวยอร์ก ในช่วงเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 2008  โดยผู้พบก็คือ "เจนน่า ฮิววิท" อายุ 26 ปี ซึ่งเรื่องราวการค้นพบของฮิววิทนั้น ได้ถูกเผยแพร่ผ่านหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นในเมืองอิสต์แฮมตั้น ที่ ๆ เธออาศัยอยู่นั่นเอง

เนื้อหาข่าวนั้น พูดถึงสัตว์ประหลาดจากท้องทะเล ไม่ก็สัตว์ทดลองกลายพันธุ์ที่หลุดมาจากศูนย์ทดลองในเกาะพลัม และก็ได้อ้างอิงถึงลาร์รี่ เพ็นนี ผู้อำนวยการฝ่ายธรรมชาติวิทยาแห่งอิสต์แฮมตั้น ที่บอกว่าซากนี้มันอาจจะเป็นเพียงตัวแร็คคูนที่ถูกปลาฉลามทำร้ายมากกว่า

โดยหลังจากภาพถ่ายของเจ้ามอนท็อกที่ถูกถ่ายโดยฮิววิทออกเผยแพร่ทางสื่อนั้น ซากของมันก็ได้หายไป และภาพถ่ายของมันก็ถูกอัพโหลดไปทางเวบไซต์ในอินเตอร์เน็ตอย่างรวดเร็ว โดยเนื้อหาของข่าวก็เริ่มจะถูกดัดแปลงไปเรื่อย ๆ บ้างก็บอกว่าเป็นภาพที่ถูกถ่ายโดยหญิงสาวไม่ทราบชื่อ กล่าวว่าขนาดของมันเท่า ๆ กับแมวบ้าน บางคนก็บอกว่ามันคือเต่าทะเล ทั้งที่จริง ๆ แล้วก็ไม่ได้เป็นแบบนั้นเลย เพราะร่างของเต่านั้นไม่สามารถถอดตัวเองออกมาจากกระดองในลักษณะนั้นได้ บางคนก็บอกว่ามันคือหนูน้ำ บ้างก็บอกว่าเป็นสุนัข ไม่ก็สุนัขโคโยตี้ที่ขนหลุดร่วงเพราะเริ่มอืด

อย่างไรก็ตามนักสัตว์วิทยาที่ชื่อ "ดาเรน เนช" ได้พยายามวิเคราะห์ภาพดังกล่าวแล้วก็สามารถระบุได้ว่า แท้ที่จริงแล้วมันก็คือตัวแรคคูน โดยในวันที่ 14 มีนาคม ค.ศ. 2011 นั้น รายการเนชั่นแนลจีโอกราฟฟิคได้ออกอากาศเกี่ยวกับเจ้าสัตว์ประหลาดตัวนี้ โดยเฉลยในตอนท้ายเช่นกันว่า แท้ที่จริงแล้วมันคือตัวแรคคูนนั่นเอง


ซากสัตว์ประหลาดของ "ซุยโยมารุ"



เมื่อวันที่ 25 เมษายน ค.ศ. 1977  มีเรือประมงอวนลากชื่อ "ซุยโย มารุ" ที่กำลังหาปลาอยู่ทางตะวันออกของไครซ์เชิร์ทในประเทศนิวซีแลนด์ อยู่ดี ๆ ลูกเรือก็รู้สึกได้ถึงความผิดปกติของอวนที่กำลังดักจับปลาอยู่ใต้ทะเลลึกกว่า 300 เมตร เมื่อทุกคนได้พยายามช่วยกันกู้อวนขึ้นมา พวกเขาก็ได้พบกับสัตว์ประหลาดที่กลิ่นค่อนข้างเหม็นมาก โดยซากสัตว์ประหลาดนี้มีน้ำหนักกว่า 1,800 กิโลกรัม ตัวยาวประมาณ 10 เมตร คอยาวถึงเมตรครี่ง มีครีบสีแดงและหางยาวกว่าสองเมตร โดยในรายงานต้นฉบับนั้นพบว่าครีบหลังของมันมีลักษณะขาดออก และไม่พบอวัยวะภายในเลย

หลังจากการค้นพบนี้ลูกเรือของซุยโยมารุต่างก็มั่นใจว่า มันคือสัตว์ลึกลับใต้ทะเลลึกที่ไม่มีใครเคยพบมาก่อนอย่างแน่นอน ซึ่งนายอากีระ ทานากะ กัปตันเรือก็ได้ตัดสินใจทิ้งซากนี้กลับลงสู่ทะเล โดยก่อนที่จะทิ้งไป พวกเขาก็ได้ถ่ายภาพของมันเอาไว้ด้วย ซึ่งหลังจากรูปภาพนั้นไปถึงมือหนังสือพิมพ์ของญี่ปุ่น มันก็ได้กลายเป็นข่าวใหญ่ในทันที โดยชาวญี่ปุ่นได้วิเคราะห์กันว่า ซากประหลาดนี้มันน่าจะเป็นตัวเพลซิโอซอร์ที่บ้าคลั่งไหว้น้ำข้ามทะเลมา ต่อมาศาสตราจารย์โทคิโอะ ชิมากะ จากมหาวิทยาลัยโยโกฮาม่า ก็ได้ออกมายืนยันว่าเป็นตัวเพลซิโอซอร์เช่นกัน

ต่อมาในวันที่ 25 กรกฎาคม ค.ศ. 1977  บริษัทไทโยฟิชได้ออกมาพูดถึงรายงานจากเนื้อเยื่อของเจ้าสัตว์ประหลาดนี้ โดยบอกว่าลักษณะของมันนั้นค่อนข้างจะคล้ายกับสัตว์ทะเลมีครีบอย่างฉลามบาสกิ้น ซึ่งเป็นสัตว์น้ำขนาดใหญ่เป็นอันดับสองในท้องทะเล ซึ่งพวกมันสามารถเติบโตได้ถึงกว่า 9 เมตร และสามารถดำน้ำได้ลึกกว่า 12 เมตร ซึ่งโดยปกติหลังจากฉลามชนิดนี้ตาย ซากของมันมักจะถูกพบในสภาพหัวด้านล่างหลุดหายไป ซึ่งดู ๆ ไปจากซากการตายแบบนั้น ก็อาจจะทำให้ดูเหมือนตัวเพลซิโอซอร์ได้เช่นกัน


มัมมี่แห่งภูเขาซานเปรโดร


ในช่วงเดือนตุลาคม ค.ศ. 1932  นักขุดแร่สองคนชื่อว่า "เซซิล เมนย์" และ "แฟร็งค์ คาร์" ได้ค้นพบห้องลับใต้ดินในช่วงที่กำลังจะทำการระเบิดเหมืองทองในภูเขาซานเปรโด  ที่อยู่ห่างไป 60 ไมล์ จากทางใต้ของแคสเปอร์ไวโอมิ่ง

โดยห้องลับนั้นมีขนาดกว้างและยาวประมาณ 1.2 เมตร และมีด้านลึกเข้าไปประมาณ 4.57 เมตร หลังจากที่เข้าไปในห้องนั้น เขาทั้งสองก็พบกับศพของชายร่างเล็กที่กลายเป็นมัมมี่ มีน้ำหนักประมาณ 12 ออนส์ โดยซากของเขานั้นอยู่ในท่านั่งขัดสมาธิตั้งฉากอยู่กับพื้น โดยตัวมัมมี่นั้นมีขนาดสูงประมาณ 7 นิ้ว ในท่านั่ง และน่าจะสูงประมาณ 14 นิ้ว หากอยู่ในท่ายืน มีลักษณะผิวเป็นสีน้ำตาลและยับย่น บริเวณศีรษะบิดเบี้ยวและนัยน์ตาที่ปูดโปนออกมา มีปากที่กว้างแต่ริมฝีปากไม่หนามากนัก

โดยมัมมี่นี้อยู่ในสภาพที่ค่อนข้างจะสมบูรณ์ แม้กระทั่งเล็บก็ยังคงมองเห็นได้ชัดเจน ในส่วนของศีรษะนั้นค่อนข้างจะมีสีคล้ำจนมองไม่ชัด และทั่วร่างก็ดูเหมือนจะอาบน้ำยาบางอย่างเคลือบศพอยู่ หลังจากการค้นพบซากมัมมี่นี้ก็ได้ถูกตั้งชื่อว่า "มัมมี่แห่งเปรโด"

ต่อมานักวิทยาศาสตร์จากทั่วประเทศได้เดินทางมาร่วมตรวจสอบกันยกใหญ่ จนในปี ค.ศ. 1950  ก็มีผลการเอ็กซเรย์ออกมา โดยรายงานบอกว่าภายในร่างกายนั้นมีกระดูกคล้ายกับกระดูกมนุษย์ และมีกระดูกหักในบางแห่ง รวมไปถึงบริเวณกระดูกคอและกระดูกสันหลังด้วย ซึ่งจุดนี้น่าจะเป็นสาเหตุให้บนศีรษะของมัมมี่นั้น เต็มไปด้วยคราบเลือดจนดูเป็นสีดำคล้ำนั่นเอง ซึ่งหมายความว่ามัมมี่ร่างนี้น่าจะถูกฆ่าตายอย่างทารุณ

ซากมัมมี่นี้ได้ถูกตรวจสอบโดย "ดร. เฮ็นรี่ แชพิโร่" นักชีวมนุษย์วิทยาจากพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์แห่งชาติอเมริกา ซึ่งเขาได้ศึกษาผ่านระบบเอ็กซเรย์ เชื่อว่าร่างมัมมี่นี้เป็นชายอายุประมาณ 65 ปี ก่อนที่จะเสียชีวิต โดยในปากมีเขี้ยวขนาดใหญ่ราวกับว่าเป็นพวกแวมไพร์ โดยทางมหาวิทยาลัยฮาวาร์ดเองก็ได้ยืนยันเรื่องนี้ด้วยเช่นกัน

อย่างไรก็ดีเมื่อเวลาผ่านไปสามสิบปี ดร. จอร์จ จิลนักมานุษยวิทยานิติศาสตร์ ก็ได้เสนออีกทฤษฎีขึ้นมา โดยเขารู้สึกว่าร่างนี้น่าจะเป็นร่างของทารกชาวอินเดีย ซึ่งหลังจากที่มัมมี่ร่างนี้ถูกพบแรก ๆ ในสมัยนั้น ก็มีการพบร่างลักษณะนี้อีกในบริเวณใกล้ ๆ กัน ซึ่งมันคือร่างของมัมมี่ผู้หญิงที่มีความสูงเพียง 4 นิ้ว เท่านั้น


โดยชาวอเมริกันพื้นเมืองได้บอกเล่าเรื่องราวตำนานเกี่ยวกับมนุษย์ตัวเล็ก ซึ่งเป็นเรื่องราวที่ถูกเล่าปากต่อปากกันในเผ่าอาราปาโฮ เผ่าสิอ็อก เผ่าเชเยน และเผ่าครอว์ ได้พูดถึงสิ่งมีชีวิตลักษณะเหมือนมนุษย์ตัวเล็กที่มีขนาดเพียง 20 นิ้ว ไปจนถึง 3 ฟุต โดยในบางแห่งก็เรียกพวกเขาว่า "มนุษย์จิ๋วจอมเขมือบ" และก็มีเรื่องเล่าเกี่ยวกับชาวเผ่ามนุษย์จิ๋ว "ไนเมอริก้า" เช่นกัน โดยชาวมนุษย์จิ๋วเผ่านี้จะอาศัยอยู่ตามเทือกเขาเปโดร ทางตอนใต้ของไวโอมิ่ง และได้ต่อสู้กับมนุษย์ปกติด้วยลูกดอกอาบยาพิษ และเล่ากันว่าชาวเผ่าไนเมอริก้าที่เริ่มจะแก่หรือเจ็บป่วยนั้น จะถูกฆ่าโดยคนในเผ่าด้วยการตีที่ศีรษะนั่นเอง

ซึ่งเหตุผลสุดท้ายนี้ ก็ค่อนข้างจะเป็นเหตุเป็นผลที่สุด เพราะสภาพศพนั้นดูค่อนข้างจะใกล้เคียงกับมัมมี่แห่งเปรโดที่ถูกพบเป็นอย่างมาก โดยต่อมาในวันที่ 7 กรกฎาคม ค.ศ. 1979 ก็มีข่าวว่ามัมมี่ตัวนี้ได้ถูกส่งต่อให้กับลีโอนาร์ด วัดเลอร์ นักธุรกิจในนิวยอร์ค ซึ่งหลังจากนั้นมาข่าวของมัมมี่แห่งเปรโดรก็หายไป จนกระทั่งข่าวของมันได้กลับมาอยู่ในกระแสสังคมออนไลน์อีกครั้ง


สัตว์ประหลาดแห่งปานามา


เจ้าซากของตัวประหลาดแห่งปานามาตัวนี้ ได้ถูกถ่ายภาพไว้ได้ที่บริเวณใกล้ ๆ หมู่บ้านเซอโร่อาซูล ประเทศปานามา ในช่วงเดือนกันยายน ค.ศ. 2009  มันถูกพบโดยกลุ่มนักปีนเขาวัยรุ่น พวกเขาบอกเล่าว่า สภาพของมันนั้นไม่มีขน มีแต่หนังและฟันแหลมคม หน้าตาน่าเกลียดน่ากลัวมาก จมูกโบ๋ แขนยาว และหนึ่งในสมาชิกก็ได้จับมันโยนลงไปในบ่อน้ำซึ่งหลังจากนั้น พวกเขาก็ได้กลับมาเพื่อถ่ายภาพซากของมันมาให้ดู

โดยหลังจากกลุ่มวัยรุ่นได้นำภาพที่ถ่ายได้ส่งให้กับสถานีโทรทัศน์ของปานามา และบอกเล่าเรื่องราวนี้ผ่านทางอินเตอร์เน็ต ผู้คนก็ค่อนข้างแปลกใจและช่วยกันหาว่า แท้ที่จริงแล้วเจ้าตัวประหลาดนี้มันคือตัวอะไรกันแน่ ซึ่งหลังจากที่เวลาผ่านไป 4 วัน ทางสถาบันธรรมชาติวิทยาของปานามาก็ได้ออกมาเฉลยว่า แท้ที่จริงแล้วเจ้าตัวประหลาดแห่งปานามาตัวนี้มันก็คือ "สลอตสีน้ำตาล" นั้นเอง ซึ่งสาเหตุที่มันไม่มีขนก็เพราะว่ามันตายในน้ำจนเริ่มจะอืดจนขนหลุดแล้วก็เกยตื้นขึ้นมา หรือไม่ก็ถูกจับมาวางไว้ที่โขดหินข้างบ่อน้ำนั่นเอง ซึ่งถ้าดูจากภาพของเจ้าตัวสลอตแล้ว มันก็น่าจะเป็นสลอตจริง ๆ นะครับ

จากเรื่องเล่าทั้งหมด 10 เรื่องนี้ ทำให้มิติที่ 6 อยากบอกกับท่านผู้ชมว่า ในปัจจุบันนี้เรื่องราวลึกลับแปลกประหลาดที่ถูกนำเสนอตามเวบไซต์บ้านเรานั้น บางเรื่องราวอาจมีการติดตามผลจนได้คำตอบกันเรียบร้อยแล้ว เพียงแต่ในหลาย ๆ เวบนั้น ไม่ได้ทำการติดตามข่าวต่อจนถึงที่สุด แล้วมันก็ทำให้เราได้รับรู้เรื่องราวกันอย่างครึ่ง ๆ กลาง ซึ่งมันก็น่าจะดีกว่าถ้าหากเราสามารถรู้ว่า ข่าวต่าง ๆ นั้นมีการพิสูจน์อะไรไปแล้วบ้าง เพราะถ้าเรารู้ข่าวสารเพียงแค่ครึ่งแรก แล้วนำเรื่องราวนี้ไปบอกต่อกันโดยไม่ทราบเรื่องราวแท้จริงในครึ่งหลัง มันก็อาจทำให้เราดูกลายเป็นคนงมงายไร้สาระไปเลยก็ได้

การยอมรับในความจริงนั้น มันจะทำให้เรามีเหตุผลกับข่าวสารเรื่องราวแนวนี้ในอนาคต จนเมื่อเราได้พบกับเรื่องลี้ลับที่เป็นเรื่องจริง ๆ เมื่อใด นั่นก็จะทำให้เราสามารถที่จะมั่นใจได้ว่า เรื่องลึกลับที่เราต้องการมันอยู่ตรงนี้แล้ว แบบนั้นก็น่าจะดีกว่านะครับ



หลังจากอ่านเรื่องราวจากมิติที่ 6 จบแล้ว อย่าลืมกดติดตาม กดไลค์ กดแชร์ และทิ้งคอมเมนต์กันไว้นะครับ

แปลและเรียบเรียง นิวัฒน์ อ่ำแสง
ขอบคุณที่มา
http://www.toptenz.net/top-10-strange-and-bizarre-dead-bodies.php

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

ประกาศ

เพื่อเป็นกำลังใจเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้กับเรา ขอความร่วมมือจากผู้ที่นำเรื่องราวจากมิติที่ 6 ไปใช้ในที่ของท่าน กรุณาลงเครดิตกลับมาที่เราจะเป็นพระคุณอย่างสูงครับ